4

บทที่ 4


 

บทที่ 4

                แสงภาณุหาหนังสือมาให้อีกหลายเล่มพร้อมของกินอีกหลายอย่างเพราะกลัวว่าคนที่ต้องหลบซ่อนตัวอย่างเธอจะเบื่อกับการอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่แต่โต๊ะ ตู้ เตียง และแมวอีกหนึ่งตัว

                แต่เกล้ามาลาก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทนอยู่มาได้อย่างไรถึงหกวัน และอยู่มาได้โดยไม่ได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิด เธอหลับสนิทอยู่ในห้องแสงภาณุได้ทั้งคืนโดยที่เจ้าของห้องเป็นสุภาพบุรุษที่จะรักษาสัญญาไว้เป็นอย่างดี เขาฟุบหลับอยู่โต๊ะทำงานของตัวเอง ไม่เยื้องกรายเข้าใกล้เตียง แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากให้ใครรู้อยู่ดีว่าตัวเองต้องมาซ่อนอยู่ในห้องนอนของผู้ชาย อยู่กันสองต่อสองตลอดทั้งคืน

                วันนี้เข้าวันที่เจ็ดซึ่งเกล้ามาลารู้สึกว่าตัวเองหายไข้สนิท แต่พอมองอาหารที่ชายหนุ่มมาหาให้ก็เริ่มหน้ามุ่ยเพราะมันเป็นผัดผักบุ้งมันๆ  กุนเชียงทอด และข้าวสวยเย็นชืด ซึ่งเธอเข้าใจดีว่ามันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แสงภาณุพอจะหาได้อย่างไม่ให้ใครสงสัย อีกทั้งเขายังหาจันอับและขนมอื่นๆ มาให้ เธอก็เห็นใจ แต่ของกินพวกนี้ไม่ได้บรรเทาความอยากกินอาหารพวกแกงไทยหรือผลไม้สดๆ ลงไปได้เลย

                และเธอก็ยังใช้ชีวิตเหมือนทุกวันคืออ่านหนังสือแก้ฟุ้งซ่านและเล่นกับแมวให้ความเศร้าที่เกาะกินหัวใจให้มันผ่อนคลายคง เจ้าลู่เสียนกลายเป็นเพื่อนใหม่แต่มันคงน่ารักกว่านี้มากหากไม่วางท่าเหย่อหยิ่งแล้วมองเธออย่างทาสรับใช้ บางทีเกล้ามาลาก็ยอมให้แต่บางทีก็ไม่ยอม โดยเฉพาะการให้มันขึ้นมานอนบนเตียงนุ่มที่แสงภาณุบอกว่าห้ามเจ้าตัวสกปรกนี้ขึ้นไป และเธอจะไม่ยอมให้เจ้าเหมียวทำห้องนี้เปรอะเปื้อนแน่เพราะตัวเองได้ยึดหน้าที่ทำความสะอาดไปแล้ว

แกร๊ก…

                เสียงเปิดประตูเบาๆ ทำให้คนที่กำลังเช็ดฝุ่นบนโต๊ะหนังสือรีบย่อตัวหลบเพราะกลัวจะมีคนเข้ามา เธอรู้ว่าบ้านนี้อยู่กันหลายคนไม่ใช่มีแค่แสงภาณุกับมารดาของเขาแน่ ถ้าคนที่เข้ามาไม่ใช่เจ้าของห้องนอนคงได้รู้กันว่ามีใครอยู่ในนี้

                “ผมเอง”

เสียงเรียกสั้นๆ ทำให้เกล้ามาลาค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ แต่พอพบหน้าเขา หญิงสาวก็เขินขึ้นมาอย่างหาเหตุผลไม่ได้จนต้องก้มหน้าหลบ แต่ก็ดีใจที่เจ้าของห้องกลับมาเสียทีเพราะเธอตั้งตารอมาทั้งวัน

“วันนี้ทำอะไรบ้าง” ชายหนุ่มชวนคุยระหว่างเดินเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อนเข้ามาให้ “หิวไหม กินขนมปังกัน”

“ขนมปังอีกแล้วหรือ”

“เบื่อแล้วหรือ” พอหลุดปากไปอย่างนั้นชายหนุ่มก็ถามกลับทันที “หรืออยากกินอะไร ผมจะหามาให้”

“ฉันกินอะไรก็ได้ค่ะ” รู้ตัวว่าเผลอบ่นเกล้ามาลาก็รีบกลับลำ “เท่านี้ก็ขอบคุณมากแล้ว”

“หรืออยากกินอะไรร้อนๆ ไหม” เขาถามอย่างไม่ลดละ “กินแต่ของแห้งๆ เย็นๆ ทุกวันคงเบื่อแย่”

“ฉันกินอะไรก็ได้จริงๆ ค่ะคุณแสง อย่าลำบากเลย” เห็นเขาสีหน้าไม่ดีเกล้ามาลาก็บอกอย่างเกรงใจ “เท่านี้คุณช่วยฉันมามากเหลือเกินแล้ว”

“ไหนๆ ช่วยแล้วก็ให้ผมช่วยให้ดีที่สุดเถิด” เธอเพิ่งรู้ว่าผู้ชายคนนี้ดื้อไม่เบาแต่ก็หวังดีอยู่เสมอ “เอาไว้ถึงเวลาพลางไฟจะพาลงไปหาของกินในครัวดีไหม เลือกเอาตามใจเลย”

“พลางไฟอีกแล้วหรือคะ แล้วนี่เครื่องบินทิ้งระเบิดจะมาแถวบ้านคุณไหม”

“เดาใจได้เสียที่ไหนว่าวันดีคืนดีเครื่องบินจะเอาระเบิดไปหย่อนแถวบ้านใคร”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วตอบแต่หัวเราะแห้งๆ ขึ้นมาด้วย แต่หากให้เดาแสงภาณุคงพยายามทำใจให้ปลงกับเหตุการณ์ทิ้งระเบิดที่เกิดขึ้นแต่ละหนก็มีคนตายไปไม่น้อยเลย

“รู้แค่ว่าหากไม่อยู่แถวจุดสำคัญทางการทหารก็คงไม่ต้องกลัวมาก แต่นี่อยู่มาหลายคืนแล้วยังไม่ยินเสียงเครื่องบินมาละแวกนี้ไม่ใช่หรือ”

“แล้วถ้าเกิดคืนนี้มีมาล่ะ”

“ก็ต้องรีบวิ่งลงไปหลบในหลุมหลบภัย ผมขุดไว้แล้ว”

“คนในบ้านคุณได้เห็นฉันกันพอดี”

“แล้วระหว่างโดนจับได้กับโดนระบิด จะเลือกอะไรล่ะ”

หญิงสาวเงียบไปไม่ซักไซ้อีกเพราะรู้ว่าต่อให้พูดไปก็ป่วยการ แสงภาณุเองคงรู้ดีเธอเลือกอะไร เพราะหากถึงเวลาได้ยินเสียงเครื่องบินจริงๆ เกล้ามาลาก็มั่นใจว่าจะเลือกเอาชีวิตรอดไว้ก่อน ไม่ขอตายด้วยระเบิดอย่างอเนจอนาถเป็นแน่

                แต่ที่หญิงสาวยังไม่แน่ใจคืออยากรู้ว่าแสงภาณุเป็นคนอย่างไร บางทีเขาก็ดูรอบครอบ เคร่งขรึมและรัดกุม ดูออกจะเป็นคนเคร่งเครียดเจ้าระเบียบเสียด้วยซ้ำ แต่บางทีก็ช่างต่อปากต่อคำและเล่นอะไรเป็นเด็กๆ จนเธอดูเขาไม่ออก อ่านผู้ชายคนนี้ไม่ขาดเอาเสียเลย

                ถึงอย่างไรเกล้ามาลาก็เชื่อมั่นในตัวเขา ความไว้ใจเกิดขึ้นอย่างที่เธอก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ รู้แต่เพียงว่าเป็นความรู้สึกอิ่มเอมอยู่เต็มหัวใจ

                และเมื่อแสงภาณุบอกว่าคืนนี้หลังเวลาพลางไฟแล้วจะพาลงมาหาของกินในครัว หญิงสาวก็ยอมก้าวขาออกจากห้องตามเขามา เดินลับๆ ล้อๆ กันโดยมีเพียงแสงเทียนไขนำทาง ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังทำผิดกฎหอนอนสมัยยังเป็นนักเรียนอยู่ไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เกล้ามาลาได้เห็นส่วนอื่นของบ้านที่ตัวเองมาหลบเป็นที่พักรังนอนอยู่หลายวัน

                บ้านหลังใหญ่ก่ออิฐถือปูนทั้งหลัง เหมือนตึกฝรั่งแต่แปลกตาก็ตรงที่ไม่มีประตูบานไหนตรงกันเลยสักบาน เดินทะลุให้เชื่อมต่อแต่ละห้องไปโดยสะดวกไม่ได้เหมือนที่บ้านของเธอ และเครื่องเรือนเครื่องตกแต่งหลายชิ้นมีศิลปะของจีน เน้นไปทางสีแดงและทอง แต่ก็สวยงามดูใหญ่โตโอ่อ่าแม้จะอยู่ในแสงสลัวเพียงเล็กน้อยจากปลายเทียน และมันบอกให้เกล้ามาลารู้ว่าผู้ชายที่เธอกำลังเดินตามหลังอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่แค่พ่อค้าธรรมดา

                แสงภาณุไม่ได้พูดอะไรระหว่างทางเดินไปห้องครัวที่แยกออกจากตัวตึกไปเล็กน้อยเพื่อกันกลิ่น ระหว่างทางไม่กี่เมตรหญิงสาวรู้สึกถึงความชุ่มเย็นของน้ำค้าง กลิ่นดอกไม้หอมอบอวลเข้ามาถึงในอก ทำให้รู้ว่ารอบๆ ตัวตึกคงปลูกต้นไม้มาก แต่มืดเกินกว่าจะมองเห็นว่ามีต้นอะไรบ้าง หญิงสาวจึงตั้งหน้าตั้งตาเดินตามเจ้าของบ้านต่อไป

เมื่อมาถึงที่หมาย เธอดูไม่ออกว่าเป็นครัวไทยหรือครัวจีนกันแน่ เกล้ามาลาเห็นว่ามีเนื้อก้อนหนึ่งถูกคลุมด้วยผ้าขาวบางห้อยอยู่เกือบจะกลางห้อง มีผัก ผลไม้ และไข่ไก่ วางอยู่บนโต๊ะ กะละมังด้านล่างคงขังปลาไว้เพราะกลิ่นมันคาวคลุ้งออกมา ส่วนพริกแห้ง กระเทียม หอมแดงและเครื่องเทศอื่นๆ ผูกติดอยู่กับฝาระแนงนั่นส่งกลิ่นฉุนอ่อนๆ มาติดปลายจมูก

                “ทำกับข้าวกินกันไหม”

เจ้าของห้องครัวถามราวกับจะชวนเล่นสนุกพลางหยดน้ำตาเทียนลงบนโต๊ะแล้วตั้งเทียนให้นิ่งอยู่บนนั้น ก่อนจะส่งยิ้มคะยั้นคะยอกันอีกที

“ป่านนี้บ่าวในเรือนคงเข้านอนหมดแล้ว ไม่มีใครออกมาเห็นหรอก”

                “ฉันติดเตาไม่เป็นค่ะ”

หญิงสาวตอบสั้นๆ แล้วก็นิ่วหน้าให้คนที่แท้จริงแล้วกำลังชวนเธอลงมาเล่นอะไรแผลงๆ ก่อนจะเหลือบมองหาของกินบนโต๊ะแทน

“แต่ขอลิ้นจี่และชมพูนั่นเถิด น่ากินเสียจริง”

                “ชอบกินผลไม้ก็ไม่บอก”

                พอเธอร้องขอไปแสงภาณุก็เย้ายิ้มๆ แล้วเดินผ่านความมืดเข้าไปไปหยิบผลไม้ใส่ชามมาให้ แต่หญิงสาวกลับไม่เข้าใจเลยว่าเพียงแค่เขายิ้มให้แล้วทำไมเธอต้องวูบวาบขึ้นมาจนเหมือนมีสายลมของฤดูร้อนพัดผ่านใบหน้า และถ้าห้องนี้มีแสงสว่างมากกว่าแสงเทียนดวงน้อยและแสงจันทร์ที่สาดเข้ามา คงได้มองออกแน่ว่าเลือดฝาดที่สูบฉีดขึ้นมาซับใบหน้าของเธออยู่มีมากแค่ไหน

                “นั่นใคร!”

                คราวนี้เกล้ามาลาถึงกับหน้าซีด หัวใจเหมือนร่วงไปอยู่ตาตุ่มเพราะได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคน หรือความลับจะแตกเสียแล้ว

                “อื้อ!”

                เกล้ามาลาร้องได้เท่านั้นเมื่อแสงเทียนถูกเป่าให้ดับมืดลง ร่างของเธอของถูกฉุดให้มอบลงต่ำแล้วใช้โต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องครัวเป็นกำบัง เขาดึงลงมาแล้วอุดปากไว้แน่นเหมือนตอนอยู่ป้อมพระสุเมรุไม่มีผิดเหมือนจะเตือนว่าไม่ให้ส่งเสียง แต่ดีว่าที่นี่ไม่มีศพใครให้หญิงสาวต้องสยดสยอง มีเพียงผลไม้ที่ร่วงเกลื่อนพื้นเป็นหลักฐานว่ามีหัวขโมยย่องเข้าในห้องนี้

                “นั่นใคร! ออกมาบัดเดี๋ยวนี้นะ”

ร่างสตรีในเงาตะคุ่มเอ็ดเสียงแข็งแล้วค่อยๆ เดินถือตะเกียงน้ำมันก๊าดเข้ามาอย่างระมัดระวัง และเช่นกันกับขโมยสองคนที่ซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ ขยับตัวหนีแสงไฟทีละน้อยแต่หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าคนที่โอบเอวเธออยู่นี้จะพาหนีไปรอดหรือไม่ หากถูกจับได้ขึ้นมาคงอับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแน่

“ออกมาบัดเดี๋ยวนะ!” ผู้หญิงคนนั้นขู่ซ้ำ “ฉันรู้นะว่าแกอยู่ในนี้”

“เหมียว…”

เหมือนเสียงสวรรค์ช่วยให้เธอกับแสงภาณุรอดอย่างปาฏิหาริย์ และที่นอกประตูห้องครัวนั้นผู้มาช่วยไว้ก็หันมาให้เธอมองหน้า ดวงตาของเจ้าลู่เสียนสะท้อนแสงตะเกียงลุกวาวราวลูกไฟ

“ลู่เสียน!” ผู้หญิงคนนั้นอุทานอย่างหัวเสีย “แกเองหรอกเหรอที่เข้ามาพังครัว”

ลู่เสียนไม่ตอบแต่เมินหน้าเงยไปมองทางอื่นเสียแล้ว ทว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอย่างไรต่อ ผลไม้สดที่เธอทำร่วงเกลื้อนพื้นไว้นี่จะเข้ามาเก็บไหม ถ้าเข้ามาคงได้เห็นแน่ว่าใครอยู่ในนี้

                “หน็อยแน่! ทำผิดแล้วยังจะทำเชิดหน้าอีก ระวังเถิดฉันจะฟ้องนายท่าน… ลู่เสียน!”

                ไม่รู้ว่าลู่เสียนจะคิดอะไรอยู่ เจ้าแมวน้อยจึงวิ่งเข้าในครัวชนข้าวของร่วงกระจายรวมทั้งโถใส่น้ำมันหมูด้วย ถีบทีเดียวโถก็ร่วงลงจนน้ำมันกระจายออกมาส่งกลิ่นหืนเต็มห้อง แต่ไม่น่าหนักใจเท่าที่ว่ามันกำลังจะเรียกผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในครัว แล้วแสงภาณุก็โอบร่างของเธอพาไปหลบอีกฝั่งทันที

แต่เขาจะรู้ไหมว่าไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนได้แนบชิดเธอมาถึงเพียงนี้ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนนอกจากพ่อที่ได้กอดเธอ…

หัวใจของเกล้ามาลาหวิวสั่นไปหมด มันเต้นแรงจนเหมือนจะวายตาย ไม่รู้ว่าเพราะต้องหลบซ่อนหรือเพราะอ้อมกอดของแสงภาณุกันแน่ แม้เธอรู้ว่าชายหนุ่มกำลังจะพาหนี และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โอบไว้ แต่เหตุใดคราวนี้หัวใจของเธอจึงเต้นแรงนัก

หรือเพราะคราวนี้ไม่มีศพคนตายมาอยู่ต่อหน้าให้สยองขวัญ มีเพียงอ้อมแขนของคนที่นั่งหลบอยู่ในความมืดด้วยกัน ใกล้เสียจนกลิ่นกายของชายหนุ่มฟุ้งติดจมูก เป็นกลิ่นอ่อนๆ ที่บอกไม่ถูกว่าหอมหรือไม่ แต่เป็นกลิ่นที่ทำให้หัวใจของเกล้ามาลาเต้นแรงมากขึ้นทุกทีๆ จนรู้สึกว่ามันจะสงบลงไม่ได้อีกแล้ว

“ฉันต้องถูครัวเพราะแกตัวเดียวเลย เจ้าลู่เสียน!”

                หญิงสาวผู้นั้นส่งเสียงขู่อาฆาตลู่เสียนทำให้เกล้ามาลาสะดุ้ง เหมือนถูกฉุดแรงๆ ให้ตื่นจากฝันหวาน มาพบความจริงที่ว่าเธอต้องหลบใครอยู่ แต่เพียงครู่เดียวที่บ่นเสร็จคนหัวเสียก็กระวีกระหวาดเดินออกจากครัวไป แต่นี่เท่ากับเธอหลบพ้นแล้วใช่ไหม

                “รีบกลับขึ้นห้องกันเถิด… โอ๊ย!”

                แสงภาณุกระซิบผ่านความมืดและคว้าข้อมือเธอให้ลุกขึ้นก่อน แต่ไม่ทันที่จะได้ขยับตัว เขาก็ร้องเสียงหลงทำหญิงสาวเป็นห่วงจนหน้าซีดใจเสียไปหมด

                “เป็นอะไรคุณ!”

                “ลุกชนเหลี่ยมโต๊ะ” ชายหนุ่มกัดไรฟันบอกเสียงอ่อน “ไม่เป็นหรอกขึ้นห้องกันก่อนเถิด ประเดี๋ยวมีคนเห็นจะแย่”

                คงเพราะทั้งมืดทั้งรีบแสงภาณุจึงซุ่มซ่ามเอาเสียง่ายๆ แต่ก็ดูไม่ได้ใส่ใจกับอาการเจ็บปวดของตัวเองเท่าไรนัก เขาไม่ลืมหักแท่งเทียนออกจากโต๊ะเพื่อเก็บหลักฐาน แล้วมุ่งหน้าแต่จะพาเธอกลับขึ้นห้องนอนเสียมากกว่า กระนั้นเกล้ามาลาก็ยัดอดคิดไม่ได้ว่าหากเธอไม่เผลอบ่นเรื่องของกิน เขาก็คงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้

                แสงภาณุเจ็บตัวเพราะเธอแท้ๆ เลย…

 

                “คุณยังเจ็บอยู่ไหมคะ ฉันขอดูไหล่หน่อยสิ”

                กลับเข้าห้องนอนมาอย่างปลอดภัยได้ เกล้ามาลาก็ถามอย่างเป็นห่วง แต่คนเจ็บนี่ซียังมีแก่ใจเดินไปหรี่ตะเกียงเจ้าวายุให้มีแสงเพิ่มขึ้นมาทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาพลางไฟเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตของเครื่องบินทิ้งระเบิด หรือที่เขารีบหาแสงสว่างให้ตัวเองก็เพราะเข็ดจากการลุกในความมืดแล้วไหล่ไปชนเหลี่ยมโต๊ะเข้าเต็มๆ

                “นิดหน่อยเองคุณ”

                “พุทโธ่… ขอฉันดูสักนิดว่าช้ำไหม ฉันเป็นห่วง”

                บอกไปอย่างนั้นแล้วแสงภาณุก็หัวเราะอึงๆ อยู่ในลำคอจนคนเป็นห่วงถึงกับนิ่วหน้า ไม่เข้าใจเลยว่าหัวเราะอะไรของเขาทั้งที่เธอกังวลอยู่แท้ๆ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ดึงคอเสื้อผ้าฝ้ายบางๆ ที่เขาสวมนอนคู่กับกางเกงแพรให้เธอดู มองผ่านแสงของตะเกียงแล้วเกล้ามาลาก็หน้าเสียอยู่เหมือนกัน

                “ช้ำเป็นปื้นเชียวค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างเป็นกังวล “ที่บ้านมีลูกประคบไหม นึ่งมาประคบเถิด”

                “ลงไปนึ่งด้วยกันไหม”

                “ยังไม่เข็ดอีกหรือ!” ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ถึงกับเสียงหลง “ดีที่เจ้าลู่เสียนมาป่วนให้ครัวเละเทะเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเราคงแย่”

                “ตอนเด็กๆ มันก็เป็นอย่างนี้ประจำนั่นละ แต่แปลกนะ มันไม่วิ่งชนของแตกเสียหายมานานแล้ว” เจ้าของลู่เสียนเลิกคิ้วบอก “แต่คุณก็อดกินผลไม้พวกนั้นเลย ไว้พรุ่งนี้จะเอาขึ้นมาให้ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณนะคะ” เธอเห็นความหวังดีของเขามากกว่าเห็นแก่ของกิน “แต่ฉันว่าคุณไปหาลูกประคบมานวดก่อนเถิด ทิ้งไว้นานๆ คงไม่ดี”

“ผมมีน้ำมันนวดอยู่ในกระเป๋า ถ้าจะเมตตาช่วยทายาให้หน่อย เอื้อมมือนวดเองคงมองไม่ทั่วว่าช้ำตรงไหนบ้าง”

เกล้ามาลาไม่ตอบแต่ถือวิสาสะหิ้วตะเกียงเจ้าวายุไปที่โต๊ะทำงานแล้วลงมือค้นกระเป๋าหาน้ำมันนวดที่ว่านั่น ระหว่างที่คนเจ็บไหล่ก็เดินเข้ามา แล้วเลื่อนตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะข้างๆ กัน ก่อนจะดึงคอเสื้อเปิดไหล่ให้เธอมอง คงอยากให้ช่วยทายาเต็มทีแล้ว

“เหตุใดจึงพกน้ำมันนวดไว้ในกระเป๋าคะ” เกล้ามาลาถามระหว่างป้ายยาทาให้คนเจ็บ “ปกติซุ่มซ่านเดินชนนั่นชนนี่บ่อยหรือ”

“ปวดหลังต่างหาก จึงหามาติดไว้กระเป๋าไว้ ว่างๆ ก็ใช้ผู้ช่วยที่ห้างนั่นแหละช่วยนวดให้”

“ปวดหลัง…”

ได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็คิ้วขมวดเพราะคิดตาม แต่ไม่นานก็ร้องเสียตาเบิกโต เพิ่งรู้ว่าตัวเองลืมอะไรไป

“ตายจริง! ฉันลืมไปเลยว่าคุณนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ที่โต๊ะนั่นมาตั้งหลายคืน”

“ไม่หรอก บางคืนผมก็ลงมานอนเหยียดบนพื้น แต่ตื่นก่อนคุณทุกที”

“ยังจะมาพูดเล่นอีกนะคะ” หญิงสาวค้อนให้รอยยิ้มน้อยๆ ของคนอารมณ์ดีที่ยังนั่งให้เธอนวดไหล่ให้แต่ไม่วายยังเป็นห่วงเขาอยู่ดี “แล้วนี่ยังปวดหลังอยู่หรือไม่”

“ก็ตึงๆ นะ”

พอเขาตอบอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ถอนหายใจยาวแล้วเผลอส่ายหน้า แต่เร็วเท่าความคิด หญิงสาวจับคนปวดหลังนั่งให้ตรงแล้ววางมือลงบนไหล่เขาเสียเลย ถ้าจะนวดให้ผู้มีพระคุณซ้ำยังเสียสละความสุขส่วนตัวให้เธอได้อยู่อย่างสะดวกสบายคงไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดใช่ไหม

“ทำอะไรคุณ!”

“อยู่นิ่งๆ ซีคะ ฉันจะนวดให้”

เกล้ามาลาเอ็ดจนเขาสะดุ้งเบาๆ แล้วคนบ่นว่าปวดหลังก็นั่งนิ่งให้เธอนวด กดตรงไหนแล้วจะหายปวดเหมื่อยเธอก็พอรู้เพราะเคยมีหมอแผนโบราณมาสอนนวดให้คนป่วยมาก่อน แสงภาณุนับว่าเป็นคนที่สองที่หญิงสาวได้ลองวิชา

“โอ๊ย!”

                ผู้ชายตัวโตๆ เผลอร้องลั่นเพราะเธอกดจุดให้ ทำเอาเกล้ามาลาก็ตกใจตาม สงสัยว่าเขาไม่เคยมีใครมานวดให้อย่างที่เธอนวดมาก่อนหรือ เพราะบีบถูกจุดเข้าหน่อยก็ร้องเสียงหลงทีเดียว แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมวางมือ หากนวดแล้วก็ต้องนวดกันให้สุดครบตามที่เรียนมาเพื่อว่าเขาจะได้หายปวดหลังเสียที

                “พอแล้วคุณ! พอแล้ว!”

                ยิ่งนวดให้แสงภาณุก็ยิ่งร้อง ตาชั้นเดียวนั้นหยีย่นไปหมดจน บางทีก็น่าสงสารแต่เกล้ามาลาอดขำไม่ได้ หัวเราะแล้วก็ยอมวางมือปล่อยเขาออก คนเป็นอิสระก็ดีดดิ่งจากมือเธอไปเสียแรง

                “ตายแล้วคุณ! หกหมดเลย”

                เกล้ามาลาไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตกลงที่ชายหนุ่มไหล่ชนโต๊ะนั่นเป็นเพราะความมืดหรือเขาซุ่มซ่ามเป็นนิสัย พอดิ้นออกจากมือของเธอไปแสงภาณุก็ไปชนกับขวดน้ำมันนวดเสียจนมันหกเลอะพื้นไม้ขัดมัน ก้าวเพียงก้าวเดียวแสงภาณุก็เสียหลักล้มไปแล้ว แต่ทำไมเขาต้องมาคว้าเอาเธอเป็นที่ยึดไว้ด้วย ร่างบอบบางเพียงเท่านี้จะรั้งผู้ชายตัวโตๆ ไว้ได้อย่างไร

“ว้าย!”

                หญิงสาวร้องเต็มเสียงเพราะร่างน้อยพลาดล้มลงไปด้วย แต่ไม่ได้เจ็บเลยเพราะมีอีกคนเป็นเบาะนุ่มรองรับอยู่ ทว่าเธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว ได้แต่นอนตัวแข็งเกร็งอยู่บนร่างของคนที่เสียหลักล้มลงไปนอนแผ่หลังอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง แนบชิดเสียจนริมฝีปากของหญิงสาวประทับอยู่บนลำคอของเขา

ปัง!

เสียงประตูเปิดแรงราวกับว่ามันถูกพังเข้ามาจนหญิงสาวหัวใจจะวาย แต่แสงภาณุเหมือนจะตั้งสติได้ก่อนเธอเพราะชายหนุ่มรีบยันตัวลุก ทว่าคนตกใจกลับยังทำอะไรถูกจนกลายเป็นว่ามาอยู่ในอ้อมกอด สองแขนของชายหนุ่มยังโอบประคองราวกับรู้ว่าเธอยังตั้งสติไม่ได้ แต่มันก็จริงเพราะเกล้ามาลาทำอะไรไม่ถูกอีกแล้วเมื่อเห็นคนนับสิบถือตะเกียงมายืนอออยู่ที่หน้าประตูห้องนอน แล้วมองมายังสองคนที่ยังประคองกอดกันอยู่

ทุกคนที่ช่วยกันพังประตูเข้ามานั้นมองเป็นตาเดียวราวกับว่าทั้งเธอและเจ้าของห้องนอนทำความผิดใหญ่หลวงไว้ แต่ก็ใช่ นี่มันเรื่องใหญ่เกินกว่าจะตั้งสติรับไหว เธอถูกจับได้เสียแล้ว!

“ไอ้หยา! อาหมิง!”

                หญิงวัยกลางคนในชุดกี่เพ้าสีเขียวสดร้องเสียงหลง ใบหน้าใต้แสงตะเกียงนั้นเผือดสี ดวงตาเหลือกถลนแต่อ้าปากค้างไป แล้วชี้มือมาทางเธอกับแสงภาณุจนนิ้วสั่นระริก

                “ทำอะไรกัน เตียงก็มี ย้ายมาที่โต๊ะทำไม มิน่าร้องเสียงดังกันนัก”

                “เปล่านะครับ!”

แสงภาณุร้องเสียงหลงไม่แพ้กัน แต่เธอนี่สิแทบจะไม่ได้หายใจอีกแล้ว ยิ่งสบตาทุกคนที่พังประตูเข้ามา เกล้ามาลาก็ยิ่งอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ดวงตารื้นไปด้วยน้ำร้อนๆ เมื่อความอดสูเข้าแผดเผา ลำคอตีบตันจนพูดไม่ออกเลย

                “แล้วลื้อเอาผู้หญิงที่ไหนมาซ่อนไว้ห้องนอน บอกหม่าม้ามาบัดเดี๋ยวนี้นะ!”

                “หม่าม้าใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ผมจะเล่าให้ฟังนะ”

แสงภาณุถอนหายใจยาวแต่ก็สีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะทุกสายตายังมองมาที่เขาอย่างสอดรู้สอดเห็น และเป็นสายตาที่ทำให้เกล้ามาลาหน้าชาไป น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เพราะอับอายเกินทนเมื่อถูกคนมากมายจับได้ว่าเธอกอดกกอยู่กับผู้ชายในห้องนอน

“พวกลื้ออกไปก่อน ไป”

หญิงวัยกลางคนในชุดเขียวตวัดสายตามองพวกคนที่น่าจะเป็นบ่าวในบ้านอย่างเหนื่อยใจ แต่ทุกคนยังยืนนิ่งไม่ยอมไปไหนราวกับไม่ได้ยินคำสั่ง จนต้องหันไปถลึงตาใส่อีกหน

“ออกไปสิ! จะมายืนฟังเจ้านายคุยกันหรืออย่างไร ไป๊!”

สั่งเพียงเท่านั้นบ่าวที่ตามนายผู้หญิงมาก็ถึงกับวิ่งกระเจิงเป็นผึ้งแตกรังไปคนละทิศละทาง คงต้องหนีไปให้ไกลจากหน้าประตูห้องนอนของแสงภาณุให้มากที่สุด ทว่าเมื่อบ่าวทุกคนจากไปเกล้ามาลากลับรู้สึกว่าอากาศมันเย็นเยือกลงมากกว่าเดิมหลายเท่า และหนาวจนหัวใจสั่นเพราะต้องสบตากับนางพญาที่ดูทรงอำนาจเหลือเกิน

“เอาล่ะอาหมิง ลื้อมีอะไรจะสารภาพกับหม่าม้าไหม”

 

ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของแสงภาณุ แต่ทำไมจึงเรียกเขาว่า ‘อาหมิง’ เกล้ามาลาก็ยังไม่รู้ แต่ว่าตอนนี้เธอหายใจไม่ออกเพราะสายตาจากสตรีวัยทองยังจับจ้องอยู่ไม่ว่าง

เจ้าของสายตาดุดันปนคาดโทษคู่นั้นยังจ้องอยู่จนเกล้ามาลาตกประหม่า ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยมีใครมองเธออย่างนี้เลยสักครั้งเพราะเธอเองก็ไม่เคยทำผิด ไม่เคยถูกผู้ใหญ่โกรธ ทว่าเรื่องราวครั้งนี้ใหญ่โตและคาดไม่ถึง หญิงสาวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะถูกจับได้ในข้อหาเข้ามากินนอนอยู่ในห้องส่วนตัวของผู้ชาย อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าซุกไว้ที่ไหนอีกแล้ว

แต่เรื่องมันแดงขึ้นมาปานนี้คงแก้ไขอะไรไม่ทัน จะหนีก็ยังไปไหนไม่ได้ และในห้องนอนของชายหนุ่มบัดนี้หลอดเปิดไฟสว่างราวกับไม่สนใจอีกต่อไปว่าต้องพลางไฟให้เพื่อหลบลี้เครื่องบินทิ้งระเบิด นั่นเป็นเหมือนสัญญาที่บอกให้เกล้ามาลารู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับเรื่องใหญ่ เรื่องที่สตรีในชุดกี่เพ้าผู้นี้เห็นว่ามันต้องจัดการให้เสร็จสิ้นมากกว่าจะมานั่งหลบภัยสงคราม

“มิน่าของกินในครัวถึงได้หายทุกวัน แล้วลื้อยังมาสั่งห้ามคนไม่ให้เข้ามาทำความสะอาดอีก นี่ซ่อนกันมาหลายวันล่ะสิท่า ถึงเบื่อจนต้องชวนกันออกไปหาของกินข้างนอก”

หลังจากเปิดไฟเสร็จแล้วนั่งกันเงียบๆ อย่างอึมครึมอยู่สักพัก แม่ของแสงภาณุก็บ่นยาวขึ้นมาแล้วมองลูกชายอย่างคาดโทษระคนเจ็บใจ แต่ก็ทำให้ทั้งคู่รู้ว่าการลงไปเล่นซนในครัวนั้นทำให้ความลับแตกจนเจ้าของบ้านถึงกับให้บ่าวช่วยกันพังประตูเข้ามาจับผิดลูกชายถึงในห้องนอน

“อาหมิงนะอาหมิง หม่าม้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเอาอีมาซ่อนด้วย”

คนที่ถูกลูกชายพามานั่งยังโต๊ะทำงานบ่นไปก็โบกพัดจีนอยู่ไม่หยุด เหมือนว่ายิ่งโมโหเท่าไรก็เอาแรงไประบายกับพัดนั่น

“ถึงลื้อจะพาเมียเข้าบ้านหม่าม้าก็ไม่ว่าหรอกนะ ไม่อย่างนั้นอาป๊าลื้อจะมีเมียน้อยเป็นตั้งสามคนให้ลื้อมีน้องสาวเป็นโขยงได้อย่างไร เห็นหม่าม้าเป็นพวกใจยักษ์ใจมารไปตั้งแต่เมื่อไรหา!”

ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็ยิ่งหน้าเสีย ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่มีเจ้าของห้องนอนยืนอยู่ข้างกัน แต่พอนึกจะอ้าปากอธิบายเธอก็พูดไม่ทัน แม่ของแสงภาณุชิงพูดขึ้นมาก่อนอีกทีแล้วจ้องเสียตาเขม็งทีเดียว

“แล้วลื้อชื่อแซ่อะไร อาหมวย”

“เกล้าค่ะ”

หญิงสาวพูดได้แค่นั้นก็เงียบไปเพราะมีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในใจ แล้วตัดสินใจว่าจะตอบเพียงเท่านั้น แต่ตอบเท่านี้ก็คงมากพอที่จะให้ผู้ใหญ่พอใจเพราะสายตาที่มองเธอนั้นเปลี่ยนจากคาดโทษมาเป็นมองอย่างสนใจใคร่รู้ ราวกับจะสำรวจและมองให้ทะลุเข้ามาถึงหัวใจของเธอ

“อ้อนแอ้นเอวบาง ผมยาวสลวยราวเส้นไหม ผิวก็ขาวราวไข่ปลอก เนียนละเอียดเกลี้ยงเกลา ดูนุ่มนิ่มไปทั้งเนื้อทั้งตัว ไม่เคยตากแดดนานๆ หรือกร่ำงานหนักมาก่อนใช่หรือไม่”

หลังจากมองกันหัวจรดเท้ามารดาของชายหนุ่มก็วิเคราะห์เธอออกมาพร้อมรอยยิ้มกระหยิ่มที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าทว่าไม่ทราบเจตนา

“จริตจะก้านอย่างนี้ ดูอย่างไรก็ลูกดี อย่ามาโกหกอั๊วเสียให้ยาก”

“ค่ะ”

“ลูกเต้าเหล้าใคร บอกมา”

“ไร้ญาติขาดมิตรไปแล้วค่ะ บอกไปก็เท่านั้น”

“แล้วบอกไม่ได้เทียวหรือ!”

“หม่าม้าครับ” แสงภาณุคงรู้ว่าเธอไม่อยากบอกเรื่องครอบครัวจึงขัดขึ้นมาช่วย “คือว่าทางบ้านของน้องถูกทิ้งบอม คงสะเทือนใจ หม่าม้าอย่าเพิ่งซักไซ้เลยนะครับ”

“ให้ท้ายกันจริงๆ! นี่ลื้อหลงเมียใช่ไหมอาหมิง” ผู้ใหญ่บ่นอย่างหัวเสียแต่ก็ดูไม่ได้จริงจังนัก “แล้วนี่ลื้อหัดทำตัวเจ้าชู้ตั้งแต่เมื่อไรหา มีเมียมาซ่อนไว้อย่างนี้แล้วเรื่องแต่งงานจะทำอย่างไร ยังจะแต่งอยู่ไหม”

“ฉันไม่ได้จะแต่งงานกับคุณแสงนะคะ!”

เกล้ามาลารีบแทรกเพราะกลัวว่าหากเธอเอาแต่นิ่งแล้วเรื่องจะไปกันใหญ่ ทว่าแม่ของแสงภาณุกลับนิ่วหน้าใส่ราวกับเธอพูดอะไรผิดไป แล้วหันไปค้อนลูกชายอีกหน

“ไฮ้… อั๊วไม่ได้หมายถึงว่าจะให้แต่งกับลื้อ”

คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวหน้าชามากกว่าตอนถูกจับได้เสียอีก แล้วหัวใจก็ยิ่งสั่นหวิวเพราะแสงภาณุก็หน้าเสียไปเมื่อถูกมารดาจ้องหน้าราวกับจะเอาคำตอบจากปากลูกให้ได้ทันใจตัว

“หมายถึงอาช่อทิพย์ต่างหาก ยังจะแต่งกันอยู่ไหม ถ้าคู่หมั้นลื้อมารู้ว่าลื้อแอบมีเมียก่อนจะแต่งงานไม่กี่เดือนนี่ อีจะว่าอย่างไร”

“คุณแสง…”

เกล้ามาลาเผลอเรียกชื่อคนที่ดูแลเธออย่างดีมาตลอดหลายวันด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครมาดับแสงสว่างในหัวใจ และทำได้เพียงยืนมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา คำถามหลุดออกมาจากหัวใจอย่างไม่อาจควบคุม

“คุณ… มีคู่หมั้นแล้วหรือ”

“ขอผมคุยกับแม่ก่อน คุณนอนก่อนแล้วกัน ไม่ต้องรอ”

เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามเธอ!

เกล้ามาลารู้สึกอย่างนั้นเพราะชายหนุ่มเดินเข้าไปประคองมารดาให้ลุกจากเก้าอี้แล้วโอบเอวหนาพาเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ยอมสบตาเธออีกเลย สั่งความไว้แล้วก็เดินหนีอย่างนี้หรือ ไม่มีความรับผิดชอบหรือไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามกันแน่เธอก็เดาใจเขาไม่ออก รู้แต่เพียงว่าปวดหัวใจเหลือเกินเมื่อไม่ได้คำตอบ แล้วต้องมายืนมองแสงภาณุเดินให้หลังจากไปทั้งๆ ยังมีเรื่องค้าคางกัน

แล้วจะให้เธอเข้านอนตามที่ชายหนุ่มสั่งไว้ได้อย่างไรในเมื่อหัวใจยังว้าวุ่นเกินกว่าจะข่มตาให้หลับ ดวงตาของเกล้ามาลาเอ่อล้นไปด้วยน้ำรื้อขึ้นมาเต็มดวงเมื่อประตูห้องปิดลง น้ำตาร่วงไหลเป็นสายอย่างรั้งไม่อยู่ รู้สึกไม่ต่างจากโลกใบใหญ่ที่เพิ่งมีแสงสว่างไสวนั้นดับวูบลงไปในพริบตาเดียว

แสงภาณุไม่ได้เป็นของเธอเพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว โลกข้างนอกห้องนอนนั้น เขาไม่ใช่ของเธอเลย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น