5

บทที่ 5


                ปวิมเงยหน้าขึ้นมาจากการสนทนากับช่างเครื่อง และมองตามหลังของเอกอานนท์ไปด้วยสายตาคมดูดำมืดล้ำลึกยิ่งกว่าท้องฟ้ายามไร้ดาว กับความคิดอะไรบางอย่างที่กำลังผุดขึ้นในหัว พร้อมๆ กับรอยยิ้มราวกับเย้ยหยันทุกคนบนโลกนี้ 

ปีย์วราเข็นรถเข็นยา UNIT DOSE เข้ามาในห้องทำงานของพยาบาลหลังจากแจกจ่ายยาให้ผู้ป่วยจนเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกห้อง   

 

                “อ้าว ปีย์ เธอมาช้าไปนิดเดียวเอง เมื่อครู่คุณหมอภูวนัยเพิ่งมาถามหาเธอกับฉัน”

“แล้วศจีบอกคุณหมอหรือเปล่าว่าเราเดินยาคนไข้อยู่”

“บอกสิ แต่คุณหมอบอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องไปตาม ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่พรุ่งนี้ออกเวรแล้วขอให้ปีย์ลงไปรอที่คาเฟทีเรีย นี่มีอะไรกันหรือ” ศจีมองปีย์วราด้วยสายตาที่มีแต่ความสงสัย 

คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันเพียงนิด ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกออก “คงเป็นเรื่องปากกาที่คุณหมอท่านลืมไว้ คุณเพลินพิศฝากปากกาอันนั้นไว้ที่เรา แกคงมาตามคืน”

“แหม แค่ปากกาด้ามเดียว เราเห็นตามมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ”

“ก็ไม่ใช่อันละบาทสองบาทเหมือนอย่างที่เราๆ ใช้นี่ ปากกายี่ห้อนี้เท่าที่รู้ราคาเป็นพัน”

“ราคาเป็นพันเชียว มันหุ้มทองหรือไงนั่น”

“ก็ไม่นะ แต่เราว่ามันคงแพงตรงยี่ห้อนี่แหละ และเราเดาว่าคงซื้อมาจากเมืองนอกตั้งแต่สมัยโน้น หรือไม่ก็คงมีใครให้เป็นที่ระลึกนั่นแหละ แกเลยเสียดายถ้ามันหายไป”

“ถึงว่าสิ ตามหาอยู่นานเชียว ที่แท้มันแพงแบบนี้นี่เอง” ศจีเลิกให้ความสนใจและหันไปทำงานของตนต่อเมื่อหายสงสัยแล้ว 

แต่..ปีย์วรานี่สิ ยังสงสัยไม่หายว่าเพราะอะไรนายแพทย์หนุ่มใหญ่ถึงได้นัดหมายให้ตนไปพบ ทั้งๆ ที่สามารถสั่งให้ตนเอาไปคืนที่แผนกศัลยกรรมก็ได้

ทันทีที่ลงเวรปีย์วราก็เดินต่อไปที่ห้องอาหารของโรงพยาบาลทันทีด้วยความรีบร้อน เนื่องจากวันนี้การส่งเวรกินเวลานานกว่าปกติทำให้เธอลงมาจากตึกช้าไปเกือบชั่วโมง หญิงสาวมองไปรอบๆ บริเวณห้องอาหารอันกว้างขวาง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทุกระดับชั้นมาใช้บริการกันแน่นขนัด เนื่องจากมีอาหารหลากหลายชนิดและราคาย่อมเยา รวมถึงมีการเช่าพื้นที่ของร้านอาหารจากภายนอกทำให้อาหารการกินของที่นี่ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายและรสชาติ แม้แต่ร้านเบเกอรี่ชื่อดังก็ยังมาเช่าพื้นที่ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้

เมื่อเห็นว่ายังมีโต๊ะว่างหญิงสาวก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวนั้นทันที ปีย์วราเปิดกระเป๋าและค้นหาปากกาที่คุณเพลินพิศได้ฝากตนไว้

“เอาไว้ที่ไหนนะ ก็จำได้ว่าใส่กระเป๋าเอาไว้นี่” หญิงสาวถามพึมพำกับตนเองระหว่างที่ก้มหน้าค้นหาปากกาในกระเป๋าถือ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่ามีใครสักคนซึ่งเป็นเจ้าของรองเท้าหนังสีน้ำตาลมายืนอยู่ตรงโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะรีบขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่

“สวัสดีครับปีย์วรา”

หญิงสาวยกมือไหว้นายแพทย์หนุ่มใหญ่ชื่อดังประจำโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะคุณหมอ”

“นั่งก่อนสิครับ”

“ค่ะ” ปีย์วราขยับนั่งลงอีกครั้งพร้อมๆ กับจับกระเป๋าถือไปวางไว้ที่เก้าอี้ว่างข้างตัว “คุณหมอคงให้ดิฉันมาพบด้วยเรื่องของปากกาที่คุณเพลินพิศฝากไว้ใช่ไหมคะ”

ภูวนัยส่งยิ้มเล็กๆให้หญิงสาว “ปกติกินอาหารเช้าอะไรครับ”

ปีย์วรากะพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัย  “ปกติกินโจ๊กหรือไม่ก็กาแฟกับขนมปังธรรมดาค่ะ”

“งั้นนั่งรอผมตรงนี้สักแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมมา” ว่าแล้วนายแพทย์หนุ่มใหญ่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะทันที ทิ้งให้ปีย์วรามองตามไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่าย

ไม่นานหลังจากนั้นภูวนัยก็เดินถือถาดขนาดกลางซึ่งมีถ้วยและจานวางอยู่ภายในถาดนั้น กลับมาที่โต๊ะที่ปีย์วรานั่งอยู่ หญิงสาวมองถาดที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ในถาดนั้นมีโจ๊กอยู่ 2 ถ้วย มีกาแฟ ครีม นม และน้ำตาลพร้อมสรรพ

“กินอาหารเช้ากับผมนะครับ ผมซื้อมาเผื่อคุณแล้ว”

“เอ่อ...คือ คุณหมอคะ” ปีย์วราอ้ำอึ้ง ไม่สบายใจกับการกระทำของนายแพทย์หนุ่มใหญ่ขึ้นมาทันที 

“กินข้าวกับผมแป๊บเดียว หรือคุณต้องรีบกลับไปดูลูกชาย”

“ใช่ค่ะ” ปีย์วราตอบรับภูวนัยไปตามตรง เพราะเรื่องนี้เธอไม่เคยปิดบังใคร และก็ไม่เคยอายกับสถานะที่เป็นอยู่อย่างในปัจจุบัน

“ลูกชายผมเองก็เพิ่งเปิดเทอม เอาไปส่งที่โรงเรียนเมื่อครู่นี้เอง” ระหว่างนั้นภูวนัยก็หยิบจับถ้วยโจ๊กเลื่อนส่งให้หญิงสาวตรงหน้า 

ปีย์วราเงยหน้าขึ้นไปมองภูวนัย พร้อมๆ กับเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลภายในห้องอาหารแห่งนี้ เริ่มที่จะมองมาที่เธอและภูวนัยมากขึ้นทุกทีๆ จนเธอเริ่มไม่สบายใจ

“เรื่องปากกาดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ คุณเพลินพิศฝากเอาให้แล้วแท้ๆ และดิฉันก็จำได้ว่าเอาใส่กระเป๋าไว้แล้ว แต่เมื่อครู่พอหาแล้วกลับไม่เจอ”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ อย่าไปห่วงเรื่องปากกาเลยครับ ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรคุณเอามาให้ผมวันหลังก็ได้” 

“แต่ดิฉันว่า….” 

“กินข้าวเป็นเพื่อนผมก่อนเถอะครับ ได้ไหม ผมขอร้องคุณมากเกินไปหรือเปล่า” ภูวนัยเหลือบสายตาขึ้นมามองหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากแบบที่ปีย์วรามักจะเห็นบ่อยๆ ในช่วงหลัง

หญิงสาวส่ายหน้าไปมาทันที รู้สึกไม่ดีที่ต้องให้คนระดับนายแพทย์ใหญ่มาอ้อนวอน ปีย์วราหยิบช้อนขึ้นมาและตักโจ๊กใส่ปาก พยายามทำเวลาให้โจ๊กหมูในถ้วยตรงหน้านี้หมดไปไวๆ เธอจะได้รีบลุกออกไปจากตรงนี้ และไปให้พ้นจากสายตาของใครต่อใครที่กำลังมองมาที่เธอและภูวนัยมากขึ้นทุกที

“ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารเช้า” ปีย์วรารีบกล่าวขอบคุณทันทีที่โจ๊กในถ้วยตรงหน้าเธอหมดลง 

“กาแฟสักแก้วสิครับ ผมซื้อมาเผื่อ” ภูวนัยเลื่อนถ้วยกาแฟมาให้ตรงหน้าอย่างคนใจดี

“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวกลับไปแล้วจะนอนไม่หลับ”

“แล้ว...เย็นนี้ก่อนขึ้นเวรคุณจะมาทานข้าวกับผมอีกได้ไหมครับ”

ดวงตากลมโตมองจ้องไปยังนายแพทย์หนุ่มใหญ่ด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจในการกระทำของเขามากขึ้นทุกขณะ

“เพื่ออะไรคะ” 

ภูวนัยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ อย่างขัดเขิน  “มันจะแปลกไหมครับ ถ้าผมจะบอกคุณตรงๆ ว่าผมกำลังจีบคุณอยู่”

คราวนี้ใบหน้าของปีย์วราแปรเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับแสดงอาการประหลาดใจรวมถึงตกใจผสมกันไปอย่างเห็นได้ชัด

“ระ เรื่อง...นี้ดิฉันคิดว่าไม่เหมาะมั้งคะ”

“เพราะอะไรล่ะ”

“เพราะว่าดิฉัน ดิฉัน...” ปีย์วราถึงกับพูดไม่ออก สิ่งที่เธอต้องการจะพูดนั้นก็คือเพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงดิบดีอะไรที่ใครควรจะให้โอกาสอีกครั้ง ประวัติแต่หนหลังใครๆ เขาก็รู้ ส่วนภูวนัยนั้นเป็นถึงนายแพทย์ใหญ่มากซึ่งประสบการณ์ ชื่อเสียงก็โด่งดังไปทั่วทั้งจังหวัดและอาจจะทั่วประเทศด้วยซ้ำ ถ้าเขาประกาศตัวออกไป ทุกวันนี้ก็มีคนไข้จากทุกสารทิศมาขอให้เขารักษาไม่เกี่ยงแม้ว่าจะต้องรอคิวนานหลายเดือนบางคนก็เกือบจะข้ามปีเสียด้วยซ้ำ เป็นไปได้หรือที่เขาจะมาสนใจเธอ 

“รู้ไหมว่าผมเริ่มมองคุณตั้งแต่คืนนั้น คืนที่ผมเดินขึ้นไปผิดตึก คือมันอาจจะฟังดูประหลาด ประหลาดซะหน่อย และสถานที่ในโรงอาหารอย่างนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ชายปกติเขาจะเลือกสารภาพว่าชอบผู้หญิงเสียด้วย แต่ผมหวังว่าคุณคงจะให้อภัยผมนะพี่ผมไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะสักเท่าไหร่ แต่เวลาของเรามันก็สวนทางกันตลอดเลย ผมทำงานกลางวันคุณทำงานกลางคืน ผมพยายามหาข้ออ้างไปหาคุณที่ตึกอยู่บ่อยๆ ในช่วงแรก ผมไม่รู้ว่าคุณเข้าเวรกลางคืนตลอดทุกๆ คืนแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าผมจะไปที่ตึกบ่อยเกินไปจนหัวหน้าตึกของคุณเริ่มสงสัยเสียแล้วว่าทำไมผมไปที่ตึกของแกบ่อยๆ”

“แต่คุณหมอคะ” ปีย์วราอยากจะบอกให้นายแพทย์หนุ่มใหญ่เลิกล้มความตั้งใจนี้เสีย เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะมีใครใหม่หรือเริ่มต้นกับใครแม้ว่าเขาจะดีเพียงใด เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าใจของเธอนั้นถูกล็อกปิดเข้าไว้ด้วยกุญแจที่ยากจะเปิดออกมาอีกครั้ง 

“ผมไม่ได้เร่งรัดอะไร ผมชอบเวลาที่ผมอยู่กับคุณ เวลาที่ผมอยู่กับคุณ ใจของผมรู้สึกสงบและสบายอย่างไรก็บอกไม่ถูก มันเหมือนคุณเข้าใจความรู้สึกสูญเสียและหมดหวัง ในคืนวันนั้นผมไม่สบายใจมากๆ อย่างที่ผมเล่าและพูดออกไป ผมประทับใจที่คุณสามารถนั่งเงียบๆ อยู่เป็นเพื่อนผม ฟังในสิ่งที่ผมพูดได้ บางครั้งบางเวลาผมก็แค่ต้องการใครสักคนมารับฟังเรื่องต่างๆ ที่ผมอยากจะพูดอยากจะเล่า แล้วผมก็พบคุณ ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ”

“ใครๆ ก็เข้าใจและคงทำเหมือนที่ดิฉันทำ ถ้าได้พบเห็นว่าคุณหมอเป็นอย่างเมื่อคืนนั้น”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกปีย์วรา ไม่ใช่ทุกคน” ภูวนัยส่งสายตาจริงจังไปที่หญิงสาวจนปีย์วราต้องหลบสายตา “ระหว่างนี้ผมอาจจะชวนคุณมาทานข้าวแบบนี้ทุกเช้าหรือไม่ก็ก่อนเข้าเวรในฐานะเพื่อน คุณพอจะมีเวลาให้เพื่อนคนนี้บ้างไหม” 

“เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกค่ะ สถานะเราต่างกันมากเหลือเกิน คุณหมอเป็นนายแพทย์ใหญ่ระดับหัวหน้าแผนก ส่วนดิฉันเป็นแค่พยาบาลตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น” หญิงสาวมองมือใหญ่ที่มีนิ้วมือเรียวงามประหนึ่งผู้หญิง หยิบจับถ้วยชามต่างๆ บนโต๊ะใส่กลับลงไปในถาดอีกครั้ง 

“ถ้าอย่างนั้นเย็นวันนี้ก่อนคุณเข้าเวรสัก 6 โมงเย็นผมจะมารอที่นี่นะครับ”ภูวนัยพูดจบก็ลุกขึ้นยืนจากโต๊ะแบบไม่บอกไม่กล่าวอะไร แม้แต่คำลาก็ไม่เอ่ยสักคำ พร้อมกับยกถาดอาหารเดินออกไปทันที ทิ้งให้ปีย์วรานั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะ 

หญิงสาวนั่งลงอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่พยายามทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบลง สุดท้ายเธอก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้ภูวนัยมองเธอว่าเป็นคนพิเศษและแตกต่างจากพยาบาลสาวคนอื่นๆ ในโรงพยาบาลนี้ และดูเหมือนเขาจะรู้ประวัติเธอดีเสียด้วย

“นั่นมันโทรศัพท์กูนะเว้ย มึงเอาไปพิมพ์เล่นแบบนั้นได้ยังไงวะ” ปวิมกระชากโทรศัพท์ออกจากมือของเอกอานนท์ด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้โทรศัพท์มือถือของเขาไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะโดนยึดเอาไปครองทุกวันและแทบจะตลอดเวลา แม้แต่เวลาที่ทางบ้านโทร.มาหาเขาเอกอานนท์ก็จะเป็นผู้รับสายและนำโทรศัพท์มาให้เขาอีกทอดหนึ่ง

“ไอ้พาย มึงก็รู้ว่ากูกำลังคุยกับน้องบีอยู่”

“แต่นี่มันโทรศัพท์ของกู ถ้ามึงอยากคุย อยากแชทหากัน ก็ไปใช้โทรศัพท์ตัวเองสิ” 

เอกอานนท์นั่งนิ่งหน้าตูมไปทันที มองเพื่อนรักที่นั่งกอดอกเอนหลังดูรายการโทรทัศน์ที่เปิดอยู่ในห้องสันทนาการแห่งนี้ แต่พอเพื่อนนั่งเงียบไม่โต้ตอบอะไรก็ทำให้ปวิมแปลกใจจนต้องเหลือบตามามองดู ก่อนจะถอนใจยาวออกมาด้วยความรำคาญใจ

“มึงก็บอกน้องบีของมึงไปสิว่ากูจะเปลี่ยนไปใช้ ID อื่น หรือจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือก็ได้ กูจะได้หลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ นี้เสียที”

เพียงเท่านั้นเอกอานนท์ก็ยิ้มกว้างขึ้น เมื่อในหัวสมองคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ในใจ

“ขอบใจสำหรับคำแนะนำนะไอ้พาย งั้นเดี๋ยวกูไปหาซื้อโทรศัพท์ใหม่ซักเครื่องก่อน แล้วจะได้ไปบอกน้องบีว่า มึงเปลี่ยน ID แล้วก็เบอร์โทรศัพท์แล้ว รับรองต่อไปนี้มึงไม่ต้องรำคาญน้องบีของกูอีกแล้ว” เอกอานนท์ยิ้มอย่างสมใจ ก่อนจะลุกออกไปจัดการทุกอย่างตามคำแนะนำของปวิม พร้อมกับตั้งใจว่าจะส่งดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ไปให้หญิงสาวที่โรงพยาบาลเพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์อีกเหมือนอย่างเช่นที่เคยทำมา 

                ปวิมมองตามเพื่อนรักไปอย่างอ่อนใจจนกระทั่งเดินลับตาไป แล้วค่อยๆ ขยับยืนขึ้นเต็มความสูง เท้าแขนตรงขอบหน้าต่างมองออกไปยังหน้าต่างกระจกกว้าง เบื้องหน้าคือลานบินกว้างและท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาสีฟ้ากระจ่างใส คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเหมือนยังคงมีเรื่องที่กวนใจ และเขายังตัดมันออกไปจากสมองและจากใจไม่ได้เสียที

            ดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะกลางห้องพักของเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้ที่เข้ามาใหม่อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปยลพร้อมทั้งชื่นชมความสวยของดอกไม้นำเข้าราคาแพงช่อนี้

                 ปีย์วราเดินไปแตะกลีบดอกสีขาวบอบบางนั้นอย่างเบามือ นึกชื่นชมความสวยและความบอบบางของมัน ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นการ์ดใบเล็กๆที่ผูกไว้กับช่อดอกไม้ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเจื่อนลงในทันทีเมื่อเห็นว่าในการ์ดใบเล็กๆ นั้นมีข้อความอะไรอยู่ หญิงสาวปล่อยการ์ดให้หลุดมือพร้อมกับเดินออกไปจนไกลช่อดอกไม้ที่เธอเพิ่งชื่นชมไปเมื่อครู่ เพราะลายมือนั้นคับคล้ายคับคลากับลายมือของเขาคนนั้นเหลือเกิน หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองแน่นจนแทบห้อเลือดเพื่อระงับความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในใจ

เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องพักเจ้าหน้าที่ทำให้ปีย์วราต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด และยิ่งเห็นว่าเป็นบราลีเธอก็ต้องยิ่งทำสีหน้าให้สดชื่นแจ่มใสเพื่อไม่ให้เพื่อนเกิดความสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

“ปีย์ ดูนี่สิสวยไหมปีย์ คนส่งเพิ่งมาส่งให้เราเมื่อครู่นี้เอง คุณเพลินพิศงี้มองตาเขียวเชียว เราเลยต้องรีบเอามาเก็บไว้ในห้องนี้ก่อน”

“สวยจ้ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับทำท่าทีเป็นว่าวุ่นวายอยู่กับการจัดของในตู้ล็อกเกอร์ของตนเอง

“ลายมือที่การ์ดสวยเหมือนครั้งที่แล้วเลยปีย์ อ่านแล้วเราหุบยิ้มไม่ได้เลย ปีย์อยากอ่านไหม แม้ไม่ลงชื่อแต่เราก็คิดว่าเป็นของพี่พายแน่ๆ”

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา เริ่มฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหวเมื่อคำพูดของบราลีมันกำลังทำร้ายเธออยู่โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สักนิด “ไม่ดีกว่า เพราะเมื่อครู่คุณเพลินพิศเห็นแล้วว่าเราเข้ามาแล้ว ท่าทางแกเหมือนมีอะไรจะคุยกับเรา”

“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป เรามีเรื่องอยากจะถามอะไรปีย์สักอย่าง เรื่องนี้มันน่าสนใจกว่าช่อดอกไม้ของเราอีกนะ”

ปีย์วราเลิกคิ้ว ทำสีหน้าประหลาดใจเมื่อหันกลับมามองเพื่อนรัก “มีเรื่องอะไรน่าสนใจกว่าดอกไม้ช่อสวยช่อนี้อีกหรือ”

บราลีทำสีหน้าทะเล้นเหมือนรู้ทันอะไรบางอย่างพร้อมกับเดินไปดึงมือเพื่อนรักมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะที่เธอวางช่อดอกไม้เอาไว้ “รู้ไหม ตอนเนี้ยที่โรงพยาบาลมีข่าวข่าวหนึ่งดังกระหึ่มเลยนะ”

ยิ่งบราลีพูดแบบนี้ ปีย์วราก็ยิ่งเกิดความสงสัยหนักเข้าไปอีก “อะไรมันจะลับลมคมในขนาดนั้น มีอะไรก็พูดมาสิ ยิ่งบีทำท่าแบบนี้เราก็ยิ่งสงสัย”

“เมื่อเช้าปีย์ไปทำอะไรไว้ล่ะ ตอนนี้คนเขาพูดไปทั่วโรงพยาบาลเลยนะว่าปีย์กับคุณหมอภูวนัยกำลังจุด จุด จุดกันอยู่” 

ปีย์วรามีอาการคอแข็งขึ้นมาทันที เมื่อเรื่องที่เธอกังวลอยู่เมื่อเช้าเกิดดังเป็นข่าวขึ้นมา เพราะแบบนี้ไงเมื่อตอนเย็นเธอถึงไม่ได้ไปตามนัดของภูวนัย

“มีปากก็พูดกันไป เรากับคุณหมอภูวนัยไม่ได้มีอะไรกันเลยสักนิดเดียว คุณหมอเขาก็แค่มาเอาปากกาที่ลืมไว้ก็เท่านั้นเอง”

“เหรอออ...แล้วทำไมใครๆ เขาถึงบอกว่านั่งพูดจากระหนุงกระหนิงกันอยู่ตั้งนานสองนานล่ะ”

ปีย์วราหลบสายตาเพื่อนรักอย่างมีพิรุธ เรื่องที่คนเอาไปพูดกันมีความจริงแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกปรุงแต่งเสียจนเธอเองก็อยากจะหัวเราะแต่กลับหัวเราะไม่ออก “เราไม่ชอบเรื่องแบบนี้บีก็รู้ วันหลังอย่าเอาเรื่องเหลวไหลพวกนี้มาเล่าให้เราฟังนะ” 

บราลีหน้าเสียทันทีเมื่อเห็นปีย์วราทำหน้านิ่งๆ ปราศจากรอยยิ้มที่มักมีให้แก่เธอ

“ปีย์ ปีย์โกรธเราหรือเปล่า เราก็แค่พูดตามที่เขาพูดกันมาเท่านั้น” บราลีรีบเอ่ยบอก เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนรักที่แสดงออกมาหลังจากทราบเรื่องราวจากปากของเธอทั้งหมด 

“เราเสียหายจนชินแล้วบี แต่มันไม่ดีเลยที่ลากเอาคุณหมอภูวนัยท่านมาเสื่อมเสียไปกับเราด้วย”

บราลีทำสีหน้าสำนึกผิดขึ้นมาทันทีทันใด “เราขอโทษจริงๆ นะปีย์ เราไม่คิดว่าตัวเองจะจริงจังขนาดนั้น อีกอย่างเราก็มองว่าถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็คงจะดี เพราะคุณหมอเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ อายุขนาดนี้ ฐานะขนาดนี้ หน้าที่การงานก็โดดเด่นเกินใคร ถ้าเขาคิดอะไรกับปีย์จริงๆ เราจะดีใจกับปีย์มากๆ เลยนะ”

“เราขอบใจในความหวังดีของบีนะ แต่อย่าลากเราไปจับคู่กับใครเลย ตอนนี้เราอยู่แบบนี้ก็สบายใจดีแล้ว อีกอย่าง เราอยากจะทุ่มเทเวลาที่เหลือทั้งหมดไปให้กับน้องพัฟคนเดียวเท่านั้น”

“แต่ถ้ามีคนใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระก็ดีนะ น้องพัฟเองก็โตขึ้นทุกวัน แล้วถ้าวันหนึ่งน้องพัฟถามเรื่องพ่อขึ้นมา ปีย์จะบอกน้องพัฟว่ายังไงล่ะ”

“เวลานั้นมันยังมาไม่ถึงไม่ใช่หรือบี เราจะคิดล่วงหน้าไปก่อนทำไมกัน แค่มีชีวิตอยู่กับวันนี้ เวลานี้ แค่นี้มันก็ยากแล้ว อย่าไปคิดล่วงหน้าให้มันเครียดเพิ่มขึ้นเลยนะ”

“ก็ได้ แต่ปีย์ไม่โกรธเราใช่ไหมที่เราพูดอะไรออกไปเมื่อกี้”

“ไม่โกรธหรอก เราเข้าใจ แล้วเราก็ขอบใจบีมากนะที่เอาเรื่องที่คนอื่นเขาพูดกันมาเล่าให้เราฟัง เราจะได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเจอกับคำถามอะไรบ้างในวันนี้”

“ว่าแต่ตัวเองไม่สนใจคุณหมอภูวนัยจริงๆ หรือ หน้าตาก็ดี ฐานะก็ดี ถ้าเราไม่ชอบพี่พายอยู่ก่อนนะ เราจะลงสมัครเป็นคู่แข่งของปีย์ละ” 

หญิงสาวได้แต่ส่ายหัวและส่งยิ้มให้เพื่อนรัก “รีบไปกันเถอะ มันใกล้เวลาส่งเวรแล้ว ป่านนี้คุณเพลินพิศมองหาบีแล้วว่าหลบไปไหน อีกอย่างถ้าเราสองคนไม่รีบไปมีหวังได้โดนดุเหมือนวันนั้นแน่ๆ เลย”

“จริงด้วย กะเข้ามาแอบดูช่อดอกไม้นิดเดียวเองนะ แต่พอเจอปีย์ก็คุยยาวเลย สงสัยวันนี้เราสองคนจะต้องโดนคุณเพลินพิศทำตาเขียวใส่กันอีกแล้วล่ะ”

“รู้แบบนี้แล้วก็รีบสิจ๊ะ ยังจะมายืนพูดไม่จบอยู่อีก” ปีย์วรารีบเดินนำเพื่อนรักออกไปนอกห้องพักเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทันที เมื่อก่อนยามที่คุยกับบราลีเธอไม่เคยรู้สึกอึดอัดมองตากันไม่สนิทใจแบบนี้มาก่อนเลย หรืออาจจะเป็นเพราะดอกไม้ช่อนั้นที่ทำให้เธอรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว 

“ไอ้พาย คืนวันศุกร์นี้ชวนน้องบีออกมากินข้าวมื้อเย็นกันไหม จากนั้นเราก็ไปหาผับบรรยากาศดีๆ นั่งฟังเพลงเย็นๆ กัน” เอกอานนท์แสดงความคิดเห็นพร้อมกับพยายามชักชวนให้เพื่อนรักคล้อยตามคำของเขา 

“แล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย”

“ก็...เพราะถ้าไม่มีมึง น้องบีก็ไม่ออกไปกินข้าวกับกูไง”

ปวิมหันกลับมามองหน้าเพื่อน ละสายตาจากเครื่องบินรบที่เขากำลังเดินวนดูความเรียบร้อยอยู่ “แล้วกูจะต้องยุ่งกับเรื่องของมึงไปอีกนานแค่ไหน”

“ก็จนกว่าที่กูกับน้องบีจะได้เสียเป็นผัวเมียกันไง”

“งั้นกูก็อยู่กับมึงไปทั้งชาติเลยสิ”

“ไอ้นี่ ช่วยพูดจาเป็นกำลังใจให้กูหน่อยได้ไหม คนนี้กูรักจริงนะโว้ย กูเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องเห็นความจริงใจของกู”

“จีบคนอื่นไม่ง่ายกว่าหรือไงวะ กูเห็นมีผู้หญิงตามมึงเกร่อไปหมด” ปวิมมองหน้าเอกอานนท์ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบินรบประจำฝูงบินเดียวกับเขา “เห็นหน้ามึงแล้วกูนึกถึงพี่เขยกูเหลือเกิน มาแนวเดียวกับมึงเลย ไม่รู้จะจงรักภักดีอะไรกับผู้หญิงคนเดียว มึงรู้ไหมประชากรผู้หญิงเนี่ยมันอัตรา 1 ต่อ 10 เลยนะเว้ย ผู้ชายอย่างเรามีผู้หญิงมารอให้เลือกถึง 10 คน มึงก็เลือกไปสิจะเอาสวยแค่ไหนก็ได้ จะให้สาวแค่ไหนก็ได้ หรือจะเก่งกาจสามารถแค่ไหนก็ได้ ทำไมมึงจะต้องไปตามรักตามเอาใจใส่กับผู้หญิงคนเดียวด้วยวะ” พูดจบปวิมก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังสอนตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น ใช่ผู้หญิงมีเป็นร้อยเป็นพันจะมาจมปลักหัวเสียอะไรกับผู้หญิงอย่างนั้น

“รักมันก็คือรัก กูก็บอกไม่ได้ว่าทำไมต้องคนนี้ อยากจะได้แต่คนนี้ มึงเข้าใจกูไหมไอ้พาย”

“กูไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มปัดคำพูดของเอกอานนท์ทิ้ง แล้วก็ออกเดินไปหานายช่างประจำเครื่องของเขาเพื่อพูดจาสั่งความรวมถึงพูดคุยเกี่ยวกับระบบต่างๆ ของเครื่องบินรบหลังจากที่ได้ขึ้นบินมาเมื่อเช้านี้โดยมีเอกอานนท์เดินตามไปไม่ห่าง สุดท้ายปวิมก็อดรนทนต่อไปไม่ได้ชายหนุ่มหันมาทำสีหน้าเครียดใส่เพื่อนรักเพราะหมดความอดทนกับการตื้อไม่เลิกของเอกอานนท์ “มึงจะตามกูอีกนานไหม มึงไม่คิดจะไปดูแลเครื่องบินของมึงบ้างเลยหรือไง นี่มึงต้องการอะไรจากกูวะไอ้นนท์” 

“กูต้องการให้มึงเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างกูกับน้องบี” เอกอานนท์ตอบกลับมาจริงจังทั้งน้ำเสียงและแววตา จ้องตากับเพื่อนรักอย่างไม่มีไหวหวั่น

“งั้นมึงรีบส่งข้อความไปหาเขาเลย ว่าเขาพร้อมจะไปกับมึงไหม” ปวิมเอ่ยตัดบทเพราะรำคาญเต็มที

“น้องบีเขาพร้อมจะไปกับพี่พาย แต่ไม่พร้อมที่จะไปกับพี่นนท์”

“อย่ามัวแต่พล่าม จะเอาไงก็เอากัน ไปชวนเสียจะได้เสร็จๆ ไป และตอนนี้กูขอเวลามึงสักครู่จะได้ไหมครับ กูต้องการพูดคุยกับช่างเครื่องของกูจริงๆ จะให้เวลากูสักนิดได้ไหมครับผู้กองเอกอานนท์”

“ได้ครับผู้กองปวิม”อานนท์บอกก่อนจะโค้งให้เพื่อนรักและเดินห่างออกไปยืนพิมพ์ส่งข้อความในโทรศัพท์ของตน เพียงไม่นานก็เดินกลับมาหาปวิมอีกหนด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ 

“อะไรอีกวะไอ้นนท์” ปวินหันมากระชากเสียงถามเพื่อนรักด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความรำคาญแบบไม่มีปิดบัง

“น้องบีตกลงไปกินข้าวกับเราเย็นนี้ แต่พอกูบอกว่ากูไปด้วย เขาเลยจะชวนน้องปีย์ไปด้วยมึงจะขัดข้องไหม” 

แววตาของปวิมวาวโรจน์ขึ้นมาทันที ใบหน้าที่กำลังแสดงอาการรำคาญเพื่อนรักแปรเปลี่ยนไปเป็นนิ่งขรึม “ทำไมกูจะต้องขัดข้องด้วย” 

“ก็เพราะกูเห็นว่ามึงไม่ชอบน้องปีย์เขา ถ้าจะไปนั่งทำหน้าดุๆ ใส่น้องเขากูกลัวจะเสียบรรยากาศ”

“ก็แล้วแต่มึงละกันนะ อยากให้กูไปก็มาบอก ไม่อยากให้กูไปก็มาบอก แต่ตอนนี้กูยังคุยกับช่างเครื่องไม่เสร็จมึงช่วยกรุณาเดินกลับไปที่เครื่องของมึง ให้เวลากูได้ทำงานซักนิดนึงเถอะ กูขอร้อง”                                                                             
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น