11

บทที่ 11


 

บทที่ 11

            พอไม่เห็นหน้าหลายวันเข้า หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของตัวเองห่อเหี่ยวลง อยากรู้ว่าแสงภาณุเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีหรือไม่ และตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่

                แม้จะคิดถึงเขาแต่เกล้ามาลาก็ไม่กล้าไปเยี่ยม ในหัวของหญิงสาวคิดเล็กคิดน้อยยู่เต็มไปหมด แต่หลักๆ ที่มักจะกวนใจเธออยู่เสมอคือเกรงว่าจะไม่งามหากไปหาผู้ชายถึงบ้าน ครั้นจะอ้างว่าไปเยี่ยมเหมยฮัวก็ไม่รู้จะฟังขึ้นไหม แต่หากจะไปจริงๆ ก็ไม่กล้าขออนุญาตคุณป้าอยู่ดี เกรงท่านจะคิดว่าเธอเอาเวลาที่รับปากว่าจะไปตามหาช่อทิพย์ไปเที่ยวเล่นตามใจ ทิ้งให้ท่านร้อนใจเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไปอยู่เพียงลำพัง

มาอยู่บ้านคุณป้าได้สามสี่วัน เกล้ามาลาจึงตัดสินใจว่าจะไปตามหาพี่สาวก่อนทำสิ่งอื่นใดๆ และตั้งใจว่าจะไปบอกแสงภาณุ ว่าจะไม่ไปทำงานกับเขาแล้วเพื่อจะได้มีเวลาไปทำธุระตามที่รับปากคุณป้าไว้ ตัดสินใจได้เธอก็ไปหาไหมทอง น้องสาวของคนที่หายตัวไปคงช่วยให้ข้อมูลกับเธอได้บ้าง

“จะเอาที่อยู่เพื่อนๆ ของพี่ช่อทิพย์หรือ”

                เจ้าของห้องนอนกำลังแต่งตัวอยู่ระหว่างที่เธอเข้ามาเคาะประตูเพื่อขอข้อมูลของคนหาย ไหมทองก็ตอบพลางบรรจงเลือกหมวกใบงามสีฟ้าสดให้เข้ากับชุดที่สวม แต่ก็คุยกับเธอไปด้วย

                “นี่ฉันก็ว่าจะออกไปถามหาพี่ช่อทิพย์กับทางบ้านเพื่อนๆ อยู่พอดี” ไหมทองบอกเสียงใสอย่างตื่นเต้น “เอาอย่างนี้ไหมจ๊ะท่าน ฉันก็ไปจะตามหาตามบ้านเพื่อน ส่วนท่านไปดูที่มหาวิทยาลัย ลองถามกับครูบาอาจารย์ของพี่ช่อทิพย์ดู เผื่อเขาจะรู้จักหรือรู้เห็นอะไรบ้าง”

                “เอาอย่างนั้นหรือคะ” คนถูกแบ่งหน้าที่ให้ถามอย่างไม่แน่ใจนัก “แล้วพี่ช่อทิพย์มีอาจารย์ชื่ออะไรบ้าง สนิทกับท่านไหน พี่ไหมทองพอจะรู้ไหมคะ”

                “ก็อาจารย์ที่คณะนั่นละ นอกจากนั้นฉันไม่รู้หรอกจ้ะท่าน” คราวนี้ไหมทองเริ่มจะหน้าบึ้งแล้ววางหมวกในมือลงอย่างเซ็งๆ “แล้วนี่ไปบ้านเพื่อนๆ ก็ไม่รู้จะได้ความหรือไม่ และหากพี่ช่อทิพย์ไม่ได้ไปซ่อนที่บ้านเขาจริงแล้วเราไปเซ้าซี้ถามบ่อยๆ เขาคงรำคาญเราแย่”

                “หญิงจะพยายามสืบจากทางมหาวิทยาลัยของพี่ช่อทิพย์แล้วกันนะคะ”

                “โชคดีได้ข่าวมาไวๆ นะจ๊ะท่าน ฉันสงสารคุณแม่ใจจะขาดอยู่แล้ว”

                ไหมทองอวยพรให้เธอมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย แล้วแบ่งหมวกให้อีกใบแม้จะให้ไปตั้งสามใบสามสีแล้วก็ตาม ดูพี่สาวคนนี้จะแต่งตัวเก่งเอาการ แต่สวยเก๋ ทันสมัย สมกับเป็นดอกไม้ของชาติแสนสดใส แม้กระทั่งพี่สาวหายตัวไปก็ยังตั้งสติและยิ้มออกเพื่อจะรับมือกับปัญหาได้ รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรและทำอย่างคล่องแคล่ว  ไม่ใช่มาหม่นหมองยามเจอปัญหาอย่างเธอ

                เห็นอย่างนี้แล้วเกล้ามาลาก็ตั้งใจว่าต่อแต่ไปต้องเรียนรู้และทำให้ได้อย่างไหมทอง ไม่อยากนั้นเธอคงจะต้องจมอยู่กับความโศกเศร้าไม่รู้ลืม และจะแก้ไข้ปัญหาใดๆ ไม่ได้เลย

ปลุกใจตัวเองอยู่สักพักเกล้ามาลาก็ตัดสินใจออกจากบ้านทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพบกับการทิ้งระเบิดหรือไม่ แต่เพราะรู้ดีว่าหากถึงฆาตแล้วต่อให้นั่งอยู่บ้านเฉยๆ หรือแม้กระทั่งได้เข้าไปหลบภัยก็คงหนีเงื้อมือมัจจุราชไม่พ้นอยู่ดี และหากมัวแต่กลัวหัวหดไปหมดคงไม่เป็นอันทำอะไร

แต่ก็จะใช่ว่าเธอจะหายขาดจากอาการกลัวตาย เกล้ามาลายังอยากใช้ชีวิตอยู่เพื่ออย่างน้อยก็ขอให้ได้ล้างมลทินของตัวเองที่ทำให้พี่สาวเข้าใจผิดจนถอนหมั้นแล้วหนีไป และหากรู้ว่าที่ใดเสี่ยงจะมีอันตรายก็จะไม่ขอเฉียดใกล้ ภาวนาแต่ว่าจะไม่ไปข้องเกี่ยวเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอีก โดยเฉพาะการจับกุมพวกใต้ดิน เธอคงไม่โชคดีซ้ำๆ ด้วยการมีแสงภาณุมาช่วยอยู่เสมอแน่

หลังจากฝนแรกของเดือนมิถุนายนโปรยปรายจนชุ่มให้กลิ่นไอดินฟุ้งขึ้นมา เกล้ามาลาก็นั่งรถรางออกจากบ้านอย่างประดักประเดิดเพราะไม่เคยโดยสารรถสาธารณะและไม่ชินกับการเดินทางเพียงลำพัง แต่ก็ต้องทำให้ได้เพราะเธอต้องปรับตัว รู้ว่าไม่ได้อยู่เป็นหม่อมราชวงศ์หญิงในวังที่อ้อมล้อมด้วยบ่าวไพร่อีกแล้ว ไม่มีท่านพ่อประทับอยู่คุ้มครอง เธอก็ไม่ต่างจากลูกนกที่เพิ่งหัดบิน

หญิงสาวลงรถที่สามย่านตอนบ่ายเพราะมัวแต่รอให้ฝนหยุดตก เดินอีกนิดหน่อยก็ถึงคณะที่ช่อทิพย์เคยศึกษาอยู่ เห็นมหาวิทยาลัยแล้วก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมา ลืมคิดถึงพี่สาวไปชั่วครู่เพราะบรรยากาศแห่งสถานศึกษาทำให้เธออยากเรียนต่อบ้าง นึกอยากเป็นบัณฑิตได้สวมชุดครุยอย่างช่อทิพย์ หากเธอจะสมัครเข้าเรียนจะเริ่มต้นที่ตรงไหนหนอ

“อ้าวแม่หนู มาทำอะไร” จู่ๆ ก็มีชายผมสีดอกเลาคล้ายว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเดินเข้ามาทัก “มหาวิทยาลัยก็ปิดอยู่ แล้วนี่ออกจากบ้านมาเดินคนเดียว ไม่กลัวพวกไอ้ยุ่นหรือ”

“มหาวิทยาลัยปิดอย่างนั้นหรือ!”

“ภาวะสงครามนี่นะ เปิดไปแล้วจะมาเรียนกันได้อย่างไร ลำบากออก”

คนที่เข้ามาคุยด้วยหัวเราะแห้งๆ แต่ก็เหมือนดับฝันที่ว่าอยากเรียนต่อของเธอไปเสียวูบสนิท

“จะมีก็แต่บางคนที่อาจารย์เรียกมาคุยอยู่บ้างนั่นแหละ ก็เขาเรียนค้างอยู่ ถ้าไม่ติดสงครามคงจบออกไปเป็นเจ้าคนนายคนกันหมดแล้ว”

“เสียดายจริง ฉันอยากเรียนต่อ”

“ไว้สงครามเลิกแล้วก็ค่อยมาสอบเข้าเรียนแล้วกัน” คนแปลกหน้าที่เข้ามาคุยด้วยเป็นคุ้งเป็นแควหัวเราะชอบใจ แต่แววตากลับกลุ้มจนส่องออกมาให้เห็น “แต่ไม่รู้จะเมื่อไรนะ นี่ก็เพิ่งได้ยินข่าวนิสิตคณะอักษรศาสตร์ถูกระเบิดตาย น่าเสียดายนะยังสาวยังแสอยู่เลย”

“รู้จักนิสิตคณะอักษรศาสตร์ด้วยหรือ!”

เกล้ามาลาหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกหนเพราะความตื่นเต้น แล้วรีบเอารูปถ่ายของช่อทิพย์ออกมาจากกระเป๋าส่งให้ดูอย่างเต็มไปด้วยความหวัง

“แล้วคนชื่อช่อทิพย์รู้จักหรือไม่ คนในรูปนี้อย่างไรล่ะ”

“โอ๊ย! งามหยดปานนั้นใครจะไม่รู้จัก นี่ฉันเป็นภารโรงคอยปัดกวาดตึกนี้อยู่ก็ได้แอบมองอยู่ประจำ” ได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็รู้สึกราวกับว่าได้น้ำเย็นชโลมหัวใจอันร้อนรุ่มของตัวเอง “แล้วแม่หนูมาถามหาทำไม เรียนจบไปนานแล้วนี่”

“รู้หรือไม่ว่าพี่ช่อทิพย์สนิทกับใคร”

“ไม่มี” ภารโรงตอบไปก็ส่ายหน้าไป “ลูกสาวท่านเจ้าคุณคนนี้เขาว่ารูปงามแต่เหย่อหยิ่ง ไม่รู้ว่าเพื่อนไม่คบหรือไม่ยอมคบเพื่อน วันหนึ่งๆ ก็จะมาเรียนและนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร นี่โดนตั้งวงนินทาจะรู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้เลย”

“แล้วสนิทกับครูบาอาจารย์ท่านไหนหรือไม่”

“อาจารย์วิมลอย่างไรล่ะ เห็นเป็นคนเดียวที่แม่คุณเดินด้วย” ได้ข้อมูลสำคัญมาหญิงสาวก็หูผึ่ง “ว่าแต่แม่หนูจะถามหากไปทำไม”

“ฉันอยากพบอาจารย์วิมล” เกล้ามาลาตอบเพียงเท่านั้นเพราะรู้สึกว่าชายผู้นี้ปากสว่างเอาการอยู่ “พอจะทราบที่อยู่ของอาจารย์ท่านไหม”

“รู้แค่ว่าบ้านอยู่แถวปากคลองตลาด แต่ไม่รู้หรอกนะว่าหลังไหน ก็ฉันไม่เคยไปบ้านอาจารย์สักที มีแต่ลูกศิษย์ลูกหาเคยไปแล้วเอามาคุยกันให้ฉันได้ยิน แต่หากอยากพบอาจารย์วิมลที่มหาวิทยาลัยคงไม่พบหรอก ก็ปิดอยู่อย่างนี้ใครจะมา”

ภารโรงเล่ามาเท่าไร เกล้ามาลาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ช่อทิพย์มากขึ้นทุกที หญิงสาวยิ้มกว้างและรีบบันทึกชื่อของอาจารย์วิมลลงในสมองฝั่งไว้แน่น แล้วเดินทางออกจากมหาวิทยาลัย มุ่งสู่ปากคลองตลาดทั้งที่ไม่รู้ว่าบ้านของอาจารย์อยู่ที่ใด แต่จะมีอาจารย์วิมลสักกี่คนกันที่อยู่ละแวกนั้น มันคงไม่ยากเกินกว่าจะถามหาได้

หัวใจของหญิงสาวเต็มไปด้วยความหวัง อีกไม่นานเธอจะได้พบช่อทิพย์แน่!

 

เธอไม่เคยมาปากคลองตลาด เพียงแค่จะนั่งรถรางไปถึงก็เย็นมากแล้ว จนไม่รู้ว่าจะกลับบ้านคุณป้าได้หรือไม่ แต่ก็ยังดันทุรังมาเพราะใจร้อนอยากถามข่าวช่อทิพย์จากอาจารย์ที่ว่าสนิทสนมด้วย

บ้านของอาจารย์วิมลหาไม่ยากอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ เพราะเพียงมาถามหาก็มีแม่ค้ารู้จัก บอกทางให้เธอนั่งสามล้อมถีบไปด้านข้างๆ รั้วโรงเรียนสวนกุหลาบ เลยมาอีกนิดก็เป็นซอยที่มีบ้านของผู้คนอยู่กันตลอดสองข้างทาง ทว่าบ้านอาจารย์วิมลไกลหน่อยเพราะอยู่หลังสุดท้าย มาถึงตอนผีตากผ้าอ้อมพอดี หญิงสาวชะเง้อคอมองแล้วไม่เห็นว่ามีใครปรากฏตัวให้เห็นหน้าเรือนปั้นหยาหลังน้อยสีขาวนี้สักคน จนไม่รู้ว่าจะตะโกนเรียกดีไหม

                “เข้าไปสิครับ”

                เสียงเย็นดังอึงๆ อยู่ด้านหลังทำให้เกล้ามาลาขนลุกไปทั้งร่าง หัวใจเต้นแรงดังตึกเพียงเท่านั้นแล้วก็เหมือนหยุดไปเพราะจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร แต่เธอไม่ได้คิดถึงเขาจนหลอนไปเองใช่ไหน จะมาจริงๆ หรือ

                “คุณแสง!”

แสงภาณุตามเธอมาจริงๆ หันหลังไปมองแล้วเขาก็ยังทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เกล้ามาลากลับมีความรู้สึกหลายอย่างประทุขึ้นมาเต็มอก แต่ชัดเจนที่สุดคือความคิดถึง ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเขาอย่างใกล้ชิดเพียงนี้

“คุณมาได้อย่างไรคะ”

“หัวใจของผมอยู่ที่ใด ร่างกายก็ตามไปที่นั่น ไม่เห็นจะแปลกเลย”

“คะ”

เกล้ามาลาแทบจะเผลอเอียงใบหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ เพราะไม่เชื่อหูตัวเอง จริงๆ เธอได้ยินชัดทุกคำทว่าไม่กล้าแปลคำพูดเขาให้เข้าใจ เพราะหากชายหนุ่มหมายความอย่างที่กล่าวมาไม่บิดพลิ้ว มันไม่ได้แปลแค่ว่าเขาคิดถึงจึงมาหา แต่ลึกซึ้งมากกว่านั้นหลายเท่านัก

“อ้าว… มาหาใครกันจ๊ะ”

ไม่ทันที่เกล้ามาลาจะถามซ้ำให้ชัดว่าเธอตีความผิดไปหรือไม่ ผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกับคุณป้าของเธอก็เดินเข้ามาหาราวกับรู้ว่ามีใครมายืนอยู่หน้าบ้าน

“คุณใช่อาจารย์วิมลหรือเปล่าคะ”

เกล้ามาลาตัดเรื่องอื่นออกไปก่อน แล้วถามอย่างไม่รีรอ คนมาทักก็พยักหน้าตอบรับว่าใช่ หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นมาเต็มใบหน้าเพราะเธอกำลังจะได้เบาะแสของช่อทิพย์แล้ว

“ฉันเป็นน้องสาวของพี่ช่อทิพย์ค่ะอาจารย์” เธอรีบรายงานตัว “อยากมาถามอาจารย์ว่าได้ข่าวพี่ช่อทิพย์บ้างหรือไม่”

“อ้าว… ไหนว่าเป็นน้อง เหตุไม่รู้ว่าพี่เป็นอย่างไรล่ะจ๊ะ”

คำถามนั้นทำให้เกล้ามาลาหน้าเจื่อน ไม่รู้จะอธิบายเต็มปากได้หรือไม่ว่าเหตุใดคนเป็นน้องจึงไม่รู้ว่าพี่หายตัวไปไหนจนต้องมาถามหากับคนอื่น

“น้องช่อทิพย์หายตัวไปครับ”

แสงภาณุเป็นคนแฉเสียเอง แต่เขาจะเอาเรื่องไม่งามของครอบครัวเธอมาพูดให้คนอื่นฟังจริงๆ หรือ เพราะถ้าทำอย่างนั้นคงได้โกรธเขาแน่

“ตายจริง! นี่ลูกศิษย์ฉันจะเป็นตายดีอย่างไรบ้างพ่อคุณ”

อาจารย์วิมลถึงกับร้องเสียงหลงแต่ชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรให้เธอให้โกรธเข้าอีก

“ฉันไม่ได้ยินข่าวแม่ช่อทิพย์มานานนับแต่เรียนจบไปแล้วล่ะ” คนเป็นครูถอนหายใจยาวอย่างวิตก “แต่จะลองถามหากับเพื่อนๆ เขาดูให้แล้วกันนะจ๊ะ”

“ขอบพระคุณครับ”

แสงภาณุบอกเท่านั้นแล้วก็ยกมือไหว้ เป็นการบอกลาที่สื่อให้เกล้ามาลารู้ว่าเธอคว้าน้ำเหลว อุตส่าห์มาถึงปากคลองตลาดจนพบอาจารย์ของช่อทิพย์แล้วแท้ๆ แต่ไม่ได้ข่าวพี่สาวเลย น่าเสียดายเสียจริงๆ

“ถอนหายใจแรงเชียว เหนื่อยกายหรือเหนื่อยใจครับ”

คนที่ชวนเธอเดินมาขึ้นรถที่เขาจอดทิ้งไว้ไม่ห่างจากหน้ารั้วบ้านอาจารย์วิมลถามราวจะตั้งใจแหย่ทั้งที่รู้อยู่ว่าอารมณ์ไม่ดี

“ผมพาไปดูละครเทวีที่ศาลาเฉลิมกรุงดีไหม”

“ฉันไม่มีอารมณ์จะเที่ยวเล่นหรอกค่ะ” คนหน้างอตอบพลางเข้าไปนั่งในรถหลังจากที่ชายหนุ่มเปิดประตูให้ “แต่กลับไปส่งที่บ้านคุณป้าทีเถิดค่ะ ฉันอยากพักเต็มที พรุ่งนี้จะได้ไปตามหาพี่ช่อทิพย์ที่อื่นต่อ”

“ผมหวังว่าคุณหญิงจะไม่ออกมาเดินนอกบ้านมืดๆ ค่ำๆ อย่างนี้อีกนะครับ” แสงภาณุก็สั่งเสียงหนักแต่ยังยืนค้ำประตูรถไม่ยอมปิดให้จนเธอต้องเงยหน้าฟังเขาพูด “โดยเฉพาะย่านนี้ ทั้งโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ทั้งสะพานพุทธ จุดเสี่ยงทั้งนั้น”

“แต่ฉันได้ข่าวว่าอาจารย์ที่พี่ช่อทิพย์สนิทด้วยเขาอยู่ย่านบ้านนี้นี่คะ จึงมาหา”

คนรู้ตัวว่าผิดพยายามอธิบายแต่ก็ไม่เต็มเสียงนัก แล้วเห็นชายหนุ่มยังหน้าตึงเธอก็ยิ่งหน้าจ๋อยลงเรื่อยๆ จนใจหวิวไปหมดเพราะเกรงว่าแสงภาณุจะโกรธเข้า

“ค่ะ” สุดท้ายเกล้ามาลาก็เข้าใจแล้วว่าเธอทำเรื่องเสี่ยงลงไปจริงๆ “ฉันจะไม่เดินทางยามค่ำมืดหรือตอนกลางคืนอีก”

“ถือว่าสัญญากันแล้วครับ อย่าให้ผมมาเจอคุณหญิงทำอะไรเสี่ยงๆ อย่างนี้อีกล่ะ”

“แล้วคุณมาพบฉันที่นี่ได้อย่างไร” หญิงสาวไม่ตอบแต่ถามกลับอย่างงุนงง “มาธุระย่านนี้หรือคะ”

“ผมก็ตามคุณมาตั้งแต่นั่งสามล้อถีบอกจากบ้านคุณอาเมื่อบ่ายนั่นแหละ”

เกล้ามาลาเพิ่งรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามก็ตอนนี้เอง แต่ดูเขาจะเป็นฝ่ายน้อยใจเสียมากกว่า เธอก็ไม่กล้าจะกล่าวทักท้วงหาความ

“แล้วไหนคุณหญิงว่าจะไปทำงานกับผม ผมรอตั้งหลายวันคุณก็ยังไม่ยอมมาหา”

“สองสามวันเองนี่คะ” เธอแย้งไปแต่ก็ไม่กล้าสบตาเพราะผิดคำพูดกับเขาจริงๆ จึงได้แต่อธิบายเหตุผลของตัวเองไป “แต่ฉันคงไม่ไปทำงานกับคุณแล้วค่ะ จะออกตามหาพี่ช่อทิพย์ หากมัวแต่ไปทำงานแล้วจะไปพบพี่ช่อทิพย์ได้อย่างไร”

                “เรื่องน้องช่อทิพย์ผมจัดการจ้างคนออกตามหาแล้ว คุณหญิงไม่ตามแล้วนะ มาอย่างนี้มันอันตรายออก”

                “คุณจ้างคนตามหาเชียวหรือ!”

“ที่ลูกสาวเขาหนีไป ก็เพราะมีผมเป็นสาเหตุหลัก อย่างไรเสียผมก็จะตามตัวน้องช่อทิพย์คืนคุณอาศรีเพ็ญให้จงได้”

แสงภาณุบอกเปรยๆ แต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าเขาทุ่มเทกับการตามหาช่อทิพย์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

“เพียงแต่วันนั้นที่ไม่ได้ออกคำรับปากไปเพราะไม่อยากให้คุณอามาคาดหวังสิ่งใดๆ ในตัวผมอีกก็เท่านั้นเอง”

“แล้วคุณป้าท่านคาดหวังอะไรในตัวคุณหรือ”

“หลายอย่างเชียว อย่างที่ชัดเจนที่สุดคงหวังอยากได้ผมเป็นเขยตามคำสั่งเสียของท่านเจ้าคุณ แต่เห็นทีจะไม่ได้เพราะผมกับน้องช่อทิพย์ถอนหมั้นกันเด็ดขาดแล้ว อีกอย่างที่หมั้นก็เพราะผู้ใหญ่เห็นชอบ ผมไม่ได้รักน้อง”

“แล้วเหตุใดตอนแรกจึงยอมจะแต่งเล่าคะ”

“ก็ตอนนั้นผมไม่ได้รักใคร และคิดว่าจะทำตามคำสั่งเสียของอาป๊าเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ผมคิดใหม่เสียแล้ว คงจะกลายเป็นลูกที่ดื้อดึงไม่ฟังคำสั่งอาป๊าให้ท่านโกรธไปทีเดียว”

“คุณพูดเหมือนไปรักใครเข้าแล้วอย่างนั้นแหละ”

เกล้ามาลาปากไวเท่าหัวใจคิดแล้วยังเคืองอีกต่างหาก แต่พอรู้ตัวว่าหลุดปากหญิงสาวก็หน้าเจื่อนไป รู้สึกว่าถามอย่างนี้ทั้งไม่ดีและไม่งามเลย กระนั้นความบึ้งตึงก็ไม่คลายไปจากใบหน้า ยอมรับกับตัวเองตามตรงเลยว่าไม่อยากได้ยินว่าแสงภาณุรักใครอยู่

“คุณหญิง…”

ชายหนุ่มเรียกช้าๆ แล้วก็เงียบไป กลายเป็นความเงียบที่เกล้ามาลาไม่เข้าใจจนได้จ้องหน้าเขาและเหมือนว่ามีอะไรจะบอก แต่สุดท้ายแสงภาณุก็ไม่ทำอะไรนอกเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้มมุมปากให้เธอ

“แล้วคุณหญิงล่ะครับ หากถูกจับคู่คลุมถุงชน แต่ยอมหรือไม่”

“หากท่านพ่อมีพระประสงค์จะให้ออกเรือนไปกับใคร ฉันจะทำตามพระทัยท่านค่ะ” เกล้ามาลาตอบตามซื่อ “แต่ท่านไม่ได้ทรงหมายตาใครไว้ให้ฉันนี่ซี ฉันจึงไม่ต้องถูกคลุมถุงชน”

“ผมก็ไม่มีคู่คลุมถุงชนแล้วเหมือนกัน”

“หือ?” ได้ยินแสงภาณุพูดคำเดิมซ้ำวนไปวนมาหญิงสาวก็มองเขาจนคิ้วขมวด “ทำไมคุณชอบย้ำว่าคำว่าถอนหมั้นกับพี่ช่อทิพย์แล้วเสียจริงเชียว”

“ผมอยากให้คุณหญิงเข้าใจให้ถูกต้องไว้”

เขาย้ำเสียงหนักแล้วสบตานิ่ง ไม่มีแววขี้เล่นหรืออารมณ์ดีปนมาอย่างเคยจนเกล้ามาลารู้สึกเหมือนว่าถูกสะกดให้จำคำนี้ลงไปจนฝังใจ สายตาที่ชายหนุ่มมองมายังหนักแน่น นุ่มลึก ทว่าแฝงไปด้วยความละมุนละไมจนหญิงสาวรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นด้วยจังหวะที่ประหลาดไปอย่างไม่เคยเป็นกับใคร แต่เป็นอย่างนี้กับเขาแค่คนเดียว

“และเมื่อถึงเวลาที่ตามหาน้องช่อทิพย์ให้กลับมาได้ ก็ขอให้คุณหญิงเข้าใจว่าผมกับหล่อนไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกันอีก หรือหากมีข้อใดข้องใจก็ขอให้ถามผมไว้ก่อน ขออย่างนี้แล้วคุณหญิงให้ผมหรือไม่ครับ”

“ค่ะ”

เกล้ามาลารับปากอย่างไม่เข้าใจแต่ก็เชื่อมั่นใจตัวเขา จึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย แล้วชายหนุ่มก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มสุขสันต์จนดวงตาคู่นั้นกลายเป็นสระอิประดับอยู่บนใบหน้า น่าเอ็นดูจนเธอเผลอยิ้มตาม

“รับปากแล้วผมก็จะบอกข่าวดี” แสงภาณุหุบยิ้มแล้วแต่ใบหน้ายังแช่มชื่นอยู่ “คนของผมได้ข่าวว่าพบตัวน้องช่อทิพย์แล้วนะครับ”

“จริงหรือคะ!”

ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ลืมวางตัวให้เรียบร้อยอย่างที่ทำมาตลอด เผลอร้องเสียงหลงอย่างตื่นเต้นจนลั่นห้องโดยสารของรถยนต์

“พี่ช่อทิพย์เธออยู่ที่ไหนคะ เป็นอย่างไรบ้าง”

“เขารายงานมาว่าพบที่อยุธยา”

คนที่ยังยืนค้ำแขนลงบนประตูรถยนต์บอกเสียงเรียบแต่ก็ยิ่งทำให้เธอเงยหน้ามองเขาอย่างตื่นเต้น

“ผมให้คนรับจ้างเฝ้าอยู่ครับ และวันพรุ่งผมว่าจะตามไปดูด้วยตัวเอง จะได้ตามน้องกลับมาให้คุณอา”

“ฉันไปด้วยค่ะ” หญิงสาวออกปากทันที “นะคะคุณแสง บางทีพี่ช่อทิพย์อาจจะโกรธเคืองคุณอยู่ก็ได้ ให้ฉันไปช่วยเล่าเรื่องนั้นให้พี่ช่อทิพย์ฟังนะคะ”

“มันไกลนะครับ”

“กรุงเก่าเองนี่คะ” เกล้ามาลาเถียงทันควันแต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง “ชวนพี่ไหมทองไปด้วยกัน ช่วยกันไปตามหลายๆ คน พี่ช่อทิพย์จะต้องยอมเชื่อเราและกลับมาด้วยแน่ค่ะ”

“เคยมีคนบอกไหมครับว่าคุณหญิงช่างดื้อเสียจริง”

เป็นอันว่าแสงภาณุตอบตกลงแล้ว หัวใจของเกล้ามาลาก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยความหวัง เพราะไม่เพียงแต่เธอจะได้พี่สาวกลับมาอยู่บ้านให้คุณป้าชื่นใจ ผลพลอยได้อีกอย่างก็คือจะได้ลบล้างความรู้สึกผิดของตัวเองด้วย นอกจากนี้จะได้ลบคำครหาที่ว่าเธอเป็นเมียน้อยของแสงภาณุให้ชื่อเสียงกลับมาสะอาดผุดผ่องดังเดิม

เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองมีราคีมัวมองดังที่ท่านพ่อทรงสั่งเสียไว้ก่อนจะจากโลกนี้ไป…

 

“จะไปกรุงเก่ากันหรือ”

คุณป้าถามอย่างตื่นเต้นเมื่อแสงภาณุเข้ามาบอกข่าวดีในห้องนั่งเล่นของบ้านตอนประมาณทุ่มเศษเพื่อมาส่งเธอด้วย เขาบอกได้วี่แววของช่อทิพย์อยู่ที่กรุงเก่าและกำลังจะไปตามกลับมาด้วยกัน แต่เพราะรู้ดีว่าไปสองคนคงไม่งามแน่จึงปรึกษากับไหมทองว่าขอให้ไปด้วย เมื่อญาติผู้พี่ตกลงเกล้ามาลาจึงมาขออนุญาตผู้ใหญ่อีกที

“ครับ” คนอาสาพาไปบอกเสียงหนัก “มีคนเก่าคนแก่ของอาป๊าอยู่ที่นั่น ผมว่าจะไปตามข่าวน้องช่อทิพย์ตามที่เขาแจ้งเบาะแสงมา”

“เอาซีๆ รีบไปพรุ่งนี้แต่เช้ามืดเลย” คุณป้ากระหวีกระหวาดใหญ่แต่ก็ด้วยอาการดีใจ “นี่แม่ไหมทอง จัดกระเป๋าไปด้วยนะลูก คุณหญิงด้วย เผื่อจับผลัดจับผลูต้องค้างแรมจะได้ไม่ลำบากกัน”

“อุ้ย! ไปกับคุณแสงจะไปลำบากอะไรกันจ๊ะ” ไหมทองหัวเราะร่วนแต่ก็เอามีขึ้นมาป้องปากไว้อย่างมีจริตจะก้าน “ท่านไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ แล้วเราก็ไปแค่กรุงเก่านี้เอง”

“แล้วนี่จะจับรถไฟกันตอนกี่โมง แม่จะห่อข้าวให้ อย่างไรก็ไปตั้งกรุงเก่าเชียวหนา”

“ว่าจะไปพรุ่งนี้ราวตีแปดโมงเช้าครับ” คราวนี้แสงภาณุเป็นคนตอบเอง “และจะมารับน้องไหมทองกับคุณหญิงไปที่สถานีรถไฟสักหกโมงครึ่ง สะดวกกันไหมครับ”

“สะดวกๆ ไปแต่เช้านั่นแหละดี จะได้พบแม่ช่อทิพย์ไวๆ… ฝากน้องๆ ด้วยนะพ่อแสง”

“ครับ”

คุณป้ายิ้มหน้าชื่นเมื่อคนหนุ่มรับปากหนักแน่น จากนั้นแสงภาณุก็ลากลับไม่อยู่รับประทานอาหารค่ำตามคำเชิญเพราะจะกลับไปเตรียมตัวเดินทางที่บ้านเช่นกัน แต่ก็กลายเป็นทิ้งช่วงเวลาให้คุณป้าได้ไปจัดเสบียงสำหรับเดินทางในวันพรุ่งนี้ให้ทุกคน และเธอกับไหทองจะได้มีเวลาจัดเตรียมกระเป๋ากันด้วย เพราะไม่รู้เลยว่าการไปตามหาช่อทิพย์ครั้งนี้จะมีอะไรให้พบเจอบ้าง เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้เป็นดี

และหวังว่าช่อทิพย์จะเข้าใจเรื่องระหว่างเธอกับแสงภาณุอย่างถูกต้อง ไม่คิดว่าญาติผู้น้องเป็นเมียน้อยเขาอีกต่อไป…

ในวันรุ่งขึ้น แสงภาณุมารับเธอกับไหมทองตั้งแต่เช้าตามที่นัดหมาย แต่ไหมทองมัวแต่เลือกหมวกอยู่นานจนแทบจะไปไม่ทันเวลารถไฟออก กระนั้นเกล้ามาลาก็มองผู้เป็นพี่อย่างเข้าใจว่าจะให้สาวสังคมออกจากบ้านทั้งทีก็ต้องให้งามเป็นที่น่าชื่นชมของใครต่อใคร จะให้มาสวมหมวกทื่อๆ ทรงเรียบๆ ที่ผู้หญิงสวมก็ได้ผู้ชายสวมก็ดีสีแดงเลือดนกอย่างเธอ ไหมทองคงไม่ทำ แต่เกล้ามาลาก็ยังชอบหมวกใบนี้ที่สุดเพราะมีคนสำคัญให้เธอมา

ทั้งสามมาถึงสถานีรถไฟด้วยกระเป๋าใบย่อมคนละใบแต่ชายหนุ่มเอาตะกร้าอาหารไปถือให้สาวๆ ได้เดินตัวปลิว จากนั้นเขาก็ไปซื้อตั๋วให้ ได้ขบวนในเวลาที่ต้องการแล้วก็พาสองพี่น้องมานั่งรอที่ชานชาลา อีกไม่กี่นาทีก็จะได้ออกเดินทางไปตามช่อทิพย์กลับมาเป็นสามใบเถาด้วยกัน

“ไหมทอง!”

ไม่ทันจะได้ขึ้นรถไฟไหมทองก็ถูกร้องทัก เกล้ามาลาหันตามไปหาต้นเสียงด้วยความอยากรู้และเห็นสาวงามในชุดสีเหลืองดอกทานตะวันสวมหมวกสีน้ำตาลส่งยิ้มสดใสมาให้ พี่สาวของเธอก็รีบลุกไปหา ยิ่งทำให้คนที่แอบมองอยู่สนใจมากขึ้น

“มาทำอะไรที่นี่ กำลังว่าจะไปหาอยู่เชียว”

“ว่าจะไปอยุธยา” ไหมทองคุยกับผู้หญิงคนนั้นอย่างแจ่มใสและดูสนิทกันมากเอาการ “ว่าแต่ท่านจะไปหาฉัน มีธุระอะไรหรือจ๊ะ”

“ก็ว่าจะชวนไปงานเลี้ยงค่ำวันนี้ด้วยน่ะซี นี่หากฉันไม่มาส่งน้องชายขึ้นรถไฟคงไม่ได้พบท่านแล้วซีนะ” สาวชุดเหลืองหน้ามุ่ยไป “และหากท่านว่าจะไปอยุธยา คืนนี้ฉันคงได้ยืนเก้ออยู่ในงานคนเดียว”

“คืนนี้มีงานเลี้ยงหรือ!”

“ใช่จ้ะ คุณพ่อนัดเลี้ยงเพื่อน มีทั้งคนใหญ่คนโต ข้าราชการคนสำคัญ พวกคุณหญิงคุณนายมาเยอะเสียด้วย แต่หากไม่มีท่าน ฉันจะไปต้อนรับแขกอย่างไรได้… เสียดายจริง”

“ฉันจะไปเป็นเพื่อนท่านเอง ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ”

รับปากเพื่อนเสร็จไหมทองก็หันกลับมาหาเธอกับแสงภาณุที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูกเพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น และที่คาดไว้ก็ไม่ผิดเลย

“ฉันขอตัวไปช่วยงานเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนนะจ๊ะ คุณหญิง คุณแสง” ไหมทองร้องขอเสียงอ่อนเสียงหวาน “ส่วนเรื่องของพี่ช่อทิพย์ก็ฝากจัดการด้วยแล้วกันนะ”

“แต่จะให้หญิงไปกับคุณแสงสองคนอย่างนั้นหรือคะ!”

“ไปเถิดจ้ะ ไม่มีใครว่าหรอก คุณแสงก็คนกันเอง” พี่สาวสรุปให้เสียง่ายๆ แต่ก็มองเธออย่างคาดหวัง “แต่ท่านห้ามบอกคุณแม่เป็นอันขาดว่าฉันไม่ได้ไปอยุธยาด้วย ไม่อย่างนั้นฉันหลังลายแน่”

“แต่… ไม่ไปไม่ได้หรือคะ”

“เพื่อนของฉันเดือดร้อนเกรงจะต้อนรับแขกในงานไม่ไหว จะให้ฉันใจดำไม่ช่วยได้อย่างไรกัน”

เจอไม้นี้เข้าไปเกล้ามาลาก็เถียงไม่ออกจนกลายเป็นโอกาสให้ถูกมัดมือชก

“อย่างไรเสียก็ฝากเรื่องตามหาพี่ช่อทิพย์ด้วยนะจ๊ะท่าน แต่หากเรากลับบ้านไม่พร้อมกันก็บอกคุณแม่ว่าตอนกลับฉันพบเพื่อนระหว่างทางจึงแยกกัน ท่านช่วยตอบให้ตรงกันด้วยนะจ๊ะ… ฉันขอตัวไปแล้ว”

พูดจบไหมทองก็หยิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองขึ้นหิ้วแล้วจูงมือสาวชุดเหลืองเดินจากเธอไปอย่างไม่ฟังคำทัดทาน ทิ้งให้เกล้ามาลายืนหน้าเสีย รู้สึกวูบเหมือนมีใครมาควักอะไรออกจาช่องท้องเมื่อรู้ตัวว่าต้องไปต่างจังหวัดกับแสงภาณุเพียงสองคน

“คุณหญิงยังจะไปอยู่หรือไม่” แสงภาณุถามราวกับรู้ใจเธอ “หากไม่สบายใจ ผมไปคนเดียวก็ได้นะครับ”

“แต่ฉันอยากพบพี่ช่อทิพย์พร้อมคุณ” หญิงสาวยังเป็นกังวล “เราไปตามคุณป้าให้ไปเป็นเพื่อนกันดีไหมคะ”

“ท่านก็ได้รู้น่ะซีว่าน้องไหมทองหนีไปเที่ยวกับเพื่อนเสียแล้ว” ชายหนุ่มตอบอย่างขบขัน “แต่ผมจะไปตามอาเน้ยให้ไปด้วยกันดีไหม อาจจะช้าไปสักหน่อย อย่างแย่ที่สุดก็เดินทางรอบบ่ายคุณหญิงพอจะรอไหวหรือไม่”

“รอบบ่าย… ก็ถึงอยุธยาเกือบจะมืดค่ำพอดีซี”

“แล้วคุณหญิงจะทำอย่างไรดีเล่าครับ”

แสงภาณุแกล้งเธอ!

หญิงสาวรู้ทันก็เพราะได้ยินเสียงหัวเราะอึงๆ อยู่ในลำคอพร้อมกับดวงตาที่หยี่เล็กลง เขาจะรู้บ้างไหมว่าเป็นคนที่ยิ้มแล้วเห็นชัดเจนจะตายไป ยิ่งมองรอยยิ้มได้ใจนั่นเกล้ามาลาก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะค้อนหนักมากขึ้นทุกที เขาก็ยังมาทำหน้าระรื่นให้มองอยู่ได้

ครั้นจะมานั่งโกรธก็เหมือนว่าจะเสียเวลาเปล่า เธอควรขบให้แตกว่าจะทำอย่างไรดี วันนี้จึงจะได้ไปอยุธยาให้ทันเวลาและไม่ต้องไปกับแสงภาณุเพียงลำพัง เพราะดูทีว่าเขาจะแกล้ง ไม่ช่วยคิดหาทางออกเสียแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น