ร้านอาหารระเบียงน้ำปากช่องคือร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในโรงแรมอินน์ มีชื่อเสียงมานานพอสมควร ตัวร้านอาหารไม่ได้ตั้งอยู่ที่ล็อบบี้หรือบนชั้นต่างๆ เหมือนโรงแรมทั่วไป แต่ตั้งอยู่ด้านหลังโรงแรม และเมื่อเดินเข้าไประยะทางเพียง 50 เมตรก็จะพบว่าบรรยากาศภายในร้านอาหาร ตรงกันข้ามโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เพราะต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา และตัวร้านตั้งอยู่ริมลำธารที่ไหลมาจากเขาใหญ่ลงสู่ปลายทางที่ลำตะคอง แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ดูร่มรื่น บรรยากาศเงียบสงบมาก
“บีมีธุระที่นี่เหรอ” ปีย์วราสงสัยตั้งแต่บราลีขับรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของโรงแรมแห่งนี้ หญิงสาวมองไปรอบตัว จำได้ว่าครั้งหนึ่งเธอก็เคยมาที่นี่เพื่อรับประทานอาหารกับใครบางคนเช่นกัน
“ใช่ ที่นี่แหละ” บราลีหันกลับมาส่งยิ้มและเดินนำเข้าไปภายในร้านอาหารด้วยท่าทางตื่นเต้นจนแม้แต่ปีย์วรายังมองออก บริกรเดินนำหญิงสาวทั้งสองคนไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ริมระเบียง สามารถมองลงไปเห็นลำธารที่ไหลเอื่อยๆ พร้อมเสียงซ่าๆ ของสายน้ำที่กำลังไหลริน โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดินและแต่ละโต๊ะมีเทียนจุดประดับไว้ทำให้ดูโรแมนติกเหมาะแก่การพาคู่รักมากินอาหารมื้อเย็นเหลือเกิน
“เรานั่งกันตรงนี้นะปีย์ บรรยากาศดีจริงๆ เลย” บราลีรีบนั่งลงที่โต๊ะโดยไม่ลืมลากปีย์วรามานั่งด้วยท่าทางกระตือรือร้น ก่อนจะรับเมนูอาหารที่บริการส่งมาให้ออกดู “เอาทอดมันปลากรายผัดขี้เมา กุ้งโดนัท กุ้งเริงระบำ ต้มยำไก่พริกสด ไก่ทอดเกลือ ยำผักบุ้งกรอบค่ะ” บราลีเปิดเมนูไปพร้อมกับบอกรายการอาหารที่เลือกแก่บริกร
“สั่งเยอะขนาดนี้จะกินหมดหรือบี แล้วบอกเราได้หรือยังว่ามาทำธุระอะไรที่นี่”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เราไม่ได้กินกันแค่สองคนสักหน่อย” บราลีหันมาตอบเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้ม “เดี๋ยวคนที่เรานัดไว้ก็จะมาแล้ว” บราลีพูดไปก็กดส่งข้อความในโทรศัพท์ไปก่อนจะหันกลับไปสั่งความกับบริกรอีกหน “เอ่อ...น้องคะ เอาเบียร์มา...สัก 2 ขวดนะคะ”
“บี…” ปีย์วราร้องท้วงทันที “สั่งเครื่องดื่มพวกนั้นมาทำไมกัน”
“ก็เอามาให้คนที่เขาจะมากินข้าวกับเราไง” บราลีมองซ้ายมองขวาก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ “ปีย์นั่งฝั่งนั้นนะเดี๋ยวเราจะย้ายไปนั่งอีกฝั่งหนึ่ง” บราลีขยับลุกมานั่งอยู่อีกฝั่ง
“ทำไมล่ะ ก็นั่งฝั่งเดียวกันก็ได้นี่” หญิงสาวถามด้วยความใคร่รู้
“เดี๋ยวปีย์ก็รู้เองแหละ”
พอสิ้นคำของบราลีเพียงไม่กี่วินาที ปีย์วราก็แทบผุดลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินมุ่งมาที่โต๊ะที่เธอนั่งอยู่
ปีย์วราค่อยๆ ขยับลุกขึ้นมายืนด้วยขาที่สั่นเทาในขณะที่บราลีผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีเพื่อต้อนรับบุคคลที่มาใหม่ ถ้าเธอรู้สักนิดว่าธุระของบราลีเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้ เธอจะไม่ตกปากรับคำมาง่ายๆ แบบนี้เด็ดขาด
หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อเห็นสายตาแห่งความเกลียดชังของใครบางคนกำลังพุ่งตรงมาที่เธอ สองมือจับเข้าด้วยกันเพื่อลดอาการสั่นไหวและความประหม่าที่กำลังเกิดขึ้น ทุกอย่างในร่างของหญิงสาวเครียดขึงขึ้นมาแทบจะทันที
“สวัสดีครับน้องบี น้องปีย์ ขอโทษที่พี่สองคนมาช้านะครับ พอดีวันนี้มีประชุมติดพันนิดหน่อย” เอกอานนท์เป็นคนอธิบายในระหว่างที่ปวิมยืนนิ่ง หันหน้าหนีมองไปทางอื่นด้วยสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์
“สวัสดีค่ะพี่นนท์” บราลีเอ่ยทักก่อนจะส่งยิ้มไปให้กับใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เอกอานนท์ “สวัสดีค่ะพี่พายเชิญนั่งเลยค่ะบีสั่งอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้แล้ว” สายตาแห่งความคาดหวังของบราลีจ้องมองไปที่ปวิม พร้อมทั้งแอบลุ้นให้ชายหนุ่มเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ เธอ
แต่...ทันใดนั้นใบหน้าสวยที่ถูกตกแต่งเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางของบราลีก็เผลอแสดงอาการตกใจออกมาให้เห็น เมื่อคนที่รีบปรี่เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ข้างกายเธอคือเอกอานนท์
ปีย์วราเองก็ตกใจเมื่อได้เห็นการกระทำของเอกอานนท์ หญิงสาวเหลือบตามองไปที่เก้าอี้ข้างตัวด้วยอาการหวั่นวิตกทันที ก่อนจะตวัดสายตากลับขึ้นไปมองใบหน้าที่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมานอกจากแววตาที่ดูก้าวร้าวและดุดัน ครั้งก่อนที่เจอกันนั่งตรงข้ามกันก็ทำเอาเธอแทบตาย แล้วครั้งนี้เล่า แค่เขายืนอยู่ไกลๆ เธอยังแทบหยุดหายใจ หากต้องมานั่งข้างๆ กันอีกเธอไม่อยากคิดถึงสภาพจิตใจของตนเองเลยว่า จะมีปัญญาควบคุมสติและอารมณ์ของตนเองไม่ให้เผลอแสดงอาการ หรือหลั่งน้ำตาออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่งต่อจากนี้
ครั้งหน้าถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เธอไม่มีวันจะตกปากรับคำช่วยเหลือบราลีอีกเด็ดขาด!
ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้น เหมือนกำลังแสดงความเข้มแข็งที่ยังมีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเป็นเกราะกำบังเธอจากชายคนที่สร้างบาดแผลเอาไว้ให้เธอทั้งร่างกายและจิตใจ
ปวิมมองเก้าอี้ที่ยังเหลืออยู่เพียงตัวเดียวตรงหน้าด้วยแววตาที่นิ่งสนิทก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวที่ยังว่างอยู่
สองสาวเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ของตนเอง แต่ละคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะมีสีหน้าที่ผิดแผกแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง มีเพียงเอกอานนท์คนเดียวเท่านั้นที่ยังยิ้มร่าเริงสดใส พูดจาชี้ชวนให้ดูบรรยากาศต่างๆ ของภายในร้านไปทั่ว
ปีย์วรานั่งตัวแข็งทื่อพร้อมทั้งพยายามเบี่ยงตนเองให้ไปประชิดกับขอบระเบียงอีกฝั่ง เพื่อเว้นช่องว่างและระยะห่างให้ห่างจากชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอมากที่สุด พร้อมทั้งพยายามนั่งตัวตรงมองไปเบื้องหน้าเท่านั้น หญิงสาวเกือบผวาเมื่ออยู่ๆ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายเธอขยับจับปรับเก้าอี้ก่อนจะนั่งนิ่งลงอีกหน เธอหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกหนเมื่อจังหวะการเต้นกำลังกระหน่ำรัวจนกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกันจะได้ยิน
บราลีพยายามรักษาบรรยากาศของการรับประทานอาหารมื้อนี้ให้ผ่านไปด้วยดีอีกครั้ง แต่มันก็ยากเหลือเกินเพราะเธอรู้สึกรำคาญเอกอานนท์เป็นที่สุด ยิ่งเห็นสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึกของปวิม หญิงสาวก็เข้าใจไปเองว่าที่ปวิมแสดงสีหน้าไม่พอใจอยู่นี้ ก็เพราะอยู่ๆ เอกอานนท์ตัดหน้าเดินเข้ามานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ข้างกายเธอ และเขาก็คงแก้ไขสถานการณ์นี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน บราลีพยายามท่องอยู่ในใจว่า อดทนไว้ อดทนไว้ อดทนไว้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง
เช่นเดียวกับปีย์วราที่พยายามท่องอยู่ในใจว่า อดทนไว้ อดทนไว้ อดทนไว้ และอดทนไว้ ยิ่งเมื่อเห็นว่าบราลีพยายามเอาอกเอาใจปวิมมากแค่ไหน ความรู้สึกไม่ชอบใจในการกระทำของเพื่อนรักก็เริ่มเติบโตขึ้นทุกทีๆ แบบไม่มีเหตุผล และนี่ก็เป็นอีกมื้อที่ลิ้นของเธอแทบไม่รับรู้รสชาติของอาหารที่ใครๆ ต่างชมว่าเลิศล้ำ อาหารทุกอย่างมันฝาดเฝื่อนเหมือนเธอกำลังกินกระดาษอยู่ก็ไม่ผิด
“มื้อนี้พี่ขออนุญาตรับเป็นเจ้าภาพไว้เองนะครับ” เอกอานนท์บอกกล่าวเมื่อแจ้งให้บริกรคิดค่าอาหารมื้อที่เพิ่งผ่านไป
บราลียิ้มรับด้วยอาการที่ฝืนเต็มทน ‘ในเมื่อเอกอานนท์เจ้ากี้เจ้าการนักเธอก็ไม่อยากขัดให้เสียน้ำใจ’
“สองคนทางนั้นน่ะ ทำไมนั่งเงียบไม่พูดอะไรเลย เห็นก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวอาหารที่นี่อร่อยใช่ไหมล่ะ” เอกอานนท์เอ่ยแซวเพื่อนรักอย่างอารมณ์ดี
“เออ” ปวิมตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเอนหลังลงไปพิงกับพนักเก้าอี้ ลำแขนแข็งแรงยกขึ้นพาดไปยังเก้าอี้ตัวที่ปีย์วรานั่งอยู่อย่างจงใจจนหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สะดุ้งโหยง
ยิ่งเหลือบไปเห็นสายตาของเพื่อนรักที่มองมา ปีย์วราก็ยิ่งไม่สบายใจจนต้องขยับหนีจนตัวเองนั่งหมิ่นเกือบจะตกจากเก้าอี้
“อาหารที่นี่อร่อยเหมือนที่มึงบอกจริงๆ ว่ะไอ้นนท์ แถมบรรยากาศก็ใช้ได้ วิวก็สวยดี” ชายหนุ่มยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นเสมือนเป็นการขอบคุณพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้บราลีเพียงนิด แค่นั้นก็ทำให้บราลีเปลี่ยนสีหน้ามายิ้มได้แบบทันทีทันใด
‘เขากำลังแกล้งเธอ’ ปีย์วราเหลือบตามามองชายที่นั่งอยู่ข้างกาย เธอไม่เคยลืมความรู้สึกเจ็บที่เขาฝากทิ้งเอาไว้ ไม่ลืม… ต้องไม่ลืมเด็ดขาด! ความเจ็บยังคงมีอยู่พอๆ กับความรู้สึกขัดเคืองใจที่กำลังเกิดขึ้น
“เห็นไหม กูบอกแล้วว่าที่นี่บรรยากาศดี อาหารก็อร่อย”
“อ้าว...นี่พี่นนท์เป็นคนต้นคิดที่จะมากินอาหารที่นี่หรือคะ” บราลีถามขึ้นมาทันที มองใบหน้าของเอกอานนท์และปวิมสลับกันไปมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เฮ้ย ไม่ใช่พี่นะ ไอ้พายสิ อยู่ๆ มันก็ชวนพี่” เอกอานนท์เอ่ยตอบขึ้นมาทันทีด้วยอาการร้อนรน “มันถามพี่ว่าร้านอาหารอะไรที่ไหนอร่อย พี่ก็แนะนำให้มาที่นี่ไง ใช่ไหมวะไอ้พาย”
“อืม…” ปวิมตอบกลับเพื่อนรักอย่างเสียไม่ได้
“อาหารที่นี่อร่อยจริงๆ ค่ะ ไว้หนหน้าให้บีแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ให้เองนะคะพี่พาย” หญิงสาวรีบฉวยโอกาสเอ่ยบอกด้วยหวังจะได้พบเจอกับปวิมอีกหน
แต่ปวิมกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน หันไปพูดกับเพื่อนของตนเองเสียอย่างนั้น “เดี๋ยวไปต่อที่ผับไหนวะไอ้นนท์”
“ที่เก่าก็แล้วกัน กูจองไว้เรียบร้อยแล้ว” เอกอานนท์หันมาส่งยิ้มให้สองสาวที่นั่งอยู่ “พวกพี่ขออนุญาตเชิญน้องบีน้องปีย์ด้วยนะครับ ไปฟังเพลงสบายๆ ชมบรรยากาศแสงสียามค่ำคืนของคืนวันศุกร์กัน”
“ยินดีมากค่ะ”
“ขอตัวนะคะ”
บราลีและปีย์วราพูดขึ้นมาพร้อมๆ กัน แต่ใจความของคำพูดนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
บราลีรีบหันขวับกลับไปมองหน้าปีย์วราด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเพื่อนสาวจะเอ่ยปากปฏิเสธขึ้นมาทันทีทันใดโดยไม่ปรึกษาเธอแบบนั้น เช่นเดียวกับสองหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะก็หันกลับมามองหน้าของปีย์วราเช่นกัน
“ทำไมเล่าครับน้องปีย์” เอกอานนท์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ทั้งหมด 2,140 บาทครับ” บริกรเดินเข้ามาขัดจังหวะบรรยากาศที่กำลังอึมครึมในโต๊ะเหมือนรู้เวลา เอกอานนท์เลยละสายตาจากสองสาวไปจัดการกับค่าอาหาร
มีเพียงปวิมเท่านั้นที่กำลังมองสองสาวอยู่ ชายหนุ่มส่งยิ้มเย็นให้บราลีเมื่อหญิงสาวเหลือบมองมาทีเขา ก่อนจะหันหลบไปสบตากับเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน
บราลีเกิดความร้อนใจขึ้นมาทันที เธอต้องการจะไปต่อตามคำเชิญของหนุ่มๆ แต่ถ้าหากปีย์วราปฏิเสธออกมาแบบนี้เธอก็กลัวขึ้นมาว่าโปรแกรมทั้งหมดจะถูกยกเลิกลงในนาทีใดนาทีหนึ่ง และเธอก็จะไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับปวิมในค่ำคืนนี้ ซึ่งมันอาจนำไปสู่โอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับชายหนุ่มได้ในแบบที่เธอต้องการ
“เอ่อ เดี๋ยวปีย์กับบีไปห้องน้ำสักครู่นะคะ แล้วเดี๋ยวไปเจอกันที่ลานจอดรถนะคะ” บราลีสะกิดมือของเพื่อนรักพร้อมทั้งพยักหน้าชักชวนให้หญิงสาวลุกขึ้นจากโต๊ะ
ปีย์วรารู้ในใจทันทีว่าบราลีไม่เห็นด้วยกับคำปฏิเสธของเธอ เพราะสีหน้าของบราลีแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังขัดเคืองใจเพียงใด
ทันทีที่สองสาวเดินออกมาพ้นสายตาของหนุ่มๆ บราลีก็เปิดฉากพูดจากับเพื่อนรักทันที
“ปีย์! ทำไมปีย์ถึงปฏิเสธไปแบบนั้นล่ะ แล้วถ้าเกิดที่พายเขายกเลิกไม่ไปผับต่อ เราจะมีเวลาช่วงไหนได้ใกล้ชิดกับเขาอีกล่ะ ครั้งนี้ก็ถือว่าฟลุกมากๆ แล้วนะที่เขาส่งข้อความมาชวนเราอีกครั้ง”
“บี เราพูดตรงๆ เลยนะ ถ้าเรารู้ว่าธุระของบีคือการมานั่งกินข้าวแบบนี้เราจะไม่มาเลย รู้ไหมว่าการทำแบบนี้มันเสี่ยงแค่ไหน ถ้ามีใครในที่ทำงานรู้ว่ามีการแลกเปลี่ยนเวรมานั่งทานข้าวกับผู้ชาย ไม่ได้มีธุระคอขาดบาดตายที่ไหน คนที่เสียก็คือเรานะบี”
“ใครมันจะมารู้เล่าปีย์”
“โคราชมันไม่ได้ใหญ่โตนะบี”
“แล้วไง ปีย์ช่วยเราหน่อยไม่ได้หรอ เราขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากปีย์เท่านั้นนะ เวรเราก็แลกให้ เงินค่าเวรเราก็ออกให้ เราขอแค่ให้ปีย์ช่วยมานั่งเป็นเพื่อน มานั่งกินอาหารดีๆ แค่นั้นเอง ปีย์ลำบากใจมากนักเหรอ อีกอย่าง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปนั่งฟังเพลงกับเราต่อนิดก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ ถือเสียว่าเป็นการมาพักผ่อน”
“บีไม่เข้าใจ จับประเด็นให้ถูกสิบี ถ้าบีเดือดร้อนจริง ต้องการความช่วยเหลือ เรายินดีและพร้อมจะแลกเวรไปช่วยเหลือบีทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากเลย แต่นี่มันไม่ใช่นะบี บีให้เราแลกเวรด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องของปีย์ แต่เป็นเรื่องของบีนะ ที่บีชวนปีย์มาวันนี้ก็เพราะอยากจะให้ปีย์ช่วยแยกพี่นนท์ออกไปจากบีและพี่พาย ปีย์ทำได้ไหม ช่วยบีหน่อยได้ไหม เห็นแก่มิตรภาพของเราได้ไหม มีไม่กี่เรื่องเองนะที่บีขอความช่วยเหลือจากปีย์ แล้วมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย” บราลีอ้อนวอนเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ปีย์วรามองบราลีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี จะพูดปฏิเสธออกไปก็เหมือนจะใจร้ายกับเพื่อน แต่ถ้าหากตกปากรับคำออกไปก็เหมือนทำร้ายจิตใจตนเองลงไปทุกวินาที
“เอาแบบนี้...ปีย์ตอบตกลงไปกับเราก่อนได้ไหม อย่าให้โปรแกรมนี้ต้องถูกยกเลิกลงไป แล้วพอไปถึงที่นั่นปีย์ก็ขอตัวกลับบอกว่าเป็นห่วงลูก ดีไหม”
หญิงสาวถอนใจออกมาอย่างหนักอก ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะตอบตกลงหรือปฏิเสธดี
“นะ ปีย์นะ ไปถึงแล้วกลับเลย” บราลีจับมือเพื่อนรักมาเขย่า พร้อมทั้งอ้อนวอนแบบไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆ จนอีกฝ่ายใจอ่อน พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“ครั้งหน้าจะไม่มีแบบนี้อีกแล้วนะบี” ปีย์วรายื่นคำขาด
“ก็ได้ ก็ได้ เราสัญญา ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ” บราลียิ้มออกมาได้อย่างยินดี “งั้นเราไปเติมแป้ง ทาปากเพิ่มก่อนนะ ดูสิ ชุดวันนี้ไม่ได้เหมาะกับการไปผับเลย ถ้ารู้ว่าพี่พายจะชวนไปผับต่อนะเราจะไม่ใส่ชุดกระโปรงยาวแบบนี้มาเด็ดขาด” หญิงสาวพูดระหว่างที่เดินยิ้มเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากจุดที่ยืนสนทนากับปีย์วราอยู่ด้วยท่าทางสดใส ไม่หลงเหลือคราบความเศร้าหมองที่แสดงออกมาเมื่อครู่เลยสักนิด
แม้จะหนักใจจนล้นอกแต่ปีย์วราก็พูดไม่ออก เพราะเห็นแก่น้ำใจที่บราลีเคยมีให้กับเธอและลูก และไม่อยากทำลายมิตรภาพอันสวยงามที่มีต่อกันมาเกือบ 2 ปีลงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้
“ว่าไงครับ ตกลงว่าจะไปหรือเราจะยกเลิกโปรแกรมในคืนนี้ครับ” ปวิมคือคนที่ถามเมื่อสองสาวเดินออกมาสมทบที่ลานจอดรถ เหมือนกำลังท้าทายใครบ้างคน
ปีย์วราหลุบตาลงก้มมองลงไปที่พื้น ‘ไม่รู้เธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นดูเยาะเย้ยถากถางอย่างไรก็บอกไม่ถูก’
“ไปสิคะ” บราลีวส่งยิ้มให้กับปวิม ก่อนจะหันกับไปยิ้มให้เพื่อนรักที่ทำสีหน้าเรียบเฉย จนเธอนึกเคืองใจ
“ดีครับ” เอกอานนท์ตอบรับใบหน้ามีรอยยิ้มไม่ต่างจากบราลีเลยสักนิด
ปวิมยิ้มที่มุมปากหากสายตาไม่ได้ยิ้มด้วยสักนิด ระหว่างที่ส่งสายตามองไปที่ปีย์วราและบราลี “งั้นผมขอกุญแจรถคุณบีด้วยครับ ผมอยากจะรับหน้าที่สารถีให้คุณในคืนนี้ ไอ้นนท์” ปวิมหันไปเรียกเพื่อนรักที่ยืนนิ่งทำสีหน้าคาดไม่ถึง เพราะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อนหน้านี้ “แกไปกับคุณ...ปีย์นะ แล้วไปเจอกันที่ผับ”
“ตะ แต่ไอ้นนท์” เอกอานนท์รีบท้วงเมื่อเห็นบราลียื่นส่งกุญแจรถยนต์ให้ปวิมแบบไม่มีอิดออด
“ทำตามที่กูบอก หรือว่ามึงอยากให้กูบอก....” ชายหนุ่มหันไปพูดกับเพื่อนให้ได้ยินกันแค่สองคน พร้อมกับเลิกคิ้วให้อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
“ก็ได้วะ” เอกอานนท์กัดฟันยอมรับทั้งๆ ที่ในใจกำลังปฏิเสธ เกิดความสงสัยในการกระทำของปวิม และไม่เข้าใจว่าปวิมทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร “แต่กูบอกแล้วนะ ว่าคนนี้กูขอ”
“กูรู้...” ปวิมหยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อนรักอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาบราลีที่ยืนยิ้มแป้นแสดงความยินดีแบบไม่มีปิดบัง
แม้สีหน้าจะราบเรียบไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่ภายใจกับรู้สึกยอกแสยงใจอย่างบอกไม่ถูกปีย์วรามองตามบราลีและปวิมไปจนกระทั่งทั้งสองคนขึ้นรถไปด้วยกัน และขับรถออกไปจากลานจอดรถที่เธอยังยืนนิ่งอยู่
“น้องปีย์ครับ น้องปีย์” เอกอานนท์เอ่ยเรียกหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนนิ่งเหม่อมองออกไปยังถนนที่อยู่เบื้องหน้า
“เราไปกันเถอะครับ เชิญครับ รถพี่อยู่ทางนี้” ชายหนุ่มเดินนำไปที่ตัวรถพร้อมกับเปิดประตูรถไว้รอท่า ทันทีที่หญิงสาวก้าวขึ้นมานั่งบนรถก็รีบขับรถตามไปยังสถานที่ที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ด้วยความร้อนรน เพราะแบบนี้ตลอดทางเลยไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกับปีย์วราเพราะเห็นหญิงสาวเองก็นั่งนิ่ง สายตาทอดมองออกไปไกลเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
สถานที่อโคจรพวกนี้เป็นที่ที่ปีย์วราไม่ได้เหยียบย่างมากว่าสองปีตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา ทันทีที่เห็นสถานที่กับชื่อของผับแห่งนี้ได้ชัดถนัดตา ขาของปีย์วราก็สั่นไหวแทบก้าวไม่ออกอีกครั้ง เหมือนว่าเธอกำลังถูกภาพในอดีตตามหลอกหลอนตอกย้ำความเจ็บปวดแบบไม่มีวันเลิกลาเพราะมันคือสถานที่ๆ เธอได้เจอกับปวิมครั้งแรก
“เราเข้าไปเถอะครับ ป่านนี้น้องบีกับไอ้พายคงเข้าไปรออยู่ข้างในแล้ว”
แม้จะมีท่าทีลังเลแต่สุดท้ายปีย์วราก็ก้าวขาเดินตามเอกอานนท์ไปอย่างเสียไม่ได้ เธอบอกกับตนเองว่าจะอยู่ที่นี่เพียงไม่นานและจะขอตัวกลับทันทีที่มีโอกาส
แม้จะไม่เต็มใจมาตั้งแต่แรก แต่สายตาของปีย์วราก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบแลมองไปรอบตัวด้วยความสนใจในทุกสิ่งที่เห็น ทุกอย่างภายในสถานที่แห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิมแทบทุกอย่างจนเธอเกือบจะจำไม่ได้ ร่างบอบบางเดินหลบหลีกผู้คนตามหลังเอกอานนท์ไปด้วยความตื่นตาตื่นใจในแสงสีของสถานที่ ไหนจะการตกแต่งประดับประดาด้วยไฟหลากสี ไหนจะสาวๆ ที่แต่งตัวประชันกันแบบไม่มีใครยอมใคร จนกระทั่งมาถึงโต๊ะที่บราลีกำลังนั่งอยู่ก่อนกับปวิม ปีย์วราหลบสายตาคมที่เหมือนจะจ้องมองเธออยู่ก่อน พร้อมกับเดินตัวลีบไปนั่งลงข้างบราลีทันทีด้วยความอึดอัดใจ นี่ถ้าบราลีไม่ออดอ้อนขอร้องเธอจะไม่มีวันมาที่นี่จริงๆ
ท่ามกลางแสงไฟมืดสลัวและแสงสีจากดวงไฟ ดวงตาคมแอบมองจ้องไปยังหญิงสาวที่นั่งเยื้องไปไม่ไกลเท่าไหร่ สีหน้าแววตาแบบเด็กๆ ที่มีแสดงความใคร่รู้และสนใจแบบนี้ไง ที่ทำเอาเขาเคยโงหัวไม่ขึ้นหลงหัวปักหัวปำมาแล้วหนหนึ่ง
‘อย่าให้สิ่งที่เห็นมันมาหลอกตบตาได้อีกหน’ แก้วเบียร์ในมือถูกยกขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมดแก้ว
หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว เธอไม่เคยนึกสนุกอยากมาในสถานที่แบบนี้เลยตั้งแต่จำความได้ เพราะเวลาส่วนใหญ่ของเธอนั้นหมดไปกับตำรับตำราเรียน ปีย์วราไม่ใช่คนเรียนเก่งเลยต้องอาศัยการท่องจำและความขยันมากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งช่วงนั้นมารดาเจ็บป่วยอาการย่ำแย่ เธอเลยไม่มีจิตใจคิดเรื่องอื่นใด ใช้ชีวิตเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ได้แต่เรียนและดูแลมารดาเป็นหลัก เมื่อย้อนคิดถึงความหลังครั้งใดลำคอของหญิงสาวก็ตีบตัน น้ำตาคลอขึ้นมาทุกที
“บี เราไปห้องน้ำนะ” หญิงสาวเอนตัวเข้าไปกระซิบบอกที่ข้างหูของบราลีหลังจากนั่งนิ่งมองไปรอบตัวอยู่ครู่ใหญ่ และเริ่มหมดความสนใจไม่รู้สึกสนุกไปกับสิ่งต่างๆ ที่กระตุ้นเร้าอยู่รอบกาย
“อืม” บราลีหันมาพยักหน้าแบบขอไปทีด้วยสีหน้าไม่พอใจที่ปีย์วรามาขัดการสนทนา ก่อนจะหันกลับไปพูดคุยสนทนาและให้ความสนใจกับสองหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่
แก้วเบียร์ถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงจะขยับยืนขึ้น
“ไปไหนวะพาย”
“ไปห้องน้ำ” ปวิมบอกเสียงห้วนก่อนจะลุกเดินออกไปในเส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ปีย์วราเดินไปก่อนหน้านี้แล้วพักหนึ่ง
ทางไปห้องน้ำเป็นมุมมืดแยกออกมาเป็นสัดเป็นส่วน ระหว่างทางมีหนุ่มสาววัยรุ่นมายืนหลบกอดจูบลูบคลำในมุมอับลับตาคน ดูให้น่าละอายใจยิ่งนัก ปีย์วราเลยเร่งฝีเท้าเพื่อจะได้ทำธุระส่วนตัวของตนให้เสร็จสิ้นไป ภายในห้องน้ำกว้างสะอาดสะอ้านแทบไม่มีคนเข้ามาใช้ ตั้งใจว่าหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ จะเดินออกไปและหาโอกาสบอกลากับบราลีเสียที เพราะเห็นสมควรแก่เวลาที่เธอจะลากลับได้แล้ว
แสงไฟสลัวๆ รวมถึงพื้นที่ลาดเอียงของทางเดินที่แยกออกมาทำให้หญิงสาวต้องเขม้นตามองพื้นที่ตัวเองก้าวเดินอยู่เพื่อไม่ให้ลื่นไถลลงไปให้เจ็บตัว นึกไม่ออกเลยว่าสาวๆ ที่ใส่ส้นสูงแหลมเล็กจะเดินกันอย่างไรเพื่อไม่ให้ล้มลงไป
ใครคนหนึ่งมายืนขวางทางที่เธอกำลังเดินอยู่ หญิงสาวก้าวหลบโดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่คนที่มายืนขวางทางอยู่กับก้าวตามมาขวางเธอไว้อีกหน ปีย์วราเหลือบสายตาขึ้นไปมองทันทีด้วยความไม่พอใจ แต่พอเห็นว่าเป็นใครใจดวงน้อยก็เต้นระรัว หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่นเมื่อตาสบเข้ากับดวงตาคู่ดุเป็นประกายวาววับ รีบเบี่ยงตัวหลบเดินหลีกไปอีกทางเพราะต้องการหลบหน้าเขา แต่เธอก็ทำได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก่อนจะต้องร้องออกมา
มือแข็งแรงคว้าท่อนแขนเรียวเล็กเอาไว้ความว่องไวและด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าทำให้เขากระชากร่างบางกลับมาเผชิญกัน แค่เพียงไม่กี่วินาทีปีย์วราก็ถูกเหวี่ยงไปจนชิดติดผนัง ถูกกักไว้ด้วยท่อนแขนใหญ่ไร้ทางออกโดยสิ้นเชิง เมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวปีย์วราถึงกับนิ่งไปด้วยความตกใจ
“เอ๊ะ!” หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดขาวแทบไร้สีเลือด เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวเข้าประชิด ปีย์วราก็พยายามจะหันหนีเบี่ยงตัวหลบไปทางด้านข้าง พร้อมใช้สองแขนดันให้ชายหนุ่มออกห่างจากเธอ...นาทีนี้เธอรู้สึกกลัวจนหัวใจเต้นระรัวไปหมด ไม่รู้ว่าปวิมต้องการอะไรจึงมาดักรออยู่แบบนี้
“เดี๋ยวสิ” น้ำเสียงนุ่มๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นหูนั้นลากยาว “เจอกันก็หลายครั้งหลายหนแล้ว ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยหรือไง หรือจำไม่ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วเราเคย...กันขนาดไหน” คิ้วเข้มยกสูง พร้อมกับรอยยิ้มหยามหยันที่มุมปาก
หญิงสาวหันหนี ได้แต่ก้มหน้าให้ต่ำลง รู้สึกแทบทนไม่ได้กับสายตาเห็นอยู่ตรงหน้า
ปากหยักกระตุกยิ้มที่มุมปาก นึกสนุกยิ่งขึ้นอีกเมื่อฝ่ายทำเมินหนีไม่ยอมพูดจาด้วยก็ยิ่งอยากจะแกล้งเป็นการเอาคืนหญิงสาว นึกแต่เพียงอยากจะให้อีกฝ่ายได้เจ็บ เจ็บเหมือนที่เขาเคยเจ็บ... ฝ่ามือที่กำลังประคองแผ่นหลังบางเอาไว้กำลังรู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า และมันท้าทายความรู้สึกของเขาเสียเหลือเกิน...
“ว่าไง ลืมแล้วหรือไง ว่าเราเคยสนุกกันแค่ไหน มาทบทวนความจำกันหน่อยไหม” ปวิมก้มลงกระซิบข้างใบหูขาวสะอาดเสียงเครียด
ยิ่งใบหน้าคมสันก้มลงมาใกล้ ตัวเธอก็ยิ่งสั่นราวกับลูกนก ลมหายใจขัด พูดตอบโต้อะไรไม่ออกสักคำ แววตาที่มีแต่ความเจ็บช้ำคลอไปด้วยน้ำตาที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมา หันกลับมาจ้องดวงตาที่มองมายังเธอด้วยแววเกลียดชัง
“อย่ามายุ่งกับปีย์”
“หึ...สงสัยจะลืมไปแล้วจริงๆ เกิดรังเกียจกันขึ้นมาหรือไง”
“ใช่...” น้ำเสียงสั่นเครือดังออกมาจากเรียวปากบางที่สั่นระริก เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาแข็งกร้าวของชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองมา
“เมื่อก่อนไม่เห็นจะพูดแบบนี้ หรือได้ดีมีคนเลี้ยงดูแล้ว”
มือใหญ่เลื่อนจากแผ่นหลังของหญิงสาวมาสัมผัสที่ใบหน้าเรียวเล็ก... ปีย์วราลืมไปว่ายิ่งเธอกลั้นน้ำตาเอาไว้นานเพียงใด ร่างกายก็ยิ่งสั่นไหวมากขึ้นจนคนตัวโตรับรู้ได้
“อยากได้เท่าไหร่ ถ้าคืนนี้ผมอยากจะนอนกับคุณ หวังว่าคงไม่แพงเหมือนหนก่อนหรอกนะ เพราะคงผ่านมาเยอะแล้ว....”
เพี๊ยะ!
การกระทำไวเท่าความคิด เสียงของฝ่ามือที่ซัดลงบนใบหน้าดังสนั่นสะท้อนก้องให้ได้ยินอยู่ในหูก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบด้วยซ้ำ แรงฟาดของฝ่ามือเล็กทําให้ใบหน้าคมสันของปวิมสะบัดไปตามแรง หญิงสาวไม่เสียใจเลยสักนิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
“อย่าแม้แต่จะคิดมาดูถูกปีย์!”
ความคิดเห็น |
---|