บทที่ 14
แต่ไม่ว่าคุณป้าคิดจะเห็นอย่างไร ท่านก็ยอมให้เธอมาทำงานที่ห้างเรืองพาณิชย์ อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก นั่งรถยนต์ยี่สิบนาทีก็ถึง เป็นห้างใหญ่โตเอาการทีเดียว
แสงภาณุบอกว่าห้างนี้ได้ชื่อมาจากนามสกุล ‘เรืองพาณิชย์ไพศาล’ ของเขา นามสกุลยาวดังที่เคยบอกเธอไว้ไม่ผิดจนเกล้ามาลาไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ทะเบียนยอมให้ตั้งได้อย่างไร แต่คำถามนั้นยังไม่น่าสนใจเท่าว่าเหตุใดห้างของแสงภาณุยังขายดีอยู่มากทั้งที่อยู่ในภาวะสงคราม
ไม่ใช่เพียงของใช้สอยในชีวิตประจำวัน หรือของประดับตกแต่งบ้าน แต่ของที่ว่าแพงอย่างผ้า น้ำตาล น้ำมันรถยนต์ อาหารกระป๋องหรือของนำเข้าจากต่างประเทศก็มีขาย ส่วนของในประเทศก็มีอยู่มากตามนโยบาย ‘ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ’ แล้วที่หน้าห้างยังเปิดขายก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอีกด้วย ผู้คนมาจับจ่ายหนาตาพอสมควร
เจ้าของห้างพาเธอไปชมสำหนักงานซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของตัวตึก ที่นี่มีคนนั่งทำงานประจำอยู่ราวยี่สิบคน ส่วนห้องทำงานของเขาไม่ได้กว้างขวางโออ่า เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมธรรมดาที่มีแค่โต๊ะทำงานกับตู้เอกสาร เหมือนเขาจะไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะเสียเท่าไร ข้าวของจึงมีไม่มากเลย
“คุณสันต์ ช่วยมาทางนี้หน่อย”
แสงภาณุร้องเรียกผู้ชายที่ทำงานอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่กั้นด้วยฉากไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทำงานของเขา แล้ว ‘คุณสันต์’ ก็กุลีกุจอออกมาหา
“ผู้จัดการห้างน่ะ” แสงภาณุแนะนำผู้มาใหม่ให้เธอรู้จัก “คุณสันต์… นี่คุณหญิงเกล้า จะมาทำงานเป็นเลขาฯ ของผม ฝากสอนงานด้วยนะ”
“ฉันไหว้ค่ะ”
“เอ่อ… ครับ”
ทักไปอย่างนั้นสันต์ก็รับไหว้อย่างทำหน้าไม่ถูกแล้วมองหน้าเจ้านายอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มแห้งๆ ให้เธอ
“คุณหญิงเพิ่งกลับมาเมืองไทยหรือครับ”
“ไม่นี่คะ กลับมาปีกว่าแล้ว ทำไมหรือ”
“ก็… ท่านผู้นำให้เราทักทายกันด้วยคำว่าสวัสดีมาจะเป็นปีอยู่แล้ว”
สันต์ดูเกรงใจจะทักแต่สุดท้ายก็พูดออกมา ทว่าเกล้ามาลาหน้าหลาไปไม่น้อย รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดที่ปรับตัวให้เข้ากับสังคมนอกบ้านไม่ได้จนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะเธอทำงานร่วมกับใครได้หรือไม่
“คุณสันต์ช่วยตามให้พนักงานมาจัดโต๊ะให้คุณหญิงเกล้าหน่อยนะ” แสงภาณุเปลี่ยนเรื่องหนี “แล้วงานไหนที่ต้องติดต่อกับผม คุณก็แบ่งมาทางนี้ ค่อยๆ สอนกันไปนะ”
“ครับ”
ผู้จัดการห้างรับคำแล้วก็ยิ้มให้อีกทีก่อนจะไปจัดการทำตามที่แสงภาณุสั่ง บอกเจ้าหน้าที่จัดโต๊ะทำงานให้ ทิ้งให้เธอยืนยิ้มเก้อๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก ซ้ำยังไม่ค่อยมั่นใจเสียแล้วว่าจะทำงานที่นี่ได้จริงๆ ไหม
“เป็นอะไรเปล่าครับ หน้าเสียเชียว” แสงภาณุสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเธออยู่เสมอ “มีอะไรไม่สบายใจ บอกผมได้ไหม”
“ฉันจะทำงานให้คุณได้จริงๆ ไหมคะ” คนกลุ้มใจกล้าระบายกับเขาอย่างไม่เก้อเขิน “เมื่อครู่ก็ยังทำเปิ่น แค่ทักทายเขาก็ผิดเสียแล้ว”
“คุณหญิงแค่ยังไม่ชิน อย่าคิดมากเลยครับ” ชายหนุ่มปลอบอย่างใจดี “ไม่เป็นไร ค่อยๆ ปรับตัวไป ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่คุณหญิงจะทำได้หรอก อย่าเพิ่งท้อนะครับคนเก่งของผม”
“แหน…” กำลังจะคล้อยตามอยู่แล้วไม่วายเกล้ามาลายังร้องทัก “ใครเป็นคนของคุณ อย่าขี้ตู่นะคุณแสง”
“แล้วผมต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องตู่ล่ะครับ คุณหญิงพอจะเมตตาชี้ทางให้ความหวังของผมเป็นจริงได้ไหม”
เจอไม้นี้เข้าไปเกล้ามาลาก็ค้อนควักแล้วหุบปากฉับ รู้แล้วว่ายิ่งต่อปากต่อคำไปคนเสียเปรียบก็คือเธอ พูดอะไรไปแสงภาณุก็มีแต่ขวนขวายโอกาสให้ตัวเองก็เท่านั้น เรื่องอะไรจะไปหลงกล
แต่มีเขาอยู่ข้างๆ ก็ดี อย่างน้อยเธอก็มีกำลังใจในการออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน แม้ที่นี่จะไม่มีใครมานินทาเรื่องที่ว่ามารดาคบชู้แต่ตัวเธอก็ยังใจตุ๋มๆ ต้อมๆ อยู่ไม่น้อยกับการพบปะผู้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลัวทำเปิ่นให้อายเสียหน้าอย่างเมื่อครู่อีก
การจะอยู่ในสังคมเมืองไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ เธอคงต้องปรับตัวอีกมากทีเดียว…
นับจากวันนั้นแรมเดือน หญิงสาวก็รับตำแหน่งเป็นเลขานุการของแสงภาณุ เธอจะนั่งรถรางออกจากบ้านไปทำงานที่ห้างเรืองพาณิชย์เป็นประจำ เจอฝนตกบ้าง ไม่ตกบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการไปทำงาน
การเริ่มงานไม่มีอะไรหวือหวาเพราะเจ้าของห้างไม่ได้บอกว่าเธอเป็นใคร เนื่องจากไม่อยากให้เกิดคำครหาว่าใช้เส้นสายเข้ามาทำงาน พอเขาเรียกคุณหญิงเข้าบ่อยๆ คนที่ห้างก็เข้าใจว่าเธอมีชื่อเล่นว่า ‘หญิง’ จึงเรียกตามอย่างเป็นกันเอง หม่อมราชวงศ์สาวก็ปล่อยให้เลยตามเลยไป อีกทั้งแสงภาณุไม่มาวอแวกับเธอในเวลางานให้ลำบากใจหรืออายคน ซึ่งนั่นก็ทำให้เกล้ามาลาสบายใจเพราะจะได้พิสูจน์ฝีมือในการทำงานของตัวเองไปด้วย
ทว่าถึงคราวเลิกงานเมื่อไรสถานะของเกล้ามาลาก็เปลี่ยนไปทันทีราวกับไม่เคยเป็นเลขาฯ ของเขามาก่อน ชายหนุ่มจะรับเธอกลับบ้านทุกครั้ง และในหลายครั้งจะพาไปรับประทานอาหารเย็นกับเหมยฮัวก่อนจึงจะพามาส่ง แต่ทำอย่างนั้นบ่อยๆ ก็เกรงใจคุณป้า ท่านคงไม่ชอบแน่หากหลานสาวกลับบ้านค่ำมืดโดยมีผู้ชายมาส่งเป็นประจำ
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ… วันนี้ไม่ไปทำงานหรือจ๊ะท่าน”
แปดนาฬิกาแล้ว ไหมทองเพิ่งเคารพเพลงชาติที่ดังจากวิทยุกระจายเสียงเสร็จ แต่ยังสวมชุดนอนสีขาวยาวกรุยกราย เดินมาทักเธอที่กำลังคุมบ่าวให้ตั้งโต๊ะอาหารในเช้าวันจันทร์ แล้วคนเป็นน้องก็ยิ้มให้คนที่ขยันตื่นมาเคารพเพลงชาติตรงเวลาทุกวัน ส่วนจะนอนต่อหรือไม่ก็แล้วแต่อารมณ์
“วันนี้หยุดค่ะ” เกล้ามาลาตอบยิ้มๆ “คุณแสงบอกว่าจะไปติดต่อโรงสีข้าวที่นครสรรค์ หญิงจึงได้หยุดถึงวันอังคารเชียว”
“อย่างนี้ฉันก็ไม่เห็นหน้าคุณแสงไปหลายวัน” ไหมทองหัวเราะชอบใจแต่เธอกลับงงไปหมด “ก็แหม… คุณแสงมาที่บ้านนี้บ่อยกว่าตอนที่ยังหมั้นกับพี่ช่อทิพย์เสียอีก เห็นทีฉันจะได้มาเป็นน้องเขยเสียแล้วกระมัง จริงไหมจ๊ะ”
“พี่ไหมทอง! พูดอะไรก็ไม่รู้ค่ะ” หญิงสาวร้องเสียงหลงแต่อายจนร้อนวูบวาบไปทั้งตัวและกลัวไปในขณะเดียวกัน “เกิดคุณป้ามาได้ยินจะเข้าหญิงได้ถูกหยิกจนเนื้อเขียวกันพอดี”
“หรือไม่จริงล่ะ” ยิ่งห้ามไหมทองยิ่งเถียงอย่างชอบใจใหญ่ “ดูอย่างไรก็รู้ว่าคุณแสงมาชอบคอท่านอยู่ ใส่ใจดูแลออกจะปานนี้ ฉันว่าคุณแม่ก็ดูออก ป่านนี้ไม่ใช่ทำใจปลงตกแล้วไปขอโทษเจ้าคุณพ่อที่ทำตามสัญญากับเจ้าสัวเล้งไม่ได้แล้วกระมัง ถึงได้ขยันไปวัดอยู่บ่อยๆ”
“คุณป้าอาจจะไปสวดมนต์ขอพรให้เราตามหาพี่ช่อทิพย์ให้พบไวๆ ก็ได้นี่คะ” เกล้ามาลารู้ตัวเลยว่ากำลังแถอยู่ “ไม่รู้ล่ะค่ะ หญิงไม่พูดเรื่องนี้ด้วยแล้ว”
คนเป็นน้องค้อนกระทั่งพี่สาว แล้วก้มหลบซ่อนใบหน้าอันเต็มไปด้วยเลือดฝาดไว้ใต้เรือนผมยาว ทำแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ที่ไหมทองล้อเลียนด้วยการตั้งใจจัดโต๊ะอาหาร แต่ก็อดคิดไม่ถึงแสงภาณุไม่ได้อยู่ดี อยากรู้ว่าปานนี้คนที่ไปทำงานไกลถึงนครสรรค์จะเป็นอย่างไรบ้าง
“คุณหญิงเจ้าคะ มีคนมาขอพบคุณหญิงเจ้าค่ะ” ได้ยินบ่าวเข้ามาบอกอย่างนั้นเกล้ามาลาก็คิ้วขมวด “เขาบอกว่าเป็นเพื่อนของคุณหญิงสมัยเรียนอยู่คอนแวนต์เจ้าค่ะ”
“อ้อ!” เกล้ามาลานึกหน้าออกอยู่คนเดียว “ไปเชิญเข้ามาสิ”
แม้จะไม่เข้าใจว่าหม่อมราชวงศ์หญิงดวงมณีจะมาหาทำไมแต่เธอก็ถือคติว่าแขกมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ เกล้ามาลาสั่งให้บ่าวไปยกน้ำมะตูมกับขนมมาให้ ส่วนเธอเดินไปหาอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้สนิทกันเสียเท่าไรเพราะอยู่คนละกลุ่ม
วิถีชีวิตของเธอกับดวงมณีในรั้วคอนแวนต์ก็ต่างกัน ในขณะที่เพื่อนกลุ่มเธออยู่เงียบๆ เรียบเฉยหรือไม่ก็เล่นดนตรีกัน กลุ่มของดวงมณีกลับทำให้ตัวเองเด่นอยู่เสมอ ออกจะวางกล้ามเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าเรียนห้องเดียวกันก็คงแทบจะไม่ได้พูดคุยกันสักคำ แม้จะเป็นนักเรียนไทยในปีนังเหมือนกันก็ตาม
“อรุณสวัสดิ์ หญิงเกล้า”
ไม่เจอกันเพียงเดือนเดียวก็ดูเหมือนดวงมณีจะมีความสุขผิดหูผิดตาขึ้นมา ยิ้มแย้มอยู่ไม่หยุดจนเธอมองอย่างสงสัย ยังไม่รู้เลยว่าควรจะตั้งรับอย่างไร
“นี่ฉันทัก ทำไมไม่ทักตอบ”
ดวงมณีค่อนแคะเพราะเธอมัวแต่ยืนนิ่งอยู่แล้วยังมองอย่างเหยียดหยาม
“อ้อ! ฉันลืมไปว่าเธอมัวแต่หดหัวซ่อนตัวอยู่ในวังสัตตบรรณไม่ยอมออกมาอยู่ตั้งนาน คงไม่รู้ว่าโลกนอกกะลาครอบของเธอมันเป็นอย่างไร ไม่รู้หรือว่าบัดเดี๋ยวนี้เขาทักทายกันอย่างไร”
“อ้าวท่าน! เหตุใดมาต่อว่าน้องสาวฉันอย่างนี้จ๊ะ” ไหมทองเถียงแทนเธอ “คนอะไร แต่งตัวก็ออกจะเปี๊ดสะก๊าดดี เหตุใดจึงปากร้ายกว่าแม่ปากตลาดเสียอีก”
“นี่หล่อน!”
ผู้มาเยือนขึ้นเสียงใส่เจ้าของบ้านและชักสีหน้าอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะมองไหมทองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเบ้ปากใส่อย่างไร้มารยาททั้งที่เกล้ามาลาก็จำได้ดีว่าครูอาจารย์ที่โรงเรียนสอนแล้วว่าทำอย่างนี้กับใคร
“ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณวรรณวาณิชล่ะสินะ เห็นไปเสนอหน้าตามงานสังคมบ่อยๆ นี่”
“ฉันก็เห็นท่านไปเหมือนกัน เรียกว่าเสนอหน้าเหมือนกันหรือไม่”
“ถึงฉันจะไปก็ไปอย่างสบายใจ ไม่ได้ไปทั้งที่ทางบ้านยังมีปัญหาอย่างหล่อนหรอก”
“ปัญหาอะไรไม่ทราบ! บ้านฉันก็สุขสบายดี”
พอไหมทองเถียงไป ดวงมณีก็หัวเราะเยาะอย่างได้ใจ ดูต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอกจนเกล้ามาลาเกรงว่าจะมีปากเสียไปกันใหญ่ แต่คนมาหาเรื่องถึงที่ยอมหยุดเสียเมื่อไรกัน
“ไม่มีปัญหาหรือ แล้วพี่สาวที่หายตัวไปเพราะมีเหตุให้ต้องถอนหมั้นนั่น หากันพบแล้วหรือแม่คนน้องจึงมีแก่ใจไปเที่ยวเล่นออกงาน หรือหากหาไม่พบ ให้ฉันช่วยหาก็ได้นะ เห็นแล้วฉันสมเพชใจเสียจริงๆ”
“คุณหญิงน้อย!” เพราะรู้สึกว่าดวงมณีจาบจ้วงครอบครัวเธอเกล้ามาลาก็เรียกอย่างสุดจะทน “มีธุระอะไรก็ว่ามาเถิด อย่าได้นอกเรื่องเลย หรือหากมาเพื่อจะพูดเพียงเท่านี้ก็เชิญกลับเถิด”
บอกอย่างนั้นดวงมณีก็ยิ่งแสยะยิ้มใส่เธอกับพี่สาวจนเกล้ามาลาเผลอขบไรฟันแน่น ลมหายใจเข้าออกรุนแรงกว่าทุกทีแต่ยังข่มอารมณ์ไว้ แต่มั่นใจเหลือเกินว่าหากเพื่อร่วมชั้นเรียนผู้นี้ยังมาดูถูกเธอและครอบครัวอีกแม้เพียงหางตา ก็จะไม่ปล่อยให้ได้เดินออกจากบ้านนี้ไปอย่างสบายใจแน่
ดีที่ว่าดวงมณีเลิกหัวเราะเยาะแล้วสอดมือเข้าไปล้วงหาของในกระเป๋าถือ จากนั้นก็ยกมุมปากให้เธอมองอีกหน ก่อนส่งการ์ดสีขาวกลิ่นหอมกรุ่นมาให้ แต่เกล้ามาลายังไม่คิดจะรับไว้เลย
“รับไปซีหญิงเกล้า” ดวงมณีสั่งเสียงเย็น “เธอควรไปร่วมยินดีกับฉันนะ แต่ฉันคงต้องเสียใจกับเธอด้วยเพราะฉันได้แจกการ์ดก่อนเธอกับคุณแสงเสียอีก เอ้… หรือที่เขายังไม่มาสู่ขอเธอเสียทีเพราะไม่คิดจะแต่งกันแน่ เธอคงไม่ได้ทำตัวเป็นดอกไม้ริมทางให้เขาเด็ดดมชมเชยจนสิ้นกลิ่นหอมแล้วก็โยนทิ้งไปหาคนใหม่ เหมือนที่เคยทำกับพี่สาวของเธอหรอกนะ”
“พูดจาเลอะเทอะ!”
“เลอะเทอะอะไรกัน วันนั้นคุณนายเหมยฮัวพูดเอง ฉันก็ยังไม่เห็นว่าเธอจะเถียงสักคำ”
คนที่ถูกแกล้งวันนั้นกลายมาเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่าในวันนี้หัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“แต่ถ้าเธอเอาคุณแสงอยู่ก็เอาไปเถิดหญิงเกล้า ฉันยกให้ เพราะว่าที่คู่หมั้นของฉันร่ำรวยกว่าคุณแสงเสียอีก เป็นถึงเจ้าของเหมืองเมืองปักษ์ใต้เชียว อย่างเธอคงไม่มีบุญเอื้อมถึงหรอก อย่างเก่งก็คงได้แค่แย่งคู่หมั้นของญาติผู้พี่มากอดกกไว้เอง”
“ออกไปจากบ้านฉันบัดเดี๋ยวนี้!” เกล้ามาลาตะคอกใส่อย่างหมดความเกรงใจ “อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก และหากฉันรู้ว่าเธอยังไม่หยุดพูดจาดูหมิ่นฉันและครอบครัว เราจะได้เห็นดีกันแน่”
“แล้วเธอจะทำอะไรฉันได้หา! หญิงเกล้า” คนมาหาเรื่องท้าทายอย่างไม่ยี่หระทั้งที่รู้ว่าเธอโกรธจนสุดจะทน “อ้อ! แต่ก็อาจจะน่ากลัวก็ได้ ฉันลืมไปว่าเธอมันร้ายเงียบเหมือนแม่ ร่านผู้ชายเหมือนกันไม่มีผิด แม่ก็คบชู้ ส่วนลูกก็แย่งคู่หมั้นพี่สาวตัวเองได้หน้าด้านๆ”
“ฉันไม่ได้แย่งนะ!” เกล้ามาลาโกรธจนเสียงสั่นพอๆ กับหมัดที่กำเอาไว้แน่น “และฉันไม่ได้ร่านเหมือนใครทั้งนั้น ถอนคำพูดแล้วขอโทษฉันบัดเดี๋ยวนี้!”
“ฉันพูดความจริง จะต้องขอโทษเพื่ออะไร” คนมาหาเรื่องยังเยาะเย้ยเธออย่างลอยหน้าลอยตา “คุณแสงนี่ก็ตาต่ำนะ มีฉันอยู่ให้เลือกดันไม่เลือก ไปคว้าเอาผู้หญิงอย่างเธอ”
“คุณแสงเขาตาถึงต่างหากจึงไม่เลือกหล่อน!”
ไหมทองก็โมโหจนลืมภาษาที่ใช้อยู่ทุกวัน จ้องผู้มาหยามถึงถิ่นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ดูไม่มีใครยอมใครเลย
“แต่คงไม่มีทางเสียล่ะ เพราะคุณแสงฉลาดมากพอที่จะไม่คว้าเอาพวกละแล้วซึ่งศักดิ์ศรี ทำตัวเป็นสินค้าเร่ ตระเวนไปเสนอตัวให้ผู้ชายถึงบ้านหวังจะตกถังข้าวสารมาเป็นเมีย ให้ได้เป็นปลิงสูบเลือดสูบเงินเขา… ผู้คนเขานินทาเรื่องก๊กคุณหญิงถังแตกไปตามงานเลี้ยงกันเสียทั่วไม่เคยได้ยินบ้างหรือไร หรือว่าหน้าหนาจนไม่สนใจจะฟังแล้วล่ะ”
“ถึงจะอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยทำตัวผิดศีลผิดกามเหมือนคนบ้านหล่อนหรอกย่ะ”
แทนที่จะรู้สึกอายบ้างที่โดนด่าว่า ดวงมณีกลับมาด่ากระทบเธอแทน
“แล้วใครหยิ่งทระนงได้เท่าคุณหญิงเกล้าล่ะ แม่ของเธออยู่กินออกหน้ากับชายชู้ ยังเชิดหน้าชูคออยู่ในสังคมได้ แล้วนี่ลูกจะเจริญรอยตามแม่ใช่ไหมถึงได้ริจะแย่งคู่หมั้นพี่สาวอีกคน แพศยาทั้งแม่ทั้งลูก!”
เจ็บเสียยิ่งกว่าถูกน้ำกรดสาด…
เกล้ามาลาได้แต่ยืนหน้าชา จากที่เคยคิดว่าจะสู้รบตบมืดกับดวงมณีได้ ก็พบเพียงแค่คำว่า ‘แพศยาทั้งแม่ทั้งลูก’ ที่ทำให้เธอหมดเรี่ยวแรงไปทันที น้ำตาไหลออกมากอย่างไม่อาจควบคุม
ไม่มีใครช่วยเธอได้ แม้ไหมทองจะตะโกนสาปส่งคนที่มาระรานถึงบ้านด้วยผรุสวาทหยาบคายแค่ไหนก็ไม่อาจฟื้นฟูหัวใจของเกล้ามาลาได้อีกแล้ว ความอัปยศที่แม่ของเธอทิ้งไว้ให้กลายเป็นตราบาปกัดกินความรู้สึกของหญิงสาวไปทุกอณู อับอายเสียจนไม่กล้าสู้หน้าใครอีกต่อไป
แต่เธอจะไม่ยอมให้ใครมาว่าอย่างที่ว่าแม่ได้ ต่อแต่นี้ไปจะเทิดไว้แต่ความดีงามไว้เหนือหัวให้สมชื่อเกล้ามาลาที่ท่านพ่อประทานให้ จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องมัวหมองอีก
และจะไม่ยอมให้ใครมาชี้หน้าด่าว่าแย่งคู่หมั้นพี่สาวอีกแล้ว!
ความคิดเห็น |
---|