14

ตอนที่ 13


เจกวาดตามองไปรอบห้องทำงานที่แสนจะน่าเบื่อ เพราะขณะนี้ไม่มีใครเหลืออยู่เลยสักคน นอกจาก บี เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาคร่ำเคร่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ไม่ได้สนใจเธอสักนิด

                “การไม่มีอะไรทำอยู่คนเดียว ในขณะที่คนอื่นมีงานทำนี่ มันน่าเบื่อชะมัดยาด”

เด็กสาวพึมพำแล้วเกยคางลงกับโต๊ะทำงาน ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สีพาสเทลตามคอนเซ็ปต์สาวน้อยวัยใสหัวใจวัยหวาน

                เจ หรือ ช่อเอื้อง เป็นเด็กสาวอายุย่างสิบเจ็ดปี ดวงตากลมโต จุดเด่นของเด็กสาวน่าจะเป็นผิวขาวราวกับอาบน้ำนมเพราะทั้งบิดามารดามีเป็นคนเหนือทั้งคู่

                เด็กสาวถอนใจเบาๆ ก่อนจะหยิบกระดาษและปากกาสีสวยมาวาดรูปเล่นแก้เหงา

                พี่เอ็นก็คงออกไปหาเรื่องสนุกๆ ทำข้างนอกกับพี่แอลทู ถึงแม้ทั้งคู่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องงานก็เถอะ แต่อย่างไรเสียเขาทั้งสองคนก็ยังได้สูดอากาศสดชื่นนอกตึก ไม่ใช่อุดอู้อยู่ชั้นใต้ดินแบบนี้

อันที่จริง เธอเองก็อยากจะออกไปผจญภัยกับแอลวันบ้าง ไม่ใช่มาติดแหง็กอยู่กับอีตาบีจอมบ้ารหัสอย่างไม่มีทางเลือก  

                ช่อเอื้องเหลือบตามองไปทางเพื่อนคนเดียวของเธอในยามนี้ เห็นเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับงานตรงหน้า สายตามุ่งมั่นแบบนั้นแสดงว่าเขาอาจจะค้นพบเรื่องสนุกบางอย่าง

                ก็คงเป็นเรื่องรหัสสารพัดสิ่งของเขานั่นละ

                เพราะไม่มีอะไรทำ เด็กสาวจึงลอบพิจารณาเพื่อนชายจากด้านหลัง แล้วลงมือขีดเขียน

                บีนั้นย้อมผมเป็นสีน้ำตาลแดงทันสมัยแบบไอดอลวัยรุ่นเกาหลีทั่วไป ผิวขาวจัด และดวงตาเรียวรี วันนี้เด็กหนุ่มใส่กางเกงขาสั้นยาวเหนือเข่าเล็กน้อย กับเสื้อยืดแขนยาวลำลอง และรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดัง จะว่าไปเธอเองก็เห็นบีแต่งตัวแบบนี้เกือบทุกวันจนชินตา

หลังจากที่ช่อเอื้องวาดรูปบีเสร็จแล้ว เธอก็เริ่มลงสีด้วยความเพลิดเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อบีลุกจากโต๊ะทำงานแล้วสาวเท้ามาหา

“วาดรูปอีกแล้วเหรอ รูปอะไร ดูหน่อย”

“ไม่เอา เรื่องอะไรจะให้ดู” ช่อเอื้องปฏิเสธ

                “หวังว่าเธอคงไม่ได้แอบชอบฉันอยู่จนต้องแอบมอง แล้วเอามาวาดรูปหรอกนะ”

                “ชอบเธอเนี่ยนะ” เด็กสาวโวยวาย รวบกระดาษทุกแผ่นยัดลงในลิ้นชัดใต้โต๊ะ “ฉันยังสมองปกติและไม่ได้มีปัญหาเรื่องสายตานะ คิดอะไรที่มันเป็นไปได้หน่อยสิ”

                บียักคิ้วกวนๆ พลางยื่นใบหน้าขาวจัดลงมาใกล้ แกล้งทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ

“พวกผู้หญิงนี่ละน้า ก็เห็นพูดแบบนี้กันทั้งนั้น ปากบอกไม่ชอบ แต่แอบเก็บไปเพ้อทุกทีสิน่า เหมือนพวกเพื่อนของฉันที่โรงเรียนเลยนะ เจอกันก็ไม่ยอมพูดด้วย เอาแต่ก้มหน้าก้มตา แต่สุดท้ายก็มาสารภาพรักกับฉันตอนปลายเทอมทุกที หล่อเลือกได้มันก็ดีแบบนี้นี่แหละ”

ช่อเอื้องผลักใบหน้าขาวนั้นให้ห่างออก แยกเขี้ยวใส่

                “ฝันกลางวันมากไปหรือเปล่า นี่มันบ่ายแล้ว แหม...กล้าพูดนะ หล่อเลือกได้”

                “ฉันพูดความจริงนี่ ตอนอยู่โรงเรียน ฉันเป็นดาวเด่นเลยนะ จะบอกให้ ทั้งหล่อ ทั้งฉลาด”

                ช่อเอื้องค้อนควักกับคำพูดหลงตัวเองของเพื่อนชาย

อันที่จริงจะเรียกว่าเขาหลงตัวเองก็คงไม่ได้ เพราะจะว่าไปแล้วหน้าตาของบีนั้น หล่อเหลาในระดับเฉียดๆ นักร้องไอดอลสารพัดวงของเกาหลีเลยทีเดียว แถมเขายังฉลาดในระดับอัจฉริยะ สาวๆ เห็นก็คงปลื้มเป็นธรรมดา เพียงแต่เธอเป็นเพื่อนเขา จึงไม่เคยมองเขาในมุมนั้นเลยสักครั้ง  

                “ไม่เสียเวลากับเธอแล้ว ฉันไปกินข้าวดีกว่า” ช่อเอื้องตัดบทดื้อๆ

                “สู้ไม่ได้แล้วหนีหรือเปล่า”

                “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง อิ่มแล้วจะมาสู้ใหม่”

                “เธอนี่น้า เห็นแก่กินจริงๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาหยี

                “ไปกินพร้อมกันไหม” เธอชวน

                “เธอไปก่อนเลย ฉันเซฟงานในคอมแป๊บนึง เดี๋ยวตามไป”

                “โอเค ให้ไวล่ะ”

                บีส่งยิ้มน่ารักในแบบที่น่าจะทำให้สาวๆ ใจสั่นได้กลับมาให้เธอ อันที่จริง เธอก็น่าจะใจสั่นกับรอยยิ้มแบบนี้อยู่หรอกนะ

ถ้าคนส่งยิ้มจะไม่ใช่ ‘บี’

               

                บีรีรอให้เจออกไปจากห้องทำงานสักระยะ พยายามตีหน้านิ่งไร้พิรุธก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระดาษที่หล่นอยู่ใต้โต๊ะซึ่งอีกฝ่ายวาดทิ้งไว้แล้วเก็บไปไม่หมด  

                เด็กหนุ่มพลิกกระดาษขึ้นดู แล้วก็ต้องใบหน้าร้อนวูบ อดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นภาพการ์ตูนเด็กผู้ชายตัวเล็กลงสีสวยงาม

ในภาพการ์ตูน เด็กผู้ชายคนนั้นสวมกางเกงขาสั้นสีกากีกับเสื้อยืดแขนยาวลายทางสีน้ำเงินขาวเหมือนที่เขาสวมมาในวันนี้ทุกอย่าง ไหนจะรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของเขาอีกเล่า

บีพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยนับพันตัวกระพือปีกอยู่ในหัวใจ ทำเอาใจเต้นรัวเร็ว

                “นี่แอบคิดอะไรกับฉันหรือเปล่า ยายตัวแสบ ถึงได้วาดรูปกันแบบนี้”

                เด็กหนุ่มพูดพลางก็ใช้สองมือรีดกระดาษให้เรียบ 

                “ไหนว่าไม่ชอบฉันไง ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ ว่าแต่...เธอวาดแต่รูปฉันหรือเปล่านะ หรือวาดคนอื่นๆ ด้วย”

                บีลอบมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าปลอดคน ก็ค่อยๆ เลื่อนลิ้นชักโต๊ะของเด็กสาวออก เพื่อดูกระดาษที่เจวาดรูปเล่นซึ่งสอดอยู่ด้านใน

                แล้วเด็กหนุ่มก็ต้องคอตก ผีเสื้อนับพันตัวบินหาย เมื่อภาพการ์ตูนที่เธอสอดเก็บไว้เป็นอย่างดีกลับไม่ใช่ภาพของเขา แต่เป็นภาพของใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้

                ผู้ชายที่มีรูปร่างสูงแข็งแรง สวมเสื้อโค้ทยาวสีเข้ม ยืนถือปืนเด่นสง่า ผู้ชายเต็มตัวในแบบที่สามารถปกป้องผู้หญิงได้ ผู้ชายที่เห็นทีไรก็ใจละลาย

ไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยละอ่อนรูปร่างผอมบางเก้งก้างอย่างเขา 

                ยิ่งได้เห็นรูปหัวใจสีชมพูดวงเบ้อเริ่มที่เด็กสาววาดล้อมรอบตัวชายหนุ่มสวมเสื้อโค้ทแล้วชักได้กลิ่นทะแม่งๆ

                ใครบอกเขาทีว่ามันไม่จริง

                “ยายบ๊องเอ๊ย แอบชอบใครไม่ชอบ ดันไปชอบแอลวัน ผู้ชายเต็มตัวเสน่ห์เหลือล้น แถมยังเต็มไปด้วยอันตรายแบบนั้น เขาคงมองแค่ผู้หญิงสาวสวยเซ็กซี่ที่คู่ควรกัน เขาไม่เสียเวลามองเด็กผู้หญิงกะโปโลอย่างเธอหรอก”

                บีส่ายหน้า ถอนใจเบาๆ เก็บรูปการ์ตูนแอลวันที่เด็กสาววาดกลับลงที่เดิมอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบรูปการ์ตูนยับย่นของตัวเองมาพิจารณาอีกครั้ง

                “เอาน่า ถึงเธอจะวาดรูปฉันแค่รูปเดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอมองไม่เห็นฉันอยู่ในสายตานี่นะ รูปเดียวก็ยังดี”

                เด็กหนุ่มยิ้ม เก็บภาพการ์ตูนนั้นไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของตนเอง ก่อนจะออกไปกินอาหารเที่ยง

                หลังจากที่เลนนอนออกจากห้องสมุดด้วยความยินดีว่าอักขระโบราณที่หญิงสาวสนใจอยากหาข้อมูลคืออักขระจากชาวเกาะไซปรัส ที่ถูกเรียกว่าอักขระไซปริออตจริงอย่างที่เธอคาดเดา และยังเป็นอักขระแบบเดียวกับที่ปรากฏบนย่อหน้าที่สามของรหัสลับอีกด้วย

เลนนอนจึงพาเอ็นมานั่งเล่นที่กรองด์ บูเลอวารด์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีร้านอาหาร ร้านขนมเรียงรายสองข้างทาง และมีผู้คนคึกคัก

ไม่ใช่ว่าเขาจะอู้งานไม่ยอมกลับองค์กรหรอกนะ เพียงแต่เสียงถามหงอยๆ ของใครบางคนตอนที่ก้าวออกจากห้องสมุดทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ

‘นี่เราจะตรงกลับตึกแปดเหลี่ยมเลยใช่ไหมแอล’

‘ใช่ เราออกมาข้างนอกเพื่อมาห้องสมุดและหาข้อมูลเกี่ยวกับอักขระที่คุณอยากรู้เท่านั้น ไม่ได้ออกมาเพื่อเที่ยว’

‘รู้หรอกน่า ฉันก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง’

แม้ปากจะบอกว่ารู้ แต่ดวงตากลมโตของเธอยังเฝ้ามองร้านรวงข้างทางผ่านกระจกรถตาปรอย แถมยังชะเง้อคอเสียยืดยาวเมื่อผ่านร้านดอกไม้หลากสี

‘รีบถอดรหัสให้เสร็จสิ เสร็จงานแล้วจะได้มาเที่ยว’

‘เสร็จงานแล้วก็ต้องกลับบ้านสิ จะมัวแต่เที่ยวได้ยังไงกัน คงอีกนานกว่าที่ฉันจะมีไฟล์ตบินมาปารีสอีก’

‘คุณไม่ได้บินมาที่นี่บ่อยๆ หรอกเหรอ’

เขาถามออกไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้อยากรู้อะไรมากเป็นพิเศษหรอก

‘ใครบอกกัน สองสามปี กว่าจะโชคดีได้ไฟล์ตดีๆ แบบนี้สักครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรุ่นพี่บินกันมากกว่า แต่เอาเถอะ คราวหน้าฉันคงได้มานั่งกินขนมจิบกาแฟในร้านน่ารักๆ พวกนี้บ้าง รออีกแค่สามปีเอง’

เลนนอนทำเป็นหูทวนลม ตีสีหน้าบึ้งตึง ไม่สนใจความต้องการของหญิงสาว แต่มารู้ตัวอีกที เขาก็จอดรถในย่านโอเปร่า แล้วพาเธอลัดเลาะจากถนนโอสมานน์ ผ่านห้างสรรพสินค้าใหญ่ เข้าสู่ตรอกเล็กๆ ซึ่งจำได้ว่ามีร้านขายขนมน่ารักน่านั่งอยู่ร้านหนึ่งเสียแล้ว

ยิ่งเห็นใบหน้าหวานสดชื่นเหมือนดอกไม้ได้น้ำ เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

หงุดหงิดทั้งท่าทางแช่มชื่นของเธอ หงุดหงิดทั้งความไม่ได้ดั่งใจของตนเอง ทำไมต้องยอมใจอ่อนพาเธอมานั่งกินขนมด้วยก็ไม่รู้

เดี๋ยวนะ เขาแค่อยากให้หญิงสาวได้หย่อนใจบ้าง ไม่ได้คิดถึงถึงเรื่องเดตกันสองต่อสองอะไรเลยแม้แต่น้อย

หญิงสาวค่อยๆ ตักขนมชิ้นเล็กเข้าปาก แล้วจึงหลับตาพริ้ม ซึมซับรสชาติ

“รีบๆ กินให้เสร็จเถอะน่า มัวละเลียดอยู่ได้ เสียเวลา”

เธอลืมตาขึ้น “ฮื้อ แอลนี่ ไม่มีสุนทรียภาพในการกินเอาเสียเลย”

“ขนมชิ้นนิดเดียว จิ้มใส่ปากเคี้ยวกลืนก็จบแล้ว”

เอ็นหันมาตวัดค้อนใส่เขา “คุณก็ไม่รู้อะไร ขนมชิ้นนิดเดียวก็จริง แต่กว่าคนทำเขาจะประดิดประดอยจนสวยงามน่ากินอย่างนี้ ต้องใช้เวลานานมากรู้ไหม ต้องทำแป้ง ทำซอส และอะไรอีกหลายอย่าง ถ้าเราทำแค่เอาใส่ปากแล้วเคียวกลืน ก็เท่ากับดูถูกขนมนะ”

“ไร้เหตุผล ไร้สติ” เลนนอนส่ายหน้า

“ไร้สติที่ไหน ใครไร้สติ”

“คุณนั่นแหละ”

“ไม่เห็นจะสน ถ้าจะถูกตราหน้าว่าไร้สติ แต่ได้กินขนมอร่อยๆ ฉันยอม” พูดจบ เธอก็ตักขนมยื่นมาให้ตรงหน้า เอ่ยชวนง่ายๆ “ลองไหม อร่อยนะ”

สายลับหนุ่มเบี่ยงใบหน้าหนี แล้วทำหน้าเบ้ ราวกับขนมในช้อนเป็นยาขม

“ไม่เอา”

“คุณไม่ชอบของหวานเหรอ แปลกนะ ผู้ชาย ทำไมต้องชอบออกตัวว่าไม่ชอบของหวานด้วยล่ะ ถ้าผู้ชายคนไหนชอบของหวาน มันจะดูไม่แมนหรือยังไง หรือว่าทำงานเสี่ยงๆ แบบคุณแล้วกินขนมไม่ได้ เพราะมันเสียลุค”

“ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ได้เสียลุค แต่ยังไม่อยากกิน”

โดยเฉพาะขนมที่แม่จอมยุ่งเป็นคนป้อนให้

“ไม่อยากกินของอร่อยๆ ก็ตามใจ” หญิงสาวไม่เซ้าซี้ต่อ หันช้อนเข้าปากตัวเองทันที

“แล้วตกลงคุณอ่านอักขระของชาวเกาะไซปรัสอะไรที่ว่านี่ได้แล้วใช่ไหม” เลนนอนถาม พลางมองคนตรงข้ามกินขนมอย่างเพลิดเพลิน

เอ็นส่ายหน้า “ยังหรอก ที่ฉันมาดูในห้องสมุดวันนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่ามันคืออักขระไซปริออตจริงๆ และโชคดีที่มันไม่ใช่อักขระไซปริออตในยุคหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาลอย่างที่นึกกลัว”

“โชคดีเหรอ? ทำไมล่ะ”

“เพราะอักขระในยุคนั้น ยังไม่มีใครถอดความได้น่ะสิ”

เลนนอนขมวดคิ้ว “แต่ที่อยู่ในรหัสที่เรามี ไม่ใช่อักขระจากยุคนั้น”

“อือ ไม่ใช่”

“แสดงว่ายังพอมีหวัง”

“ใช่” หญิงสาวพยักหน้าก่อนอธิบายต่อ “มีคนค้นพบแผ่นจารึกที่บันทึกอักขระกรีกและอักขระไซปริออตที่บันทึกด้วยภาษากรีกคู่กัน ทำให้นักวิชาการถอดความอักขระไซปริออตได้ ฉันไม่แน่ใจว่ามีการถอดความมาเป็นภาษาอังกฤษหรือยัง แต่ถ้าจะให้ง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณอ่านภาษากรีกออก ก็น่าจะถอดความได้”

สายลับหนุ่มลอบกลืนน้ำลาย “คุณกำลังจะบอกผมว่า คุณต้องใช้เวลาศึกษาภาษากรีกก่อน จากนั้นถึงเอามาเทียบกับไอ้อักขระอะไรออตๆ นี่ ถึงจะอ่านได้ใช่มั้ย เราไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้นนะ”

“ไม่ยากขนาดนั้นหรอกน่า”

“แสดงว่าคุณอ่านได้”

เอ็นฉีกยิ้มกว้าง บอกด้วยน้ำเสียงโอ้อวด

“เป็นเรื่องน่ายินดีที่บังเอิญ...ฉัน...ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะทางภาษา และมีความเอาใจใส่ในการเรียนภาษาต่างๆ ทุกภาษามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย ภาษากรีกจึงเป็นภาษาที่ห้าที่ฉันได้เรียน แหม...ฉันนี่...ฉลาดสุดๆ ไปเลยนะ”

เลนนอนส่ายหัวกับความหลงตัวเองของเจ้าหล่อน เขามองรอยเปื้อนจากครีมช็อกโกแล็ตที่มุมปากของเธอแล้วนึกปลง

แปลกนักที่คนฉลาดสุดๆ และมีความเอาใจใส่ในการเรียนภาษาจนเรียนภาษากรีกเป็นภาษาที่ห้าได้ กลับไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยอย่างการเช็ดครีมช็อกโกแล็ตที่เปื้อนมุมปาก

“มานี่ซิ” เขาเรียกแกมสั่ง

“อะไร ทำไม”

แม้คำพูดของเขาบอกให้ ‘มานี่’ แต่สิ่งที่ได้รับกลับตรงกันข้าม เพราะเอ็นถอยเก้าอี้หนีทันที

“อยู่นิ่งๆ”

สายลับหนุ่มสั่งเสียงห้วนพร้อมรั้งบ่าเล็กของเธอไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปใช้นิ้วโป้งเช็ดครีมช็อกโกแล็ตที่เปื้อนมุมปากออกให้อย่างอ่อนโยน

เอ่อ...เขาหมายถึงอย่างน้อยเขาก็คิดว่าอ่อนโยนที่สุดแล้วละนะ ไม่ได้ใช้นิ้วปาดไปลวกๆ แบบที่ทำกับตัวเองสักหน่อย

หญิงสาวมีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย หลังจากที่รู้แล้วว่าเขาพยายามจะทำอะไร แก้มใสซับสีเลือดขึ้นหน่อยๆ ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

“แล้วก็ไม่บอกว่าจะเช็ดครีมที่เลอะให้ ฉันก็นึกว่าคุณจะฆาตกรรมฉัน เห็นเรียกซะน่ากลัว”

“ผมยังไม่ฆ่าคุณตอนนี้หรอกน่า อย่างน้อยก็รอให้งานเสร็จแล้วค่อยทำก็ทันถมเถ”

คนที่กำลังจะถูกฆ่าหลังงานเสร็จเบิกตาโพลง กำช้อนขนมสีเงินคันเล็กในมือแน่น แล้วจ่อมาที่เขาราวกับจะใช้แทนอาวุธขู่ให้เขากลัว

“อย่านะ ถ้าคุณคิดจะทำอย่างนั้น ฉันจะไม่แปลอักขระอะไรให้คุณอีกเลย”

เลนนอนหัวเราะเบาๆ กับท่าทางแตกตื่นจริงจังและเกินจริงของหญิงสาว นานแล้วที่เขาไม่ได้หัวเราะในระหว่างที่รับประทานอาหารกับใครสักคน

“ถ้าอย่างนั้นคุณยิ่งไร้ประโยชน์ ฆ่าทิ้งเสียตอนนี้เลยก็แล้วกัน”

เมื่อหญิงสาวเห็นเขาหัวเราะจึงรู้ว่าถูกแกล้ง เธอคลายมือที่กำช้อนขนม ย่นจมูกใส่

“ไม่ต้องมาแกล้งขู่ฉันเลยแอล ฉันรู้ว่าคุณจะไม่ทำอย่างนั้น”

“ทำไมถึงมั่นใจนัก แค่เห็นว่าผมหัวเราะเนี่ยนะ มีนักฆ่าตั้งมากมายบนโลกนี้ที่สามารถฆ่าเป้าหมายได้โดยที่ยังยิ้มให้กันอยู่ และผมก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น”

เอ็นนิ่งเงียบ มองเขาอย่างพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจวางช้อนขนมลง

“ไม่หรอก คุณไม่ใช่คนเลวร้ายแบบนั้น ถ้าให้ฉันเดา เนื้อแท้ของคุณ น่าจะเป็นคนใจดีเสียด้วยซ้ำ”

“ใครบอกคุณว่าผมใจดี”

หญิงสาวยิ้มกว้าง สานสบนัยน์ตากับเขาอย่างท้าทาย

“ถ้าคุณไม่ใช่คนใจดี คุณคงไม่พาฉันมากินขนมที่ร้านน่ารักร้านนี้หรอก จริงไหม”

เลนนอนหลบตาสายคู่สวยที่สบประสาน เสมองพื้นถนน มองป้ายหน้าร้าน และมองกระถางต้นไม้ประดับข้างทางไปเรื่อยเปื่อย พยายามตีสีหน้าให้บึ้งตึงเพื่อไม่ให้เสียฟอร์มไปมากกว่านี้ ก่อนจะตัดบทเสียงขุ่น

“รีบกินให้เสร็จเถอะ เราไม่รู้ว่าคนร้ายจะลงมืออีกเมื่อไหร่ เราเสียเวลาไปมากพอแล้ว”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น