14

มนตร์ดำ

14

มนตร์ดำ

 

ความหนาวเหน็บจากภายนอกทำให้เครื่องปรับอากาศภายในห้องนอนแขกเล็กหยุดทำงานเป็นพักๆ ส่งเสียงหึ่งๆ ตลอดทั้งคืน ด้วยใบหูกลมกับประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมของเสือโคร่งใหญ่ทำเอาคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบากทีเดียว เพราะทุกครั้งที่เครื่องทำความเย็นเริ่มทำงาน ใบหูเจ้ากรรมก็จะกระตุกเงี่ยฟังเสียงที่ไม่คุ้นชินอย่างหวาดระแวง แม้ตั้งใจจะแอบย่องออกไปอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ร่างบางที่สองแขนเขาโอบกอดอยู่นั้นกลับมีท่าทีแปลกประหลาดอยู่ตลอด เธอร้องอย่างหวาดกลัวเหมือนถูกตรึงร่างไม่ให้ขยับเขยื้อนได้ แต่พอมือใหญ่ของเขาสัมผัสหน้าผากของเธอ ทุกอย่างก็ดูจะกลับกลายไปในทางที่ดีขึ้น นั่นจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องนอนอยู่อย่างนั้นตลอดจนเช้า

“อื้อ...”

ริมฝีปากเล็กส่งเสียงหวานออกมาน้อยๆ ระหว่างขยับตัวซุกแผ่นอกอุ่นของเขา ก่อนมันตราจะตื่นจากห้วงนิทราในสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่า คิ้วเรียวขยับย่นน้อยๆ ไปพร้อมๆ กับอ้าปากหาวหวอดใหญ่อย่างเผลอตัว เพราะคิดว่าอยู่เพียงลำพัง 

เสียงขำเบาๆ ของสมิงร่างใหญ่ทำเอาร่างบางหันขวับไปมองเขาทันที ดวงตากลมกะพริบปริบๆ พร้อมกับที่ความทรงจำมากมายหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ทำเอาใบหน้าหวานออกสี แก้มขาวแดงระเรื่อ

“นอนไม่ค่อยหลับเหรอ” ร่างใหญ่เอ่ยถามขณะยกลำแขนใหญ่มาหนุนหัวเบาๆ 

มันตราขยับผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายเปลือยเปล่าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยร่องรอยเพลงรักที่บรรเลงจนแม้กระทั่งเสียงฝนยังยอมแพ้

“เอ๋...” สาวเจ้าเอ่ยอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยถามออกมาราวกับรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเธอ และพยักหน้าตอบเขาน้อยๆ ก่อนจะเริ่มเล่าให้ฟัง

“เมื่อคืน...” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเสมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะขยับตัวเข้าไปหาร่างใหญ่ที่พร้อมจะอ้าแขนรับเธออยู่แล้ว

“เมื่อคืน...ฝันร้ายน่ะค่ะ...ฝันเห็น...”

สีหน้าของเธอดูหวาดกลัวขึ้น ริมฝีปากนุ่มสั่นน้อยๆ เมื่อพยายามจะพูดถึงมัน ภาพความทรงจำน่าเกลียดน่ากลัวนั้นยังย้อนมาจนติดตาอยู่เลย ก่อนมือใหญ่จะยกขึ้นช้อนต้นคอระหงเข้ามาหาตัวเขาจนแนบชิด

“เจ้าโดนผีอำทั้งคืนเลย” ริมฝีปากเข้มจูบลงกลางกระหม่อมเล็ก ก่อนดวงตากลมคู่นั้นจะช้อนขึ้นมองเขา

“ผีอำเหรอคะ” ร่างบางเอ่ยซ้ำ

“เจ้าคงจะเหนื่อยมากกว่า...แถมเมื่อคืน...” ร่างใหญ่เอ่ยบอกออกไปพร้อมๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีกแล้ว สาวเจ้าถึงกับขมวดคิ้วมองค้อนเลยทีเดียว แต่การที่สมิงบอกออกไปแบบนั้นก็ด้วยเพราะความจริงบางอย่างที่เกิดขึ้น หากอีกฝ่ายรับรู้เข้าก็คงจะขวัญเสียเป็นแน่ แม้เธอจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่ก็อาจจะเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ และอาจจะเป็นเพราะเธอเหนื่อยเกินไปจริงๆ

 

โทรทัศน์หน้าจอขนาด 50 นิ้วเครื่องใหญ่ที่แขวนตรึงอยู่กับผนังไม้สักใหญ่ของโซนร้านขายของเก่าส่งเสียงดังรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ด้วยพายุใหญ่เมื่อคืนทำให้เกิดอุทกภัยขึ้นในหลายพื้นที นั่นรวมไปถึงภายในตัวอำเภอและบริเวณรอบนอกของพื้นที่แถวนี้ด้วยเช่นกัน

“จะได้วันไหนน่ะ หนูไม่อยากให้หน้าร้านมีรอยแตก รื้อออกไปก่อนได้มั้ย” คุณหยาดทิพย์เอ่ยอย่างเข้มงวดด้วยน้ำเสียงทรงพลังอำนาจ พร้อมชี้นิ้วสั่งคนงานที่แวะมาดูกระจกหน้าร้านให้ทำตามคำสั่งได้อย่างไม่เกี่ยงงอน หากเพ่งมองดีๆ แล้วจะเห็นว่าริมฝีปากสีแดงสวยของหล่อนแต้มเศษทองคำเล็กๆ จากทองคำเปลวอยู่น้อยๆ

“ได้ครับคุณหยาด แต่วันนี้อาจจะไม่ทันเพราะต้องสั่งของมาจากเชียงใหม่ อาจจะราวๆ พรุ่งนี้หรือมะรืนน่าจะได้ครับ”

ชายแก่คนหนึ่งรายงานก่อนจะเดินมายิ้มให้อย่างสิเน่หา เขาคนนี้ชื่อ ‘ลุงชวด’ เป็นเจ้าของร้านทำกระจกที่ติดตั้งกระจกบานใหญ่นี้ให้หล่อน แม้อายุจริงของเขาจะประมาณห้าสิบกว่า แต่ดวงตาเหลืองซ่านกับเส้นเลือดสีแดงปูดขึ้นอยู่ภายในดวงตาทำให้ดูแก่เกินวัย บ่งบอกว่าชายคนนี้ติดเหล้าค่อนข้างหนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น ทุกๆ ครั้งที่ฉีกยิ้มออกมาจะเห็นฟันสีเหลืองกับคราบหินปูนเกรอะกรัง มีกลิ่นปากอย่างคนที่ชอบสูดควันบุหรี่หลายมวนเข้าไปในปอดที่แทบจะเรียกว่าแห้งฝ่อแล้ว แกบอกกับทุกคนเสมอว่าตายไปก็คงจะไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้สูบอะไร เพราะฉะนั้นขอทำตามใจให้หายอยากไปเสียก่อนจะตายดีกว่า นับว่าเป็นการใช้ชีวิตที่ดูจะคุ้มค่าที่สุดในชีวิตของแกแล้ว ยิ่งได้ทำงานกับสาวสวยอย่างคุณหยาดทิพย์ ชีวิตแกก็มีสีสันขึ้นไปอีกระดับ

“ขอบใจมากนะพี่ชวด ไม่ได้พี่ชวดช่วยละก็แย่เลย”

น้ำเสียงออดอ้อนของสาวเจ้าทำเอาชายแก่ปึ๋งปั๋งขึ้นจนผิดสังเกต ท่าทีที่พร้อมบริการแบบนี้บางครั้งถึงกับทำเอาภรรยาของลุงชวดไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่คุณหยาดเป็นคนสวยที่ช่างเจรจา นั่นทำให้แม้ภรรยาของลุงชวดเองก็มักจะหลงคารมของหล่อนอยู่เช่นกัน

“อ้าว! มันตรา”

คุณหยาดหันกลับมามองหญิงสาวในชุดกระโปรงเดิมของเธอที่กำลังยกมือขึ้นป้องปากหาวหวอดๆ พร้อมกับชายร่างใหญ่ที่เดินตามมาข้างหลัง แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็พอเดาได้ว่าสมิงอาจจะกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

“เมื่อคืน...นอนไม่พอเหรอจ๊ะ”

ประกายตาของคุณหยาดระยิบระยับเสียจนไม่น่าไว้ใจ ด้วยเพราะสงสัยในพฤติกรรมของทั้งสองคน ที่พอทักออกไปแบบนั้นสมิงร่างใหญ่ก็อ้าปากหาวทันที ส่วนสาวร่างบางก็ยกมือเรียวขึ้นโบกปฏิเสธ

“มะ...ไม่หรอกค่ะ นอน...นอนสบายมากเลย” ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างพร้อมๆ กับที่แก้มขาวแดงขึ้นเพราะเขินอาย 

คุณหยาดพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้เชื่อตามที่อีกฝ่ายปฏิเสธหรอก

“อย่างงั้นเหรอจ๊ะ แบบนั้นก็ดีแล้ว...อ้อ ถ้าจะกลับก็กลับเลยก็ได้จ้ะ พรุ่งนี้ค่อยมา” คุณหยาดยิ้มให้หล่อนก่อนจะหันไปคุยงานกับลุงชวดครู่หนึ่ง 

สมิงร่างใหญ่ถึงกับเลิกคิ้ว ดูไม่มีเหตุผลเลยที่พวกเขาต้องกลับมายังที่แห่งนี้อีก

“หมายความว่ายังไง” ร่างใหญ่เอ่ยถามทันที

“เอ๋?” มันตราหันไปมองใบหน้าเข้มของสมิงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย นิ้วเรียวขยับขึ้นเกาแก้มอย่างเผลอตัวทุกครั้งที่เขิน 

“พอดีคุยกับน้าหยาดเมื่อวานว่าจะมาช่วยงานน้าหยาดก่อนน่ะค่ะระหว่างที่กำลังหาพนักงานประจำร้าน” มันตราตอบไปตามความจริงทั้งหมด 

สมิงร่างใหญ่ถึงกับหันมองค้อนคุณหยาดทิพย์ที่ตอนนี้ตีหน้าซื่อราวกับว่ามันตราตกปากรับคำมาทำงานเอง หล่อนไม่ได้บีบบังคับเลยแม้แต่น้อย 

จมูกเป็นสันพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“อ้อ จริงสิหนูมันตรา น้าลืมของที่จะฝากให้หนูไว้ที่ห้องรับแขก ไปหยิบมาหน่อยได้มั้ยจ๊ะ พอดีน้าต้องดูคนงานหน้าร้านก่อน คุณหยาดบอกก่อนจะชี้นิ้วเชิงว่าของสิ่งนั้นอยู่ในห้องรับแขกของหล่อน 

แม้มันตราจะเกรงใจ แต่ด้วยน้ำเสียงเชิงคะยั้นคะยอของอีกฝ่ายจึงจำใจเดินเข้าไปหาสิ่งนั้นด้วยตัวเอง 

สมิงร่างใหญ่ไม่ได้ตามหญิงสาวเข้าไปด้วย เพราะรับรู้ได้ถึงเจตนาของคุณหยาดทิพย์ว่ามีเรื่องบางอย่างจะบอกเขา

“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักอึ้งพ่นออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดของคุณหยาดเมื่อมันตราเดินหายไปจากสายตาแล้ว

“ทีหลังจะรับอะไรมาจากใครน่าจะหัดถามไถ่ที่มาเสียก่อน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นทันที นั่นยิ่งทำให้คุณหยาดถอนหายใจหนักขึ้นไปอีก

“น่าจะเป็นที่กล่องน่ะ เหมือนจะเคยใส่อะไรมาก่อนด้วย” คุณหยาดแจงก่อนจะเดินไปหยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมาให้สมิงดู เป็นกล่องไม้ที่ตีด้วยเงินเก่าแก่หุ้มเนื้อไม้สักสีเข้มไว้ภายใน 

มือใหญ่ของสมิงรับกล่องมาเปิดออกดู ก่อนจะพบว่าภายในมีกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพโชยออกมาน่าสะอิดสะเอียน รอยขูดขีดภายในกล่องแสดงให้เห็นว่าของบางอย่างภายในพยายามจะออกมา และตอนนี้มันถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว เหมือนเจ้าของมันจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่เขาปลดปล่อยวิญญาณทาสสาวเมื่อวานให้ไปผุดไปเกิด แต่ทำอะไรตัวเขาไม่ได้ จึงจ้องจะเล่นงานคนอื่นๆ แทน

“แล้วไอของที่โดนกระจกล่ะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามระหว่างที่นัยน์ตาสีแดงกวาดมองไปยังภายนอกร้าน

“ไม่เห็นแล้ว เช้ามาก็ไม่เห็นมีอะไรเลย” คุณหยาดตอบ

“เห็นเศษหญ้าหรือเศษดินบ้างรึเปล่า” สมิงใหญ่ก้าวเดินไปยังหน้าร้านที่เป็นลานโล่ง อย่างที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้ ไม่มีแม้แต่เศษใบไม้ใดๆ หลงเหลืออยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เศษผงเล็กๆ ของกระจกและแท่งไม้ที่พังลงมาจากส่วนที่เป็นหลังคากันสาดเท่านั้น

“อยากลองดีกับข้า ข้าก็จะให้เจ้าได้เห็น”

รอยยิ้มหนึ่งแสยะออกมาจนเห็นเป็นเขี้ยวแหลมคม ลิ้นสากกวาดไปตามเขี้ยวแหลมอย่างนึกสนุกขึ้นมาในที

 

ก้อนเมฆสีเทาอมดำครอบคลุมพื้นที่ของท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าใสอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน แม้ฝนจะซาลงไปจากกลุ่มเมฆหนาบ้างแล้วก็ตาม 

มันตราเดินทางกลับมาถึงเรือนไม้บะเก่าตั้งแต่เมื่อช่วงสายแล้ว แต่พอเปิดประตูรถคันงามลงมาแล้ว สมิงกลับหายตัวไปในทันที เช่นเคย...เขาไม่แม้แต่จะบอกลา

“มันตรา ห้องโอเคมั้ยลูก” น้าสาวเอ่ยทักหลังจากที่ตลอดทั้งวันเธอกับมันตราต่างก็ช่วยกันทำความสะอาดห้องนอนเก่าของยายทวดเพื่อส่งต่อให้มันตรา ร่างบางขะมักเขม้นอยู่กับการทำความสะอาดห้องและเรือนไม้หลังนี้ตลอดทั้งวัน ด้วยหวังว่าจะได้หายฟุ้งซ่านจากความคิดถึงใครคนหนึ่งที่ไม่ควรคิดถึง ด้วยเพราะพอนั่งอยู่เฉยๆ ก็รังแต่จะหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ไม่บอกลากันสักคำ หรือไม่ก็เพียงแค่บอกว่าจะไปไหนก็ยังดี

“อะ...โอเคค่ะน้าสาว ของของหม่อนก็เก็บไว้ที่ยายหมดแล้ว”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปอย่างไม่มีจุดหมายแวบหนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับมา เธอรีบลุกขึ้นหยิบไม้กวาดที่พิงอยู่กับผนังไม้เก่ามาอีกครั้ง 

“มันตรา พอแล้วลูก หนูกวาดชานมาสามสี่รอบแล้วนะ” น้าสาวร้องทัก

หญิงร่างท้วมบอก เป็นจริงดังแกว่า หลังจากทำความสะอาดห้องนอนยายทวดเสร็จ มันตราก็ลุกออกมานั่งเหม่ออยู่บริเวณเติ๋น ก่อนจะลุกขึ้นมาหยิบไม้กวาดมากวาดวนไปวนมาอยู่อย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง ครั้นพอเสร็จก็เอาไม้กวาดไปพิงผนังไว้ดังเดิม เป็นแบบนี้มาได้ชั่วโมงกว่าแล้ว

“ก้ายก้า” (เบื่อละมั้ง) หญิงชราที่คอยเฝ้าสังเกตหลานสาวอยู่ตลอดทั้งเย็นกล่าวสมทบ 

มันตราทำได้เพียงแค่ยิ้มเขิน วางไม้กวาดไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินกลับมาร่วมวงสนทนากับยาย

“แหมพูกจะไปยะก๋านบ้านน้าหยาดแม่นก่อ” (พรุ่งนี้จะไปทำงานบ้านน้าหยาดใช่มั้ย) ยายแปงเอ่ยถามพร้อมๆ กับโบกพัดที่ทำจากไม้ไผ่สานในมือ

“ค่ะยาย น้าหยาดบอกว่าเริ่มงานพรุ่งนี้ก็ได้ พอดีวันนี้ร้านหยุดค่ะ แล้วก็เมื่อวานพายุพัดเอาอะไรไม่รู้มาชนหน้าต่างร้านของแกแตกด้วย” มันตราตอบไปตามซื่อ ก่อนที่มือของเธอจะหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลที่คุณหยาดทิพย์บอกว่าซื้อของให้มันตราออกมาเปิดดู ภายในเป็นถุงสีขาวอีกชั้นหนึ่ง บรรจุผ้ไว้หลายผืน

“ดีละ ตั๋วจะได้บะง่อม” (ดีแล้ว...หนูจะได้ไม่เหงา) ยายแปงเองยิ้มบอก เพราะแกเองก็เห็นด้วยที่จะให้มันตราไปช่วยงานคุณหยาดทิพย์ ด้วยว่าคุณหยาดเป็นคนเก่งในสายตาของยายแปง จึงไม่แปลกถ้าแกจะคิดว่ามันตราอาจจะได้ประสบการณ์จากการทำงานนี้บ้าง

“อะไรน่ะลูก มันตรา” เสียงน้าสาวที่เดินมานั่งคุยด้วยเอ่ยถามถึงของในถุงกระดาษ

“อ้อ...น้าหยาดบอกว่าซื้อมาให้น่ะค่ะ”

มือเรียวล้วงลงไปในถุงสีน้ำตาลพลางหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู เสื้อผ้าหลายชุดที่ล้วนแต่เป็นชุดนอนผ้าซาตินทั้งนั้นบรรจุอยู่ภายในถุง มันตราถึงกับหน้าแดงทีเดียวที่เห็นว่าผ้าลื่นนั้นเป็นชุดนอนแบบที่เคยสวมเมื่อคืนนี้ แถมเป็นชุดนอนสไตล์ผู้ใหญ่เสียอีก มือเรียวค่อยๆ พับชุดเหล่านั้นก่อนจะใส่กลับลงไปในถุงเช่นเดิม

“ต๋ายละ แม่หยาดนี่หยังไย บะเอาๆ โป๊!! จะไปใส่” (ตายแล้ว! แม่หยาดนี่ยังไง ไม่เอาๆ โป๊ อย่าไปใส่นะลูก) ยายแปงร้องห้ามทันที ด้วยแกมองเห็นแล้วว่าชุดนอนเหล่านี้ล้วนเอาไว้ใส่เพื่อล่อเสือล่อตะเข้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเสือนี่แกเองไม่ค่อยอยากจะไว้ใจเท่าไรเสียด้วย

“ยายยย...มันชุดนอนเด็กสมัยนี้แหละ เขาใส่กันแบบนี้ เขาไม่ใส่กันแล้วไอ้ชุดนอนผ้าฝ้ายแบบเด็กๆ น่ะ”

น้าสาวช่วยพูด ด้วยเพราะแกก็เห็นว่าพวกญาติๆ ที่มาจากกรุงเทพฯ ก็สวมชุดนอนแบบนี้กันทั้งนั้น แต่ยายแปงก็ยังดึงดัน ก็ด้วยแกไม่ชอบให้มันตราแต่งตัวไม่มิดชิดแบบนี้เลย

“แค่ชุดนอนเองยาย ไม่ได้จะใส่ออกไปไหนสักหน่อย” น้าสาวยังคงแซว

“แอ๊ บะเอาๆ ใส่นอนก่อบะได้ อายผีหอผีเฮือน” (อี๋ ไม่เอาๆ ใส่นอนก็ไม่ได้ อายผีบ้านผีเรือน)

ยายแปงค้านอย่างออกรสออกชาติทีเดียว ทำเอามันตราและน้าสาวหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูคนเป็นยาย ก่อนแกจะไล่ทั้งสองคนเข้าไปนอนในเรือน ด้วยยามถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนกันแล้ว จะให้มานั่งคุยกันที่ชานจนมืดจนค่ำแบบนี้ก็รังแต่จะเป็นเหยื่อให้ยุงกัดกินเลือดกินเนื้อเสียเปล่าๆ 

สามสาวสามวัยเดินแยกย้ายไปยังเรือนนอนของตนพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะน้อยๆ ของน้าสาว

 

เวลาเดียวกันในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป สถานที่ที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา แม้แต่แมลงที่ร้องในตอนกลางคืนสักตัวก็ยังไม่มีปรากฏให้เห็นหรือร้องให้ได้ยิน ณ บ้านไม้หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งนาของอีกหมู่บ้านหนึ่ง บนเรือนเปิดไฟสว่างทั่วทั้งหลัง เสียงสวดคาถาแปลกๆ ดังอยู่บนเรือนไม้สีดำหลังใหญ่แห่งนี้มาตลอดตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว กลิ่นธูปและกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาทั่วบริเวณ

ชายร่างใหญ่ผิวดำทะมึนสวมชุดขาว คล้องลูกประคำสีดำรอบคอนั่งร่ายคาถาซึ่งเป็นวิชาของไสยเวทมนตร์ดำอยู่ภายในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังมากมาย ควันธูปตลบอบอวลและเล็ดลอดออกมาตามซอกเล็กของแผ่นไม้ที่ตีขึ้นเป็นผนังเกล็ด ดวงตาดำทะมึนเบิกขึ้นพร้อมๆ กับที่เสียงก่นด่าพ่นออกมาชักแช่งผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญ มือหยาบที่ปลายเล็บดำคว้าพานแร่สีทองขึ้นมา ในพานมีผ้าสีแดงกับดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปควายตัวเล็กอย่างง่ายๆ พอให้เห็นว่ามีเขาโค้งงอน หน้ายื่นออก มีขาสี่ขาค้ำให้ควายตัวจิ๋วยืนได้

“กูไม่รู้ว่ามึงเป็นใคร แต่มึงเล่นผิดคนแล้ว”

ริมฝีปากหนาเข้มเป่าคาถาเรียกควายธนูของแก ก่อนจะเสกให้มันออกไปยังด้านนอกเพื่อจัดการกับผู้บุกรุก โดยที่ยังไม่รู้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่

“เสือกมายุ่งไม่เข้าเรื่อง ผีก็ผีกู มึงไม่มีสิทธิ์!!”

“กรรรรรรรร!!!!!”

“กรรรรรรรร!!!!!”

เสียงตะโกนด่าดังออกมาจากภายในบ้าน ก่อนเสียงขู่คำรามจนรอบบริเวณสะเทือนเลื่อนลั่นจะดังขึ้น ชายเจ้าของบ้านถึงกับสะดุ้งโหยง แต่เสียงขู่คำรามยังคงดังก้องขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเสียงโครมครามก็ตามมา จนกระทั่งเจ้าของควายธนูถึงกับอยู่ไม่สุข จำใจรีบเปิดประตูออกมาดูทางหน้าเรือนดำว่าใครกันแน่ที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของแก

“มึงเป็นใครวะ!!!”

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาชายชราร่างดำทะมึนในชุดขาวคือ เสือร่างใหญ่มหึมาที่กำลังคร่อมอยู่บนร่างดำสนิทของควายธนู ฝังเขี้ยวคมใหญ่ลงบนคอควายตัวเขื่องจนเนื้อขาดวิ่น เลือดสีเข้มพุ่งขึ้นจนเปรอะไปทั่วใบหน้าของเสือสมิงที่กำลังแยกเขี้ยวขู่ นัยน์ตาสีแดงเพลิงจ้องเขม็งสะท้อนแสงไฟของเรือนสีเข้มไปยังชายชรา หมายจะฆ่าเสียให้ตาย

“กูคือคนที่ปลดปล่อยของของมึงไงล่ะ มึงไม่แปลกใจรึไงที่ทำไมของมึงถูกแก้โดยง่าย”

สมิงร่างใหญ่กระโจนลงจากซากควายตัวนั้น ก่อนมันจะสูญสลายกลายเป็นเพียงเศษดินปั้นที่ส่วนหัวขาดกระจุย อุ้งตีนใหญ่เปื้อนเลือดควายส่งกลิ่นฉุนกึกค่อยๆ ก้าวเข้ามายังเรือนนั้นช้าๆ เจ้าของบ้านหนีเข้าไปคว้าเอามีดหมอในถุงย่ามออกมาถือขู่ สองขาก้าวลงเรือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เพียงแค่สมิงยืนสี่ขา ร่างของเขาก็สูงเกือบถึงคางแก ชายผิวเข้มถึงกับสั่นผวาไปทั้งตัว

“ตอนแรกกูกะไม่เอาโทษมึง แต่มึงก็ยังไม่หยุด ส่งของมารังควานคนของกูอยู่สองครั้งสองครา ตอนนี้ควายมึงก็ไม่มีแล้ว ผีมึงก็เตลิดเปิดเปิงไปแล้ว จะให้กูเอายังไงกับชีวิตมึงดี”

สมิงร่างใหญ่แยกเขี้ยวแสยะ คราบเลือดกับก้อนเนื้อแดงฉานเมื่อครู่ยังติดอยู่กับเขี้ยวคมกริบ เศษชิ้นเนื้อที่ติดอยู่กับซี่ฟันไหลแหมะลงบนผืนดินชิ้นแล้วชิ้นเล่า

“ก็มึงมายุ่งไม่เข้าเรื่อง!!”

เสียงสั่นตะโกนขู่กลับ ด้วยมั่นใจว่าของที่มีอยู่นั้นแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายมาก มีดหมอในมือปักลงกลางลานดินหน้าบ้าน  ก่อนไอสีดำมากมายจะค่อยๆ ปะทุออกมาเกิดเป็นเงาของสิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง นัยน์ตาสีแดงฉานของพวกมันเบิกโบ๋อยู่เพราะไม่อาจหลับตาลงได้ เหล่าวิญญาณที่ถูกกักขังไว้เพื่อใช้งานต่างพากันโผล่จากผืนดินขึ้นมาอยู่รายรอบ

“กรรรรรรรรรร!!!”

เสียงคำรามกึกก้องขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ทำเอาบางเงาร่างสูญสลายไป เหลือแต่วิญญาณเฮี้ยนที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดแต่โดยง่าย เพียงแต่...เงาเหล่านั้นเหมือนไม่ได้จับจ้องมายังสมิงร่างใหญ่ แต่ดวงตาแดงก่ำเหล่านั้นจ้องไปยังผู้ที่เป็นนายของพวกมัน

“กูเห็นมึงมาแต่อ้อนแต่ออก อาจารย์มึงก็ตายเพราะของเข้าตัว มึงเองก็ยังไม่รู้จักสำนึก ยังสร้างแต่เวรแต่กรรม พรากลูก พรากแม่ พรากวิญญาณคนอื่นมาให้คอยรับใช้ แต่ไหนแต่ไรกูพยายามมองข้ามสิ่งที่มึงทำ ด้วยเพราะไม่ได้กระทบอะไรกับกูมาก แต่ครานี้มึงหาเรื่องเอง”

เสือโคร่งร่างใหญ่จ้องมองเหล่าวิญญาณสัมภเวสีมากมายที่เดินเข้าไปรุมกัดกินวิญญาณอดีตนายที่เคยใช้งานพวกมันเยี่ยงทาส ก่อนพวกนั้นจะค่อยๆ สลายไปเป็นไอจาง เหลือเพียงร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่

“อ๊า...อ๊า...” เสียงครวญครางไม่เป็นภาษาลอยออกมาอย่างฟังไม่ได้ใจความ ปากซีดของร่างไร้สตินั้นขยับน้อยๆ 

เสือใหญ่เดินไปมองอยู่ข้างๆ ร่างนั้นอย่างสมเพชในที

“ดีแค่ไหนแล้วที่พวกมันไม่ฆ่ามึง เห็นๆ อยู่ว่าขนาดพวกมันเป็นสัมภเวสียังรู้ว่าการฆ่ามนุษย์เป็นบาป มึงเองเป็นมนุษย์ แต่ใช้วิชาอาคมเข่นฆ่า มันใช้ได้เหรอ”

สมิงร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างสมเพชภาพที่เห็นตรงหน้า ก่อนอุ้งตีนใหญ่จะย่ำออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้หมอผีผู้โชคร้ายนอนรับชะตากรรมอยู่บนดินที่เหม็นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด


กินเวลาไปกว่า สาม ชั่วโมงแล้วที่มันตรายังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงไม้เก่าของยายทวด ด้วยเพราะยังไม่ชินกับห้องนอนห้องนี้เสียที แม้จะจำความได้ว่าสมัยเด็กๆ เคยเข้ามานอนกับยายทวดอยู่หลายครั้งก็ตาม เสียงลมภายนอกดังหวิวๆ พัดโชยเอากลิ่นเปียกชื้นลอยมา

“จะตกอีกแล้วเหรอเนี่ย”

ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงนอนใหม่ของเธอ ค่อยๆ เดินมายังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้าออกให้ลมเย็นพัดเข้ามาคลายร้อน ก่อนจะเริ่มเห็นฝนเม็ดเล็กๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าดำทะมึนนี้อย่างช้าๆ แม้จะไม่ได้เป็นพายุใหญ่เท่าคืนที่ผ่านมา แต่ก็ยังพรั่งพรูลงมา ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสียด้วย

ลมเย็นโชยเข้ามาปะทะใบหน้าหวานน้อยๆ แสงสว่างวาบบนท้องฟ้าปรากฏขึ้นจนร่างเล็กต้องรีบยกมือขึ้นป้องหู เพราะไม่อาจร้องเสียงดังออกมาได้ในเวลานี้ พลันก็ปรากฏเงาตะคุ่มๆ อยู่บริเวณชั้นล่าง

ดวงตากลมสีหวานของเธอพยายามเพ่งมองไปยังสิ่งนั้น ก่อนจะพบว่าร่างเปียกปอนนั้นเป็นสมิงที่หายตัวไปตั้งแต่เธอกลับมาถึงบ้านแล้ว น่าแปลกที่เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน แสงสว่างวาบของท้องฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนเสียงร้องครวญจะดังขึ้นตามมา คราบสีดำเปรอะอยู่บนใบหน้าเสือใหญ่จนทำให้เธอถึงกับใจสั่น

“สมิง...” ริมฝีปากเล็กเอ่ยชื่อนั้นออกมา มือเรียวกุมอยู่กลางอกจนชุดนอนสีฟ้าสวยของเธอยับยู่ ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องนอนใหญ่ของบ้าน ก้าวลงบันไดเรือนไปหาอีกฝ่ายอย่างร้อนรน เหงื่อเม็ดโตผุดกลางหน้าผาก ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเม็ดฝนเย็นเฉียบ

สมิงใหญ่ยังคงยืนรออยู่อย่างนั้นก่อนร่างบางจะโผเข้าประคองใบหน้าเกรงขามของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอพลันเอ่อท้นด้วยน้ำตามากมายมหาศาล

“กะ...เกิดอะไรขึ้น ทำไมเลือดออกแบบนั้นล่ะ” ร่างบางเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ มือเรียวเย็นเฉียบลูบไล้ขนเปียกปอนr]พลางมองหาร่องรอยบาดแผลที่เป็นต้นตอของเลือดมากมายเหล่านี้ เสียงลมหายใจหอบถี่ๆ ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยออกมาเบาๆ

“ไม่ใช่เลือดข้าหรอก อย่าเป็นห่วงเลย”

ริมฝีปากนุ่มขบเม้มอย่างเก็บอาการ ก่อนเธอจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น “สมิงคนบ้า!!! หายไปไหนมาทั้งวัน แถมยังกลับมาสภาพแบบนี้อีก!!”

หญิงสาวกอดอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นพร้อมๆ กับร้องร้องไห้ออกมาอย่างเก็บกลั้นไม่อยู่ท่ามกลางเสียงครืนๆ ของฟ้าที่ร้องไม่หยุดเสียที

“แถมยัง...แถมยังมาบอกอีกว่าอย่าเป็นห่วง ใครจะทำแบบนั้นได้กันล่ะ” ร่างบางสะอื้นหนัก 

มือใหญ่โอบกอดร่างเล็กของสาวเจ้าไว้ในอ้อมแขนอุ่นเนิ่นนาน จมูกได้รูปแนบลงกับต้นคอขาวของเธอ ก่อนจะสูดกลิ่นหอมที่เขาโหยหามาตลอดทั้งวันเข้าเต็มปอด แต่ก็ยังไม่หายคิดถึงคนคนนี้เสียที

“เข้าไปข้างในก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

มันตราเอ่ยเสียงหวานออกมาอย่างเป็นห่วง แต่ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว สมิงควรจะห่วงมันตราเสียมากกว่า ร่างใหญ่เปลือยเปล่าขยับช้อนมันตราขึ้นอุ้มอย่างไม่ยากเย็น พาเธอเดินอ้อมข้างเรือนด้วยสภาพโทงเทงเข้าไปยังลานอาบน้ำประจำของบ้าน ก่อนจะค่อยๆ วางเธอลง แล้วยืนให้อีกฝ่ายตักน้ำขึ้นล้างตัวเขา

“พอมาถึงก็หนีหายไป ไม่ยอมบอกสักคำว่าไปไหน จะกลับมาเมื่อไหร่”

เธอพร่ำบ่นอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นเครือระหว่างตักน้ำราดไปตามแขนขาของเขา และฝนก็พอจะชะคราบเลือดออกไปได้บ้างอีกแรง

“ก้มลงมาสิ” มันตราออกคำสั่ง

สมิงใหญ่ก้มศีรษะลงมาให้เธอน้อยๆ ก่อนมือเรียวจะค่อยๆ ตักน้ำใส่ขันขึ้นราดไปที่ผมยาวของเขา นิ้วเรียวค่อยๆ ยีผมช้าๆ

“ถ้าเป็นแบบนี้อีกทีล่ะ...”

ก่อนสาวเจ้าจะทันได้พูดจบ ริมฝีปากร้อนของสมิงก็กดลงจุมพิตเธอให้หยุดพูด ด้วยเพราะยังไม่อยากฟังสาวเจ้าบ่นเอาตอนนี้ ร่างบางสะดุ้งพร้อมกับหน้าออกสี แต่ได้ผล เพราะมันตราเงียบกริบไปทันที

“ถ้าไม่หยุดพูด ข้าจะปล้ำเจ้าเสียตรงนี้แล”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้าง มันตราถึงกับไม่ยอมปริปากอะไรออกมา ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ สองร่างค่อยๆ พากันเดินขึ้นไปยังเรือนไม้บะเก่า ผมยาวเปียกปอนของทั้งคู่ถูกบิดมวยให้หมาดก่อนจะค่อยๆ จูงมือกันเข้าไปยังห้องนอนใหม่ของมันตรา ซึ่งก็คือห้องนอนเก่าของยายทวดนั่นเอง

มันตรายื่นผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้สมิง ร่างใหญ่ก็จับจองพื้นที่บนที่นอน ส่วนสาวเจ้ารีบเช็ดตัวให้แห้งก่อนที่พื้นไม้จะเปียก และสวมชุดนอนกระโปรงแบบเก่าของเธอไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กมวยผมยาวขึ้นไว้กลางกระหม่อม แล้วเดินไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับค่อยๆ เช็ดผมที่เปียกให้สมิงช้าๆ

“ที่เงียบ...เพราะกลัวข้าปล้ำอย่างงั้นเหรอ”

“!!!” ร่างเล็กถึงกับสะอึกเมื่ออีกฝ่ายเปิดประเด็นมาแบบนั้น 

มือใหญ่ของเขาประคองสะโพกงอนของมันตราเอาไว้เสียเต็มไม้เต็มมือ ก่อนจะซุกหน้าของเขาลงกับหน้าท้องแบนราบ สูดกลิ่นเนื้อเนียนของสาวเจ้าอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานทีเดียว

“สมิง...หายไปไหนมาอีกแล้วเหรอ” มันตราถามขึ้นอีกครั้งด้วยคำถามที่เธอพร่ำถามอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อคืนวาน 

ชายร่างใหญ่เงยหน้าขึ้นมองเธอ “คืนนี้พักก่อนเถอะ ไว้ข้าจะเล่าให้ฟังทีหลัง” ว่าจบเขาก็ประคองเธอลงบนเตียงช้าๆ โอบกอดร่างบางด้วยอ้อมกอดที่นุ่มนวล คลี่ผ้าห่มผืนใหญ่โอบคลุมกายของทั้งสองคน ก่อนจะกล่อมให้หญิงสาวหลับใหลไปด้วยไออุ่นจากร่างกายเขา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น