บทที่ 7
เกล้ามาลาปวดไปทั้งตัวเหมือนร่างกายจะขาดออกจากกัน ยิ่งลำแขนก็ยิ่งร้าวจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วแสงสลัวตอนย่ำรุ่งก็ทำให้เธอเห็นว่าตัวเองถูกมัด
คนตกใจถึงกับตาเหลือก และนึกไม่ออกเลยว่าใครจะมาจับเธอมัดไว้ในห้องนี้ได้ถ้าไม่ใช่แสงภาณุ แต่เขาทำไปเพื่ออะไร ประสงค์ดีหรือร้าย เพราะเท่าที่จำได้ครั้งสุดท้ายที่พบกันคือเป็นตัวเองที่ไปกอดเขา กระนั้นชายหนุ่มยังว่าเธอเป็นไข้จนเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ หลังจากนั้นเธอก็มึนงงไปหมด แต่หากเป็นเขาที่มัดจริงแล้วตอนนี้เจ้าตัวอยู่ที่ไหน
“คุณแสง!”
เอี้ยวคอมองเพียงนิด คนที่ถูกมัดติดอยู่กับเตียงก็ร้องเรียกอีกคนที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ แม้จะไม่มีแสงไฟ แต่แดดรำไรยามใกล้รุ่งก็ส่องให้มองเห็นเขาอย่างชัดเจน
“คุณแสง มาแก้มัดให้ฉันบัดเดี๋ยวนี้นะ”
“อื้ม…”
คนที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ครางสะลึมสะลือ ลุกขึ้นมาขยี้ตาราวจะงัดแผ่นเหล็กหนักๆ ให้มันเปิดออก ทำอย่างกับไปอดนอนที่ไหนมาแล้วเพิ่งได้หลับ และยังดูงุนงงตอนที่ตื่นมามองหน้าเธอ
“ตื่นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
“แก้มัดให้ฉันซี” เธอสั่งซ้ำแล้วยังเผลอทำหน้างอเป็นม้าหมากรุกอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “เร็วซีคะ ปวดเหมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว”
“แล้วผมจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะไม่ลุกขึ้นมากอดผมอีก”
เกล้ามาลาอายจนหน้าชาแต่ทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากหลบสายตาเขา ยิ่งคิดเรื่องเมื่อคืนก็ยิ่งอาย ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานที่ไหนเข้าสิงให้เธอไปกอดผู้ชายได้ ควบคุมตัวเองไม่อยู่เลย อาการหนักเข้าก็มึนงงจนจำอะไรแทบไม่ได้ แต่เดชะบุญว่าผู้ชายคนนี้เป็นแสงภาณุ ไม่อย่างนั้นเธอคงเหลวแหลกไปหมดแล้ว
“เมื่อคืน… ฉันทำอะไรไปบ้าง”
“จำได้ว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
ชายหนุ่มถามกลับราวกับว่าเธอจะไม่อายที่ต้องตอบ แต่เกล้ามาลาก็จำไม่ได้มากกว่าไปกอดเขา หลังจากนั้นก็มึนงง รู้ตัวอีกทีก็ถูกมัดไว้เสียแล้ว
“ก็… ไปกอดคุณ”
เกล้ามาลาตอบอย่างกระดากปาก อายแสนอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็อยากได้คำยืนยันจากปากของคนที่รู้เห็นทุกอย่างมาด้วยกัน
“เท่านี้ใช่ไหมคุณแสง”
“เท่านั้นก็เท่านั้น”
เขาตอบแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเหลือบมองพื้นเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างไม่ยอมมองหน้ากัน
“เมื่อคืนได้ยินคุณบ่นว่าร้อนๆ ผมนึกว่าได้ไข้จึงเช็ดตัวให้ แต่เท่าที่ดูอาการแล้วผมสงสัยว่าจะเป็นเพราะยาหม้อ จึงรีบมัดไว้ไม่ให้ได้ออกฤทธิ์เสียก่อน”
“แค่นั้นจริงๆ นะ”
“จริง”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆ แต่เสียงสูงผิดปกติจนเกล้ามาลามองเขาอย่างหวาดระแวงขึ้นมา แต่ถ้าเขาทำอะไรมากกว่านั้นจริงๆ คงไม่จับมัดไว้แล้วถอยตัวไปนอนที่โต๊ะเหมือนเดิม อีกอย่างหนึ่งคือเธอคิดว่าแสงภาณุไว้ใจได้ อยู่ร่วมห้องมาหลายคืนเขาก็ไม่เคยทำให้ลำบากใจเลยสักนิด แล้วจะมาล่วงเกินเธอได้อย่างไร… แต่เธอก็ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดซ้ำอีกไม่ได้แล้ว
“ฉันว่าฉันคงต้องไปจากบ้านนี้แล้ว”
“ทำไมล่ะ!”
“อยู่ต่อไปแม่ของคุณก็คงเอายาให้ฉันกินอีก” เกล้ามาลาถอนหายใจแรงใส่คนที่ถามกันเสียหน้าตื่นเสียงหลง “แม้ไม่ให้กินตรงๆ คงได้แอบวางยากัน คุณก็ได้ยินว่าท่านอยากได้หลาน”
“แต่จู่ๆ คุณก็ไป คนในบ้านจะไม่สงสัยหรือ”
แสงภาณุหน้าเสียไปเมื่อได้ยินว่าเธอจะไปจากบ้านนี้ ทำหน้าเหง้างอเป็นเด็กอย่างชัดเจนแต่ก็เหมือนว่าเขาไม่มีเหตุผลจะแย้งมากไปกว่าที่ถามเธอ
“หากมีใครมาถามก็บอกว่าฉันกลับไปทำธุระที่บ้านแล้วกันค่ะ” เกล้ามาลายังยืนยันว่าเธออยู่ที่นี่ไม่ได้และรู้ว่าต้องหาเหตุผลมาอ้างอย่างประนีประนอมที่สุดด้วย “เมื่อนานเข้าคุณก็บอกคนอื่นไปว่าเราเลิกรากัน อย่างนี้น่าจะพอฟังขึ้น จะได้ไม่มีใครมาสงสัยเรื่องที่เรากุขึ้นมาด้วย”
“แต่คุณอยู่กับผมที่นี่ไม่ได้หรือเกล้า”
“จะให้ฉันอยู่แล้วแม่ของคุณก็วางยาฉันอีกอย่างนี้หรือ”
ถูกถามกลับอย่างนั้นแสงภาณุก็เงียบไปคล้ายว่าพูดอะไรไม่ออกอีก แต่ในใจเธอก็อยากให้เขาอนุญาต เพราะถึงจะต้องกลับไปอยู่บ้านที่หนีออกมา ก็ยังดีกว่าอยู่ที่นี่ต่อเป็นไหนๆ กลับไปอยู่บ้านให้อายอย่างไรก็คงดีกว่าต้องมาเสี่ยงจะเสียนวลเสียนางให้คนที่เอาตัวเธอมาซ่อนหลบภัย แม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนดี ไม่เคยเอาเปรียบล่วงเกินแต่ก็ไม่กล้าไว้ใจว่าแสงภาณุจะอดทนกับธรรมชาติของบุรุษเพศได้ตลอด และถึงจะเป็นคนดีแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ใช่สามีของเธอ
“จะกลับไปอยู่บ้านใช่หรือไม่” แสงภาณุถามอย่างหนักใจ “แล้วเราจะได้พบกันอีกไหม”
“หากย้ายที่อยู่ ฉันสัญญาว่าจะบอกคุณค่ะ” หญิงสาวตอบไปอย่างที่ใจสั่งเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วง “ส่วนจะได้พบกันอีกหรือไม่นั้น ฉันว่าคงได้ ก็คุณบอกว่าจะให้ฉันทำงานเป็นผู้ช่วยไม่ใช่หรือ”
“จะมาทำงานกับผมแน่นะ”
“ฉันกลับไปนั่งงอมืองอเท้าอยู่ที่บ้านไม่ไหวหรอกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คุณกลับไปจัดการเรื่องที่บ้านวันหนึ่ง แล้วไปเริ่มงานที่ห้าง ตกลงหรือไม่”
ชายหนุ่มเจ้ากี้เจ้าการให้เสร็จสรรพราวกับว่าเธอจะตอบว่า ‘ไม่ตกลง’ ไม่ได้ เกล้ามาลาจึงรับปากไป เขาก็ยิ้มขึ้นมาได้อีกหน
“แล้วผมจะไปส่งคุณที่บ้านด้วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้” พอไม่อยากให้เขาไปเห็นบ้านเกล้ามาลาก็รีบปฏิเสธ “อย่างไรเสียก็จะไปทำงานกับคุณอยู่แล้ว วันมะรืนเราก็พบกันอยู่ดี”
“ครับ”
แสงภาณุถอนหายใจแรงราวกับยอมแพ้ต่อเหตุผลของเธออย่างสิ้นท่า เขาคงเข้าใจว่ามันลำบากใจแค่ไหนหากต้องเมายาแล้วเกิดเรื่องอย่างเมื่อคืนอีกจึงยอมปล่อยไป ให้เธอได้อยู่ในที่ที่สบายใจ แต่แววตาของชายหนุ่มที่มองอยู่ก็บอกชัดเช่นกันว่าจะปล่อยไปเพียงตัว
แต่ทั้งชีวิตของเธอจะอยู่ในสายตา ไม่หลุดรอดไปไหนอีกแล้ว แม้จะอยู่แห่งใดบนโลกใบนี้ก็ตาม…
หลังจากที่เขาตามใจให้กลับบ้าน แสงภาณุก็ขอให้ไปลาทุกคนในครอบครัวก่อนซึ่งหญิงสาวเห็นด้วย คิดว่าจะบอกในเวลาเคารพผู้ใหญ่ตอนเช้า
พอรู้ตัวว่าต้องไป ความรู้สึกผูกพันกับบ้านนี้ก็ชัดเจนมากขึ้นทุกที อาจเพราะเธอซ่อนตัวหลบภัยมาหลายวันและได้รู้จักทุกคนฉันญาติมิตร ผู้ใหญ่ก็เอ็นดูเพราะเข้าใจว่าเธอเป็นสะใภ้ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและดูแล เลี้ยงข้าวน้ำไม่ขาดตกบกพร่อง จะให้ตัดรอนอย่างไปไม่ลามาไม่ไหว้ก็รู้สึกไม่ดี ทว่าเมื่อตั้งใจลงมาเอ่ยคำลาหญิงสาวกลับไม่ได้พูด ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ให้ยกมือไหว้ขอบคุณเลยสักคน
“ออกไปศาลเจ้ากันหมดเลยซ้อ”
อาเน้ยที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารแค่คนเดียวบอกเนิบนาบเมื่อเธอกับแสงภาณุลงมาถึง
“บอกว่ามีซินแสชื่อดังมาจากเมืองปากน้ำโพ ก็เลยออกไปแต่เช้า กลัวคนจะเยอะแล้วไม่ได้เข้าพบซินแส ข้าวปลาก็ไม่ยอมกินกันสักคน ไม่รู้จะเป็นลมกลับมาหรือเปล่า”
“แล้วจะออกไปหาซินแสทำไม”
“ไม่รู้ซีเฮีย” คนเป็นน้องก็ทำหน้าไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกัน “ไว้กลับมาค่อยถามแล้วกัน แต่อั๊วขอกินข้าวก่อนนะ หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
พอพี่ชายอนุญาตอาเน้ยก็ลงมือกินข้าวเช้า เป็นอาหารจีนที่เกล้ามาลากินมาหลายวันจนชักจะเลี่ยนน้ำมันแต่ก็ไม่ปริปากบ่นเพราะเท่าที่บ้านนี้ให้ข้าวกินก็ดีเหลือเกินแล้ว และมื้อนี้คงเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่เธอจะกล่าวคำลา ให้จดจำรสชาติอาหารไว้คงดีกว่าจะเบื่อหน่ายมัน
“เฮียหมิง”
นั่งกินข้าวกันสักพักเกล้ามาลาก็สะดุ้ง ไม่ชินเลยกับการมีคนมาตะโกนโหวกเหวกอย่างนี้ แต่มันคงเป็นเรื่องธรรมดาของบ้านแสงภาณุไปแล้วกระมัง ถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยเธอคงชินไปเอง เสียดายแต่ว่าต่อไปนี้จะไม่ได้อยู่อีกแล้ว
แต่พอเห็นผู้หญิงอีกคนที่อุ้มทารกเล็กๆ แนบอกเดินเข้ามาหา พร้อมบ่าวเดินหิ้วตะกร้าใส่ของสำหรับเด็กอ่อนมาอีกสองคนก็ทำให้เธอลืมเรื่องนั้นไป แล้วเพ่งมองสาวชุดสีฟ้าลายดอกไม้ที่ยังไม่ได้ถอดหมวกอย่างสนใจเพราะเห็นอุ้มเด็กมาด้วย ใจยังนึกระแวงด้วยซ้ำว่านี่เป็นภรรยาของแสงภาณุหรือเปล่า เหตุใดจึงเร่งมาหานัก แล้วอาเน้ยยังยกมือไหว้อีกต่างหาก
“เป็นอะไรหรือเปล่าอาลั้ง ทำไมหอบลูกมาอย่างนี้” แสงภาณุถามคิ้วขมวดแต่หน้ายังนิ่ง “ประเดี๋ยวอาตี๋อีจะสบายเอานะ”
“อั๊วก็มาหาเฮียนี่แหละ” อาลั้งทำหน้ายุ่งไม่แพ้กัน “แล้วนี่ไปไหนกันหมด ทำไมอยู่กันแค่นี้”
“ไปศาลเจ้า อีกประเดี๋ยวก็คงมา”
ชายหนุ่มตอบแล้วก็อมยิ้ม พลางมองไปยังเด็กน้อยในอ้อมแขนแม่แล้วยื่นมือออกไปหา
“ไหนอาตี๋น้อย มาให้กู๋อุ้มหน่อย”
ถ้าแสงภาณุเป็นลุง แม่ของเด็กคงเป็นหนึ่งในน้องสาวแปดคนของเขาไม่ผิดแน่ ผู้หญิงเองก็ไม่ทักท้วงทำให้เธอโล่งใจไปที่สองคนนี้ไม่ใช่ลูกกับเมียของเขา แล้วยังอารมณ์ดีขึ้นมาอีกหลายเท่าเพราะเห็นแสงภาณุอุ้มหลานอย่างเอ็นดู เขาคงรักเด็กอยู่ไม่น้อยเลย
“แล้วมาหาเฮียมีธุระอะไร”
“อั๊วมาให้เฮียช่วยตั้งชื่อลูกให้”
“อ้าว ไหนพ่ออาตี๋อีว่าจะให้พระที่วัดตั้งให้ เฮียไม่ใช่พระนะ”
“ก็พระที่วัดตั้งให้สองชื่อ อั๊วไปอำเภอสองรอบ เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ให้แจ้ง” อาลั้งบ่นหน้าหงิกทั้งที่พี่ชายยังอุ้มหลานอยู่ “ตอนแรกพระท่านว่าให้ชื่อแก้วขวัญ พออั๊วไปแจ้งเกิดเขาก็ว่านี่เป็นชื่อผู้หญิง ตั้งไม่ได้ ก็เลยไปกลับไปหาหลวงพ่ออีกทีแล้วก็ไปแจ้งเกิดอีกรอบ ตั้งชื่อว่าศรีสุวรรณให้เป็นน้องพระอภัยมณี เขาก็ไม่ให้อยู่ดี บอกว่ายังฟังคล้ายๆ ผู้หญิงอยู่ แต่เฮีย ศรีสุวรรณของท่านสุนทรภู่นี่อีเป็นผู้ชายนะ”
ได้ยินอาลั้งบ่นแล้วเกล้ามาลาก็คิดตาม เพราะชื่อเธอเองก็ออกจากก่ำกึ่งระหว่างชายและหญิง มีบ่าวของเธอเคยทักว่าตอนนี้ทางรัฐให้แยกชัดเจนว่าฟังชื่อแล้วรู้ว่าเป็นเพศใด ลูกของอาลั้งก็คงเป็นเช่นกัน แต่เมื่อก่อนเธอก็เคยได้ยินผู้ชายชื่อแก้วบ้าง ชื่อขวัญบ้าง เหตุใดตอนนี้จึงไม่ได้หนอ
“เห็นเขาว่าอยากจัดสรรให้เป็นระเบียบ ฟังแล้วก็รู้แน่ว่าเป็นเพศใด ชายหรือหญิง”
แสงภาณุตอบน้องอย่างใจเย็นแต่เหมือนเขารู้ว่าเธอถามอะไรอยู่ในใจ และ ‘เขา’ ที่ว่านั้นก็คือคณะรัฐบาลนั่นเอง
“นี่อั๊วก็จนปัญญา” ถึงได้คำตอบแต่อาลั้งก็บ่นต่อ “พ่ออาตี๋อีกก็ไม่อยู่ออกหัวเมืองไปตั้งแต่หลังอั๊วคลอด กว่าจะกลับมาก็จะนานเกินไป ครั้นจะอาศัยหลวงพ่อท่านก็ไปสองรอบแล้ว เขาไม่ให้แจ้ง”
“เลยมาให้เฮียตั้งอย่างนั้นซี”
“เฮียก็เป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดเท่าที่อั๊วรู้จักมาแล้วล่ะ” อาลั้งแย้ง “นั่นน่ะ ดูหน้าอาตี๋อีซี จะให้ชื่ออะไร อั๊วจะได้ไปแจ้งเกิดให้”
แสงภาณุเงียบไปไม่โต้แย้งกับน้องสาวอีก มองหน้าหลานชายวัยแบเบาะแล้วก็เอาหัวคิ้วมาชนกันเหมือนคิดอะไรสักอย่างอยู่ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าพี่ชายคนโตช่างเป็นที่พึ่งของทุกคนในบ้าน ทั้งหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลความเป็นสุขของน้องๆ อีกทั้งเป็นที่พึ่งให้เธอยามตกทุกข์อีกด้วย
“เกษมแล้วกันนะ” คนเป็นลุงบอกยิ้มๆ ให้เกล้ามาลารู้ว่าเด็กน้อยชื่ออะไร “แปลว่าความสุขสบาย พ่ออีนามสกุล วิเศษสำราญ น่าจะเข้ากันดี”
“ขอบคุณนะเฮีย ถ้าอย่างอั๊วเอาลูกไปฝากไว้กับคนของหม่าม้า เผื่ออีกลับมาจะได้เลี้ยง ส่วนอั๊วจะรีบไปอำเภอ แต่ถ้ายังแจ้งไม่ได้ก็มาหาเฮียใหม่อีกรอบแล้วกัน”
“ได้ความอย่างไรก็มาบอกเฮียด้วยล่ะ”
คนเป็นพี่ใหญ่ยิ้มให้น้องสาวพาให้เธอยิ้มไปด้วย แต่มองๆ ไปแล้วเกล้ามาลาก็อยากรู้ว่าอาลั้งนี่เป็นลูกของภรรยาคนไหนของท่านเจ้าสัว เธอเดาว่าคนละแม่กับอาเน้ยเพราะหน้าตาผิวพรรณก็ไปคนละทาง
“อ้าว แล้วนี่ใครล่ะเฮีย”
ไม่ใช่แค่เธอที่มองอาลั้ง ทางนั้นก็จ้องกลับมาจนเกล้ามาลาหน้าชาไปเพราะเป็นฝ่ายถูกจับตาบ้าง น้องสาวของแสงภาณุมองเธอไปก็ยิ้มไปหมายความว่าอย่างไรหนอ
“อาซ้อเหรอ”
“ใครบอก!”
“เมื่อวานหม่าม้าไปเล่าให้อั๊วฟังถึงบ้าน”
อาลั้งหัวเราะชอบใจแต่ทำเอาคนถูกจับได้อายจนพูดไม่ออก ดีที่ว่าคนบ้านนี้ไม่รู้จักเถือกเขาเหล่ากอของเธอ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน เธอทำเรื่องน่าละอายเหลือเกิน แต่จะมีใครเข้าใจบ้างไหมว่ามันเป็นเหตุจำเป็น
“อย่าไปพูดเรื่องนี้ที่ไหนอีกล่ะอาลั้ง” แสงภาณุคงรู้ว่าเธออายจนหน้าเสียจึงห้ามน้องสาวไว้ “ให้เฮียจัดการอะไรๆ ให้มันเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“อ้อ! อั๊วขอโทษ ลืมไปว่าหนีตามกันมา”
เหมือนยิ่งห้ามยิ่งไปกันใหญ่จนเกล้ามาลาหน้าชาวาบ ไม่อยากคิดเลยว่าคนข้างนอกจะลือกันหรือเปล่าว่าเธอหนีตามผู้ชายมาจริงๆ ชื่อเสียงจะย่อยยับไปถึงไหนแล้ว
“ฉันไม่ได้หนีตามเขานะ!” เกล้ามาลาบอกเสียงแข็งและทวงความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง เธอไม่อยากทนแปดเปื้อนกับความผิดที่ไม่ได้ก่อนอีกแล้ว “และฉันกับคุณแสงก็ไม่ได้เป็น…”
“เกล้า”
แค่จะบอกความจริงไป แสงภาณุก็เรียกเธอเสียงเย็นจนน่ากลัว มองตาแข็งให้รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่กำลังเครียดและปนด้วยความกลัว สายตาจ้องเขม็งของชายหนุ่มย้ำคำเตือนเรื่องที่ว่าไม่อยากให้ใครมาสืบหาว่าเธอมาอยู่บ้านนี้ได้อย่างไร ไม่อยากให้เรื่องที่ป้อมวันนั้นถูกขุดคุ้ย เพราะมันอาจหมายถึงชีวิตของทั้งสองคนก็ได้
“อำเภอเปิดทำการแล้ว รีบไปเถิดอาลั้ง ประเดี๋ยวสายแล้วคนจะเยอะ”
สั่งให้เธอเงียบได้สำเร็จ แสงภาณุก็ชี้ให้น้องสาวดูนาฬิกาคุณปู่เรือนใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างผนังบ้านแล้วทางนั้นก็รีบร้อนขึ้นมาตามที่พี่ชายต้องการ
“ถ้าอย่างนั้นฝากลูกไว้ด้วยล่ะ… เฮีย ซ้อ ดูแลดีๆ นะ ประเดี๋ยวอั๊วจะกลับมารับ”
บอกเสร็จแล้วแม่ลูกอ่อนก็จับมือทารกในอ้อมแขนพี่ชายอีกครั้งก่อนจะควักมือเรียกบ่าวคนหนึ่งให้ไปด้วย ทิ้งหลานไว้ให้แสงภาณุเลี้ยง และทิ้งเรื่องหนักอึ้งไว้ในหัวใจของเธอ
เกล้ามาลาหวังแต่ว่าทุกอย่างจะจบลงเสียที…
อีกไม่นานเธอก็จะไปจากที่นี่ กลับไปอยู่กับเรื่องอัปยศที่สู้อุตสาห์หนีมา แต่คงดีกว่าทนอยู่กับการถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อยและหนีตามผู้ชายเป็นไหนๆ
และรออีกไม่นานเรื่องของเธอคงหายไปจากความทรงจำของทุกคน…
แต่รอจนสายแล้วบรรดาคุณนายของท่านเจ้าสัวก็ยังไม่มีใครกลับมา จากที่ว่านั่งรอจะลาผู้ใหญ่อยู่ในบ้านแสงภาณุก็ชวนให้ออกมาเดินเล่นที่สนามหญ้า
เขาบอกว่าไหนๆ ก็ไปจากบ้านหลังนี้แล้ว จะพาเดินดูให้ทั่วเสียก่อน เผื่อว่าหากวันใดกลับมาอีกจะได้ไม่หลง แม้เกล้ามาลาไม่คิดว่าจะได้กลับมาบ้านนี้อีกแต่หญิงสาวก็ตามใจเขาเพราะนี่คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน และเธอเองก็ตื่นเต้นเพราะนี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ก้าวขาออกจากตัวตึก ลงมายังสนามหญ้ากว้างๆ หน้าบ้าน และเมื่อมองจากด้านนอกหญิงสาวก็รู้แล้วว่าตัวเองเดาไม่ผิด
บ้านทรงโคโลเนียลสีน้ำผึ้งหลังใหญ่ช่างทรงสง่า โอ่อ่าใหญ่โตไม่แพ้วังเจ้านาย และยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าตึกนี้ใหญ่โตกว่าบ้านของเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ถูกใจมากกว่าคือต้นไม้หลายสายพันธุ์ที่ให้ความร่มรื่นอยู่ในสวน ส่วนมากเป็นไม้ใหญ่ยื่นต้นแต่ก็ดอกสะพรั่ง หอมจรูญไปทั่วบริเวณ
“ปลูกมณฑาทิพย์ด้วยหรือคะ”
เกล้ามาลาไปสะดุดตาเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ดอกรูปไข่สีเหลืองนวลส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจที่ให้ร่มเงาเหนือโต๊ะน้ำชาในสวนเขียมชอุ่มแห่งนี้ เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้
“ท่าทางจะเลี้ยงดี ออกดอกเต็มต้นเชียว”
“ปลูกแล้วก็ต้องเลี้ยงให้ดีกันทุกต้นนั่นละ” เจ้าของบ้านหัวเราะชอบใจ “คุณชอบดอกมณฑาหรือ”
“เห็นมาตั้งเด็ก คุณแม่จะเอามาทัดจุกให้ กลิ่นหอมดี”
“ไว้จุกด้วย!”
แสงภาณุถามไปก็กลั้นขำไป แต่คนเคยไว้จุกตามประเพณีโบราณก็ชักเคือง รู้สึกเหมือนโดนล้ออยู่ชอบกล แล้วไหนจะเรื่องกำไลข้อเท้าที่เขาเคยทักอีก เห็นเป็นเรื่องตลกหรืออย่างไร
“ถ้าอย่างนั่นที่บ้านของคุณก็มีต้นมณฑา ต้นใหญ่ไหมครับ”
“ปลูกมาสิบเก้าปีเท่าอายุของฉันนี่แหละค่ะ”
แปลกที่พอเขาถามต่อ หญิงสาวก็เล่าเรื่องวัยเด็กของตัวเองให้ฟังอย่างที่ลืมเคืองเรื่องเมื่อครู่ไปโดยปริยาย อาจเพราะคิดถึงเรื่องวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำใจนั่นก็ได้
“คุณตาให้มาปลูกรับขวัญหลานสาว จริงๆ แล้วลูกพี่ลูกน้องของฉันก็ได้กันไปคนละต้น ปลูกไว้ที่บ้าน ท่านว่าเป็นไม้มงคล”
“อ้อ… มีญาติด้วย”
แสงภาณุทักอย่างนั้นหญิงสาวก็ถึงกับชะงัก รู้สึกว่าจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟังมากเกินไปแล้ว แม้จะไม่ได้หวาดระแวงแต่เธอก็ไม่อยากให้เขารู้ตื่นลึกหนาบางมากเกินไปอยู่ดี สู้เปลี่ยนเรื่องหนีคงดีกว่าให้มาซักไซ้กัน
“แล้วคุณล่ะ ชอบต้นไหน”
“โน้นอย่างไรครับ”
พอเปลี่ยนเรื่องหนี แสงภาณุก็คล้อยตามง่ายๆ แล้วชี้ให้เธอดูต้นไม้ทรงพุ่มที่ออกดอกสีม่วงครามเต็มต้น ตัดกับเกสรสีเหลืองสด ดูฉูดฉาดบาดตาไม่เบา
“แก้วเจ้าจอมหรือ” หญิงสาวถามอย่างสนใจ “พันธุ์ไม้นอกนี่คะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“มันมาจากหมู่เกาะอินดีสตะวันออก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาจากประเทศชวาครั้งเสด็จประพาส แล้วทรงนำมาปลูกในเขตพระราชอุทยานวังสวนสุนันทา ที่บ้านฉันก็ปลูกไว้แต่ไม่ค่อยมีคนดูแล ไม่ได้ออกดอกมากเท่านี้หรอก”
“อื้ม… ความรู้ไม่เบาทีเดียว หากไม่เรียนมาสูงก็คงอ่านมามาก แต่ลูกบ้านไหนกันหนอจะมีเงินซื้อหนังสืออ่านอย่างคุณบ้าง”
ถูกชมอย่างนั้นเกล้ามาลาก็แทบจะยกมือขึ้นมาอุดปาก เพิ่งรู้ว่าหลงกลแสงภาณุจนยอมเล่าเรื่องที่บ้านให้เขาฟังอีกแล้ว ผู้ชายอะไรเห็นท่าทีเงียบๆ หน้าตาซื่อๆ แต่เจ้าเล่ห์ร้ายลึกเสียจริง แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะมาเป็นเป้านิ่งคอยให้เขาซัก สู้เปลี่ยนเรื่องหนีไปเลยจะดีกว่า
“อ้อคุณแสง ฉันถามอะไรบ้างซี” เกล้ามาลาเปลี่ยนเรื่องหนีไปหาสิ่งที่คาใจมาสักพักแล้วแต่ยังไม่ได้ถาม “ฉันได้ยินแม่ของคุณเรียกว่าอาหมิง ตกลงชื่ออะไรแน่”
“นั่นชื่อจีน ได้มาตั้งแต่เกิดแล้ว เรียกแซ่ด้วยก็ฉางหมิง” พ่อคนมีหลายชื่อตอบด้วยท่าทีสบายๆ “ส่วนชื่อแสงนั่นคนไทยเขาเรียกกันสั้นๆ จากชื่อจริง ก็เลยตามเลยกันมา”
“หมิงที่แปลว่าแสงสว่างนั่นหรือคะ”
เกล้ามาลาถามอย่างคาดเดาแต่เขาก็พยักหน้าให้ และเธอพบว่าจะชื่อไทยหรือชื่อจีนก็ยังมีความหมายเดียวกัน ทว่ายังสงสัยอยู่ดี
“แล้วตกลงฉันต้องเรียกคุณว่าอย่างไรจึงจะถูก”
“ถ้าอยากเป็นคนในครอบครัวก็เรียกเฮียหมิง”
เป็นคนในครอบครัว…
คำนี้สะกิดหัวใจของหญิงสาวเข้าอีกหน แล้วยิ่งเผลอไปสบสายตาหวานแสนอิ่มเอมที่ชายหนุ่มมองมา ยิ่งทำให้หัวใจของเธอหวิววาบไปราวเทียนไขต้องเปลวไฟให้ละลายไหววูบ แล้วที่บอกว่าจะให้เป็นคนในครอบครัวนั้นจะให้เป็นอะไรกัน ญาติฝ่ายไหน น้องสาวคนที่เก้าของเขาอย่างนั้นหรือ แต่ทำไมสายตาที่ชายหนุ่มมองมา ไม่เหมือนยามที่เขามองน้องสาวเลย
“คุณแสง…”
เกล้ามาลาทำได้เพียงเรียกชื่อเขาแต่พูดอะไรไม่ออก ยิ่งถูกจ้องมองหญิงสาวยิ่งรู้สึกว่าเลือดฝาดกระจายขึ้นมาเต็มใบหน้า และหากยังมองตาเขาอยู่ เธอก็มั่นใจเหลือเกินว่าคงจะหล่อมละลายลงไปไม่ต่างจากขี้ผึ้งลนไฟเลย
“หากวันนี้ยังไม่มั่นใจจะเรียกก็ไม่เป็นไร ผมทำจนให้คุณมั่นใจเอง”
คราวนี้เกล้ามาลารู้สึกเหมือนลมตีหน้า และเป็นสายลมที่ทำให้เธอนิ่งชะงักจนทำอะไรไม่ถูก หญิงสาวก้มหน้าหลบแต่บิดนิ้วตัวเองอย่างควบคุมไม่ได้ เผลอกัดริมฝีปากแล้วหลับตาแน่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงมีอาการเช่นนี้ แล้วพอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายหนุ่มก็เผลอค้อนจนเงยหน้ามอง เห็นรอยยิ้มของเขาเปื้อนอยู่เต็มใบหน้าเช่นเดียวกัน
แสงภาณุยิ้มแล้วน่ารัก ยิ้มไปทั้งปากทั้งตา ยิ้มหวานจนดวงตากลายเป็นสระอิ เหมือนเด็กไร้เรื่องทุกข์ร้อน ช่างเป็นรอยยิ้มที่สดใสเหลือเกิน
“อาหมิง อาเกล้า… มาหาหม่าม้าเร็ว! มีข่าวดีจะบอก”
ราวกับถูกฉุดออกจาห้วงภวังค์ แต่ก็เหมือนว่าได้สติกลับคืนมาด้วย เกล้ามาลารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนถูกเรียกให้หันหาคนที่กำลังดึงหมวกออกจากศีรษะ เห็นคุณนายเหมยฮัวผู้สวมทองหย็องเต็มตัวอย่างไม่กลัวโจรขโมยในภาวะสงครามเดินหน้าชื่นมาแต่ไกล ตามด้วยคุณนายอีกสามคน คงเพิ่งกลับจากศาลเจ้ากัน
เมื่อผู้ใหญ่เรียกแสงภาณุก็พาเธอเดินเข้าไปหา เลือกโต๊ะน้ำชาเหล็กดัดสีครีมที่ตั้งอยู่ใต้ต้นมณฑาที่เกล้ามาลาเพิ่งชี้เมื่อสักครู่เป็นที่นั่งคุยกัน แต่บรรดาคุณนายเล็กๆ ไม่อยู่คุยด้วย เดินแยกย้ายเข้าตึกใหญ่ไป ทิ้งให้แต่แม่กับลูกและคนที่ถูกเข้าใจว่าเป็นสะใภ้อยู่กับตามลำพัง
“หม่าม้าไปไหนหรือครับ” ลูกชายเกริ่นเข้าเรื่องหลังจากนั่งกันเข้าที่ “ดูอารมณ์ดีมาทีเดียว มีข่าวดีอะไร”
“ไปหาซินแสมา บอกว่าจะให้มาช่วยดูฮวงจุ้ยต่อเติมบ้าน เตรียมห้องหับเพิ่มไว้รอลูกๆ ของลื้อกับอาเกล้านั่นอย่างไร อีบอกว่าเย็นนี้ก็จะมาได้เลยนะ เร็วทันใจดีจริงๆ”
ได้ยินอย่างนั้นเกล้ามาลาก็รู้สึกว่าน้ำลายมันเหนียวขึ้นมาเต็มลำคอจนกลืนไม่ลง คิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็ยิ่งวิตก มั่นใจแล้วว่าหากยังโอ้เอ้อยู่ที่บ้านของแสงภาณุอีกแค่คืนเดียวแล้วคนอยากได้หลานนึกครึ้มวางยาลูกชายไปด้วยกันอีกคน คงได้มีหลานให้คุณย่าเหมยฮัวอุ้มได้ดั่งใจหวังแน่
“คุณแม่คะ” เกล้ามาลารีบขัดไว้ก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่แต่ก็ไม่ขัดใจผู้ใหญ่ที่ให้เธอเรียกว่าแม่ “คือ… ฉันว่าจะขออนุญาตกลับไปอยู่บ้านสักพักค่ะ”
“ไหนว่าบ้านลื้อโดนทิ้งบอมแล้วอย่างไร” พูดไปไม่เท่าไรผู้ใหญ่ก็จับโกหกเธอได้ทันที “กลับไปก็เหลือแต่ซาก ลื้อจะไปอยู่ได้อย่างไร”
“อยู่ที่บ้านญาติใกล้ๆ กันค่ะ” เมื่อโกหกคำแรกแล้วคำที่สองก็ตามมาอย่างไม่อาจเหลี่ยงได้ “จะไปจัดการธุระที่บ้านสักพัก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้อาหมิงไปด้วย จัดการเรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมา”
“ไม่ได้นะคะ!” เกล้ามาลารีบร้องห้าม “คือว่าฉัน… ฉันไปคนเดียวได้”
“ไฮ้! เป็นผัวเมียกัน จะมาแยกกันอยู่ได้อย่างไร ต้องไปด้วยกันซี”
เจอเหตุผลนี้เข้าไปเกล้ามาลาก็ถึงกับพูดไม่ออก บางทีก็อยากนึกย้อนเวลาไปถึงตอนที่ถูกจับได้นั่นนัก หากยืนยันปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นภรรยาของแสงภาณุแล้วเธอต้องมาตกกระไดพลอยโจนจนกลายเป็นลูกสะใภ้ของคุณนายเหมยฮัวหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คงไม่มีใครต้มยาหม้อสูตรพิเศษนั่นให้เธอดื่มแน่
“ดูยินดีปรีดากับลูกสะใภ้คนใหม่เหลือเกินนะคะ”
เกล้ามาลารู้สึกว่าอากาศรอบตัวเย็นวูบลงทันทีเมื่อเสียงเย็นเฉียบนั้นแทรกขึ้นมา เห็นหน้าคนที่เข้ามาร่วมวงสนทนาแล้วหญิงสาวก็ขนลุก กลัวจนตกประหม่า มองผู้หญิงวัยกลางคนผู้สวมเสื้อลูกไม้เนื้อดีกับผ้าซิ่นสีเขียวตองอ่อน คอแขนมีเครื่องประดับสวยงามลงตัวนั้นอยู่ไม่วางตา
แม้จะสวมหมวกบังใบหน้าไปบ้างแต่ก็ยังดูมีสง่าราศี แต่สายตาที่มองเธอก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าบรรยากาศในสวนนี้ไม่สดใสอีกต่อไปแล้ว
“คุณหญิงศรีเพ็ญ!” คุณนายเหมยฮัวร้องทักคนวัยไล่เลี่ยกันแต่เสียงสั่นไปไม่น้อยเลย “มะ… มาได้อย่างไรกัน”
“หากอีฉันไม่มา คุณนายคงไม่คิดจะไปบอกอีฉันเรื่องที่พ่อแสงถอนหมั้นแม่ช่อทิพย์เลยหรือคะ”
คุณหญิงของท่านเจ้าคุณวรรณวาณิชต่อว่าจนหน้าเสียไปตามๆ กัน ส่วนเจ้าตัวดูหงุดหงิดราวกับพร้อมจะฟาดงวงฟาดงาได้ทุกเมื่อ
“แล้วพ่อแสงนี่อย่างไรกัน ถอนหมั้นกับน้องแล้วไม่คิดจะไปบอกอาด้วยตัวเองบ้างเลยหรือ”
“คิดว่าจะไปอยู่เหมือนกันครับ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ รอให้น้องช่อทิพย์เรียนคุณอาไปสักพัก ผ่านเวลาให้ใจเย็นกันก่อน คิดว่าคงดีกว่า” ชายหนุ่มตอบช้าๆ ให้ผู้ใหญ่ฟัง “และน้องช่อทิพย์เธอต้องการจะถอนหมั้นนี่ครับ ผมไม่อยากขัดน้อง”
“นั่นเพราะแม่ช่อทิพย์เข้าใจว่าพ่อแสงชิงมีเมียน้อยก่อนจะแต่งเมียเอกเข้าบ้านน่ะซี”
พอแสงภาณุจะพูดบ้าง แม่ของช่อทิพย์ก็ขัดจนหน้ายุ่ง ทำเอาพูดไม่ออกกันอีกเลยสักคน
“ลูกสาวอาทำใจไม่ได้จึงต้องมาถอนหมั้น พ่อแสงก็รู้ว่าน้องเป็นคนหัวสมัยใหม่ รับเรื่องผัวมีเมียน้อยเป็นพรวนไม่ได้หรอก”
แม่ของช่อทิพย์บ่นเป็นหมีกินผึ้งแต่ก็เหมือนบีบหัวใจของเกล้ามาลามากขึ้นทุกที ไม่กล้าสบตาท่านเลยด้วยซ้ำแต่ก็หลบลี้สายตาพิฆาตนี้ไปไม่ได้ คุณหญิงวรรณวาณิชจ้องเธออยู่ไม่วาง คงหงุดหงิดอารมณ์เสียเต็มทีแต่ก็ยังอดทนพูดด้วยดีๆ เพราะอย่างไรเสียก็คนกันเอง
“แล้วคุณหญิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” คำถามนั้นทำให้เกล้ามาลาสะดุ้งเฮือก “ไหนแม่สร้อยจันทร์ว่ากลับปีนังตั้งแต่ลอยพระอังคารท่านชายก้องแล้ว เหตุใดจึงมาเป็นเมียน้อยพ่อแสงได้”
“หญิงไม่ได้เป็นนะคะคุณป้า! เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น”
ป้าแท้ๆ ของเธอตวัดสายตามองอย่าขุ่นเคืองแต่ก็เดาใจไม่ถูกว่าโกรธหรือไม่ ทว่าเกล้ามาลาสารภาพหน้าเจื่อนและเหงื่อตก รู้แล้วว่าหมดเวลาที่จะต้องปิดบังเรื่องของเธอกับแสงภาณุแล้ว ไม่อย่างนั้นคนเป็นน้องคงได้ชื่อแย่งคู่หมั้นพี่มาเป็นแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุจุดไต้ตำตอกับตัวเองได้
“แล้วที่เขาลือกันจนไปถึงของบ้านป้านั่นหมายความว่าอย่างไร เล่ามาให้หมดอย่าได้หมกเม็ดเชียว”
ความคิดเห็น |
---|