บทที่ 2
แสงภาณุพยายามวางเธอลงอย่างเบามือที่สุด ทำทุกอย่างให้เงียบเฉียบ ไม่ให้คนในบ้านรู้ว่าเขาเอาผู้หญิงมาไว้ในห้องนอน
นับว่าเทวดาเป็นใจให้เขารักษาความลับนี้ไว้เพราะพระพิรุณท่านโปรยสายฝนลงมาอีกครั้งเมื่อเขาพาแม่นางไม้มาถึงบ้าน ชายหนุ่มทิ้งรถยนต์ไว้นอกรั้วแล้วย่องเข้ามา ระหว่างที่คนงานพากันไล่หับบานหน้าต่าง เก็บของหลบฝน อีกทั้งง่วนตั้งสำรับเย็นกันอยู่ในห้องครัว จึงไม่มีใครเห็นว่าเขาอุ้มใครเข้ามาทางประตูด้านข้างของบ้าน และป่านนี้คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับจากไปธุระแล้ว
นั่นเป็นเรื่องโล่งใจไปเปราะหนึ่ง และต่อจากนี้ไปผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงของเขาจะถือว่าเป็นความลับ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาคงได้เจรจากันยกใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเธอรู้จักบ้านมะลิวัลย์ได้อย่างไร เพราะหากเป็นอย่างที่เขากลัว ภัยก็อาจมาถึงตัวหลายๆ คน
เจ้าของห้องนอนสีอัมพันถอนหายใจแรงระหว่างทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียงแล้วเริ่มวางแผน แต่คิดว่าหากผู้หญิงคนนี้ยังไม่ตื่นมาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง เขาก็ไม่อยากลุกไปไหนเพราะเท่ากับว่าจะปล่อยให้เธออยู่คนเดียว หากตื่นมาแล้วแม่เจ้าประคุณมีฤทธาอาละวาดให้ได้รู้กันทั้งบ้านว่าเขาเอาผู้หญิงมาซ่อนในห้องนอนคงเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าตื่นมาเขาจะพูดกับเธอว่าอยากไรดี เพราะเมื่อก่อนสาวเจ้าจะหมดสติ เขาดุไว้มากเสียด้วย
“บ้านมะลิวัลย์…”
เสียงครางเบาๆ ทำให้แสงภาณุชาวาบไปทั้งตัว หญิงสาวพูดถึงบ้านหลังนั้นอีกแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอต้องพูด แต่เขาจะไม่ปล่อยให้มันมีรอบที่สามแน่
“คุณ ตื่น ตื่น”
แสงภาณุเข้ามาสั่งพร้อมกับเขย่าตัวปลุก และรอไม่นานหญิงสาวก็ค่อยๆ เปิดตาเปลือกตา เผยให้เห็นดวงเนตรงามดั่งมณีนิลอีกครั้ง ทว่าเธอหน้าซีดเผือดราวไร้เลือดหล่อเลี้ยงร่างกายเมื่อเห็นหน้าเขา
“คุณ! จะทำอะไร!”
หญิงสาวแทบจะตะโกนใส่หน้าเขาจนแสงภาณุต้องรีบเอามือขึ้นมาอุดปากเพราะกลัวคนด้านนอกห้องนอนจะได้ยิน ดีว่าเสียงฝนตกยังกลบเสียงร้องไปได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้ร้องต่อ ทว่ายิ่งอุดปากเธอก็ยิ่งดิ้นรน พยายามส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือทั้งเห็นอยู่ว่าแทบจะไม่มีแรงเพราะฤทธิ์ไข้
“เงียบ!” เขาเลือกวิธีขู่ให้หยุดเพราะมันได้ผลมาแล้วครั้งหนึ่ง “ไม่เห็นคนที่ตายเมื่อตอนเย็นหรืออย่างไร ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้นก็เงียบเสีย”
ขู่ไปอย่างนั้นหญิงสาวก็น้ำตาไหลพรากลงมารดฝ่ามือเขาที่ใช้อุดปากเธออยู่ ไม่ต่างจากน้ำร้อนๆ ที่รดลงมาให้หัวใจของแสงภาณุให้อ่อนยวบลงไปเลย ชักจะไม่ชอบวิธีขู่ให้กลัวของตัวเองเสียแล้ว เพราะถึงมันจะได้ผลแต่ก็ทำให้หญิงสาวร้องไห้ แล้วจะเป็นไปได้ไหมถ้าจะคุยกันดีๆ
“ตั้งสติแล้วผมมองดีๆ คุณจำผมได้ไหม”
ถามอย่างนั้นแล้วหญิงสาวก็จ้องเขาอยู่นาน ก่อนจะนิ่งลงเป็นสัญญาณว่าเธอจะไม่ขัดขืนอีก
“อย่าร้องนะ อยู่กับผม รับร้องว่าจะไม่เป็นอันตราย”
เขาบอกอย่างนั้นหญิงสาวก็พยักหน้าให้เป็นอันว่าเข้าใจกัน แววตาของเธอก็ไม่ลุกลนเหมือนตอนเพิ่งตื่นมาเห็นหน้าเขา เพราะคงตั้งสติได้บ้างแล้ว แสงภาณุจึงยอมยกฝ่ามือออกจากใบหน้าของเธอ ให้ได้มองหน้าและจ้องตากันอย่างจริงจัง
“คุณ… ช่วยฉันไว้”
“จำผมได้ด้วยหรือ”
“หากไม่ได้คุณช่วยไว้ ฉันคงตายไปนานแล้ว”
หญิงสาวตอบอย่างทอดถอนใจ แต่ก็ทำให้แสงภาณุมั่นใจแล้วว่าไม่ใช่แค่เขาที่จำเธอได้ แต่เธอก็จำเขาได้แม่นเช่นเดียวกัน และจำเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นได้ดีทีเดียว
“แต่เมื่อตอนเย็น มันเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าเดาไม่ผิดคงเกี่ยวกับสงครามเพราะเห็นมีเจ้าหน้าที่มาด้วย แล้วถ้าร้ายกว่านั้นอาจจะเป็นการไล่ล่าพวกใต้ดิน แต่ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหนจึงได้เอากันถึงตาย”
“แต่ฉันไม่ใช่พวกใต้ดินนะ!”
“อันนั้นรู้” เขาตอบสั้นๆ เหมือนจะบอกปัด “แล้วถ้าจะให้ดี อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นกับใครอีก เพราะถ้ามีคนมาได้ยินเข้าอาจจะคิดว่าคุณเป็นพวกใต้ดินก็ได้”
บอกไปอย่างนั้นหญิงสาวก็พยักหน้ารับ ริมฝีปากเม้นแน่นทำให้เขามั่นใจว่าเธอจะไม่หลุดปากเรื่องนี้ออกมาอีกหากในยามที่มีสติ แต่หากเพ้อเพราะพิษไข้อย่างเมื่อครู่ ก็ไม่อาจรับรองได้เลย
“แล้วอาการไข้เป็นอย่างไรบ้าง
“ปวดหัว” หญิงสาวตอบเบาๆ ราวกับหมดแรงไป “ฉันไม่น่าเดินตากฝนเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็กินยาเสียแล้วก็นอนพัก”
“กินข้าวก่อนกินยาไม่ได้หรือ” เธอถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ที่จะขอ “กลัวยากัดกระเพาะ”
“ใช่ว่าผมจะใจดำ แต่หากลงไปเอาข้าวให้คุณกินตอนนี้คนทั้งบ้านคงรู้ว่าผมพาคุณเข้ามาซ่อนไว้ในห้องนอน”
“ห้องนอนคุณ!”
หญิงสาวเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวแล้วมองไปรอบๆ ห้องนอนของเขาอย่างตระหนก รู้แน่แล้วว่านั่งอยู่บนเตียงด้วยกันในห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอประมาณ หน้าต่างทั้งสามบานประดับด้วยม่านกำมะหยี่สีเม็ดมะขามปิดสนิท ที่มุมห้องมีโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีวางเด่น ด้านหลังติดผนังห้องเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือและข้าวของส่วนตัวของเขา
“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้” หญิงสาวบอกทันที “คุณ กรุณาไปส่งฉันที่สถานีรถไฟด้วยเถิด”
“จะไปได้อย่างไร คืนนี้เขาจะทิ้งบอมหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไม่เท่ากับส่งคุณไปตายหรือ”
แสงภาณุปฏิเสธและทำให้หญิงสาวหน้าซีดไป คล้ายเธอจะขยับปากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ทิ้งโอกาสให้เขาได้อธิบายต่อ
“ซ้ำร้ายคุณยังเป็นไข้ เกิดเป็นลมไปใครจะช่วย และสำคัญที่สุดคือคุณเพิ่งเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จับกุมคนของเจ้าหน้าที่ หากนั่นเป็นพวกใต้ดินจริงแล้วเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงร้องของคุณ เกิดตามหากันจนรู้ว่าคุณเป็นใคร อยู่ที่ไหน จะไม่เข้าใจว่าคุณเป็นพวกใต้ดินไปอีกคนหรือ”
“แล้ว… ฉันจะตายเหมือนผู้ชายคนนั้นไหม”
หญิงสาวหน้าเสีย ท่าทีร้อนใจเมื่อครู่ก็อ่อนลงเมื่อก้มมองชุดเปื้อนเลือดเกรอะกรังของตัวเอง ตัวสั่นเทาราวลูกนกตกน้ำ แต่เธอคงฉลาดมากพอที่จะคิดทัน
“แต่ฉันไม่ใช่พวกใต้ดินนะ!”
“ไปพูดอย่างนี้กับพวกทหารญี่ปุ่นให้ตาย ก็ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก มีแต่จะเค้นเอาให้ได้ว่าคุณไปอยู่กับชายผู้นั้นได้อย่างไร”
“แต่… ฉันต้องอยู่ในห้องนอนของคุณจริงๆ หรือ”
“ผมสัญญาว่าจะไม่ลวงเกินคุณแม้เพียงนิด” เขารู้ว่าหญิงสาวกลัวอะไร “แต่จะให้ใครรู้ไม่ได้หรอกว่าคุณมาอยู่ที่นี่ เพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าหากมีคนรู้คงลือกันไปทั่ว และหากพวกเขาจับต้นชนปลายได้ว่าเราสองคนคือคนที่อุ้มกันมาจากป้อมพระสุเมรุเมื่อเย็น เรื่องอาจถึงหูเจ้าหน้าที่ แล้วเราจะแย่กันทั้งคู่”
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็อ้าปากเหมือนจะแย้ง ดวงตาคู่งามกลอกลอกแลก แต่สุดท้ายก็พบความแพ้พ่ายและจำนนต่อเหตุผลของเขา
“แล้วต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน”
“อีกไม่นานเรื่องคงซาไปเอง” ชายหนุ่มพูดปลอบใจและพยายามเอาใจไปพร้อมกัน “ไว้ให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครตามหาตัวคุณ ผมจะพาไปส่งที่ที่คุณอยากไป”
“แล้วคุณเห็นกระเป๋าเดินทางของฉันไหมคะ” คนที่เขาพาตัวมาซ่อนไว้ที่บ้านถอนหายใจอย่างหนักอก “ข้าวของและเงินทองอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้า ไหนจะไวโอลินอีก หายไปไหนยังไม่รู้เลย”
“ผมซ่อนสัมภาระของคุณไว้ที่ป้อม จะกลับไปเอาให้” เรื่องนี้แสงภาณุทำให้เธอสบายใจได้ “แต่ตอนนี้กินยาแก้ไข้เสียก่อน”
ว่าแล้วเจ้าของห้องนอนก็เดินไปที่โต๊ะหนังสือ หยิบยาในลิ้นชักออกมาพร้อมกับโหลคุกกี้วางไว้ข้างขวดน้ำดื่ม เป็นของตุนที่เขาเก็บไว้กินแก้หิวหากต้องนั่งทำงานตอนกลางคืนเพราะไม่อยากปลุกใครมาเตรียมมื้อดึกให้ แต่ตอนนี้เขายกโหลคุกกี้ให้หญิงสาวที่นั่งจับไข้จนหน้าซีดอยู่บนเตียงพร้อมกระปุกยา
“ยามสงคราม ยารักษาโรคหายากราวกับทองคำ แต่คุณกลับมียาฝรั่งติดบ้านเป็นกระปุก”
แทนที่เธอจะรับยาไปกิน คนไข้กลับถามกันอย่างบึงตึง เหมือนจะไม่พอใจเสียด้วยซ้ำ ถ้าเดาไม่ผิดเธอคงไม่ชอบพวกทหารญี่ปุ่นเสียเท่าไร
“คุณทำการค้ากับญี่ปุ่นหรือถึงรวยนัก”
“ผมทำการค้ากับคนที่มีกำลังซื้อ” คนที่มีอาชีพหลักเป็นพ่อค้าตอบกว้างๆ “จะแขก ไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่นหรือคนชาติไหนก็จะขายให้ทั้งนั้น แต่วิธีขายย่อมต่างกัน”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วเธอก็ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย แต่สุดท้ายก็ทำใจให้ปลงและเลิกจนสนใจเขา แล้วหยิบคุกกี้มากินสองสามชิ้น รอสักพักก็กินยาแล้วดื่มน้ำตามเข้าไป
“หากฉันนอนบนเตียงนี้ แล้วคุณจะนอนที่ไหน” ไม่วายเธอยังถาม “แต่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ฉันก็ไม่ยอมนอนร่วมเตียงกับคุณนะ”
“ผมจะไปนอนที่นั่น” แสงภาณุชี้ไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง “แต่หากจะให้แยกห้องคงทำไม่ได้เพราะคนในบ้านจะรู้ว่าในห้องผมมีสิ่งผิดปกติ”
“แล้วคิดว่าจะไม่มีใครสงสัยเลยหรือ”
“จะบอกไปว่ากำลังทำงาน ห้ามไม่ให้เข้ามาทำความสะอาดหรือยุ่มย่ามในห้องนี้แล้วกัน” เจ้าของห้องนอนหาทางออกให้ “อยู่ไปก่อน ให้เรื่องมันซาค่อยว่ากัน”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวบอกสั้นๆ แต่ถอนหายใจออกมาด้วย จากนั้นก็วางทั้งกระปุกยา ขวดน้ำ และโหลคุกกี้ลงบนพื้นข้างเตียง คลี่ผ้าห่มออกเหมือนจะเข้านอน
“จะนอนทั้งชุดเปียกชื่นซ้ำยังเปื้อนเลือดอย่างนี้หรือ!”
“ฉันไม่มีผ้าเปลี่ยน” คนจะนอนถอนหายใจแรงแต่ดูอ่อนใจเหลือเกิน “นอนมันทั้งอย่างนี้แหละค่ะ ไม่เป็นอะไรไปหรอก”
“ประเดี๋ยวก็ปอดบวมหรอก!”
“ชุดหมาดจนจะแห้งอยู่แล้ว หากปอดจะบวมก็คงบวมไปแล้ว” ผู้หญิงคนนี้ดื้อตาใสแท้ๆ เชียว “ขอโทษที่ทำให้เตียงของคุณเปื้อน แต่ฉันก็จนใจ”
“ไปใช้ห้องน้ำตามสบายเถิด” เจ้าของห้องชี้ไปทางประตูบ้านเล็กในห้องอย่างยอมแพ้ “ส่วนเสื้อผ้า ถ้าไม่รังเกียจใช้ของผมผลัดก่อนก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ แต่รอกระเป๋าจากคุณดีกว่า”
“ไม่กลัวว่าผมจะกลับมามือเปล่าหรือ” แสงภาณุแกล้งเย้าให้เธอหน้ามุ่ยเล่น “หากกลับไปไม่พบกระเป๋าเดินทางกับไวโอลินของคุณ ไม่ต้องสวมชุดเปื้อนเลือดนี้ไปตลอดหรืออย่างไร”
“แม้ต้องสวมชุดเปื้อนเลือดนี้ไปจนตาย ฉันก็จะขอสวมเพียงชุดของตัวเอง จะไม่สวมเสื้อผ้าของผู้ชายแปลกหน้าเป็นอันขาด แม้เขาจะเป็นคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ถึงสองครั้งก็ตาม”
หญิงสาวตอบเสียงแข็งและแววตาช่างทระนงจนแสงภาณุไม่กล้าเย้าเล่นอีก แต่น่าแปลกที่เขายังอารมณ์ดีและอมยิ้ม รู้สึกว่าจะหลงเสน่ห์ความทระนงนี้เข้าเสียแล้ว
สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดใจลุกจากเตียงแล้วปล่อยให้คนป่วยนอนพักผ่อน และเธอคงรู้ตัวดีว่าหากออกจากที่ซ่อนในตอนนี้ก็ไม่รู้เลยจะออกไปพบกับอะไรภายนอก แม้จะหยิ่งทะนงแค่ไหนก็ยังรู้จักรักชีวิต รักษาตัวให้หายไข้ หลบให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
แต่มีเหตุผลอะไรกัน คนรู้จักรักตัวเองผู้นี้จึงไปเดินตากฝนจนเป็นไข้ได้…
แสงภาณุได้กระเป๋ากลับมาครบ ทั้งของตัวเองและของสาวปริศนาที่พูดคุยกันไปคุ้งเป็นแควแต่กลับไม่เคยได้ถามชื่อ นึกแต่เรียกเธอว่าแม่นางไม้จนลืมไปว่าคงไม่มีนางไม้ที่ไหนมานั่งสีไวโอลินอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่เขายังเก็บเรื่องนี้อย่างเงียบเฉียบ ออกจากห้องนอนได้ก็สั่งกำชับบอกคนงานว่าห้ามเข้าไปในนั้นเพราะทำงานแปลเอกสารอยู่กลัวกระดาษจะปลิวหาย จากนั้นก็มาขึ้นรถที่จอดทิ้งไว้นอกบ้าน ขับย้อนกลับไปเอากระเป๋าที่ป้อมพระสุเมรุ ว่าจะแอบมาขนของขึ้นบ้านตอนดึกเพื่อกันไม่ให้ใครเห็นเพราะกลัวคนสงสัย กลับมาก็เห็นคนป่วยนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงจึงไม่ปลุก ส่วนตัวเองลงไปกินข้าวพร้อมแม่ ทำทุกอย่างเป็นปกติราวกับไม่ได้ซ่อนใครไว้
ชายหนุ่มกลับขึ้นมาในห้องนอนอีกครั้งตอนสามทุ่มแต่คนป่วยก็ยังหลับอยู่ ไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะปลุกเธอขึ้นมากินข้าวสวยเย็นๆ กับไข่ต้มและกล้วยน้ำหว้าที่ตัวเองแอบเข้าไปหยิบเอาของกินในครัวมาให้หรือไม่ ถ้าปลุกจะรบกวนการพักผ่อนของป่วยไหม
“ฉันจะทำอย่างไรดีนะ ลู่เสียน”
เขาหันไปปรึกษาเจ้าสี่ขาที่เข้ามาในห้องนอนพร้อมกัน มันเดินตามมาตั้งแต่ตอนที่เข้าไปเอาของกินในครัวแล้ว แต่แสงภาณุก็ปล่อยให้เจ้าลู่เสียนเดินตาม เพราะรู้ว่ามันไม่ปากโป้งไปบอกใครแน่เรื่องที่เจ้านายเอาผู้หญิงมาซ่อนไว้ในห้องนอน แต่ลู่เสียนก็เป็นที่ปรึกษาให้เขาไม่ได้เช่นกัน
เจ้าแมวพันธุ์บริติช ชอร์ตแฮร์ ตัวเมียวัยไม่ถึงขวบปี ใบหูเล็ก หน้ากลม ลำตัวอวบอ้วนและขาสั้นตัวนี้ ขนฟูสีขาวปลอดไปทั้งตัว เขามารับเลี้ยงจากเพื่อนสมัยเรียนที่ไปเยี่ยมเยือนกันถึงบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน และพบว่าแม่แมวของเพื่อนออกลูกมากถึงห้าตัวจึงเอามาอวด ชายหนุ่มก็นึกรักมันเพียงแค่เจ้าลู่เสียนชม้อยตามองเขา กลายเป็นตกหลุมรักเอาเสียง่ายๆ และล่วงเลยมาจนตอนนี้ความรู้สึกของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป
เขาตั้งชื่อมันว่าลู่เสียน หมายถึงหยกบริสุทธิ์ เพราะขนสีขาวสะอาดของมัน ดูแลมาแต่อ้อนแต่ออกก็รู้นิสัยว่ามันหยิ่ง และตอนนี้เจ้าแมวหน้าเชิดก็กำลังเมินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายจะงอนที่เขาเอาคนอื่นมานอนบนเตียงทั้งที่ไม่ค่อยให้มันขึ้นไป หากเห็นว่ากระโดดขึ้นไปนั่งเลียขนบนนั้นเมื่อไรเป็นได้โดนปัดให้ตกเตียงเสียทุกที
เห็นแมวทำเมินใส่แล้วชายหนุ่มก็หมั่นไส้ เพราะเจ้าเหมียววางท่าเหย่อหยิ่งราวนางพญา แต่ก็เคืองขุ่นไม่ลงสักที หรือดีไม่ดี ที่เขาทั้งรักทั้งหลงเจ้าแมวตัวนี้ก็อาจจะเพราะความผยองของมันนั่นแหละ
“กำลังมา… จากศรีลังกา…”
เป็นอีกครั้งที่เพียงเสียงละเมอของหญิงสาวก็สามารถทำให้แสงภาณุชาวาบไปทั้งตัว น้ำลายหนืดขึ้นมาเต็มลำคอจนกลืนไม่ลง แต่ยังพยายามปลอบตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไร เพียงแค่ไม่กี่คำนี้ หากไปเข้าหูคนอื่นจริง คงไม่มีใครฟังรู้เรื่อง
“รูธ…”
คำเดียวสั้นๆ จากปากคนละเมอทำให้ชายหนุ่มเหงื่อตกอย่างไม่อาจควบคุมตัวเอง และไม่ว่าจะด้วยพิษไข้หรืออะไรเขาก็จะปล่อยให้เธอละเมอออกมาอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“คุณตื่น ตื่น”
ชายหนุ่มเข้าไปนั่งข้างเธอบนเตียง พยายามปลุกเพื่อว่าหากตื่นแล้วเธอจะได้สติ เลิกละเมอถึงเรื่องเป็นอันตรายเสียที แต่เขาปลุกเท่าไรคนตัวร้อนรุมๆ เพราะพิษไข้ยังไม่ยอมลืมตา
“คุณ ได้ยินผมไหม ตื่น”
“อื้ม…”
คนเป็นไข้ครางออกมาเบาๆ แต่เหมือนจะรู้สึกตัวแล้วว่าถูกเรียก ทว่าเธอดูสะลึมสะลือ จะว่าตื่นขึ้นมาได้สติเลยก็ไม่ใช่เพียงแต่หยุดละเมอไปก็เท่านั้น
“กินยาอีกไหม”
แสงภาณุถามทั้งที่ไม่รู้ว่าคนป่วยจะตอบได้หรือเปล่า และเขาก็ไม่ได้คำตอบใดๆ จากคนหลับ หากแต่ยังคิดว่าเธอควรจะกินยาแก้ไข้อีกสักเม็ดเพราะล่วงเวลาจากยาเม็ดแรกมาหลายชั่วโมงแล้ว จึงผละตัวจากเตียงไปหยิบยามาให้ ประคองร่างน้อยให้ลุกขึ้นแล้วป้อนยาใส่ปากทั้งที่เธอยังหลับตา
“คุณ!”
ป้อนยาแล้วแสงภาณุถึงกับเผลอร้องเมื่อคนป่วยทิ้งร่างปวกเปียกแล้วซบลงบนไหล่ของเขาเสียดื้อๆ เปลือกตาบางยังปิดสนิทให้เขาเห็นเพียงขนตางอนยาวเป็นแพ แต่ริมฝีปากหยักสวยสีชมพูระเรื่อของเธอยังเอื้อยเอ่ยอยู่เหมือนเดิม
“อุ่นจัง…”
คำสั้นๆ ออกจากปากของเธอไม่ได้ทำให้แสงภาณุหวั่นเกรงอย่างทุกครั้ง แต่มันถูกแทนที่ด้วยอาการหัวใจไหวสั่นเมื่อร่างแหนงน้อยของหญิงสาวโอบรัดเข้าหาไออุ่นจากตัวเขา ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูกเลยนอนจากนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง กลายเป็นที่แอบอิงของคนจับไข้ แม้ไม่ได้ตั้งใจให้ร่างกายสัมผัสแนบชิดกันมากเพียงนี้ แต่เขาก็ไม่อยากผละออก อยากเป็นที่พึ่งพิงของคนป่วย อยู่ด้วยกันไปอย่างนี้ไปให้นานๆ
แสงภาณุไม่รู้ว่าทำอย่างนี้สมควรหรือไม่แต่หัวใจกลับสั่งว่าไม่ให้ขยับตัว ชายหนุ่มก้มมองร่างน้อยที่ซบศีรษะลงบนไหล่ แล้วค่อยๆ ไหลลงมาหลับอยู่บนแผงอก ในขณะที่หัวใจของเขาเต้นแรงระรัว เหมือนได้สิ่งที่ขาดหายไปจากในอกกลับคืนมาพองอยู่เต็มทรวง
ราวกับว่าเธอเข้ามาเติมให้เต็ม…
หัวใจของเขารู้สึกอย่างนั้น แต่สมองยังค้านไว้เพราะรู้ว่าไม่ควรถลำลงไปสุดใจ แต่แม้เหตุผลและความรู้สึกจะค้านกันอยู่มากเพียงใด อ้อมกอดของชายหนุ่มก็ไม่ฟังอะไรอีกแล้ว แสงภาณุสอดแขนเข้าประคองเอวบางพลางเอนร่างของตัวเองพิงไปกับหัวเตียง แล้วขยับผืนผ้าห่มมาคลุมกายให้คนเป็นไข้ คืนนี้จะขอใช้ตัวเองเป็นไออุ่นให้หญิงสาว โอบร่างน้อยไว้ในอ้อมแขนจนกว่าอาการของเธอจะทุเลาลง
คืนนี้ทั้งคืนเขายังเฝ้าไข้และข่มตาให้หลับไม่ลง คำถามมากมายยังวนเวียงอยู่ในสมอง ห่วงว่าคนเป็นไข้จะดีขึ้นหรือไม่ นึกอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน และคำถามที่อยากรู้ที่สุดคือเพราะอะไรเธอจึงทำให้หัวใจของเขาชุ่มฉ่ำและพองโตได้ถึงเพียงนี้
หรือจะเป็นคนนี้ที่เทพเทวาอุ้มสมมาให้ เป็นเนื้อคู่ที่ฟ้าประทานมาดังที่ตั้งจิตอธิษฐานใช่ไหม
แต่เขาจะรักเธอได้หรือเปล่า…
ความคิดเห็น |
---|