9

บทที่ 9


 

ปีย์วราไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้คนจึงลุ่มหลงในกามารมณ์ ความสุขเปี่ยมล้นมันเป็นแบบนี้นี่เอง และนี่เป็นอีกครั้งที่ปวิมได้สอนให้เธอรู้จักมัน 

บานประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก ทำให้คนที่นอนนิ่งเหม่อลอยทอดสายตาไปไกลต้องหันกลับมาดูก่อนจะยิ้มรับเมื่อเห็นว่าเป็นใคร   

                “บี”

                “เป็นยังไงบ้างปีย์” บราลีเดินมายืนอยู่ข้างเตียง สีหน้าปราศจากรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้งที่พบกัน สายตามองไปที่ถุงน้ำเกลือที่ถูกแขวนห้อยอยู่ข้างเตียงทำราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน

                “หมอตรวจแล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วงเท่าไหร่ มีรอยฟอกช้ำบ้าง ดีว่าไม่มีส่วนไหนแตกหัก”

                “เมื่อคืนวุ่นวายน่าดู ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะปีย์ รถราถึงได้ชนเอาแบบนั้น”

                “เรา เรา” ปีย์วราก้มหน้าหลบสายตาเพื่อน “เรากำลังจะเดินกลับ คงจะใจลอยไปหน่อยเลยไม่ทันเห็นรถ”

                “เราโทรไปแจ้งคุณเพลินพิศให้แล้วนะ”

                “ขอบใจนะบี นี่เรากำลังรอใบรับรองแพทย์อยู่ กะว่าจะให้พี่เอกถือไปลางานให้ ว่าแต่ใครเป็นคนพาเรามาส่งโรงพยาบาลหรือ”

                “ก็...พี่พายไง” บราลีกัดริมฝีปากของตนเองจนเจ็บ “เห็นพี่พายว่าได้ยินเสียงเอะอะเลยออกมาดู เจอปีย์นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้นถนน ส่วนคนขับก็เป็นเด็กวัยรุ่นยืนงงทำอะไรไม่ถูก พี่พายกับพี่นนท์เลยจัดการเองเสียทั้งหมด” 

                เพราะชื่อที่ออกมาจากปากของบราลีทำเอาปีย์วราใจกระตุก ทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที

                บราลีเดินอ้อมเตียงไปที่หน้าต่างกระจกบานกว้าง มองออกไปเห็นตัวเมืองทั้งหมด เธอยังจำสีหน้าของปวิมได้ดี ยามที่เขาโอบกอดปีย์วราเอาไว้แนบอกระหว่างที่รอรถพยาบาล สีหน้าแบบนั้นมันไม่ใช่สีหน้าของคนที่เพิ่งรู้จักกันหนสองหนแน่ๆ ยิ่งพอรถพยาบาลมารับตัวปีย์วราขึ้นรถไปได้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็ปรี่เข้าไปหาคู่กรณีทันที ดีว่าเอกอานนท์ห้ามปรามเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นปวิมก็ยังไม่ลดท่าทีเกรี้ยวกราดที่แสดงออกมา ซ้ำพอมาถึงโรงพยาบาลยังมาเดินวนลุกนั่งไม่เป็นสุขอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอยู่เป็นนานสองนาน จนเจอหมอนั้นแหละถึงได้สงบลงได้ บราลีลอบมองหน้าปีย์วราอีกหนเกิดความแคลงใจและชักจะสงสัยในอะไรบางอย่างและคนอย่างเธอก็ไม่เก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวแน่ๆ

                “เราขอโทษนะ เลยทำให้หมดสนุก วุ่นวายกันไปหมด” หญิงสาวบอกไปตามความรู้สึก

                “ปีย์... เราถามอะไรสักอย่างได้ไหม” บราลีหันมาจ้องมองใบหน้าที่ยังซีดเผือดของปีย์วรา 

                “ถามอะไร”

                บราลีชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะเอ่ยปากถามสิ่งที่คาใจของเธอออกไป “ปีย์...กับพี่พายเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า” หญิงสาวจ้องมองไปที่เพื่อนรักเขม็ง ภาวนาขอให้ปีย์วราเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกมา มิฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีงามของเธอทั้งสองคนคงได้สั่นคลอนลงในนาทีนี้แน่ๆ

ใจของปีย์วรากระตุกอีกหน เธอจะบอกบราลีอย่างไรให้เข้าใจ จะบอกว่าไม่ ก็เป็นการโกหก หากบอกว่าใช่ แล้วถูกซักไซ้ต่อไปเธอจะเล่าออกไปได้อย่างไร ขณะที่กำลังลังเลตัดสินใจไม่ถูกอยู่นั้นเองประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดเข้ามา เหมือนระฆังหมดยกช่วยต่อเวลาตอบคำถามที่น่าอึดอัดใจนี้ออกไป แต่คนที่มาช่วยขัดตาทัพเอาไว้นี่สิทำเอาปีย์วราแทบอยากจะให้ตนเองสิ้นสติลงไปในทันทีทันใด เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มสองคนที่กำลังเดินเข้ามา แม้ใจจะบอกว่าไม่ แต่สายตาของเธอกับไม่ยอมละจากปวิมเลยสักนิด จนกระทั่งได้สบตากันนั่นแหละหญิงสาวถึงรีบหันเมินหนีไปทันทีด้วยความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นมาในอก แววตาแบบนั้น สายตาแบบนั้น เธอเคยเห็นมันมาก่อน...

ใจที่เคยว่าตัดแล้ว หมดเยื่อหมดใยกันแล้ว แต่ภาพที่เห็นเมื่อคืนทำเอาใจที่เคยมั่นคงถึงกับสั่นไหว สติที่เคยว่าตั้งมั่นไม่วอกแวกกลับหวั่นไหว ภาพที่รถแล่นเข้ามาปาดร่างบางของหญิงสาวไป แล้วปีย์วราก็ล้มกลิ้งไปกับพื้นถนนยังติดอยู่ที่นัยน์ตา ใครไม่มาเป็นเขาก็คงไม่รู้ว่าในนาทีนั้นเขารู้สึกอย่างไร ยิ่งได้เห็นรอยช้ำตามลำตัวและใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวในตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ปวิมตัดสินใจยืนอิงผนังอยู่ไกลๆ ไม่เดินมาที่เตียงผู้ป่วยที่ปีย์วรานอนอยู่เหมือนเช่นเอกอานนท์ สองมือยกขึ้นกอดอกกำหมัดเอาไว้แน่น ห้ามใจตนเองไม่ให้เดินเข้าไปกระชากร่างบางที่เคยรักมากอดไว้กับอก กอดรัดปลอบประโลมและถามไถ่อาการของอีกฝ่ายให้สมกับความห่วงใย

“พี่พาย...” บราลีร้องทักอย่างยินดี เดินยิ้มผ่านเอกอานนท์ไป ใบหน้าที่มีรอยยิ้มหุบลงทันที เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบชอบอยู่เดินผ่านเขาไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน ชายหนุ่มถอนใจยาวแล้วหันมาส่งยิ้มให้หญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตียงผู้ป่วยอย่างเก้อๆ 

บราลีเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ปวิม พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มที่เธอต้องตาต้องใจด้วยสายตาตัดพ้อที่เขาทำสีหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จาราวกับไม่เคยส่งข้อความฝากรักหากันเสียอย่างนั้น

“เป็นยังไงบ้างน้องปีย์ เจอหมอหรือยัง หมอว่ายังไงบ้าง” เอกอานนท์หันกลับมาให้ความสนใจถามไถ่อาการอย่างห่วงใยกับคนป่วย 

“เจอแล้วค่ะ ไม่มีอะไรน่าห่วง ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลปีย์เมื่อคืน” ปีย์วรายกมือไหว้เอกอานนท์ ก่อนจะหันไปไหว้ปวิมอีกคน ซึ่งเขาก็รับไหว้เธอแบบเกร็งๆ ดูขัดนัยน์ตา

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เมื่อคืนพี่กับพายกังวลกันมาก เพราะปีย์เล่นหมดสติ ไม่รู้สึกตัวไปแบบนั้น”

“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้หมดสนุก ปีย์รีบร้อนอยากกลับบ้านไปหน่อยเลยซุ่มซ่ามไม่มองรถราให้ดี”

“ผิดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ตัวคนขับเองก็เมาหน่อยๆ ดีแล้วที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“ค่ะ”

“แล้วปีย์บอกใครที่บ้านหรือยัง หรือจะให้บีจัดการให้” บราลีเอ่ยถามมาจากจุดที่ยืนอยู่

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ เดี๋ยวพี่เอกคงมา” ปีย์วราอุบอิบบอกเสียงเบา ไม่กล้ามองไปยังจุดที่บราลียืนอยู่เพราะมันเป็นจุดเดียวกับที่ปวิมยืนอยู่เช่นกัน

“พี่พายขา เรากลับกันเลยไหมคะ ปีย์เขาจะได้พักผ่อน” บราลีหันไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่ยืนอิงผนังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พร้อมทั้งถือวิสาสะวางมือของตนเองลงบนท่อนแขนล่ำนั้น เมื่อเกิดความระแวงไม่ไว้ใจ ไม่อยากให้ปวิมและปีย์วราได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน

ปวิมปรายตามองมือที่มาวางแตะอยู่ที่ท่อนแขนของตนเอง ก่อนจะหันมองหน้าเพื่อนสนิทที่มองมาอยู่ก่อน

“คุณบีกลับไปกับไอ้นนท์เถอะ ผมยังไม่กลับ” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท มือที่กอดอกอยู่ปล่อยตกลงไปอยู่ข้างตัว ทำให้มือของบราลีหลุดออกไปจากท่อนแขนของเขาทันทีเช่นกัน

บราลีมองการกระทำของปวิมอย่างไม่เข้าใจ ยามที่สนทนากันผ่านข้อความนั้นหวานหยด ออดอ้อนสารพัด แต่ยามที่ได้เจอหน้ากันจริงๆ เขากลับทำหมางเมินเหมือนคนไม่คุ้นกัน หญิงสาวมองไปที่เอกอานนท์และปีย์วรา พร้อมกับรู้สึกเสียหน้าเหลือเกินเมื่อถูกปฏิเสธเอาซึ่งหน้าแบบนี้ แถมยังต่อหน้าคนอื่นเสียด้วย ความน้อยใจทำให้หญิงสาวเดินไปหาปีย์วราที่เตียงผู้ป่วยอีกรอบ

“เรากลับก่อนนะปีย์ มีอะไรก็โทรหาเรานะ” ทันทีที่พูดจบบราลีก็ส่งยิ้มให้เพื่อน พร้อมหมุนตัวเดินออกไปจากห้องผู้ป่วยโดยไม่รีรอสักนิด

เอกอานนท์เห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงเสียใขของบราลีอย่างถนัดถนี่ พอเห็นว่าหญิงสาวลากลับก็รู้สึกใจไม่ดีเกิดห่วงใยขึ้นมาทันที ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาอยู่เพียงนิดก่อนจะตัดสินใจ “เอ่อ พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องบี เอ้อ...ไปก่อนนะปีย์ ไอ้พาย...” เอกอานนท์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับเพื่อนแต่ก็ไม่พูด พร้อมโยนกุญแจอะไรบางอย่างไปให้ปวิมรับไว้ในมือ ก่อนจะหันไปมองหน้าปีย์วราอีกหน และตัดใจเดินแทบจะเป็นวิ่งตามบราลีออกไปโดยทันที

ความกังขาเกิดขึ้นในใจของปีย์วราทันทีว่าทำไมปวิมจึงยังอยู่ในห้องนี้อีก ทำไมเขาไม่เดินกลับออกไปพร้อมเอกอานนท์เสียเลย หญิงสาวมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืนเอาปลายนิ้วเกี่ยวกระเป๋ากางเกงยีนต์ตัวเก่าที่ใส่จนสีซีดจาง ชายกางเกงรุ่ย ใบหน้าแม้จะมีร่องรอยของความเครียดแต่ยังคมเข้มหล่อเหลา ก้มมองดูรองเท้าผ้าใบที่ทั้งมอมทั้งเลอะราวกับว่ามีอะไรน่าสนใจติดอยู่

ภายในห้องพักผู้ป่วยเงียบสนิท ต่างคนต่างเงียบจนแม้แต่เสียงลมหายใจที่ปล่อยออกมายังได้ยินไปทั้งห้อง

ยิ่งได้มอง ยิ่งได้เห็นร่างสูงที่เคยคุ้นตายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ความหม่นหมองและความขมขื่นก็ผุดขึ้นมาอีกหน เมื่อนึกถึงภาพวันเก่าๆ วันที่เธอสูญเสียหัวใจของตัวเองไป แก้วตาใสสะท้อนความเศร้าหลุบมองเพียงแค่มือของตนเอง ลำคอของปีย์วราตีบตันเหมือนมีใครมาบีบเอาไว้ ดวงตาร้อนผ่าวเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นึกได้แค่เพียงว่าอยากให้เขาเดินออกจากห้องนี้ไป ไปให้ไกล ไกลจากสายตาของเธอ

“ปีย์...” 

หญิงสาวหลับตาลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงนุ่มๆ ของปวิมเอ่ยเรียกชื่อของเธอ พร้อมๆ กับหยาดน้ำตาไหลกลิ้งหยดลงมาต้องบนหลังมือ

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกอีกครั้งอย่างกะทันหันทำให้ทั้งปีย์วราและปวิมต้องหันไปดูผู้ที่ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยที่ยังไม่ทันจะพูดอะไรกันต่อ ปวิมขยับตัวยืนตรง คอแข็งทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใครกันที่ก้าวเข้ามา

เช่นเดียวกับผู้ที่เข้ามาใหม่ก็มองคนที่อยู่ภายในห้องผู้ป่วยแห่งนี้ด้วยสีหน้าตกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าจะมาพบคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจออยู่ที่นี่

“พี่เอก” ปีย์วราอุทานเอ่ยเรียกชื่อผู้ที่เข้ามาใหม่เพราะคาดไม่ถึงว่าเอกชัยจะมาไวขนาดนี้ แถมเขายังไม่ได้มาคนเดียว ยังอุ้มลูกชายของเธอติดมือมาด้วย หญิงสาวหันขวับไปมองปวิมทันทีด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก กลัวเหลือเกิน... กลัวความรู้สึกของปวิมที่จะแสดงออกมายามที่เขาได้เจอกับลูกชายของเธอ

สายตาคมหันขวับกลับมามองใบหน้าหวานที่ซีดลงถนัดตา ความเจ็บช้ำฉายชัดออกมาพร้อมกับความเจ็บแค้นก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นเฉยเมยและเย็นชา

เขาไม่เคยเข้าใจอะไรผิดทั้งนั้น ก็หลักฐานมันตำตาอีกครั้งแบบนี้!

ปวิมกระตุกยิ้มเย็นที่มุมปากให้แก่ชายและหญิงตรงหน้า ก่อนจะก้าวเดินตรงออกจากห้องไป ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยคำลา ไม่มีแม้แต่จะแลตามองเด็กชายตัวอ้วนกลมที่โบกไม้โบกมือให้แก่เขา

“พี่พาย...” 

“ปีย์!” เอกชัยเรียกน้องเมียด้วยอาการตกใจเห็นชัด ในขณะที่มองตามร่างสูงของปวิมที่ก้าวพรวดๆ ผ่านหน้าเขาออกไป “ทำไมผู้กองถึงมาอยู่ที่นี่”

หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้า ร่ำไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น ไม่ว่าเมื่อไรปวิมก็ไม่เคยให้โอกาสเธอได้อธิบายเลยสักครั้ง

 

“บี บี หยุดก่อนสิ” เอกอานนท์รั้งแขนของหญิงสาวที่กำลังเดินแกมวิ่งอยู่เบื้องหน้ามุ่งตรงไปยังลานจอดรถ 

“พี่เอกจะมารั้งบีไว้ทำไมคะ ไหนว่าจะช่วยบีไงล่ะ ไหนละช่วย ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย คนบ้าอะไรไม่รู้ ลับหลังคนอื่นล่ะส่งข้อความพูดจาคะขาหวานจนเลี่ยน แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นกลับทำเหมือนคนไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น”

 “ใจเย็นสิบี”

“ต้องเย็นแค่ไหนกันคะ หรือต้องให้บีทำอะไรอีก บีทำตามที่พี่นนท์บอกทุกอย่าง ทำตัวเหมือนคนบ้าจนไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรแล้ว บีคงพอแล้วค่ะ ไม่ไหว”

“บี...”

“พี่นนท์ก็ไม่ต้องมายุบีแล้วนะคะ บีจะไม่ชวนหรือออกไปไหนกับพี่พายอีกแล้ว”

“โธ่....บี”

“ยอมแพ้ค่ะ ต่อหน้าทำเหมือนไม่คุ้น แต่ลับหลังพูดจาฝากรัก หรือพี่พายจะปั่นหัวบีคะ”

เอกอานนท์กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากเมื่อเห็นอาการแง่งอนมีน้ำโหของบราลี นี่คงสมควรแก่เวลาแล้วกระมังที่เขาจะสารภาพเรื่องราวทั้งหมดให้บราลีได้เข้าใจ เพราะหากปล่อยไว้เนิ่นนานกว่านี้ก็คงจะถลำลึกเกินกว่าจะแก้ไขได้

“บีลองส่งข้อความอะไรก็ได้หาไอ้พายสิ” 

บราลีตวัดสายตามองเอกอานนท์อย่างไม่เข้าใจ “จะส่งทำไมอีก พี่นนท์ไม่เห็นหรือคะ พี่พายเขาทำยังไงกับบี”

“ส่งเถอะ พี่ขอร้อง” ชายหนุ่มล้วงหยิบโทรศัพท์ของตนเองออกมาถือเอาไว้ในมือ พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนให้หญิงสาวทำตามคำขอของเขา “แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

บราลีตัดรำคาญหญิงสาวสะบัดแขนจนหลุดจากมือของเอกอานนท์ แล้วหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาส่งข้อความไปหาปวิมตามคำขอของอีกฝ่าย

ติ๊ง...

ทันทีที่บราลีกดส่งข้อความหาปวิม เสียงเตือนจากโทรศัพท์ในมือของเอกอานนท์ก็ดังขึ้น หญิงสาวเหลียวหันไปมองหน้าของเอกอานนท์ทันที ก่อนจะลองส่งข้อความไปอีกหน

“ทีนี้บีเข้าใจหรือยัง ว่าทำไมไอ้พายถึงมีท่าทีแบบนั้นกับบี คนที่บีคุยอยู่ด้วยทุกเช้าค่ำคือพี่ ไม่ใช่ไอ้พาย”

เพี้ยะ!

ใบหน้าของเอกอานนท์หันไปตามแรงมือที่ตวัดลงมากระทบ ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

“สนุกกันมากใช่ไหม คุณเห็นฉันเป็นอะไร ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!” 

“พี่ขอโทษ ทุกอย่างเป็นความคิดของพี่เอง พี่รักบีจริงๆ นะ พี่ถึงทำแบบนี้”

“รักแบบไหน ถึงได้หลอกกันอย่างนี้” บราลีตะเบ็งเสียงใส่ชายหนุ่มที่ยืนหน้าหงอยอยู่ตรงหน้าด้วยความโมโหแบบสุดขีด รู้สึกเสียหน้า อับอายจนเกินจะกล่าว เมื่อนึกว่าส่งข้อความหาอีกคน แต่คนรับนั้นกับกลายเป็นเอกอานนท์ไปเสียนี่

“แล้วบีจะให้พี่ทำยังไง บีไม่เคยสนใจพี่สักนิด พี่เทียวส่งข้อความไปหาบีก็ไม่เคยอ่าน แต่กับไอ้พายบีถึงกับมาเอ่ยปากขอไลน์มันจากพี่ แล้วจะให้พี่พูดยังไงให้บีเข้าใจว่าไอ้พายมันไม่สนใจบีเลยสักนิด”

“พี่พายไม่สนใจบีเลย สักนิดก็ไม่หรือ” บราลีอุทานเสียงเบาส่ายหน้าไปมา สีหน้าบอกชัดว่าไม่เชื่อสักนิดกับสิ่งที่เอกอานนท์กำลังบอกเล่าให้เธอฟัง “ละ แล้วดอกไม้ล่ะ ใครเป็นคนส่งดอกไม้มา”

“พี่เอง ไอ้พายมันไม่เคยสนใจบีหรือใครด้วยซ้ำ พี่วานให้มันเขียนการ์ดให้ แต่ทุกอย่างที่พี่ทำไปบีต้องเข้าใจพี่นะ พี่กลัวบีจะเสียใจพี่เลยต้องทำแบบนี้”

“กลัวบีจะเสียใจ! ทุเรศ พี่พูดออกมาได้ยังไงกัน แล้วตอนนี้บีไม่เสียใจหรือไง ตอนนี้ทุกคนคงมองบีเป็นตัวตลกเลยละสิ พี่สองคนคงหัวเราะกันแทบตายสินะ ตอนที่บีส่งข้อความไป”

“ไม่เลยบี ข้อความของบี พี่ไม่เคยเอาให้ไอ้พายดู มันเป็นข้อความของพี่กับบีเท่านั้น”

“หยุดเถอะ บีรับไม่ได้ ขอโทษนะ แต่อย่ามาให้บีเห็นหน้าอีกเลย ทั้งสองคนเลย พอกันที” บราลีหมุนตัวและวิ่งหนีออกไปทันที 

มาถึงตอนนี้เอกอานนท์ก็ได้แต่ยืนคอตกมองหญิงสาววิ่งไปจนลับสายตา เขารู้ว่ามันผิดแต่ก็ยังฝืนทำมาตั้งแต่ต้นทำโดยไม่คิดถึงจิตใจของบราลีเลยสักนิด เอกอานนท์ไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็มีมือมาวางอยู่บนบ่าเสียแล้ว

“มึงสารภาพไปแล้วใช่ไหม”

“ใช่ เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเทกูทิ้งทันที กูน่าจะฟังคำเตือนของมึงนะ”

“อืม...” ปวิมพูดได้แค่นั้น

“แล้วมึงล่ะ คุยกับปีย์หรือยัง”

ปวิมใช้สองมือมือล้วงกระเป๋า สีหน้านิ่งสนิทยากแก่การคาดเดา “ไม่มีอะไรต้องคุย เรื่องมันจบไปนานแล้ว”

“แต่...” เอกอานนท์ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ปวิมก็เดินหนีไปทันที เขาเลยได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปยังที่จอดรถ “อยากกินเหล้าไหมวะ คืนนี้คืนวันเสาร์” เอกอานนท์ตะโกนถามเพื่อนที่เดินอยู่เบื้องหน้า หาช่องทางระบายความทุกข์ใจของตนเช่นกัน

“แล้วแต่มึง” ปวิมสรุปง่ายๆ เขาเองก็ไม่มีแก่ใจจะคิดหรือทำอะไรทั้งนั้น เมื่อสมองตอนนี้มันทั้งตื้อและตันไปหมด

 

เขาจะหาว่าเธอใจง่ายหรือเปล่านะ

หญิงสาวมองชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่ริมฝีปากอิ่ม มองใบหน้าคมของคนที่นอนคว่ำตะแคงหน้ามาทางเธอ ปีย์วรามองชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่อย่างพิจารณา ตั้งแต่รูปหน้าและผิวพรรณ จนกระทั่งถึงริมฝีปากหนา บ่งบอกพลังทางเพศที่ดึงดูดใจสาว ๆ ให้เข้าหา ผู้ชายคนนี้จัดได้ว่าคมเข้ม หล่อเหลาเกินกว่าที่จะเชื่อได้ว่าตอนนี้เธอได้ตกเป็นของเขาแล้วทั้งตัวและหัวใจ

เธอเต็มใจเป็นของเขาเพราะคำว่า ‘รัก’ เพียงคำเดียวเท่านั้น หลังจากที่เขาเทียวไล้เทียวขื่อ ตามรับตามส่งตามดูแลเธออยู่กว่าเดือน ปีย์วราก็ยอมรับกับตนเองว่าเธอชอบผู้ชายคนที่นอนหลับอยู่ตรงหน้าคนนี้มาก มากจนอาจกลายเป็นความรักและความลุ่มหลง เขาคือชายในฝันของใครหลายๆ คน เป็นคนที่เธอไม่คิดฝันว่าจะได้อยู่มาอยู่เคียงใจ ใครอาจจะว่าเธอใจง่าย แต่ใครไม่มาเป็นเธอคงไม่เข้าใจหรอก ยามที่ถูกคนที่เรารักออดอ้อนเสียงหวาน รุกไล่ต้อนอย่างเอาแต่ใจมันเป็นเช่นไร นี่แหละหนาผู้ใหญ่เขาถึงเตือนนักเตือนหนาว่าอย่าไปอยู่ในที่รโหฐานกับชายคนที่ตนมีใจให้สองต่อสอง เพราะผลมันเป็นเช่นนี้เอง

ขณะที่กำลังจ้องมองอีกฝ่ายเพลินปีย์วราก็ต้องสะดุ้งเบาๆ เมื่ออ้อมแขนแข็งแรงที่กอดรัดเธออยู่ออกแรงรัดเธอให้ขยับเข้าไปประชิดกับร่างกายใหญ่โตที่ยังคงนอนหลับตาอยู่

“คืนนี้ค้างกับพี่นะ” ชายหนุ่มกระซิบข้างหู ซุกไซ้ใบหน้าไปตามพวงแก้มและลำคอหอมกรุ่น ทำเอาปีย์วราสะท้านวูบวาบไปทั้งตัวราวกับมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลไปทั่วร่างกาย ริมฝีปากร้อนแนบจูบแผ่วผิวก่อนจะดูดกลืนติ่งหูกลมพลางไล้เล่นด้วยปลายลิ้น ความเสียวซ่านแล่นปราดไปทั่วร่าง มือเรียวยันอกกว้างไว้ หากแต่มันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี

“ไม่ได้หรอกค่ะ ปีย์ไม่เคยค้างที่ไหน เดี๋ยวพี่สาวจะห่วงเอา”

“งั้นอยู่กับพี่อีกสักนิดได้ไหม” 

“มะ ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้เย็นมากแล้วนะคะ” ปีย์วราปฏิเสธเสียงสั่น พยายามขืนตัวหนี แต่ก็ถูกล็อกตัวไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรงไม่ให้ขยับไปทางไหนได้

“งั้นแต่งงานกับพี่ได้ไหม” 

จากที่กำลังระทดระทวย หมดแรงเพราะสัมผัสจากปากและมือของอีกฝ่ายอยู่นั้น ปีย์วราก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นด้วยไม่อยากเชื่อหูตัวเองในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“พะ พี่พายว่าอะไรนะคะ พี่พายขา...หยุดก่อนสิคะ” หญิงสาวรีบห้ามปรามจมูกโด่งที่กำลังไล่ต่ำลงไปตามลำคอของเธอ

ปวิมชันข้อศอกกับเตียง เงยหน้าขึ้นมองดวงตาคู่สวยที่พราวระยับหวานหยดตรงหน้า “แต่งงานกับพี่นะ”

หญิงสาวตกตะลึงมองปวิมราวกับได้ยินบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ

“ตกลงไหม” ปวิมก้มลงไปจูบริมฝีปากอิ่มแรงๆ อย่างมันเขี้ยวพร้อมกับรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย “หืม ว่าไง?”

ปีย์วราพยักหน้าเร็ว ตอนที่ปลงใจยอมตกเป็นของเขาราวกับหญิงใจง่าย เธอยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด ตอนนั้นรู้แค่ว่ารักเขา รักเขา และรักเขา ในหัวคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด อยากตามใจเขาไปเสียทุกอย่าง แม้จะมีอิดเอื้อน ใจแข็งขัดขืนอยู่ในช่วงแรก แต่พอเห็นสายตาเว้าวอน ได้ฟังคำพูดหวานหู และสัมผัสรุกเร้า สุดท้ายเธอก็ยอมตกเป็นของเขาด้วยความเต็มใจของเธอเอง ลืมสิ้นคำสอนของมารดาที่เคยพร่ำบอกมาตั้งแต่เล็กยันโต

“ค่ะ แต่พี่พายต้องไปเรียนต่อเร็วๆ นี้ไม่ใช่หรือคะ” เธอซุกหน้าเข้ากับแผงอกของเขาก่อนจะส่งเสียงตอบอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก รู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจของเขา

“แค่ปีกว่าๆ เอง แต่ตอนนี้พี่อยากจะขอหมั้นปีย์เอาไว้เสียก่อน ปีย์พาพี่ไปพบแม่ของปีย์ได้ไหม แล้วพอพี่กลับมาพี่จะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอปีย์จากแม่” สายตามุ่งมั่นที่ทอดหวานมองไปที่หญิงสาวแน่วแน่ ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดอย่างทะนุทนอม ... เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีผลต่ออารมณ์ของเขาอย่างหนักแม้จะได้พบเจอกันไม่นาน แต่เขากับมั่นใจเป็นที่สุดว่าคนนี้แหละคือคนที่ใช่

“พี่พายพูดจริงๆ หรือคะ ไม่ได้หลอกปีย์เล่นนะคะ” หญิงสาวค่อยๆยกมือแนบแก้มของเขาไว้แผ่วๆ เรียวนิ้วหัวแม่มือขยับไล้ผิวนุ่มช้าๆ

“พี่จะหลอกปีย์ทำไมกัน พี่มั่นใจว่าปีย์คือคนที่พี่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกัน...รักพี่ไหมคนดี”

ปีย์วราพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว ตื้นตันใจเป็นที่สุดที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอรับผิดชอบ ลำตัวมีอ้อมแขนแข็งแรงของเขากอดรัดเอาไว้แน่นเสมือนเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของ แต่เธอก็ชอบที่เขากอดเธอไว้แบบนี้

“พี่เองก็รักปีย์ รักมาก รักจนทนไม่ไหว ต้องตีตราจองเอาไว้ก่อนแบบนี้ และตอนนี้พี่ก็อยากจะให้มั่นใจว่า...” ร่างกายใหญ่โตพลิกตัวขยับขึ้นมาคร่อมร่างบอบบางเอาไว้ “ปีย์เป็นของพี่ทั้งตัวและหัวใจ” ปวิมดึงผ้าห่มในมือของปีย์วราออก พร้อมกับมองคนที่อยู่ใต้ร่างอย่างหลงใหล ลำตัวของหญิงสาวแดงจ้ำเป็นจุดๆ ไปทั่วไล่มาตั้งแต่ลำคอ เนินอกอวบอิ่ม หน้าท้องแบนราบ เรียวขาสวยทั้งสองข้าง “สวยจริงๆ” เขาใช้หลังมือลูบไล้หน้าท้องแบนราบของหญิงสาว

“พี่พาย...อย่าค่ะ” หญิงสาวหลบตาระยิบระยับของชายหนุ่ม 

“ยังเจ็บอยู่ไหม” เขาคือคนแรกของปีย์วราอย่างที่คาดไว้ตั้งแต่แรก และนี่คือผู้หญิงอ่อนหวาน ใจอ่อน มองโลกในแง่ดีอย่างที่เขามองหามาโดยตลอด ปีย์วรามีส่วนคล้ายมารดาเขาอยู่มากในเรื่องอุปนิสัยใจคอ เพราะแบบนี้ยามที่ได้อยู่กับเธอเขาถึงมีแต่ความสุขสงบและสบายใจราวกับพบที่ทางของตนเองแล้ว

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา สองแก้มแดงระเรื่อ ดวงตาคู่สวยฉายแววออดอ้อนโดยที่เจ้าตัวเองไม่รู้ ใบหน้าสวยขึ้นสีระเรื่อ ดวงตาของเขาจ้องเธอเขม็งทำให้ทั้งร่างบางสั่นสะท้าน ร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของชายหนุ่มโน้มลงมา ใบหน้าก้มลงมาประกบริมฝีปากบางของเธออย่างหนักหน่วง ก่อนจะไล่ลงไปที่ซอกคอหอมกรุ่น บังคับทิศทางให้ใบหน้าหวานแหงนหงายขึ้นมารับจูบดูดดื่มจากเขา

ร่างบอบบางหยัดโค้ง ลืมห้ามปรามอีกฝ่ายไปเสียสนิท สองมือกำผ้าปูที่นอนแน่น เขากำลังยั่วเย้าเธอด้วยการซุกไซ้ใบหน้าไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ตารางนิ้วเดียว โดยไม่ลืมทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของไว้ด้วย มือเล็กทั้งกดและจิกศีรษะได้รูปเพื่อลดความซ่านเสียว เมื่อชายหนุ่มใช้มืออีกข้างตรึงสะโพกเธอไว้อยู่กับที่ รับรู้ว่าเธอเริ่มผ่อนคลายและเปิดรับตัวเขาแล้ว

ปวิมขยับตัวก่อนจะทาบทับและครอบครองเธออย่างเชื่องช้าแต่ทว่าหนักหน่วงด้วยการล่วงล้ำเพียงครั้งเดียว แล้วรอจังหวะขยับสะโพกช้าๆ เพื่อให้หญิงสาวได้ปรับตัว มอบจุมพิตอันอ่อนโยนลงบนหน้าผาก เปลือกตา และริมฝีปากเพื่อปลุกปลอบหญิงสาวร่างบางผู้อ่อนด้อยประสบการณ์ ปีย์วราแทบไม่อาจจะกลั้นเสียงร้องได้ เรียวปากอิ่มเผยออ้าออกเพื่อเรียกอากาศเข้าปอด การโอ้โลมของเขากำลังทำให้เธอขาดใจตายลงไปนาทีนั้น เมื่อความเสียวซ่านกระจายไปทั่วร่างก่อนจะพุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ

“ปีย์จ๋า” ปวิมครางเสียงหวาน เลือดในกายเหมือนจะเดือดพล่าน ร่างใหญ่โตเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงเล็กครางอื้ออึงผ่านริมฝีปากของเขาที่ประกบอยู่ไม่ห่าง เธอคับเกินไปและร้อนเกินไป ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนเริ่มจังหวะดุดันร้อนแรงจนหญิงสาวสั่นสะท้านไปตามแรงที่ชายหนุ่มต้องการให้เกิด 

“รักพี่ไหมปีย์...รักไหม” 

ปีย์วราส่ายหน้าไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่ก็ไม่อาจลดทอนความเสียวซ่านที่กำลังเกิดขึ้นในร่างกายให้น้อยลงไปได้เลย สติของเธอแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากสัมผัสของปวิม สมองของเธอไม่สามารถคิดคำตอบออกมาได้ เธอจึงเพียงแต่มองเขากลับด้วยสายตาหยาดเยิ้มสื่อความหมายแทนคำตอบกลับไป ปลายเล็บจิกลงบนแผ่นหลังกว้างเพื่อลดทอนความซ่านเสียวที่เขามอบให้แก่เธอ ความรู้สึกของเธอเหมือนโดนมอมเมาด้วยด้วยวิสกี้ชั้นเลิศ ชายหนุ่มเร่งจังหวะเพื่อกระตุ้นหญิงสาว อีกมือก็บีบเคล้นทรวงอกเต่งตึงไม่ให้ว่าง

“พี่พายขา...” เสียงหวานหลุดคราง

เมื่อจังหวะเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนของเขาเจียนจะหมดเต็มที ชายหนุ่มถึงกับไม่สามารถกลั้นเสียงไว้ได้ เมื่อทั้งสองสอดประสานรับกันอย่างรู้จังหวะ เขาเริ่มต้นที่จังหวะเชื่องช้าแล้วค่อยแปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็วหนักหน่วง โหมสะโพกใส่หญิงสาวในจังหวะที่หนักหน่วงและรุนแรงกว่าเดิมแข่งกับเสียงครางและเสียงคำราม ดาวดึงส์อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น หญิงสาวร้องเสียงหลงกับความเสียวซ่านเช่นเดียวกับปวิมที่เงยหน้าขึ้นเรียกชื่อคนใต้ร่างอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็ถึงฝั่งฝัน เธอก็รู้สึกถึงสายลมหมุนคว้างที่ทำให้รู้สึกราวกับร่างกายล่องลอย หัวสมองขาวโพลนไปด้วยเมฆหมอกที่หนาขึ้นทุกที มันทั้งสุขและเสียวซ่านปนกันไปหมด ชายหนุ่มทิ้งตัวลงแนบร่างบางอย่างไม่กลัวจะอึดอัด ซุกหน้าลงกับซอกคอหอมกรุ่นที่เขาหลงใหล
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น