2

บทที่ 2

 


            เช้าวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา ปีย์วราคือคนแรกที่ได้เห็นแสงแรกแห่งอรุโณทัยก่อนใครๆ แสงสีส้มเรืองรองทอดไกลจากขอบฟ้า ทุกสรรพสิ่งบนโลกแห่งนี้ล้วนรอและต้องการแสงนี้ เมื่อมีแสงสาดส่อง ดอกบัวผุดเกิดจากโคลนตม ดอกไม้ก็เริ่มเบ่งบาน อวดความงามราวกับการเกิดใหม่ แตกต่างชีวิตของเธอในตอนนี้นักเพราะมันดูเป็นสีหม่นเทา ขาดสีสัน และช่างแสนสงบราบเรียบไร้สีสัน มีความสุขไปตามอัตภาพ

แต่เธอก็ควรพอใจกับชีวิตในช่วงนี้มิใช่หรือ ในเมื่อหน้าที่การงานเองก็ไปได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรมากวนใจให้หมองหม่น เงินทองก็พอกินพอใช้ แม้จะเหลือเก็บไม่มากแต่ก็ไม่เดือดร้อนจนต้องใช้เดือนชนเดือน หญิงสาวเงยหน้าทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างบานกว้าง เมื่อก่อนนี้เธอยิ้มทุกครั้งที่เห็นท้องฟ้ากว้าง เพราะเธอรู้ว่ามีใครบางคนอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้แค่เห็นเพียงแวบน้ำตาก็พานจะไหลออกจากตา

                เสียงปิดเปิดประตูทำให้สองนางพยาบาลสาวที่นั่งทำงานกันอยู่เงียบๆ ต้องหันไปมอง

                “คุณหมอ” ศจีลุกขึ้นทักทายนายแพทย์ใหญ่อย่างภูวนัยทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามาภายในห้องกระจกแห่งนี้ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

                ภูวนัยทำสีหน้าราบเรียบก่อนจะมองไปที่เคาน์เตอร์ที่พยาบาลนั่งทำงานอยู่ด้วยสายตาที่ดูว่างเปล่าเหมือนมองทะลุผ่านคู่สนทนาไปไกลตามแบบฉบับของนายแพทย์หลายๆ คน

                “วันก่อนผมแวะมาคุยกับหัวหน้าตึกคุณที่นี่ ไม่มั่นใจว่าลืมปากกาไว้ไหม”

                “ปากกาคุณหมอมีลักษณะเป็นอย่างไรคะ เดี๋ยวดิฉันจะลองถามหัวหน้าท่านให้ตอนส่งเวร” ปีย์วราเอ่ยถามเบาๆ เมื่อเห็นว่าภูวนัยยังมองมายังเคาน์เตอร์ที่เธอนั่งทำงานอยู่

                “ปากกาหมึกซึมยี่ห้อ lamy ครับ สีกาแฟ”

                “ดิฉันไม่เห็นนะคะ” ศจีเปิดลิ้นชักออกดู เพราะตามปกติหากเจ้าหน้าที่ลืมของไว้หากใครพบเจอก็จะจับใส่ลิ้นชักตรงเคาน์เตอร์นี้

                “ไม่เป็นไรครับ” ภูวนัยเหลือบตาขึ้นมาสบตาปีย์วราเพียงนิด ก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินออกไปทางเก่าที่เพิ่งเดินเข้ามา

                ศจีรีบเดินตามไปมองนายแพทย์ใหญ่ผ่านประตูกระจกจนลับตาไป ก่อนจะหันกลับมายิ้มกริ่มใส่ปีย์วรา “วันนี้เราโชคดีนะปีย์ ได้เจอพระสังข์ด้วย”

                หญิงสาวเลิกคิ้วทำหน้าสงสัยทันทีเมื่อได้ยินชื่อที่ศจีเรียกนายแพทย์ภูวนัย “ทำไมเรียกคุณหมอท่านแบบนั้นล่ะ”

                “ปีย์ไม่เห็นหรือ ผิวขาวเหลืองยังกับทอง หน้าตาหล่อเหลาขนาดนั้น และที่สำคัญที่สาวๆ เขาขนานนามให้ลับหลังว่าพระสังข์ก็เพราะความใจดี ความดีมีเมตตาของท่าน เห็นหน้านิ่งๆ ทำดุแบบนั้นพอถอดรูปออกมายิ้มที ทำเอาสาวๆ ใจแทบละลายกันไปทั้งตึก” ศจีทำสีหน้าเคลิ้มฝันใส่เพื่อนรัก

                “อย่าบอกว่านะว่าศจีเองก็หลงเสน่ห์คุณหมอท่านอีกคน”

                “ก็ชอบ” ศจีลากเสียงยาว “ชื่นชมแบบดารานักร้องไรงี้ แต่คงไม่มีวาสนาได้มาคู่กันหรอก แต่หากพระพรหมท่านจะดลใจให้ได้มาก็เอานะ ถึงจะมีลูกติดเป็นพ่อม่ายเมียตาย แต่ด้วยฐานะทางการเงินและหน้าที่การงานของคุณหมอท่าน เราก็สามารถมองข้ามข้อเสียเล็กๆ น้อยที่ว่านี้ไปได้ทันที”

                ปีย์วราอดขำไม่ได้พร้อมกับส่ายหัวให้กับความคิดของศจี

                “อิจฉาบีเนอะ” อยู่ๆ ศจีก็พูดพาดพิงถึงบราลีขึ้นมาเสียอย่างนั้น “มีแต่ผู้ชายดีๆ มารุมจีบ”

                “ก็บีเขาสวย”

                “เราว่าปีย์สวยกว่าอีก นี่ถ้าไม่มีละ....” ศจีชะงักไปเพียงนิดเก็บคำว่า ‘ลูก’ ไว้ในปาก ก่อนจะปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดต่อเพื่อปกปิดพิรุธในใจ “นี่ถ้าได้แต่งหน้าทำผมแบบบีเขาเสียหน่อย เราว่าสูสีหาคนชนะยากเลยทีเดียว”

                “เราไม่แข่งกับใครหรอก ทำงานหาเงินดีกว่า เผื่ออายุเยอะแล้วเขาให้ออกจากงาน จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนออกไปรับจ้างเป็นรายวัน หรือไม่นั่งขายของตามตลาดนัด”

                “แหม เสียดายความสาวความสวยของปีย์จริงๆ เลย นี่ถ้าเราสวยกว่านี้อีกนิดนะ เราคงมีผู้ชายมาให้เลือกมากกว่านี้แน่ๆ” ศจีบ่นอุบอิบไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินมานั่งทำงานในหน้าที่ของตนเองต่อ

                “แล้วตอนนี้มีมาให้เลือกกี่คนล่ะ” ปีย์วราถามอย่างขันๆ

                ศจีถอนใจดังเฮือก “คนเดียวนะสิ แม้ไม่ชอบใจนัก แต่จะตัดทิ้งก็ไม่ได้ กลัวไม่มีใครเข้ามาอีก”

                “แล้วทนคบกันไปแบบนี้หรือ”

                “แหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย เราไม่ได้ทนขนาดนั้นนะปีย์ เราแสดงออกอย่างเต็มที่เลยว่าเราเป็นอย่างไร ไม่อยากเสแสร้งแกล้งทำ เราเป็นอย่างไรก็แสดงออกไป ถึงเขาจะไม่ได้ดีเลิศร้อยเปอร์เซ็นต์หรือหล่อเหลาแบบแฟนคนอื่นเขา ข้อเสียเขาก็มีมากอยู่ แต่เขาคนนี้คือคนที่รักเรา และอดทนกับความเป็นตัวเราได้ เราถึงตัดเขาไม่ลงนี่ไง”

                “แล้วศจีรักเขาหรือเปล่า”

                ศจีหยักไหล่ “ไม่รู้สิ คงชอบๆ มั้ง ก็คบๆ ไปจนกว่าจะเจอใครที่ดีกว่า แล้วปีย์ล่ะ ไม่คิดจะมีใครใหม่หรือไง ให้เขามาคอยดูแลตัวเอง ดูแลลูก”

                ปีย์วราก้มหน้าหลบสายตาลง พร้อมกับลงมือเขียนบันทึกต่อทันที “ไม่ละ อยู่แบบนี้ก็มีความสุขแล้ว”

                ศจีหรี่ตามองท่าทีตัดบทของเพื่อนร่วมงานก่อนจะหันไปทำงานของตนเองต่อไปอย่างเข้าใจ ปีย์วราค่อนข้างเก็บตัวและไม่ค่อยเล่าเรื่องราวส่วนตัวอะไรให้ใครได้ยินมากนัก แม้จะมีข่าวเสียหายมากมายขนาดไหน ปีย์วราก็ไม่เคยแก้ต่างหรือแก้ตัวเลยสักครั้ง

ส่วนตัวของเธอเองนั้น ตอนแรกเธอก็ตั้งป้อมกับปีย์วราอยู่เหมือนกันตอนที่หญิงสาวเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เพราะด้วยข่าวลือที่ไม่ค่อยโสภาสักเท่าไรนักของปีย์วรา และการเป็นเด็กฝากของรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ไม่ผ่านการคัดเลือกเหมือนพยาบาลคนอื่นๆ เขา เลยทำให้ใครต่อใครต่างพากันหลีกหนีไม่คบค้าสมาคมด้วย แต่พอมาทำงานด้วยกันเข้าจริงๆ ศจีก็แทบลืมเลือนเรื่องราวที่ได้ยินมาทั้งหมดไป เพราะความตั้งใจและใส่ใจในการทำงานของปีย์วรา อีกทั้งหญิงสาวก็สงบเสงี่ยมและมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลต่อเพื่อนร่วมงานไม่เลือกว่าใครเป็นใคร แม้แต่แม่บ้านหรือคนทำงานสะอาดก็ไม่เว้น

                การรับส่งเวรก็เหมือนเป็นการส่งต่อหน้าที่และความรับผิดชอบให้แก่ทีมพยาบาลที่จะมารับเวร ทุกคนทราบถึงข้อมูลการเจ็บป่วยของผู้ป่วย  ประกอบด้วยการวินิจฉัยโรค  การส่งตรวจ  และการรักษาพยาบาลที่ผู้ป่วยควรได้รับอย่างต่อเนื่อง  และยังเป็นการเตรียมข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญของผู้ป่วยโดยมีการสื่อสารข้อมูลต่างๆ ในแต่ละเวรด้วยวาจาหรือการบันทึก  มีการประชุมปรึกษาร่วมกัน  ทำให้ผู้ป่วยได้รับการแก้ไขปัญหาทางการพยาบาล  การดูแลรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องในแต่ละเวรระหว่างทีมพยาบาล ช่วยให้สามารถวางแผนในการดูแลผู้ป่วย  ส่งผลต่อด้วยความถูกต้องและเกิดความต่อเนื่องในการดูแลรักษา  สามารถติดตามและตรวจสอบงานการพยาบาลที่ได้ดำเนินการให้กับผู้ป่วยไปแล้วในช่วงเวลานั้นๆ  รวมทั้งมอบหมายงานให้เวรต่อไปได้อย่างเหมาะสม

บราลีนางพยาบาลสาวหน้าแฉล้มรูปร่างสะโอดสะองเดินปรี่เข้าไปหาปีย์วราทันทีที่มีโอกาส “ปีย์...”

                “ว่าไงบี” ปีย์วราหันมาส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทพร้อมกับหยิบกระเป๋าถือและถุงใส่ของของตนออกมาจากตู้เก็บของส่วนตัวเพื่อเตรียมกลับบ้านหลังจากส่งเวรฯ เรียบร้อยแล้ว

                “เรามีเรื่องอยากจะปรึกษาปีย์หน่อย” บราลีจับมือของปีย์วรามาเขย่า ท่าทางร้อนใจผสมกับเขินอายพิกล

                “มีอะไรหรือ”

                บราลีมองไปรอบตัว ก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาที่สวมติดข้อมืออยู่ “เราไม่กวนเวลาปีย์มากหรอก ปีย์ฟังบีหน่อยนะ”

                “อืม มีอะไรก็ว่ามาสิ”

                “ปีย์ว่าผิดไหม ถ้าเราจะจีบผู้ชายก่อน”

                หญิงสาวมองใบหน้าแดงระเรื่อของเพื่อนรักด้วยความประหลาดใจแกมสงสัยทันที นึกในใจว่าใครกันหนอถึงทำให้บราลีเป็นไปได้ถึงขนาดนี้

                “ชอบเขามากหรือไง ผู้ชายคนนั้น” หญิงสาวถามเพื่อนรักเหมือนหยั่งเชิง ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าไวตอบกับมาจากบราลี

                “ชอบที่สุดเลย เราไม่เคยชอบใครแบบนี้มาก่อนเลยปีย์ แค่เขามานั่งใกล้ๆ ไม่ต้องพูดอะไร หัวใจเราก็เต้นผิดจังหวะ วูบๆ ใจสั่นหวิว รู้สึกคล้ายคนจะเป็นลมให้ได้เลย”

                “ได้เจอกันอีกหรือ”

                “อืม เราไปงานเลี้ยงที่พี่นนท์ชวน ปีย์...ขนาดพี่เขาใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ธรรมดา เขายังโดดเด่นกระแทกตาเราก่อนใครๆ เลยเชื่อไหม ตอนที่อยู่ในงานเราแทบไม่ได้มองคนอื่นเลย”

                “แล้วทางนั้นล่ะ” หญิงสาวเลิกคิ้วถามอย่างใคร่รู้เมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนรัก 

                บราลีหน้าสลดลงทันที ก่อนจะทำท่าหนักอกหนักใจขึ้นมา “นิ่งๆ นะ แต่เขาก็คุยกับเราดี หรืออาจจะเพราะเราไปกับพี่นนท์ก็ได้ เขาเลยสงวนท่าทีไม่ได้แสดงออกอะไรกับเรา เอาไงดีปีย์ เราต้องทำให้เขารู้ใช่ไหมว่าเราไม่มีใคร ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่นนท์ แล้วการจีบผู้ชายก่อนมันไม่น่าเกลียดหรอกเนอะปีย์เนอะ”

                “ไม่หรอก ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อเกินไป อีกอย่างบีทำไปเพราะชอบเขาจริงๆ ไม่ใช่หรือ การที่ผู้หญิงจะเริ่มต้นก่อนในสมัยนี้ก็ไม่แปลกหรอกนะ อีกอย่างเราเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นไม่มีทางที่จะไม่ชอบบีแน่ๆ บีเพื่อนเราสวยน่ารักน่าใคร่ขนาดนี้”

                “ปีย์อะ อย่าชมกันเองสิ นี่เรายังคิดอยู่นะว่าถ้าเราจะโทร.ไปหาเขาก่อน โทร.ไปทักทาย โทร.ไปชวนเขากินข้าวบ้าง ปีย์ว่ามันน่าเกลียดไหม”

                “ก็อย่าทำให้บ่อยจนน่ารำคาญสิ ลองโทร.ไปสักหนสองหนก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ส่งข้อความไปหา ดูท่าทีเขาก่อน แต่เราว่า...แค่หนสองหนเขาคงรู้แล้วละว่าบีเปิดทางทอดสะพานให้เขาแล้ว”

                “เฮ้อ ไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อนเลยนะ แต่กับคนนี้เราพูดไม่ถูกเลย”

                “หล่อมากละสิ” ปีย์วราเย้าพร้อมกับเอาไหล่กระแทกต้นแขนเพื่อนเบาๆ

                “หล่อมาก แถมโปรไฟล์ดีสุดๆ เป็นนักบิน F-16 นอกจากฝีมือดีแล้วยังได้ชื่อว่ามีชั่วโมงบินสูงผ่านการบินกับเครื่องบินขับไล่มาแล้วหลายร้อยชั่วโมงเกือบระดับท็อปเลยเชียวนะ ประวัติการบินดีเยี่ยม พี่นนท์เล่าว่าขึ้นป้ายชื่อแทบทุกหลักสูตรเลย”

                “ขับ F-16 ด้วยหรือ? แสดงว่าฝีมือไม่เบา”

                “ช่ายย...นี่ก็เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อต้นปีนี่เอง เรียนเก่งจนได้เหรียญทองเลยด้วยนะ” บราลีเล่าอย่างภูมิอกภูมิใจในตัวนักบินหนุ่มคนนั้นจนปีย์วรายังอดทึ่งตามไปด้วยไม่ได้ แม้จะมีบางจุดที่เริ่มสะกิดใจเธอมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ข้อมูลของนักบินหนุ่มคนนี้ก็ตามที

“แล้วนิสัยใจคอละ”

                “ปีย์ก็รู้พวกนี้เขาอีโก้สูงจะตาย ความมั่นใจสุดโต่ง เพราะเขาถือว่าเขาคือคนเหนือคน แถมคนนี้เพื่อนๆ ยังให้สมญาเขาว่า Devil อีก ปีย์คิดว่าคนที่ได้สมญานี้เป็นยังไงล่ะ ถ้าไม่ใช่หล่อ ร้าย แฮนซัม”

                หญิงสาวมองใบหน้าที่เหมือนจะแสดงความภูมิใจของบราลีก่อนจะรู้สึกแปลบที่หัวใจ รู้สึกเหมือนกำลังถูกตอกย้ำให้กลับไปคิดถึงใครบางคนอีกครั้ง

คงไม่ใช่เขาแน่ ไม่ใช่แน่ๆ ฉายา Call Sign[1] ที่ใช้เรียกขานอาจเหมือนกันเข้าโดยบังเอิญก็เป็นไปได้

                “ปีย์ ปีย์เป็นอะไร อยู่ๆ หน้าก็ซีดแบบนั้น”

                “ปะ เปล่า ว่าแต่จะยอมลองเล่นกับไฟหรือบี ไม่กลัวเจ็บหรือไง” พอหลุดปากพูดประโยคนี้ออกไป ปีย์วราก็เหมือนถูกหมัดที่มองไม่เห็นซัดเข้ามาเต็มๆ จนเจ็บไปทั้งใจ ประโยคนี้พี่สาวของเธอเคยพูด เคยเตือนเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่เธอก็ไม่เคยฟัง ไม่เคยกลัวเพราะคิดว่าความรักจะเอาชนะทุกอย่างได้

                “ถึงแม้ว่าไฟมันจะร้อน มันจะอันตราย แต่มันก็อบอุ่นและสวยงามนะปีย์ ปีย์ต้องช่วยเรานะ นะ นะปีย์นะ”

                ปีย์วราหัวเราะเสียงขื่นในลำคอ “เราจะช่วยอะไรบีได้ล่ะ ตัวเราเองก็ยังแทบจะเอาตัวไม่รอดบีก็รู้”

                “น่านะ อย่างน้อยก็คอยเป็นที่ปรึกษา เป็นแรงใจ กำลังใจ หรือเป็นคนรับฟังบีก็ได้”

                “อืม....” ปีย์วรารับคำอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังบราลี นึกอยากจะเห็นหน้าผู้ชายคนดังกล่าวเหลือเกินนักว่าหล่อเหลาน่าสนใจขนาดไหน ถึงทำให้บราลีหลงเพ้อหลงฝันไปได้ขนาดนี้ และใช่หรือไม่ใช่คนเดียวกับคนที่เธอหวั่นใจอยู่ตอนนี้หรือเปล่า

            “ทาวเวอร์ นี่คือ J-Shark พร้อมออกปฏิบัติการ”

“J-Shark ให้คุณใช้รันเวย์ ๒๒ ไต่ไปที่ ๑๕,๐๐๐ ฟุต”

“รันเวย์เคลียร์”

“รันเวย์เคลียร์”

ทันทีที่การสื่อสารทางวิทยุจบลง F-16 ของผู้บังคับฝูงก็แผดเสียงกัมปนาทพร้อมพ่นเปลวเพลิงสีแดงจากท่อไอพ่น  เพียง ๒ วินาทีมันก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

อีกมุมหนึ่งของกองบิน เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นเพื่อส่งฝูงเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพอากาศไทยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อฝึกสกัดกั้นข้าศึก

ที่หัวรันเวย์ F-16 อีก 3 ลำ กำลังวอร์มเครื่องยนต์รอหอบังคับการบินอนุญาต  take off จนเสียงดังกระหึ่ม  ที่ Taxi Way (ทางขับ) ก่อนจะเคลื่อนตามกันไปอย่างช้าๆ แม้ว่าเหตุการณ์ข้างต้นคือสถานการณ์จำลองที่อาจเกิดขึ้นเมื่อตกอยู่ในภาวะสงคราม (War Times) กับนักบิน F-16 ในสโมสรนักบิน (pilot lough) และคำสนทนาใน “ห้องบรีฟ” (Brief Room) หากบทสนทนาทางวิทยุที่แสดงถึงความรวดเร็วของปฏิบัติการทางอากาศ เฉกเช่นสถานการณ์การนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆ

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเครื่องบินรบทั้งสี่ลำก็บินกลับฐานอย่างปลอดภัย  เมื่อช่างเทคนิคภาคพื้นดินรับเครื่องบินเข้าจุดจอด ระบบคอมพิวเตอร์ของเครื่องบินจะรายงานสถานะทั้งหมดของเครื่อง และแสดงบริเวณที่ต้องตรวจสอบหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ผ่านเครือข่าย Wi-Fi เข้าสู่คอมพิวเตอร์พกพาของช่างเทคนิค ทำให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนับว่าเป็นเทคโนโลยีซ่อมบำรุงที่ทันสมัยที่สุดของกองทัพอากาศ

เครื่องบินรุ่นใหม่และเกือบจะทันสมัยที่สุดในเมืองไทยเคลื่อนเข้ามาจอด นักบินหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดชุดบิน (Flight Suit) สวมทับด้วย G-Suit หรือ Anti-G Suit[2]ก้าวลงมาจากเครื่องบินพร้อมฮาร์ดดิสก์ที่ถอดออกจากเครื่อง เพื่อนำข้อมูลภารกิจที่บันทึกการบินไปทบทวนในห้อง De-Brief ก่อนส่งมอบเครื่องบินลำดังกล่าวให้แก่ทีมช่างประจำเครื่องต่อไป

เบื้องหลังของความสมาร์ทและความองอาจของชุดนักบินรบที่เห็นมักถูกซ่อนไว้ภายใต้อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยให้กับนักบิน  นักบินทุกคนจะต้องฝึกและเรียนรู้การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ให้เป็น เพราะหากเกิดความผิดพลาดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียว  หมายถึงการสูญเสียชีวิต นักบินรบจึงมีเป้าหมายว่า Mission  first , but  Safety  before ภารกิจมาก่อนแต่ความปลอดภัยก็ต้องมาก่อนเสมอ

ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินกลับมาขึ้นรถบัสที่มาจอดรอท่าอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาใต้คิ้วหนาเขม้นมอง เขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาช่างประจำเครื่องที่เข้ามารับเครื่องต่อจากเขาเมื่อครู่เหลือเกิน คลับคล้ายคับคลา คุ้นหน้าเหมือนเคยเจอะเจอกันมาก่อน แต่นายช่างเครื่องคนดังกล่าวกลับทำเหมือนกำลังหลบหน้าหลบตา และไม่ต้องการสนทนากับเขาเหมือนคนไม่คุ้นกันมาก่อน นั้นยิ่งทำให้ปวิมเกิดความสงสัยมากขึ้นกว่าเก่ายิ่งนัก

ชายหนุ่มยังเขม้นมองไปทางช่างเครื่องคนดังกล่าว ในขณะที่ขยับนั่งเอนสบายๆ บนเบาะรถบัสขนาดเล็กที่ดัดแปลงทำที่นั่งขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เหมาะสมกับการแต่งกายของนักบินระหว่างรอนักบินร่วมฝูงเดินมาขึ้นรถ

“วันนี้ไม่ทิ้งลายเลยนะไอ้พาย”

ผู้บังคับฝูงอย่าง นาวาอากาศโทกลวัชร ดุจดังเพชร ก้าวขึ้นมานั่งลงข้างๆ ลูกฝูงที่ขึ้นมานั่งรออยู่บนรถก่อน ก่อนที่นักบินคนอื่นๆ จะเดินตามขึ้นมาติดๆ

“ผมมีผู้ฝูงดีครับ”

“ไอ้นี่มันขี้ประจบครับพี่หลาม อย่าไปเชื่อมันมาก” นาวาอากาศตรีบวรภัค นาถวัฒน์ นักบินหนุ่มอีกนายเอ่ยขึ้นทันที

“เพราะปากแบบนี้ไม่ใช่หรือสาวๆ ถึงตามกันเกร่อ”  กลวัชรหันไปยักคิ้วให้ลูกฝูงอย่างปวิมที่ยังมองตรงไปยังลานบินที่มีช่างเครื่องมากกว่า 10 นาย จนกลวัชรสังเกตเห็นแล้วมองตามไป “มีอะไรหรือเปล่าพาย”

“ผมคุ้นหน้าช่างเครื่องของพี่หลามครับ”

“คนไหนวะ”

“คนนั้นไงครับ คนที่กำลังเดินก้มหน้าไปที่เครื่อง ผมคุ้นหน้าอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่ารู้จักหรือเปล่า”

“อ๋อ เอกชัย เมื่อก่อนก็เป็นนายช่างอยู่ที่นี่นะ แต่ย้ายเข้าไปเรียนอะไรสักอย่างนี่แหละ เพิ่งกลับมาประจำที่นี่ไล่ๆ กับตอนที่พวกเราฝึกกลับมานี่แหละ”

“คนนี้หรือเปล่า ที่เขาว่าเปิดอู่จนรวย แถมแฟนสวยสะเด็ด”

“ใช่ครับ เห็นเขาว่าเป็นพริตตี้เก่าเสียด้วย”

“เฮ้ย จริงหรือวะ” กลวัชร หันไปถามลูกฝูงอย่างไม่เชื่อหู “เอกชัยดูนิ่งๆ เฉยๆ ไปทำอีท่าไหนวะ ถึงไปคว้าเอาพริตตี้มาเป็นเมียได้”

“ฮ่าๆๆ ก็เพราะ นิ่งๆ เฉยๆ ขยันทำงานจนรวยไงเล่าครับ ถึงได้สาวๆ ไปกอด กลิ้งกลอกพูดไปเรื่อย ออกบินเป็นว่าเล่น เช้าบิน บ่ายประชุมอย่างพวกเราสาวๆ เขากลัวจะไปหักอกเขาเอา เขาเลยไม่เอาเรา” บวรภัคหัวเราะร่วนขณะที่บอกเล่า

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างใคร่รู้ในเรื่องของเอกชัย นัยน์ตาของปวิมกลับวาวโรจน์ กรามขบกันแน่นจนขึ้นสัน สายตาดุวาวจ้องมองไปที่นายช่างที่เดินวนอยู่รอบเครื่องบิน หากดวงตาของปวิมคือมีด ป่านนี้ร่างกายของเอกชัยอาจขาดออกจากกันเป็นชิ้นๆ เลือดไหลนองไปทั้งตัว เมื่อความทรงจำแต่หนหลังได้ย้อนกลับคืนมาอีกหน เพราะแบบนี้นี่เองเขาถึงคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ที่แท้ก็คู่กรณีเก่านี่เอง!

เกือบสองปีแล้วสินะ’ ชายหนุ่มกำมือของตนเองแน่นจนจนขึ้นสันกระดูก เขาถูกสวมเขาจากผู้หญิงที่เขารัก จากผู้หญิงที่เขาไว้ใจ และมอบหัวใจให้ไปทั้งดวง แต่เธอกับไม่เห็นค่าของมัน ปวิมสะบัดหน้าหนีเพราะไม่ต้องการรื้อฟื้นความทรงจำที่เขาพยายามจะลืมขึ้นมาอีกหน แต่ถ้ามันลบออกจากใจได้ง่ายๆ เขาก็คงจะไม่เจ็บแบบนี้

เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตารีบเดินเพื่อจะได้ไปขึ้นเวรให้ทันเวลา เลยไม่ได้เงยหน้ามองใครต่อใคร ถึงไม่ทันระวังตัวเมื่อเดินมาถึงมุมตึกที่มีทางเชื่อมต่อไปยังอาคารพักของผู้ป่วย ปีย์วราชนเข้ากับร่างสูงโปร่งของใครบางคนที่เลี้ยวออกมาจากมุมตึกเข้าอย่างจัง ดีว่าอีกฝ่ายมั่นคงไม่มีเซเสียหลักเหมือนเช่นที่เธอเป็น แถมยังช่วยจับพยุงไม่ให้เธอล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอีกด้วย

“อุ๊ย! ขอโทษคะ” หญิงสาวรีบเอ่ยปากขอโทษทันที ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นไปมองคู่กรณี “คุณหมอ...เอ่อ ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่ทันเห็นจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“มะ ไม่คะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะปีย์ เออ ดิฉันซุ่มซ่ามเอง” ปีย์วราค่อยๆ ขยับถอยห่าง ทำให้มือใหญ่ที่มีนิ้วเรียวสวยราวกับนิ้วของผู้หญิงคลายออกจากต้นแขนของเธอ ไปตกอยู่ที่ข้างกายของเจ้าของ

“จะรีบไปขึ้นเวรหรือครับ” ภูวนัยเอ่ยถามเสียงนุ่ม

หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะคิดได้ว่าเขาคือนายแพทย์ใหญ่อาวุโสกว่าตนเองนัก “ค่ะ”

“ถึงจะรีบแค่ไหน ก็ต้องระวังตัวเองด้วยนะครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวินาที”

“ค่ะ” ปีย์วราก้มหน้าพึมพำตอบรับเสียงเบา รู้สึกเหมือนกำลังโดนผู้ใหญ่ตำหนิเอาก็ไม่ปาน ก่อนจะเห็นว่าภูวนัยก้าวหลบไปยืนชิดผนังเหมือนจะเปิดทางให้เธอเดิน

“เชิญครับ เดี๋ยวจะไปขึ้นเวรสาย”

เท้าเล็กบอบบางเตรียมจะก้าวไปอยู่แล้วเชียว แต่เพราะอะไรไม่รู้ทำให้ปีย์วราเงยหน้าขึ้นไปสบตากับภูวนัยอีกหน “คุณหมอเจอปากกาหรือยังคะ”

รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่มุมปากให้หญิงสาวได้เห็นทันที

‘ไหนใครว่านายแพทย์ภูวนัยยิ้มยาก ไม่ใช่เสียหน่อย!’ หญิงสาวคิดในใจระหว่างที่กำลังยืนจ้องมองนายแพทย์ใหญ่ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า

“ยังครับ” น้ำเสียงนุ่มๆ ตอบกลับมาแทบจะทันทีพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเหมือนเช่นที่ทำไปเมื่อครู่

ปีย์วราก้มหน้าหลบ นึกถึงคำพูดของของศจีทันที ว่าใครเจอรอยยิ้มของนายแพทย์ใหญ่ท่านนี้เข้าก็ทำเอาใจละลายทุกคน “งะ งั้นเดี๋ยวดิฉันจะถามหัวหน้าตึกท่านให้นะคะ”

“ครับ ฝากด้วยนะครับ”

“ค่ะ” ปีย์วราเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้นายแพทย์ใหญ่ ก่อนจะก้มศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อยและเดินทันที โดยไม่ทันเห็นว่ามีสายตาของของเขามองตามไปจนเธอเดินลับสายตา

ปีย์วรามองนาฬิกาข้อมือของตนเองอีกหนพร้อมๆ กับรู้สึกโล่งใจนักที่ตนเองมาทันเวลาพอดี หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในห้องพักพยาบาล แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่ เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อของการส่งเวรและเป็นช่วงที่วุ่นวายที่สุด แต่บราลีกลับมานั่งหลบอยู่ในห้องพักพยาบาลอยู่แบบนี้

                “อ้าว บี! ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ละ”

                บราลีทำหน้างอใส่ปีย์วราทันที “พอดีงานเสร็จแล้ว เลยแอบมานั่งพักขาเสียหน่อย”

                “อืม” หญิงสาวพยักหน้ารับไปอย่างนั้น เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ปีย์วราเดินเอากระเป๋าถือของตนไปเก็บในล็อกเกอร์ส่วนตัว ก่อนจะเตรียมตัวเพื่อออกไปปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง แต่พอเหลือบตาไปเห็นว่าบราลียังนั่งทำหน้ามุ้ยอยู่ที่เดิม เลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามไถ่อย่างคนมีน้ำใจ “มีอะไรหรือเปล่าบี”

                บราลีถอนหายใจดังเฮือก “เราลองส่งข้อความไปหาเขาแล้ว แต่เขาไม่ตอบกลับมา” หญิงสาวยื่นส่งโทรศัพท์ให้เพื่อนได้เห็นข้อความดังกล่าว

                “เจ้าตัวยังไม่เห็นเลยนี่ ถ้าเขาเห็นเขาคงจะรีบตอบกลับมาเองแหละ”

                “ปีย์” บราลีลากเสียงเรียกขานชื่อเพื่อนรัก “เราส่งไปตั้งแต่เช้า นี่มันเย็นค่ำแล้วนะ มันกี่ชั่วโมงเข้าไปแล้ว เขาจะไม่ได้หยิบจับโทรศัพท์เชียวหรือ”

                “ใจเย็นๆ สิบี ทางนั้นเขาอาจประชุมหรือขึ้นบินอยู่ก็ได้” ปีย์วราเดินเข้าไปวางมือบนไหล่ของเพื่อนสาว “ริอยากจะมีแฟนเป็นทหารก็ต้องทำใจนะ บางทีงานเขามีมากมายจนแทบหาเวลาให้เราไม่ได้”

                “รู้อยู่แหละเรื่องนี้ หน้าที่การงานของเขาก็คล้ายกับเรา แต่นี่มันเกินไปหน่อยไหม 12 ชั่วโมงแล้วนะปีย์...”

ยังไม่ทันที่บราลีจะพูดจบจบประโยค โทรศัพท์ของบราลีก็ส่งเสียงเตือนขึ้นมาว่ามีข้อความเข้ามาพอดี บราลีรีบหยิบคว้าโทรศัพท์ของตนขึ้นมาดูทันทีด้วยอาการตื่นเต้นเห็นชัด ก่อนที่ใบหน้างอๆ ที่เห็นอยู่เมื่อครู่จะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างสดใส

“ปีย์! เขาตอบมาแล้ว” บราลีพูดออกมาเสียงดังอย่างยินดีจนแทบเป็นเสียงตะโกน

                ปีย์วรายกนิ้วขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้เพื่อนรักเบาเสียงลงหน่อย พร้อมยิ้มรับอย่างโล่งใจ รู้สึกดีใจไปกับบราลีด้วย “เห็นไหม เราบอกแล้วว่าถ้าเขาเห็นเขาต้องตอบมา ทีนี้ทำงานต่อได้แล้วใช่ไหมจ๊ะ”

                “อืม...” ปราลียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางมีความสุขเห็นชัด “แต่ขอเราส่งข้อความตอบกลับไปหาเขาก่อนนะ”

                ปีย์วราส่ายหัวให้กับความยินดีของบราลีอย่างอ่อนใจ แต่ก็ภาวนาขอให้บราลีสมหวังในความรักครั้งนี้ เพราะบราลีเป็นคนดีมีน้ำใจให้กับเธอและลูกเสมอมา



[1] Call Sign กรณีเรียกสมญา จะเป็นระหว่างนักบินด้วยกันเอง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น