5

รอยเท้า

5

รอยเท้า

 

สิ้นเสียงสวดบทให้พรจากพระธุดงค์ ท่านก็ก้าวเดินไปบนถนนปูนที่ทอดยาวเลียบทางหน้าบ้าน ก่อนจะลับตาไปในเวลาไม่นาน มันตราพยุงยายเดินกลับบ้าน ก่อนจะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนที่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ไม่ห่างจากบ้านไม้บะเก่าเท่าไรนัก

สองยายหลานเดินอ้อมตัวบ้านไม้ผ่านครัวไฟที่ตอนนี้มีคนเฝ้าอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น สองเท้าเล็กเดินนำมันตราผ่านช่องทางเดินของต้นชาทองออกไปทางทิศเหนือสู่ทางเดินแคบที่สองข้างทางเต็มไปด้วยพงหญ้าที่ขึ้นอยู่ไม่รกทึบมากนัก ด้วยเพราะถูกแผ้วถางไปก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ทางดินแคบที่เคยมีน้ำขังอยู่ตอนนี้ใกล้แห้งสนิทดีแล้ว จะเหลือก็แต่แอ่งโคลนที่ยังพอมีน้ำขังอยู่บ้าง มีรอยเท้าหลายคู่ที่ย่ำลงบนพื้นโคลนเปียก ทำให้ตามไปได้ไม่ยาก ปลายทางปรากฏกลุ่มคนที่ยืนเอะอะกันเสียงดัง

“มันก็ต้องแจ้งตำรวจรึเปล่าวะ เสือนะโว้ย!” เสียงแข็งโวยขึ้นมาจนยายต้องเดินเข้าไปสอบถาม

“อะหยังๆ เอิ๊กอ๊าก เอิ๊กอ๊ากมะเจ้าบะแจ้ง” (อะไรๆ เอะอะโวยวายกันตั้งแต่เช้า)

เสียงเล็กแหลมของยายแปง คุณยายของมันตราถามไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น ก่อนวงสนทนาจะแหวกให้ยายเดินเข้ามาร่วมวง สิ่งที่เห็นคือกลุ่มคนห้าหกคนยืนทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่าง

“กูก็รู้ว่านั่นมันรอยตีนเสือ แต่มึงคิดดู เมื่อคืนอยู่กันค่อนแจ้งไม่มีใครเห็นเสือสักตัว!”

ชายอีกคนแย้งขึ้น เสียงงัวเงียนิดๆ กลิ่นสุราขาวยังคงตลบอบอวลอยู่รอบๆ ตัวเขา เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นรอยเท้าสัตว์ตัวมหึมา รอยเท้านั้นใหญ่กว่าฝ่ามือของพวกเขาเสียอีก ร่องรอยจมลงไปในโคลนนิ่มๆ ที่ยังไม่แข็งตัวดี แล้วก้าวย้ำไปอย่างกับว่าไม่ได้รีบร้อนอะไร

“อ้าว ยายแปงมาแล้ว ถามดูสิว่าใช่มั้ย” ชายขี้เมาหันมาขอความเห็นจากยายทันที 

ดวงตาเล็กๆ คู่นี้มองไล่ไปตามทางเดินนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นไม่ใช่รอยเท้าเสือ แต่ที่แกสงสัยอยู่ก็คือรอยเท้าเล็กที่ขนาดพอกับเท้าของมันตราเดินตีคู่รอยเท้าใหญ่ของเสือไปด้วยนั่นเอง

“เฮ้อ...” ยายถอนหายใจด้วยคิดไว้อยู่แล้วว่านั่นอาจจะเป็นรอยเท้าของพ่อปู่ก็เป็นได้ แต่เรื่องแบบนี้ก็ปักใจเชื่อได้ยาก ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็รอฟังคำตอบจากปากของแก

“รอย...”

มันตรากำลังจะเอ่ยขึ้นก่อนที่ยายจะคว้าแขนเธอเอาไว้เชิงบอกว่ายังไม่ควรพูดอะไรออกไปตอนนี้ ตอนนี้ในหัวของมันตราเกิดคำถามขึ้นมากมาย ด้วยเพราะเมื่อคืนเธอเองที่เป็นคนเดินผ่านเส้นทางนี้ แต่เธอเดินตามผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นมาไม่ใช่หรือ หญิงสาวแสดงความสับสนออกมาผ่านนัยน์ตาสีอ่อน ก็เพราะรอยเท้านั้นอาจเป็นรอยเท้าของพ่อปู่สมิงจริงๆ ก็ได้ แต่หากเป็นเช่นกันจริง นั่นหมายความว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาหล่อนเดินตามพ่อปู่สมิงตาไฟอย่างนั้นหรือ

“ยายก่อบะฮู้นา แต่ว่าเฮาก่อบะเกยหันว่าเสืออยู่ต๋ำหมู่นี้บะใจ้ก๋า” (ยายก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่เคยเห็นว่าแถวนี้มีเสืออยู่ไม่ใช่เหรอ) แกตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยจะให้ฟันธงว่ารอยเท้านี้เป็นของเสือจริงๆ ก็กลัวทุกคนจะแตกตื่น และหากมีการแจ้งตำรวจก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่ ครั้นจะบอกว่าเป็นรอยของพ่อปู่ไปเลยก็เกรงจะถูกหาว่างมงายเกินไป

“เห็นมะ ยายแปงก็ยังให้คำตอบไม่ได้” ชายผิวเข้มพูดอย่างหยามน้ำหน้าชายขี้เมา

“แล้วเรื่องที่เขาว่ากันว่าอุ้ยมอญแกติดต่อกับพ่อปู่ได้ มึงจะมั่นใจได้ยังไงว่ารอยเท้านั้นจะไม่ใช่ของพ่อปู่” ขี้เมาเถียงขึ้นอีกครั้ง ทำเอาอีกฝ่ายคัดค้านไม่ได้ มือที่สั่นเทาของชายขี้เมาคว้าขวดเหล้าขวดเล็กยกขึ้นกระดกเป็นครั้งคราว เสียงท้าทายในลำคอยังคงรอคำตอบจากอีกฝ่าย ถึงแม้คำพูดของชายขี้เมาคนนี้จะฟังดูเหลือเชื่อก็ตาม

“แล้วเกิดมันเป็นเสือจริงๆ แล้วมาป้วนเปี้ยนทำร้ายชาวบ้านขึ้นมา มึงจะรับผิดชอบไหวเหรอ!!” ชายคนหนึ่งเอ่ยถาม ด้วยเพราะรอยเท้าที่พูดถึงนั้นปรากฏอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขตชุมชน แถมบางช่วงยังเดินตัดกลางลานบ้านหลายหลังยาวไปเกือบกิโล

“ก็ไปแจ้งตำรวจสิคะลุง” ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีดำที่กำลังเดินมาเอ่ยขึ้น เท้าในรองเท้าส้นสูงย่ำอย่างระมัดระวังตามทางเดินดินที่เซตตัวแล้ว ดวงตาเรียวสวยปัดด้วยบรัชออนสีเข้ม ริมฝีปากอวบอิ่มแต้มด้วยลิปสติกสีเปลือกมังคุด

“แม่หยาด?” ยายเอ่ยเรียกชื่อหญิงปริศนาที่เดินเข้ามาหา 

หล่อนหยุดมองก่อนจะยกมือไหว้ยายแปง และร่วมวงสนทนากับกลุ่มชายขี้ตื่นคนนั้น “ฉันว่ามันก็โอเคนะคะ ถ้าคุณลุงจะไปแจ้งตำรวจ แน่นอนว่าต้องมีคนเข้ามาตรวจสอบมากมาย ไหนจะนักข่าว ไหนจะพรานป่า หรือคนที่อยากล่าเสือ...ดีค่ะ เสือตัวนั้นจะได้ถูกจับไป แต่ถ้าเกิดเป็นตามเรื่องเล่าขานกันจริงๆ ฉันว่าพ่อปู่ท่านคงไม่ชอบใจแน่ๆ” หล่อนว่าก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก

วงสนทนาเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมาสักคน มันตราจ้องมองไปยังหญิงสาวคนนั้น การแต่งเนื้อแต่งตัวของเธอดูแตกต่างจากสาวชาวบ้านละแวกนี้มาก เหมือนกับว่าเธอเป็นสาวในเมืองที่แค่แวะมาร่วมงานศพของยายทวดเท่านั้น

“แล้วถ้าท่านโกรธ ก็ไม่รู้ว่าคนแจ้งข่าวคนนั้นจะโดนอะไรบ้าง อาจจะมีอันเป็นไป หรือถ้าร้ายแรงหน่อยก็คงยกครอบครัว... แต่ฉันยอมรับได้นะคะ เพราะนั่นไม่ใช่ครอบครัวของฉัน ขอบคุณในความเสียสละของคุณลุงจริงๆ ค่ะ” หล่อนว่า ทำเอาชายที่คัดค้านเรื่องพ่อปู่หน้าเสียไปเลย เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าเขา ก็ด้วยเกรงกลัวในเรื่องที่ว่าอยู่เช่นกัน ก็จากเรื่องที่คุณหยาดว่ามา การที่จะเอาครอบครัวหรือตัวเองไปเสี่ยงเพราะเรื่องแบบนี้ดูจะไม่คุ้มค่าเลย

“เอาเป็นว่าใครอยากแจ้งตำรวจก็เชิญนะคะ ฉันขอผ่าน...” คุณหยาดย้ำคำก่อนจะหันมาหายายแปงและมันตรา หล่อนฉีกยิ้มสวยอย่างสาวมั่นใจในตัวเอง ก่อนจะเอ่ยชวน

“ยายแปงสบายดีมั้ยคะ แม่ก็มาด้วยนะคะ แต่ว่ารอเจออยู่ที่เรือน เรากลับไปที่เรือนดีมั้ย” เธอว่าก่อนจะผายมือให้ยายเดินนำไป 

ชาวบ้านที่มุงดูอยู่เดินแยกออกไปบ้างแล้ว ก็ด้วยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแจ้งตำรวจ เพราะกลัวจะติดร่างแหความซวยไปด้วย เกิดเป็นรอยเท้าของพ่อปู่จริงก็ขอไม่มีส่วนรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นดีกว่า ชายขี้เมาหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ ทำเอาคู่กรณีฮึดฮัดผลักแกเสียเต็มแรงจนกลิ้งไป คนอื่นๆ ช่วยพยุงแทบไม่ทัน ส่วนคู่กรณีขี้โมโหเดินแยกออกไปทางอื่นทันที

“จะดีจริงๆ เหรอคะยาย” มันตราเอ่ยถามหลังจากหันหลังเดินกลับมาแล้ว 

ยายไม่ได้ตอบ แกเพียงตบไปที่หลังมือขาวของมันตราเบาๆ เหมือนเป็นคำตอบว่าช่างมันเถอะ...


คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของมันตราเต็มไปหมด ทุกๆ ก้าวเดินของเธอย่ำลงอย่างไม่ได้มองทิศมองทาง แม้กระทั่งตอนที่ก้าวขึ้นเรือนก็ยังไม่วายจะเหม่อลอยจนเผลอก้าวพลาดเกือบจะหัวทิ่มหัวตำ

“ว้าย!!”

หญิงสาวร้องออกมาเสียงหลง ก่อนมือเรียวของคุณหยาดจะรีบคว้าแขนเธอไว้แน่น หัวใจดวงเล็กเต้นโครมคราม ก่อนดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจะมองสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำขลับของคุณหยาด หรือคุณหยาดทิพย์ สาวสวยที่ช่วยพยุงยายแปงกลับมา

คุณหยาด แม่หยาด หรือที่ทุกคนละแวกนี้รู้จักกันในนามคุณหยาดทิพย์เป็นเพื่อนกับแม่มาลัย คุณแม่ของมันตรานั่นเอง สองครอบครัวนี้จะว่าไปก็สนิทกันมาตั้งแต่รุ่นของยายแล้ว เพราะคุณแม่ของคุณหยาดก็เป็นเพื่อนสนิทของยายเช่นกัน

“เจ็บก่อลูก!!” (เจ็บมั้ยลูก!!) ยายรีบหันมาถามไถ่หลานสาวสุดหวง 

เจ้าตัวส่ายหน้าปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ยายเป็นห่วง “มะ...ไม่เป็นไรค่ะยาย หนูก้าวพลาดเอง”

ทุกคนค่อยๆ เดินขึ้นบนเรือนไม้บะเก่าไป หญิงชราอีกคนนั่งรออยู่บนวีลแชร์พร้อมด้วยเด็กรับใช้ของบ้านที่คอยดูแลอยู่พร้อมๆ กับเป็นเพื่อนคุย พอยายแปงเห็นเข้าก็ยิ้มแก้มปริ ก็ด้วยว่าไม่ได้เจอเพื่อนสนิทคนนี้มากว่า 10 ปีแล้ว คุณหยาดช่วยพยุงยายแปงต่อจากมันตรา พามานั่งที่เติ๋นยกสูงหน้าแท่นวางโลงศพของยายทวด

“บะได้ปะกั๋นเมิน ไหว้อิแม่ล่า” (ไม่ได้เจอกันนานเลย ไหว้แม่ท่านหรือยัง)

“เรียบร้อยเจ้า” หญิงชราอีกคนตอบ แกคือยายมณี คุณแม่ของคุณหยาดทิพย์นั่นเอง แม้อายุของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งสองจะไล่เลี่ยกัน แต่ยายมณีประสบอุบัติเหตุล้มในห้องน้ำ ทำให้แกจำเป็นต้องนั่งรถเข็นไปตลอดแบบนี้ ต่างจากยายแปงที่ยังคงเดินเหินได้เหมือนคนหนุ่มคนสาว บางครั้งจะเดินไวกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เรื่องของแฟชั่น ยายมณีแกไม่เคยแพ้ใครในละแวกนี้เลย แม้แกจะไปไหนมาไหนด้วยวีลแชร์ตลอด แต่การแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผมต่างๆ ล้วนเป็นของที่มีรสนิยมและราคาแพงทั้งสิ้น ต่างจากยายแปงที่มักจะแต่งตัวสมวัย สีเสื้อผ้าก็จะเป็นโทนเข้ม ไม่หวือหวา

“นี่เหรอหนูมันตรา หน้าตาสะสวยทีเดียว” ยายมณีเอ่ยชมหลานของเพื่อน

     “งามเหมือนอิแม่หนะก่า เหมือนก่อ” (สวยเหมือนแม่ของฉันน่ะสิ แกว่าไง เหมือนมั้ย) ยายแปงถาม

ยายมณีรีบพยักหน้าตอบเพราะเห็นด้วยว่ามันตรามีหน้าตาเหมือนกับแม่ของยายแปงตอนเป็นสาวเอามากๆ

“ตายจริง! แหวนวงนั้น?” จังหวะเดียวนั้นคุณหยาดเหลือบไปเห็นแหวนทับทิมเม็ดงามบนนิ้วเรียวของมันตรา 

มันตรารู้สึกได้เลยว่าคุณหยาดดูจะสนใจแหวนวงนี้จนออกนอกหน้า “คะ...คะ?”

มันตรายกมือเรียวขาวเนียนขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่จะถูกคุณหยาดคว้ามือสวยนั้นมาดู แน่นอนว่านัยน์ตาเป็นประกายของหล่อนมองไปยังแหวนทองประดับทับทิมเสียมากกว่า

“ไปเอามาจากไหน”

จังหวะเดียวกันกับที่คุณหยาดเอ่ยถาม ยายมณีแกก็รีบกระแอมเชิงปรามลูกสาวที่แสดงความสนใจออกมาจนดูเสียมารยาท “อะแฮ่ม! เพลาๆ หน่อยแม่หยาด เก็บอาการหน่อย”

ยายมณีปราม ส่วนยายแปงก็หัวเราะร่วน ด้วยเพราะคุณหยาดเป็นสาวสมัยใหม่ที่มีหัวการค้า ทุกวันนี้ทำงานอยู่ในวงการการค้าของเก่า ทั้งผ้าซิ่นเก่าและของโบราณ ของที่คุณหยาดหยิบจับมีอันต้องราคาขึ้นไปหลายเท่าตัว

“แม่หยาดนี่หัวก๋านค้าดีเนาะ” (แม่หยาดนี่หัวการค้าดีเนาะ) ยายแปงว่า 

ยายมณีปัดมือเชิงว่าอย่าไปชมหล่อนแบบนั้นเลย

“ขอดูได้มั้ยหนูมันตรา” คุณหยาดบอกก่อนจะแบมือขอเอาดื้อๆ 

มันตราเองก็ไม่ได้หวงของอะไร ด้วยคิดว่าคุณหยาดเป็นคนรู้จักของแม่ แถมยังเป็นคนที่ชอบของเก่าเอาเสียมากๆ มือเรียวจึงถอดแหวนออก และยื่นให้หล่อนดูอย่างไม่ได้หวงอะไร

“หูยยย สุดยอดเลยนะวงนี้น่ะ”

คุณหยาดถึงกับจุปาก ด้วยเพราะเรือนแหวนวงนี้เป็นเรือนแหวนรุ่นเก่า ดูจากอายุอานามแล้วก็พอเดาได้ว่าเป็นของเก่าที่มีมูลค่ามากทีเดียว ตัวเรือนทำจากทองคำแกะสลักลายดอกไม้เล็กๆ แม้รอยจะจางลงตามกาลเวลาแล้วก็ตาม ทับทิมกลมและมนได้รูปตามแบบอัญมณีเก่า หล่อนมองมันอยู่นาน แต่ก็ต้องถอดใจ ด้วยเชื่อว่าแหวนวงนี้อาจจะเลือกนายของมันแล้วก็เป็นได้

แหวนวงงามถูกส่งคืนให้มันตราก่อนที่คุณหยาดจะเจื้อยแจ้วเจรจาถึงแหวนที่หล่อนอยากได้วงนี้ “ถ้าอยากจะปล่อยก็อย่าลืมฉันล่ะ” ดวงตาเรียวโฉบเฉี่ยวขยิบใส่มันตรา หากจะเรียกว่าเธอคือเจ้าของแหวน เธอก็ยังไม่มั่นใจมากนัก

หญิงสาวสวมแหวนวงเดิมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างเผลอตัว ก่อนจะยิ้มให้ตามมารยาท และขอตัวออกมาจากวงสนทนา

“หนู...ขอตัวก่อนนะคะ ว่าจะแวะไปดูในครัวสักหน่อย”

“พักก่อนก่อได้ หื้อคนอื่นยะพ่องเตอะอิหล้า” (พักก่อนก็ได้ ให้คนอื่นทำบ้างเถอะ ลูกเอ๊ย) ยายบอกอย่างไม่อยากให้หลานของแกเดินไปไหนไกลๆ เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาในระยะเวลาสองสามวันนี้ ทำให้ยายไม่กล้าปล่อยให้มันตราไปไหนลำพังเลย

“หนูแค่ไปดูนิดหน่อยเองค่ะยาย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ” มันตรายิ้มหวานให้จนแกต้องยอมใจเพราะความขยันของหลานสาวคนนี้ 

หญิงชราถอนหายใจพลางพยักหน้ารับ “ก่อจะไปไปไหนไก๋เน่อลูก” (ก็อย่าไปไหนไกลนะลูก)

“ค่ะยาย” มันตรารับคำก่อนจะยกมือเรียวขึ้นไหว้ขอตัวกับคุณหยาดและยายมณี หญิงสาวคลานเข่าออกมาก่อนจะลุกขึ้น และเดินลงบันไดหน้าเรือนเพื่อเดินลอดใต้ถุนไปยังครัวไฟด้านหลัง

เสียงถ่านไฟสีแดงเพลิงแตกดังเปรี๊ยะอยู่ในเตาอั้งโล่ใหญ่ที่ทำจากถังน้ำมันเก่า โบกด้วยปูนซีเมนต์ เชื้อเพลิงรองเป็นท่อนไม้ลำไยท่อนใหญ่ที่เสียบคาเตาเอาไว้ให้เผาไหม้ต่อไฟให้ร้อนแรงและยาวนานขึ้น หม้อแกงใบใหญ่ตั้งไฟอยู่พร้อมกับแกงที่กำลังระอุ ส่งกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอไปทั่วบริเวณ แม่ครัวสองสามคนนั่งทำงานกันอยู่อย่างขยันขันแข็ง

มือเรียวยกขึ้นเกลี่ยผมยาวสลวยของเธอทัดใบหูเล็กพลางหลบตาแม่ครัวที่ก็ดูจะไม่ได้สนใจเธอเท่าไร สองขาเดินอ้อมออกทางหลังบ้านใหญ่ไปยังทางเล็กๆ ผ่านแนวต้นชาทองที่ปลูกเป็นรั้วเอาไว้ ร่างบางเดินไปตามทางที่เธอเดินเมื่อตอนเช้าตรู่กับยาย ดินที่เริ่มแห้งแล้วยังคงมีรอยเท้าปรากฏให้เห็น มันตราไปเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง

ไม่นานนักเธอก็มาถึงจุดที่มีรอยเท้าปรากฏอยู่ ร่องรอยของดินที่ถูกกดลงไปด้วยน้ำหนักตัวของสัตว์ใหญ่เริ่มแข็งตัวแล้ว

“เป็นไปได้ยังไง...”

คิ้วเรียวขมวดเมื่อรอยเท้าจางๆ ของเธอปรากฏคู่ไปกับรอยเท้าเสือขนาดใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่รอยเท้าของชายร่างใหญ่คนนั้นจะไม่ปรากฏให้เห็นเลยสักก้าว มันตราค่อยๆ ก้าวตามรอยเท้านั้นไปช้าๆ อย่างระแวดระวัง

ลมเอื่อยๆ พัดมาปะทะใบหน้าสวย จนเส้นผมยาวปลิวสลวยเบาๆ มันตรายังคงเดินไปตามทางเล็กนั้นจนกระทั่งพบเข้ากับบ่อน้ำเก่าแก่ เธอค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นมันในยามเช้า รายละเอียดที่ถูกลบเลือนไปด้วยความมืดของค่ำคืนที่ผ่านมา ตอนนี้กระจ่างแจ่มแจ้ง ตะไคร่สีเขียวขึ้นฟูเต็มขอบบ่อ พอให้เห็นเป็นลอนคลื่นว่ามันขึ้นปกคลุมก้อนอิฐมอญสีส้มอยู่เท่านั้น เห็ดดอกเล็กๆ ขึ้นแซมฝั่งที่ไม่ถูกแสงแดดดูน่ารักไปอีกแบบ หญิงสาวมองมันอย่างสนใจ

“พี่...สาว...” เสียงหนึ่งดังลอยมาตามลม

มันตราเงยหน้าขึ้นมองหาที่มาของเสียง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกไปมา แต่ไม่รู้ว่าต้นเสียงนั้นอยู่ทิศทางไหน

“ลมเหรอ”

เธอบอกกับตัวเองก่อนจะเดินจากบ่อน้ำใหญ่นั้นมา เป็นไปได้ว่าเสียงลมอาจจะผ่านซีกไม้ที่ปิดปากบ่อน้ำนั้นอยู่ ทำให้เกิดเป็นเสียงเบาๆ พอให้รู้สึกหลอนแม้ในยามกลางวัน เจ้าของร่างบางสลัดความสงสัยออกไปก่อนจะตั้งใจมองตามรอยเท้าของเธอไปเรื่อยๆ แม้ว่าช่วงหลังๆ ดินจะเริ่มแห้งจนแทบมองไม่เห็นรอยเท้าของเธอแล้วก็ตาม

“ที่นี่สินะ...ที่พระท่านมาห้ามไว้”

มันตราเดินมาหยุดบริเวณทางแยกที่ตัดด้วยถนนดินขนาดหนึ่งเลน รอยเท้าของเธอวกกลับตรงนี้ แต่รอยเท้าของเสือใหญ่ยังพอมีให้สังเกตเห็นได้ว่าเดินผ่านทางดินนี้ไปยังคันนายาวเบื้องหน้า เธอทอดสายตาออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ด้วยเบื้องหน้าของเธอเป็นทุ่งนากว้าง ผืนดินแห่งนี้มียายของเธอเป็นเจ้าของ มันตราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าทุ่งนารอบนอกนี้สวยงามได้ขนาดนี้เชียวหรือ

หล่อนมองไปรอบๆ แลซ้ายทีขวาที ก่อนจะมั่นใจว่าปลอดภัยที่จะเดินข้ามทางดินนี้ไปสู่คันนาที่ทอดยาวจนสุดชายป่า แม้ให้ความรู้สึกว่าทางไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้น หญิงสาวรวบรวมความกล้าก่อนจะเดินข้ามถนนเล็กนั้น เหยียบลงไปบนเนินดินที่ถูกขุดขึ้นเป็นสัน หญ้าเขียวสั้นขึ้นแซมอยู่ไม่มากเท่าไร ใบเรียวยาวของต้นข้าวงอกขึ้นเต็มท้องนา ฉาบดินเลนสีน้ำตาลให้กลายเป็นผืนพรมกว้างสีเขียวชอุ่มตา

‘เฉลว1’ ทำจากตอกยาว หักไปมาเป็นแฉกสานพันกันเป็นตารางรูปดาวปักอยู่ริมคันนาที่เดินผ่าน เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร มีไว้ทำอะไร แต่บทเรียนบางอย่างสอนเธอว่าอย่าดึงมันออกมาเชียว

“อากาศดีจัง” มันตราเอ่ยขึ้นกับตัวเองพลางยิ้มอย่างสบายใจ สองขาเรียวพาเธอเดินตรงมายังชายป่าที่ดูไม่รกทึบเท่าไร ศาลหนึ่งตั้งอยู่ไกลลิบๆ พอให้สังเกตเห็นได้ว่าปลายทางไม่ได้ไกลมาก แต่หากคิดจากระยะทางที่เดินมาแล้วนั้นก็ปาไปเกือบ 2 กิโลได้แล้ว

ศาลไม้ใหญ่ขนาด 1 ตารางวาตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ใกล้ต้นงิ้วสูงตระหง่าน บริเวณรอบๆ ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าเขียวชอุ่ม ดอกไม้ป่าขึ้นแซมน้อยๆ ภายในศาลยังคงหลงเหลือกระทงต้นกล้วย และกรวยใบตองที่ยายนำมาไหว้สาพ่อปู่สมิงตาไฟเมื่อวันก่อน ใบตองเริ่มแห้งเหลืองแล้ว

“นี่เหรอ ศาลพ่อปู่...”

หญิงสาวมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เธอมองป้ายไม้เก่าๆ ที่แกะสลักเป็นชื่อศาลเจ้าแห่งนี้ช้าๆ มันเขียนด้วยตัวหนังสือภาษาไทย กำกับด้วยอักษรล้านนาที่มันตราเองก็อ่านไม่ออก

“ศาลพ่อปู่สมิงตาไฟ...”

เมื่อว่าจบ เสียงคำรามหนึ่งดังกึกก้องขึ้นท่ามกลางป่าเขียว หญิงสาวเบิกตากว้างและมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก เสียงคำรามของเสือใหญ่ที่เธอเคยได้ยินเมื่อครั้งก่อน แต่แตกต่างออกไปไม่เหมือนเช่นเคย

“กรรรรรร!!!”

เสียงนี้ดังขึ้นเหมือนเสียงประกาศอาณาเขต สาวร่างเล็กตกใจก่อนจะถอยหลังหนี ชั่ววูบนั้นร่างใหญ่ของเสือตัวมหึมาปรากฏกายต่อหน้าเธอ แสยะเขี้ยวคมกริบคำรามเสียงกระหึ่ม ลายสีเหลืองแดงพาดตามตัวสลับสีดำน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีแดงเพลิงจับจ้องมายังร่างบางอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เท้าใหญ่กอปรด้วยกรงเล็บคมย่างเดินอย่างสง่า หัวใจของมันตราแทบหยุดเต้น มือเล็กกุมหน้าอกที่เริ่มเจ็บจี๊ดขึ้นมา ก่อนภาพเบื้องหน้าเธอจะมืดดำลง ร่างบางทรุดลงกับพื้นไปพร้อมๆ กับที่สติขาดหายไปชั่วขณะหนึ่ง...

“ยายจ๋า...”

ประโยคเดียวผุดขึ้นในภวังค์


ภายใต้แมกไม้ใหญ่ที่ใบปลิดปลิวช้าๆ สายลมพัดละเลียดโชยกลิ่นหอมของดอกไม้ป่ามากระทบกับจมูกเล็กๆ ของหญิงสาวที่หลับใหลไม่ได้สติ ก่อนลมหายใจแผ่วเบาของเธอจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เปลือกตาที่หนักอึ้งขยับไหวระริก เสียงครางผวาเปล่งออกมาเหมือนคนหมดแรงผ่านริมฝีปากเล็ก หญิงสาวลืมตาตื่นและพบว่าเธอกำลังอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน...

“!!!”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างเมื่อพบว่าชายที่อุ้มเธออยู่เป็นชายร่างใหญ่ที่เธอพบเมื่อวานนี้ ชายชุดขาวผมยาวหน้าตาเย็นชามองตรงไปตามทางเดินบริเวณคันนาเขียว เขาไม่แม้แต่จะสนใจว่าเธอได้สติกลับมาแล้ว

“คะ...คุณ...”

เปล่งเสียงเบาออกมาอย่างประหลาดใจ นัยน์ตาของเขานั้นไม่ผิดแน่ ดวงตาแดงเพลิงเยี่ยงเสือร้ายที่ปรากฏกายอยู่เมื่อครู่ มันตราพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนใหญ่ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มิหนำซ้ำหากเธอตกลงไปคงเจ็บตัวเป็นแน่

“ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉัน...ฉันเดินเองได้” หญิงสาวบอกด้วยเสียงหวาดกลัวอยู่มาก ลมหายใจแรงและถี่ขึ้นอย่างพยายามขัดขืน

“ถ้าเจ้ายังดิ้นอยู่ ข้าจะโยนเจ้าลงทุ่งนานี้ซะ”

เสียงเข้มดังเหมือนตวาด ทำเอามันตรายกมือขึ้นปิดปากแทบจะทันที มองใบหน้าคมด้วยแววตาหวาดกลัว แต่เขาไม่แม้แต่จะหันมาสบตาเธอ ร่างบางอยู่นิ่งอย่างจำยอม ตาของเธอหลุบลงเล็กน้อย มือเรียวขยับไปกระชับเสื้ออีกฝ่ายไว้ด้วยกลัวว่าจะถูกเขาโยนลงไป มันตราเริ่มสงบลงอีกครั้ง เหมือนเวลาผ่านไปเนิ่นนานเมื่อเธอถูกอุ้มพาเดินออกมาจากเขตทุ่งนา สายลมเย็นๆ ของท้องนาช่วยให้ใจของเธอสงบไปได้มากทีเดียว

“คุณเป็นใคร”

หญิงสาวในอ้อมกอดแกร่งเอ่ยถาม แต่ชายร่างใหญ่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เหมือนเขาต้องการเพียงอุ้มเธอออกไปจากที่แห่งนี้เท่านั้น

“คุณ! ได้ยินรึเปล่า” มันตราถามย้ำ

“ยังไม่รู้อีกรึไง” เขาตอบ

คำตอบนั้นทำเอามันตราสูดหายใจเข้าอย่างคิดหนัก บอกตามตรงว่าเธอไม่อยากจะเชื่อความคิดของเธอเหมือนกัน “คุณคือพ่อปู่เหรอ”

“มันไม่ใช่ชื่อของข้า”

“แล้วคุณชื่ออะไร”

หญิงสาวเซ้าซี้ต่อ ทำเอาชายร่างใหญ่ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายที่จะต้องตอบคำถาม จังหวะที่มันตรากำลังจะเอ่ยปากถามต่อนั้นเอง...

“เจ้าจะต้องรู้ทุกเรื่องเลยรึไง หุบปากเจ้าบ้างเถอะ ยายทวดเจ้าก็ไม่ได้พูดมากแบบนี้”

มันตราเลิกคิ้วมองชายขี้รำคาญอย่างไม่พอใจเท่าไร เธอถอนหายใจก่อนจะหันหน้าหนี หญิงสาวหน้าสวยขบริมฝีปากเล็กไว้ไม่พูดไม่จาต่อ มือหมุนแหวนในมือที่อีกคนทิ้งไว้ ก่อนจะถอดมันออกมายื่นไปตรงหน้าเขา “ของคุณ...เอาคืนไปเถอะค่ะ”

นัยน์ตาสีแดงเพลิงเหลือบมองแหวนที่คุ้นตา ก่อนดวงตาดุดันจะเหลือบกลับไปมองทางเดินบนคันนาแคบ อีกประมาณ 100 เมตรก็จะถึงถนนดินที่กั้นระหว่างทุ่งนากับเขตบ้านเรือนแล้ว

“มันเป็นของยายทวดเจ้า หากเจ้าไม่ต้องการ เจ้าก็แค่ขายมันให้หยาดทิพย์”

สิ้นประโยคด้วยชื่อของคุณหยาด มันตราหันกลับมามองใบหน้าคมเข้มอีกครั้งหนึ่ง ทำไมเขาถึงได้รู้จักทุกคน ตั้งแต่ยายทวดไปจนถึงคุณหยาดทิพย์ เอาเข้าจริงๆ ขนาดมันตราเองก็แทบจะไม่รู้จักหล่อนเลย

“ทำไมคุณถึงรู้จักคุณหยาดด้วยล่ะคะ”

เสียงถอนหายใจของเขาดังขึ้นอีกครั้ง ไม่แม้แต่จะมีคำตอบใดหลุดออกมา และเมื่อสิ้นเสียงนั้น ชายร่างใหญ่เดินข้ามถนนดินมายังจุดที่พระธุดงค์เอ่ยทักหญิงสาวเมื่อคืนนี้ เขาค่อยๆ หย่อนร่างบางของเธอลงตรงนั้นอย่างระมัดระวัง สองมือกระชับบ่าแกร่งของเขาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกเมื่อมันตรามั่นใจว่าเธอถึงพื้นดินอย่างสวัสดิภาพแล้ว

“ขะ...ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวไม่ลืมที่จะบอก เธอยืนเงยมองเขาอยู่อย่างนั้น มือเรียวเล็กปัดชุดผ้าซิ่นของเธอที่ยับให้คลายตัวออก ดวงตากลมเหลือบมองอีกฝ่ายอยู่เป็นระยะๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดิน ตั้งใจว่าจะมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนไม้ของยายเสียที

ร่างใหญ่ก้าวเดินตามเธอไปอย่างเงียบๆ ทุกๆ ก้าวเว้นระยะห่างพอให้ไม่เบียดอีกคนมากเกินไป

“คือว่า...” มันตราเอ่ยเสียงเบาเหมือนกำลังจะบอกอะไรสักอย่าง

“แหวนวงนี้น่ะ...”

“...”

บรรยากาศเงียบเชียบ มีเพียงเสียงนกที่ร้องอยู่ไกลๆ กับเสียงใบไม้ที่ไหวตามลมเท่านั้น

“ถ้าคุณบอกว่ามันเป็นแหวนของหม่อนจริงๆ ฉัน...ก็จะเก็บรักษามันเอาไว้ค่ะ”

มันตราบอกก่อนจะหันกลับไปประจันหน้ากับเขาตรงๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองจ้องไปยังเนตรสีเพลิงนั้นอย่างแน่วแน่ ทำเอาเจ้าของนัยน์ตาสีแดงฉานคู่นั้นต้องหลบสายตาเสียเอง

“อ่า ก็ตามใจเจ้า” เขาตอบ

มันตรายิ้มออกมาอย่างสบายใจขึ้น เพราะวันนี้เธอไขคำตอบของคำถามมากมายในหัว จนปริศนาทุกอย่างแจ่มชัดขึ้นเกือบจะทั้งหมดแล้ว แม้จะมีคำถามเหลืออยู่บ้างก็ตาม แต่วันนี้ก็หนักเอาการสำหรับตัวเธอเองเช่นกัน

“พี่...สาว...”

“?”

เสียงนั้นอีกแล้ว? เสียงเดิมที่เธอได้ยินตอนเดินผ่านบ่อน้ำเก่าแก่แห่งนี้

“ช่วยด้วย!!...!”

มันตราหันไปมองใบหน้าเข้มของชายร่างใหญ่ เพื่อให้มั่นใจว่าเขาได้ยินเหมือนที่เธอได้ยินหรือเปล่า จังหวะนั้นเองเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงตีน้ำตูมตาม หญิงสาวเบิกตาขึ้น คิดว่าอาจจะมีเด็กสักคนตกลงไปในบ่อน้ำนั้นหรือเปล่า

“ช่วยผมด้วย!!...!”

 

เธอออกตัววิ่งมายังบ่อน้ำทันที มือใหญ่ของชายหนุ่มคว้าหมับไปที่แขนเล็กเชิงห้าม ดวงตากลมฉายแววตาแสนกังวล มองสบนัยน์ตาสีเพลิงอย่างไม่เข้าใจ เขาจะห้ามเธอไว้ทำไมกัน

“ปล่อยสิคุณ!! มีเด็กตกลงไปในบ่อน้ำ!!” เธอตะคอกใส่เขาเสียงดังอย่างเป็นห่วงเด็ก

“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ตั้งสติสิ!!”

กำชับเสียงเข้มพร้อมบีบข้อมือสาวเจ้าให้คิดดีๆ ก่อน แต่มันตราไม่ได้ฟังเสียงทัดทานใดๆ เธอสะบัดมือใหญ่นั้นออกและวิ่งไปยังบ่อน้ำนั้น ชะโงกหน้ามองลงไปยังบ่อน้ำใหญ่ในทันที ผ่านช่องไม้ที่เว้นเอาไว้ตามความเชื่อว่าไม่ควรปิดปากบ่อน้ำจนหมด

ใดๆ ในบ่อนั้นเงียบกริบ...

แสงแดดในตอนเช้าทอลงไปกระทบกับขอบบ่อน้ำที่ปกคลุมด้วยตะไคร่หนา มองเห็นผิวน้ำที่สะท้อนใบหน้าของเธออยู่ ทว่าไม่มีแม้แต่แรงกระเพื่อมไหวของน้ำในบ่อ ทุกอย่างเงียบเชียบ ร่างบางขนลุกเกรียว ก่อนร่างใหญ่จะคว้าตัวเธอมา

เนื้อตัวของมันตราสั่นเทา สองแขนกระชับเกาะชายร่างใหญ่ผมยาวไม่ยอมปล่อย เธอมั่นใจว่าเธอได้ยินเสียงนั้นจากบ่อน้ำจริงๆ แต่ทำไม...ร่างบางกดใบหน้าหวานลงกับแผ่นอกกว้างอย่างหวาดกลัว เธอตั้งสติอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง มือใหญ่ขยับยกขึ้นโอบแผ่นหลังเล็กของเธอ ความทรงจำหนึ่งแล่นผ่านมาให้หวนนึกถึง เมื่อครั้งหนึ่งในอดีตที่ผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว สัมผัสละเอียดอ่อนนี้เหมือนเด็กตัวน้อยคนหนึ่งที่เกาะบนเรือนขนหนาของเขา เด็กผู้หญิงที่เขาเคยช่วยเอาไว้เมื่อ 100 กว่าปีก่อน


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น