บทที่ ๕

บทที่ ๕

เข้าตามตรอก ออกตามหัวใจ

วันหยุดสุดสัปดาห์คือวันที่แสนวุ่นวายของพริตา เพราะเป็นวันที่หล่อนมีสอนศิลปะเต็มวัน ช่วงเช้ามีหนึ่งคาบ ช่วงบ่ายสองคาบ กว่าจะเสร็จสิ้นการเรียนก็ปาเข้าไปห้าโมงเย็น กลายเป็นวันที่วุ่นวายอย่างมาก เพราะไหนจะเด็ก ไหนจะผู้ปกครอง แล้วไหนจะลูกค้าที่มาใช้บริการร้านกาแฟอีก 

แต่ถึงจะดูหัวหมุนไปสักหน่อย มันก็คืองานที่หล่อนรัก วันนี้หล่อนต้องคอยแจ้งผู้ปกครองตอนจบคาบเรียนเรื่องการย้ายสถานที่เรียนไปเป็นตึกแถวฝั่งตรงข้าม โดยจำเป็นต้องปิดเรียนสองสัปดาห์เพื่อย้ายไปที่นั่น ผู้ปกครองและเด็กๆ ที่มาเรียนต่างเข้าใจ และบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจะรอดูโฉมใหม่ของร้าน

พริตาได้แต่ยิ้มรับและบอกให้ทุกคนตั้งตาคอย ทั้งที่จริงๆ แล้วหล่อนคิดจะตกแต่งเหมือนเดิม จะได้ไม่เปลืองงบให้บานปลาย แต่เห็นทีคงต้องทำอะไรให้ดูใหม่ๆ เสียหน่อยแล้ว

หญิงสาวส่งเด็กคนสุดท้ายออกจากร้านกาแฟเรียบร้อย แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาต้อนรับลูกค้าอย่างหมดสภาพ แต่ความวุ่นวายของหล่อนยังไม่จบแค่นั้น เมื่อลูกค้าคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในร้านพร้อมกับเด็กผู้ชายที่ร้องเรียกหล่อนทันทีที่เห็นหน้า

“ครูกุ้งครับ”

เด็กชายวิ่งยิ้มแฉ่งมาหา พริตาซึ่งหมดแรงอยู่บนโซฟาดีดตัวลุกขึ้นนั่งดีๆ แล้วมองทั้งพ่อทั้งลูกด้วยแววตาแปลกใจ พร้อมกันนั้นก็ถามคนเป็นพ่อที่เพิ่งเดินตามเข้ามา

“ไม่มีงานไปทำหรือไงคะ”

“วันนี้วันเสาร์ พี่ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ อีกอย่างพี่มาตามคำชวนของกุ้งนะ”

“คะ? คำชวนของฉัน?”

พริตาทวน ทำหน้างง หล่อนไปชวนเขาตอนไหน น้องวีที่ยืนอยู่ด้วยจึงรีบบอกทันที

“เมื่อวานครูกุ้งชวนน้องวีมากินเค้ก น้องวีก็เลยบอกพ่อว่าวันนี้น้องวีอยากมากินเค้กที่โรงเรียนครูกุ้ง”

โอ๊ย! ใช่จริงๆ หล่อนนี่แหละชวนน้องวีไว้ แต่ใครจะไปคิดว่าทั้งพ่อทั้งลูกจะรีบมาขนาดนี้

“ถ้างั้นไปดูเค้กกันค่ะ” 

หญิงสาวลุกจากโซฟาทั้งที่ใจอยากนั่งพักเหนื่อยอีกสักหน่อย หล่อนจูงมือน้องวีไปดูเค้กในตู้ด้วยกันว่ามีอะไรบ้าง มีเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม คัปเค้กการ์ตูนที่ด้านบนเป็นครีมและฟองดองน้องหมีสีสันสดใสที่เด็กๆ หลายคนชอบ แล้วยังมีเครปเค้กสีรุ้ง เค้กกาแฟ และชีสเค้กที่ผู้ใหญ่ชอบมากเช่นกัน

“น้องวีเอาเค้กอะไรดีคะ”

เด็กชายมองไปทั่วตู้ก่อนที่สายตาจะไปหยุดนิ่งที่คัปเค้กน้องหมี

“น้องวีอยากได้คัปเค้กการ์ตูนครับ”

นั่นไง เดาไม่ผิดจริงๆ เด็กๆ ร้อยทั้งร้อยไม่ได้เลือกเค้กเพราะรสชาติที่ชอบ แต่เลือกอันที่หน้าตาและสีสันสดใสก่อน ส่วนรสชาติที่ชอบค่อยตามมาอีกที

“เอาคัปเค้กกี่ชิ้นคะ ชิ้นเดียวหรือสองชิ้นดีเอ่ย” หล่อนถามต่อ 

น้องวีไม่ตอบในทันที หันไปถามพ่ออย่างขอไปในตัว

“น้องวีขอเค้กสองชิ้นได้ไหมครับพ่อมิล”

“ถ้าน้องวีสั่งมาสองชิ้นทีเดียว ต้องกินให้หมด ห้ามเหลือทิ้งนะครับ” รามิลบอกกึ่งสอนเรื่องการประมาณตน “แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าจะกินหมดหรือเปล่า น้องวีสั่งมาทีละชิ้น ถ้ากินชิ้นแรกหมดแล้วอยากกินอีก พ่อก็จะซื้อให้ ตกลงไหมครับ”

“ตกลงครับ” เด็กชายตอบตกลงตาเป็นประกาย แล้วหันไปบอกครูสาว “น้องวีเอาคัปเค้กหนึ่งชิ้นครับ”

พริตาจึงหันไปสั่งแนนให้หยิบคัปเค้กออกมาจากตู้ ส่วนตัวเองก็ถามน้องวีต่อ

“ที่นี่มีโกโก้เย็นอร่อยๆ ด้วยนะคะ น้องวีเอาด้วยไหม”

“เอาครับ”

พอน้องวีบอกอย่างนั้น พริตาจึงหันไปหารามิลซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ

“เชิญคุณพ่อไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้วยค่ะ”

“น่าน้อยใจจัง ครูกุ้งถามแต่น้องวีอยากกินอะไร ไม่ถามพี่บ้างเลย”

รามิลเปรยเหมือนหยอกเล่น แต่พริตารู้ว่าเขาหยอกจริงเพราะต้องการให้หล่อนหวั่นไหว หล่อนจึงได้แต่ทำปากขมุบขมิบบ่นเขา เพราะต่อหน้าคนอื่นและลูกของเขา หล่อนทำอะไรเขาไม่ได้มากนัก

‘หน็อย! คนบ้า กล้าพูดออกมาต่อหน้าคนอื่นนักนะ’

ใจหล่อนเข่นเขี้ยว แต่กลับแสดงออกตรงกันข้ามด้วยการยิ้มหวานและถามเขากลับ

“แล้วคุณรามิลจะรับอะไรดีคะ เค้กช็อกโกแลต เครปเค้กสีรุ้ง หรือรับน้ำอะไรดีคะ”

“นี่เย็นแล้ว พี่ขอเป็นมอคคาร้อนแล้วกัน เดี๋ยวจะไม่ได้นอน ส่วนขนมเค้กพี่ไม่ค่อยถนัด แต่ถ้าเป็นขนมไทยอย่างข้าวเหนียวหน้ากุ้งพี่จะชอบมากกว่า”

เขาพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่มีหรือที่พริตาจะไม่รู้ว่าเขาจงใจสื่อความหมายอะไรกับหล่อน แล้วก็เพราะรู้นั่นแหละ หล่อนถึงได้ถลึงตาใส่เขา ส่วนบาริสตาสาวและผู้ช่วยหมายเลขสองของร้านที่มองออกไม่แพ้กันก็แอบกรี๊ดในใจกันไปแล้วเรียบร้อย

‘กรี๊ด! มีคนมาแจกขนมจีบพี่กุ้งถึงที่เลยค่า หล่อมากด้วย เขาเป็นใครกันเนี่ย!’

ทว่าคนทำคนอื่นจิกหมอนและแอบกรี๊ดกันในใจกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หลังจากสั่งขนมและเครื่องดื่มเรียบร้อย เขาก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์และรับตัวจับเวลา ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะที่เป็นโซฟาชุดเล็กๆ กับลูกชาย

รามิลนั่งเล่นนั่งคุยกับลูกชายเหมือนเป็นลูกค้าทั่วไป แต่กลับทำให้เจ้าของร้านสาวสงบใจไม่ลงเลยสักนิดที่ถูกพ่อลูกคู่นี้เข้ามาปั่นป่วนหัวใจไม่หยุดหย่อน

‘โอ๊ย ยุบหนอพองหนอ อย่าไปสนใจคนหล่อขโมยหัวใจหนอ’

พริตาได้แต่พึมพำอยู่ในใจ แต่ดูเหมือนฟ้าจะเป็นใจให้รามิลเหลือเกิน เมื่อจู่ๆ แม่ของพริตาเข้ามาในร้านพร้อมกับกล่องเค้ก มีผิงถือถุงที่มีกล่องเค้กอีกสองกล่องตามเข้ามาด้วย พริตาเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้าไปช่วยแม่

“แม่มาทำอะไรคะ” 

หล่อนถามอย่างแปลกใจเพราะขนมเค้กในตู้แช่ยังมีอยู่ แม้จะเหลือน้อยจนใกล้หมดแล้ว เพราะอีกชั่วโมงกว่าก็จะถึงเวลาปิดร้าน ตามปกติแม่ของหล่อนไม่เคยเอาขนมเค้กมาเติมตอนเย็นเสียด้วย อีกอย่างหล่อนไม่อยากให้รามิลเจอกับแม่ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะตกแม่หล่อนเข้าเป็นพวกด้วยหรือเปล่า

“ถามแปลกจริงลูกคนนี้ แม่ก็เอาเค้กมาส่งลูกค้าที่เขานัดมารับที่ร้านไง”

บุษบาตอบขณะส่งเค้กให้ลูกสาวและแอบทำหน้านิ่วเล็กน้อย เพราะลูกสาวทำตัวเหมือนไม่อยากให้มาที่ร้าน เหมือนปิดบังอะไรไว้ คนเป็นแม่จึงเหลือบมองไปรอบๆ อย่างจับสังเกต แล้วสายตาก็ไปปะทะกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเผินๆ เหมือนเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการ แต่ความหล่อเหลาและความสูงของเขานั้นโดดเด่นมาก 

แต่อะไรก็ไม่เท่ากับว่าผู้ชายคนนั้นส่งยิ้มมาและยกมือไหว้อย่างคนรู้จัก 

“สวัสดีครับน้าบุษ”

“สวัสดีจ้ะ” บุษบารับไหว้และทักทายกลับ แต่ยังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“จำผมไม่ได้จริงๆ เหรอครับน้าบุษ” 

รามิลเปรยและก้าวเข้ามาหา พร้อมกับเรียกลูกชายให้มาสวัสดีบุษบาด้วยอีกคน

“น้องวีครับ มาสวัสดีคุณยายก่อน คุณยายเป็นแม่ของครูกุ้งครับ”

“สวัสดีครับคุณยาย”

คนถูกเรียกว่าคุณยายชะงักไปนิด ไม่ได้คิดหรอกว่าตัวเองยังสาวอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนบอกให้เรียกว่าคุณยายเลย แต่เพราะเด็กผู้ชายที่ยกมือไหว้หน้าตาน่าเอ็นดู กิริยามารยาทก็ดี มีความสดใสร่าเริง คนที่อยากมีหลานชายอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูเข้าไปใหญ่

“สวัสดีค่ะ หนุ่มน้อยคนนี้ชื่ออะไรคะ”

“ชื่อวีรภัทร์ ชื่อเล่นวี พ่อมิลเรียกน้องวีครับ”

บุษบายิ้ม คิดว่าเด็กคนนี้พอมองดีๆ แล้วมีเค้าหน้าคล้ายพ่ออยู่ พอทักทายกันเรียบร้อยรามิลก็ช่วยเฉลยเตือนความทรงจำให้ ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องคิดหาคำตอบนานเกินไป

“ผมรามิล เมื่อก่อนเป็นลูกค้าประจำร้านขนมปังของน้าบุษ ถ้าน้าบุษจะนึกออก เด็กผู้ชายตัวสูงๆ ที่ชอบถือลูกบาสไปซื้อขนมปังที่ร้านและเรียนโรงเรียนเดียวกับกุ้งไงครับ จำได้ไหมครับ”

พออีกฝ่ายเท้าความ บุษบาก็พยายามนึกตาม 

“รามิล...อ๋อ! เด็กคนนั้น อุ๊ย ไม่เจอกันนาน เป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้แล้ว ตอนนั้นน้าก็ว่าหล่อแล้วนะ แต่ตอนนี้หล่อกว่า แหม หล่อแบบนี้น่าไปเป็นดารานะเนี่ย”

พอนึกออก บุษบาก็ชมเปาะและชวนคุยน้ำไหลไฟดับ จนพริตาผู้เป็นลูกสาวถึงกับนึกในใจ 

‘แหม! แม่นะแม่ เจอคนหล่อหน่อยมีเสียงสองเลย’

พริตาได้แต่คิด พอดีกับที่ตัวจับเวลาแจ้งเตือนว่าเมนูที่สั่งไว้เสร็จแล้ว รามิลจึงไปรับเครื่องดื่มกับขนมที่เคาน์เตอร์แล้วกลับมานั่งที่ ส่วนบุษบาขอตัวไปจัดแจงเรื่องขนมสักครู่ ตอนนั้นเองลูกสาวก็มากระซิบบอกเรื่องที่น้องวีไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของรามิล เพราะกลัวแม่จะถามอะไรออกไป

บุษบาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะมานั่งคุยกับรามิล จนรู้ว่าเขาย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน ยิ่งรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นประธานบริษัทอรเนตรด้วยก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ แถมยังรู้ด้วยว่าวันก่อนที่พริตาไปถ่ายแบบมือก็เป็นที่บริษัทของรามิลเอง แล้วเมื่อวานนี้ยังไปเป็นครูสอนพิเศษแทนรุ่นน้องอีก

คนเป็นแม่ฟังแล้วก็รู้สึกได้ถึงโชคชะตาดีๆ ที่ทำให้ทั้งสองคนได้กลับมาเจอกัน อีกทั้งพอจะมองออกว่ารามิลเองก็สนใจลูกสาวหล่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้ามาคุยขนาดนี้ ทำเอาคนเป็นแม่ยิ่งปลื้มจนอยากจับลูกสาวใส่พานยกให้ชายหนุ่มให้มันรู้แล้วรู้รอด มีแต่พริตานี่แหละที่ค้อนปะหลับปะเหลือกไม่เลิก จนคนเป็นแม่นึกหมั่นไส้ แกล้งลูกเสียเลยด้วยการชวนรามิล

“แล้วนี่มิลมีธุระอะไรต้องไปทำต่ออีกหรือเปล่า ถ้ายังไงไปกินข้าวด้วยกันไหม พอดีน้าแวะเอาเค้กมาส่งลูกค้า ส่งเสร็จแล้วว่าจะชวนกุ้งไปกินข้าวด้วยกัน ไหนๆ ก็เจอคนกันเองแล้ว ว่างไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหมลูก”

พริตาอ้าปากค้างที่แม่ชวนชายหนุ่มหน้าตาเฉย พยายามจะค้าน

“แม่คะ เขาคงไม่สะ...” 

แต่ยังพูดไม่ทันจบว่าไม่สะดวก รามิลก็ชิงตอบตกลง

“ดีเลยครับคุณน้า ผมก็อยากชวนคุณน้าไปกินข้าวด้วยกันพอดี นี่ขับรถผ่านมาแล้วกุ้งเคยชวนน้องวีให้มากินขนมเค้กที่ร้าน ผมก็เลยแวะให้ แต่ว่าน้องวียังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยครับ”

“ตายจริง น้องวีหิวแย่เลย งั้นไปกินด้วยกันนะลูก”

“ได้ครับ ด้วยความยินดีเลย แต่ไหนๆ ได้เจอคุณน้าทั้งที ผมขออนุญาตเป็นเจ้ามือนะครับ”

รามิลมัดมือชกเป็นเชิงขออนุญาตและถือว่าตัวเองเข้าตามตรอกออกตามประตูแล้ว เขาทำความรู้จักกับหล่อนและได้พูดคุยกับแม่ของหล่อนแล้ว รวมทั้งคิดด้วยว่าบุษบาต้องมองออกแน่ว่าเขาคิดจะเดินหน้ากับลูกสาว ในเมื่อบุษบาไฟเขียว เขาก็ถือว่าตัวเองเดินหน้าต่อได้ และทุกอย่างก็อยู่ในการรับรู้ของผู้ใหญ่แล้ว

พริตาแทบอยากจะแยกเคี้ยวใส่ที่รามิลมาไม้นี้ แล้วดันเป็นไม้ที่หล่อนปฏิเสธไม่ได้ด้วย

‘ฮึ่ย! แผนสูงดีนักนะคนบ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ!’

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ลูกค้าที่สั่งเค้กไว้ก็มารับในอีกหลายนาทีต่อมา พอส่งเค้กเสร็จ รามิล น้องวี บุษบา และพริตาก็ออกจากร้านไปด้วยกัน โดยขึ้นรถยนต์คันหรูของรามิลที่คนขับรถจอดรออยู่แล้ว ส่วนผิงนั้นอยู่ช่วยงานที่ร้านของพริตาต่อและเจ้าตัวจะกลับบ้านเอง

ตอนแรกพริตาจะให้แม่ไปนั่งข้างหลังกับรามิล จะได้นั่งสบาย อีกอย่างหล่อนไม่อยากอยู่ใกล้เขาเกินไป เพราะหัวใจมันหวั่นไหว แต่บุษบาไม่เป็นใจเอาเสียเลย

“กุ้งไปนั่งข้างหลังกับพี่เขาไป”

“แล้วทำไมกุ้งต้องไปนั่งข้างหลังกับเขาด้วยล่ะ” หล่อนอิดออด “เบาะหลังนั่งสบายกว่า กุ้งว่าแม่ไปนั่งดีกว่า เดี๋ยวกุ้งนั่งข้างหน้าเอง”

“ไม่เอา แม่ชอบดูวิวหน้ารถ”

บุษบาตอบทื่อๆ ไม่สนใจคำปฏิเสธของลูกสาว แล้วก้าวขึ้นรถไปหน้าตาเฉย เล่นเอาพริตาถึงกับร้องเสียงหลง

“แม่!”

แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจำใจขึ้นไปนั่งบนเบาะตอนหลังกับรามิล โดยมีน้องวีนั่งคั่นกลางให้ แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็สงบจิตสงบใจไม่ลงอยู่ดี เพราะดันเผลอจินตนาการไปไกล ก็บรรยากาศมันเหมือนสามคนพ่อแม่ลูกนั่งรถไปเที่ยว โดยมีคุณยายไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น!

ภายในร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีดนตรีเล่นคลอเบาๆ ลูกค้าส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว บรรยากาศยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าจึงดูสวยงาม และเป็นได้ทั้งช่วงเวลาโรแมนติกและช่วงเวลาอบอุ่นของครอบครัว

บุษบาพอใจร้านอาหารที่รามิลพามามาก ไม่ใช่เพราะบรรยากาศร้านดูดีมีราคา แต่เพราะมันทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเป็นครอบครัวที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ถือว่าเขาเลือกร้านอาหารได้สื่อถึงความรู้สึกที่ต้องการให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเขาเป็นคนที่คำนึงถึงคนรอบข้างมากกว่าตัวเอง 

แม้แต่ตอนที่ให้ทุกคนสั่งอาหาร เขาก็ไม่ได้เลือกว่าจะต้องกินกุ้งแม่น้ำราคาแพง ไม่ได้โอ้อวดความรวย แต่เลือกอาหารที่อร่อยและสอบถามความชอบของทุกคน รวมทั้งใส่ใจว่าใครแพ้อาหารอะไร หรือกินเผ็ดได้มากน้อยแค่ไหน เขาก็จะกำชับพนักงานเสิร์ฟอีกทีหนึ่งหลังจากที่ทุกคนสั่งอาหารที่อยากกินแล้ว 

การกระทำของเขากลายเป็นการทำคะแนนจากบุษบาโดยที่เขาไม่ต้องทำตัวประจบประแจงหรือซื้อของแพงๆ มากำนัล แค่ใช้วิธีการแสดงออกอย่างจริงใจ แค่นี้ก็ถือว่าสอบผ่านไปแล้วขั้นหนึ่ง

“มิลมาร้านนี้บ่อยไหม”

“ไม่บ่อยครับ ปีหนึ่งครั้งหนึ่งน่าจะได้ เป็นร้านที่คนอื่นแนะนำมาอีกที แต่ผมมาแล้วเห็นบรรยากาศดี สบายๆ พอนึกถึงว่าอยากพาใครมานั่งสบายๆ กินลมชมวิว ก็เลยนึกถึงที่นี่ขึ้นมา น้าบุษชอบไหมครับ”

“น้าชอบมากเลย บรรยากาศดีมาก จริงไหมกุ้ง”

บุษบาตอบแล้วถามลูกสาว พริตาได้แต่เออออไปด้วย แต่ก็คิดว่าบรรยากาศดีจริงๆ 

“จริงค่ะแม่ บรรยากาศดีมากค่ะ” พริตาชม 

หลังจากนั้นไม่นานอาหารที่สั่งไปก็ทยอยมาเสิร์ฟ ทุกคนจึงกินอาหารไปคุยกันไป ดูเป็นบรรยากาศของครอบครัวแท้ๆ ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครเชื่อว่าโต๊ะนี้ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน 

ระหว่างมื้ออาหาร รามิลไม่ได้แสดงท่าทีที่ทำให้พริตาอึดอัดใจหรือรุกใส่ แต่บุษบาก็ดูออกว่าเขาใส่ใจลูกสาวของหล่อนแค่ไหน อีกทั้งถึงเขาจะพยายามโยนหินถามทางพริตาอย่างไร ก็ยังไม่ลืมดูแลลูกชายตัวเองด้วย 

จากที่ลูกสาวบอกมา เด็กผู้ชายคนนี้เป็นลูกของน้องชายรามิลที่เสียไปแล้ว นั่นทำให้รามิลต้องรับภาระการเป็นพ่อทั้งที่ตัวเองยังไม่มีครอบครัว สำหรับผู้ชายโสดคนหนึ่งที่ถูกป้อนตำแหน่งคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวให้ การพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดถือเป็นความท้าทายอย่างมาก บุษบาซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวย่อมรู้ซึ้งและเข้าใจดีว่าการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่รามิลก็ยังทำได้ดี แค่นี้หล่อนก็แอบให้คะแนนเขาไปเต็มร้อยแล้ว 

ทว่าไม่ใช่แค่บุษบาที่แอบชมอยู่ในใจ พริตาเองถึงจะหมั่นไส้เขาอยู่บ้าง แต่หล่อนก็ไม่ได้มองไม่เห็นสิ่งที่เขาทำ ทั้งการเอาใจใส่ทุกคนและน้องวี เขาทำให้หล่อนรู้สึกชื่นชมอย่างมากที่เขาเป็นพ่อที่เก่งและดูแลน้องวีได้ดีขนาดนี้ 

มื้ออาหารดำเนินต่อไปจนกระทั่งเสร็จสิ้น พอทุกคนลุกออกจากโต๊ะ น้องวีก็กึ่งลากกึ่งจูงพริตาไปดูบ่อเต่าที่อยู่ระหว่างทางเดินไปยังลานจอดรถของร้านอาหาร บ่อเต่าของร้านไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กเลย แถมยังมีน้ำตกจำลองประดับ มีเต่าเจ้าของบ่ออยู่สองตัว ตัวหนึ่งว่ายน้ำเล่นเอื่อยๆ ส่วนอีกตัวขึ้นมานอนบนหินอย่างสบายอารมณ์

“เต่าที่นี่ตัวใหญ่จัง”

พริตาพึมพำขณะยืนดูอยู่กับเด็กชาย น้องวียิ้มแย้มอารมณ์ดี สนใจเต่าในบ่อตามประสาเด็ก แล้วก็คุยโม้เรื่องหนังสือนิทานเต่าให้ฟัง แต่เพียงครู่เดียวสีหน้ามีความสุขของน้องวีก็เปลี่ยนไปเป็นระแวดระวังตอนมองไปยังพื้นที่ข้างกาย

หญิงสาวมองตามสายตาแต่ไม่เห็นอะไร พอกำลังจะถามว่ามีอะไร น้องวีก็หันมา พร้อมกันนั้นก็มองเลยไปด้านหลังหล่อน ทำให้หล่อนต้องหันไปมอง แล้วก็เห็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผละจากไปด้านหลัง เหมือนกับว่าเจ้าหล่อนมาดูบ่อเต่าด้วยเหมือนกัน 

หล่อนมองแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ตอนนั้นเองที่รามิลร้องเรียกและรีบเดินมาหาหล่อน จากที่ตอนแรกเขาเดินคุยอยู่กับแม่ของหล่อนและเดินทิ้งระยะห่างออกไปพอสมควร

“กุ้ง! น้องวี!”

สีหน้าเขาดูเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง แต่ขณะเดียวกันก็โล่งใจแล้ว

“ทั้งสองคนไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่ค่ะ เป็นอะไรเหรอคะ” หล่อนถามกลับงงๆ

“พอดีพี่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาด้านหลังกุ้ง เหมือนเขาเกือบจะชนกุ้ง กลัวจะตกลงไปในบ่อเต่า”

รามิลบอก แต่มีความจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือผู้หญิงคนนั้นยื่นมือไปหาพริตา เขาไม่อยากคิดว่านั่นจะเป็นการผลักพริตาลงไปในบ่อเต่าหรือไม่ โชคดีที่ลูกชายหันไปทางผู้หญิงคนนั้นพอดีแล้วพริตาหันตาม ผู้หญิงคนนั้นที่เขาสังหรณ์ใจว่าอาจจะใช่คนที่เขาไม่อยากให้เข้าใกล้ลูกชายจึงรีบผละจากไป เขาจึงรีบวิ่งเข้ามาหาหล่อนทันที

“ไม่ค่ะ เขาไม่ได้ชน พอกุ้งหันไปเขาก็เดินไปแล้ว”

พริตาบอกและยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ จากนั้นบุษบาก็เดินมาสมทบและถามไถ่เล็กน้อย เพราะตอนนั้นบุษบาไม่ทันเห็นเหมือนที่รามิลเห็น แต่พอไม่มีอะไรแล้วทุกคนก็ไปขึ้นรถด้วยกัน

รามิลสั่งคนขับรถให้พาบุษบากับพริตาไปส่งที่บ้าน แต่ระหว่างทางที่นั่งรถมานั้นน้องวีง่วงแล้ว เลยไปนอนซบอิงแอบอยู่กับพริตา จนหล่อนต้องจับให้เด็กชายเอนซบลงมาดีๆ แต่ไม่ได้ให้นอนหนุนตัก เพราะน้องวีเพิ่งกินมาอิ่มๆ

ภาพที่น้องวีอิงซบพริตากลายเป็นภาพที่ทำให้รามิลมีความสุขมาก เหมือนหล่อนเป็นแม่ที่พร้อมจะปกป้องดูแลน้องวี เขาอยากให้ช่วงเวลานี้กลายเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ใช่แค่ชั่วเวลารถฟักทองหายไปแล้วสุดท้ายน้องวีก็โหยหาความอบอุ่นจากแม่เหมือนเดิม

รามิลคิดแล้วก็สะท้อนใจกับความจริงที่น้องวีไม่มีใครนอกจากเขา ถึงเด็กชายจะไม่งอแงหรือถามหาพ่อแม่ เพราะรู้ว่าพ่อกับแม่จากไปแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าในใจลึกๆ เด็กคนนี้ยังต้องการพ่อแม่อยู่ข้างกาย เขาเป็นพ่อให้น้องวีได้ แต่สำหรับแม่นั้น คงต้องรอเวลาอีกสักหน่อยกว่าจะสำเร็จ 

หลายสิบนาทีต่อมารถยนต์ก็แล่นมาจอดหน้าบ้านพริตา บุษบากับพริตาก้าวลงจากรถโดยมีรามิลลงมาส่ง ส่วนน้องวีหลับอยู่บนรถอยู่กับคนขับ เมื่อผิงออกมารับบุษบากับพริตาและเห็นรามิลเข้าก็เคลิ้มกับความหล่อของเขาแบบออกหน้าออกตา จนบุษบาต้องลากผิงเข้าบ้านไปด้วยกัน อ้างว่าจะไปดูละคร

คล้อยหลังบุษบากับผิงแล้ว พริตาซึ่งยังยืนอยู่หน้าบ้านก็ต้องรับหน้าที่ขอบคุณรามิลแทนแม่

“ขอบคุณที่พาไปเลี้ยงอาหารและพามาส่งนะคะ”

“ด้วยความยินดี ว่าแต่วันนี้กุ้งมีความสุขไหม”

“ถามทำไมคะ”

“ก็พี่อยากรู้”

พริตาค้อนใส่อย่างหมั่นไส้ แต่ก็ยอมตอบเขาแบบหยอกเล่นไปด้วย 

“ก็ต้องมีความสุขอยู่แล้วค่ะ อิ่มจังตังค์อยู่ครบขนาดนี้ มีผู้ใหญ่ใจดีเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ทั้งทีจะไม่ให้มีความสุขได้ยังไง แต่จะมีความสุขกว่าถ้าคุณกลับบ้านได้แล้ว นี่ดึกแล้วค่ะ รีบกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่า”

หล่อนบอกเพราะเห็นว่าดึกแล้ว เดินทางกลางคืนอันตราย แล้วเขาก็เคยบอกเองแท้ๆ ว่าคนขับรถของเขามองกลางคืนไม่ค่อยถนัด ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันแค่ข้ออ้างกิ๊กก๊อกหรือเรื่องจริง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น

ทว่ารามิลกลับคิดว่าหล่อนอยากไล่เขากลับไปเร็วๆ เพราะตั้งกำแพงใจเอาไว้

“กุ้งจะไม่ให้โอกาสพี่แก้ตัวเลยเหรอ เรื่องที่พี่เคยหักอกกุ้งไว้ตอนนั้น”

“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอคะว่านั่นไม่ใช่ความผิดของคุณเสียหน่อย ก็แค่คุณในตอนนั้นไม่ได้ชอบฉัน การไม่ชอบกันไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนเราไม่สามารถบังคับใจใคร เพราะฉะนั้นฉันเข้าใจแล้วสำหรับเหตุผลที่คุณบอก ไม่ได้ติดใจแล้วค่ะ”

“ถ้าไม่ได้ติดใจแล้ว ตอนนี้หายโกรธพี่บ้างหรือยัง”

เขาถามต่อ หล่อนถึงกับปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้มเลยทีเดียว

“ไม่ได้โกรธเสียหน่อยค่ะ”

‘ไม่ได้โกรธย่ะ! แค่อยากเอาคืนนิดหน่อยเท่านั้นแหละตาบ้า!’

“แต่ก็ยังมีกำแพงใจกับพี่อยู่ จริงไหม” รามิลเอ่ยดักทางอย่างรู้ทัน 

พริตาไม่ตอบ ทำเป็นมองไปทางอื่น เขาจึงได้แต่พยักหน้าเข้าใจ ไม่ว่ากำแพงใจนั้นจะมีจริงๆ หรือหล่อนแค่แกล้งเล่นตัว เขาก็ถือว่าเป็นกำแพงที่ต้องฝ่าไปให้ได้ แต่ในทางกลับกันเขาก็ไม่ใช่คนดื้อดึงหากหล่อนไม่เต็มใจจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจะถอยก้าวหนึ่งเพื่อให้เวลาหล่อน

“พี่ขอโทษถ้าทำให้กุ้งลำบากใจ พี่จะไม่ทำให้กุ้งลำบากใจอีกก็แล้วกัน พี่ขอตัวกลับก่อน ราตรีสวัสดิ์”

ชายหนุ่มกล่าวจบก็หันหลังเดินกลับไปที่รถ เล่นเอาคนที่แค่จะลองเชิงเขาเฉยๆ ถึงกับอ้าปากค้าง จะเรียกเขาไว้ก็ไม่กล้า จะด่าก็ด่าไม่ออก ไม่คิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ แล้วพอเขาขึ้นรถเรียบร้อย คนขับรถก็เคลื่อนรถออกจากที่ไป โดยที่เขาไม่แม้แต่จะโบกมือให้เลยสักนิด

คล้อยหลังรถยนต์คันหรู คนที่เล่นแง่เพราะจะลองเชิงก็แทบกรี๊ด

“หน็อย! ไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอพี่มิล ไหนบอกว่าขอโอกาสไงอีตาบ้า!”

พริตาหน้าบูดหน้าบึ้ง ใจคอเริ่มไม่ดี ใจหนึ่งคิดว่าเกิดเขาคิดว่าหล่อนไม่เปิดโอกาสให้จริงๆ แล้วหายไปจากชีวิตหล่อนอีกครั้งจะเป็นอย่างไร อีกใจก็เคืองที่เขายอมกลับไปง่ายๆ เหมือนหล่อนเป็นฝ่ายผิดเสียอย่างนั้น

เจ้าตัวจึงเดินปึงปังเข้ามาในเขตรั้วบ้านแล้วล็อกประตูรั้วอย่างหงุดหงิด แต่ความบึ้งตึงกรุ่นโกรธนั้นยิ่งหนัก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากระเบียงนั่งเล่นหน้าบ้าน พอมองไปก็เห็นวิญญาณฝาแฝดนั่งอยู่และกำลังหัวเราะชอบใจราวกับขำเสียเต็มประดา

“ขำอะไรนักหนากลอย!” 

หล่อนหงุดหงิดพาลใส่ แต่วิญญาณที่ถูกพาลใส่กลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนตอบ

“ก็ขำคนที่อุตส่าห์ลองเชิงเขา แต่โดนเขาเล่นกลับน่ะสิ”

“กลอยอยู่ข้างใครเนี่ย!”

พริตาพาลใส่วิญญาณฝาแฝดไม่เลิก แต่พริมาไม่ได้กลัวเลยสักนิด

“กลอยอยู่ข้างคนถูกต้อง”

“โอ๊ย กลอยอะ ไม่พูดด้วยแล้ว ไปดีกว่า เชอะ!”

หล่อนเดินปึงปังเข้าไปในบ้าน ส่วนวิญญาณฝาแฝดก็ได้แต่ส่ายหน้าให้คนแพ้ในยกนี้ เจ้าตัวไม่ได้บอกหรอกว่าหลังจากนี้พริตาต้องเจออะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ รามิลไม่ได้ถอดใจอย่างที่เขาแสดงออกให้พริตาเห็น สิ่งที่เขาทำคือการถอยเพื่อปั่นป่วนหัวใจพริตาต่างหาก 

นี่แค่เริ่มเขาก็ปั่นหัวคู่แฝดได้ขนาดนี้ ต่อไปไม่ต้องถามหรอกว่าจะยิ่งเดินเกมหนักขนาดไหน มีแต่พริตานี่แหละที่จะตามไม่ทัน มารู้ตัวเองอีกทีก็คงเพลี่ยงพล้ำไปแล้วแน่ๆ

ทางด้านรามิล พอกลับถึงบ้านก็อุ้มน้องวีให้แม่บ้านพาไปอาบน้ำและนอน ส่วนตัวเขาไปที่บ้านหลังใหญ่เพื่อหาคุณย่า เพราะป้าอ้อยซึ่งเป็นแม่บ้านคนสนิทของคุณย่ามาบอกว่าคุณย่าต้องการพบ เนื่องจากได้ข่าวว่าวันก่อนที่มีครูมาสอนศิลปะให้น้องวีไม่ใช่ครูคนเดิม แล้วดูเหมือนจะรู้จักกับรามิลมาก่อนด้วย คุณย่าจึงอยากสอบถามเพื่อความแน่ใจว่าที่ได้ยินมานั้นผิดหรือถูกประการใด

“สวัสดีครับคุณย่า นี่สี่ทุ่มแล้ว ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” รามิลเอ่ยทักคุณย่าที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงท่าน

“ย่าก็รอมิลนั่นแหละ”

จินดาหรือย่าจินเอ่ยและยิ้มให้เล็กน้อย แต่ถึงจะยิ้มก็ยังมองเห็นความเป็นคนดุเพราะคิ้วโก่งที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ความดุนั้นก็ดูจะเจือจางลงไปมากแล้วสำหรับวัยชราที่ริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏชัดบนใบหน้าและมีสภาพร่างกายแบบนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นเดินเหินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนสะดวก แขนขายังคงขยับได้ แต่ส่วนใหญ่จะนั่งและนอนอยู่บนเตียงมากกว่า

“คุณย่าเป็นไงบ้างครับช่วงนี้”

“ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิม ว่าแต่มิลเถอะ ย่าได้ข่าวว่าสนใจครูคนใหม่ของน้องวีเหรอ”

จินดาถามตรงเป้าเข้าประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อม แต่เพราะคำถามนี้เองทำให้ป้าอ้อยซึ่งเป็นแม่บ้านคนสนิทและเป็นอีกาคาบข่าวมาบอกเจ้านายถึงกับรีบหลบตาตอนรามิลหันมามอง ทำเอาจินดาต้องช่วยพูดแทนให้

“ไม่ต้องไปทำหน้าดุใส่ยายอ้อยเลย ยายอ้อยก็แค่เป็นหูเป็นตาให้ย่า แล้วอีกอย่างใช่ว่าแค่ยายอ้อยที่มาบอกย่า ย่าเองก็ถามเข็มด้วยเหมือนกัน เพราะได้ยินว่าเข็มได้เจอครูสอนศิลปะคนใหม่ของน้องวี เห็นว่าเป็นคนรู้จักกันมาก่อนเหรอ”

รามิลได้แต่หรี่ตาใส่แม่บ้านคนสนิทของจินดา ก่อนจะตอบคำถามผู้เป็นย่า

“ใช่ครับ น้องกุ้งลูกน้าบุษบาที่ขายขนมปังใส่ไส้แถวๆ บ้านเก่าเราครับ แล้วก็เรียนโรงเรียนเดียวกันตอนมัธยม”

“แล้วเป็นครูอยู่โรงเรียนไหน”

จินดาถามต่อ แค่นี้รามิลก็รู้แล้วว่าคุณย่าต้องการอะไร ท่านเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่จากที่คุณปู่เล่าให้พ่อของเขาฟัง และเขาฟังมาอีกที ก่อนแต่งงานคุณย่าไม่ใช่คนแบบนี้ แต่หลังจากแต่งงานแล้ว คุณปู่กับคุณย่าแยกกันอยู่เพราะคุณปู่ทำงานการไฟฟ้าที่ต่างจังหวัด จะมาเยี่ยมคุณย่าเดือนละครั้ง แต่บางทีไม่ได้กลับมาเยี่ยมคุณย่าสามถึงสี่เดือนก็มี เป็นความรักระยะไกลที่ใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจกันล้วนๆ

ชีวิตที่แยกกันอยู่เพราะหน้าที่การงานดำเนินไปอย่างนี้มาสิบปี กว่าคุณปู่จะได้ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และยังคงทำงานการไฟฟ้าต่อไป จนกระทั่งลาออกตอนอายุห้าสิบ เพราะรู้สึกอิ่มตัวกับการทำงาน บวกกับพอจะมีเงินเก็บมากขึ้น เพราะครอบครัวของคุณปู่กับคุณย่าเดิมก็มีเงินพอสมควร คุณปู่จึงริเริ่มทำสบู่สมุนไพรเพราะความชอบในสมุนไพรไทย ตอนแรกทำขายในชุมชน ถวายพระ แจกชาวบ้านให้ลองใช้ดู พอผลตอบรับดีขึ้นก็เริ่มขยายกิจการ แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักอยู่ในวงแคบๆ ต่อมาพ่อของเขาก็ต่อยอดธุรกิจสบู่นี้ จนผู้คนเริ่มรู้จักมากขึ้นและเริ่มติดตลาด 

จากนั้นเมื่อพฤติกรรมการซื้อของผู้คนเปลี่ยนไป การซื้อสินค้าออนไลน์มีมากขึ้น และเขาเรียนจบมาพอดี จึงลุยการทำตลาดด้านออนไลน์มากขึ้น ทำให้อรเนตรเป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าเดิม เป็นการส่งต่อกิจการจากรุ่นสู่รุ่นโดยแท้ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จนี้ก็มาจากรากฐานและความอุตสาหะของคุณปู่ และการเป็นหลังบ้านที่เข้มแข็ง เข้มงวดของคุณย่า 

แต่เพราะยิ่งขึ้นสูงสู่ความสำเร็จ คนเราก็เปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ คุณย่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น กลายเป็นคนเข้มงวดมากขึ้นและเจ้ายศเจ้าอย่าง รักความสมบูรณ์แบบ แล้วก็มาเป็นหนักขึ้นตอนที่คุณปู่เสียไปแล้ว ส่วนพ่อกับแม่เขาก็หย่ากัน แล้วพ่อก็มีภรรยาใหม่ 

ใครๆ ในบ้านรู้กันหมดว่าคุณย่ากับแม่เลี้ยงของเขาไม่ค่อยถูกกัน คุณย่าเหมือนไม่ชอบใจสะใภ้คนใหม่ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามตอนพ่อบอกจะแต่งงานใหม่ แล้วก็ไม่ได้ไล่สะใภ้คนที่สองนี้ออกจากบ้านด้วย ตรงกันข้าม กลับยอมให้อยู่ในบ้านเดียวกัน แต่อยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ คุยกันบ้างก็แค่จำเป็นเท่านั้น

พอมาถึงรุ่นเขา คุณย่าเหมือนจะละวางได้บ้าง แต่ถ้าเขามีข่าวคราวว่าสนใจใครเป็นพิเศษหรือคบหาใคร ท่านจะต้องให้คนคอยเป็นหูเป็นตา และรู้ให้ได้ว่าคนที่เขาสนใจมีอะไรในตัวมากน้อยแค่ไหน เรียกว่าขอตรวจสอบประวัติกันก่อนจะคบหา จะคบกันยืดหรือไม่ไม่รู้ ถ้าคุณย่าพอใจก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

“ไม่ได้เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนครับ กุ้งเป็นครูสอนวาดรูปที่สตูดิโอสอนวาดรูป แล้วก็เป็นเจ้าของร้านกาแฟกับเป็นนางแบบแฮนด์ทาเลนต์ด้วยครับ”

“อะไรจะทำงานหลายอย่างขนาดนั้น แล้วเป็นนางแบบอะไรนั่นอีก แฮนด์อะไรนะ”

“นางแบบแฮนด์ทาเลนต์ นางแบบมือครับ ถ่ายแบบโฆษณาแต่มือให้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการโฆษณาในโทรทัศน์ บางทีภาพมือสวยๆ ที่ประกอบโฆษณาบางชิ้นก็ไม่ใช่มือตัวพรีเซนเตอร์เอง แต่เป็นนางแบบมือก็มีครับ” รามิลอธิบาย 

ทว่าจินดากลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที เพราะไม่ค่อยชอบดาราหรือนางแบบ จินดายังคงเป็นคนแก่หัวโบราณที่มองว่าอาชีพนักแสดง นักร้อง หรืออาชีพที่ทำงานในวงการบันเทิงเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มั่นคง

“ไหนบอกเป็นครู แล้วยังจะเป็นนางแบบมืออะไรนั่นอีก แปลกคนพิลึก” จินดาติงอย่างไม่ชอบใจ 

รามิลได้แต่แอบถอนหายใจ แต่คิดว่าคุณย่าคงไม่รู้หรอกว่าสมัยนี้มีคนที่ไม่ได้ทำอาชีพเดียวทั้งชีวิตตั้งหลายคน บางคนมีอาชีพหลักเพื่อฐานะการเงิน แต่มีอาชีพเสริมทำในสิ่งที่รักก็มี ซึ่งเขาเองก็ไม่เห็นว่าแปลกอะไร ถ้าพริตาจะเป็นทั้งครูสอนวาดรูปและเจ้าของร้านกาแฟ หรือแม้แต่นางแบบมือ กลับกันเขารู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำที่หล่อนเก่งหลายด้านและสามารถบริหารชีวิต ทำงานดูแลตัวเองได้ดี

แต่เพราะเขาแอบถอนหายใจนี่แหละ พอจินดาเห็นอย่างนั้นก็ถามต่อ

“แล้วตกลงนอกจากรู้จักกันอยู่แล้ว มีอะไรอย่างอื่นที่ย่าควรรู้ไหม” 

คนเป็นย่าถาม เพราะรู้จากคนสนิทที่มาบอกว่าดูเหมือนรามิลจะสนใจครูคนนี้ ต่างจากครูสอนศิลปะคนเดิมที่มาสอนอยู่บ่อยๆ รายนั้นไม่เห็นหลานชายจะมีท่าทีอะไร

“ผมไม่อยากโกหกคุณย่า แต่จะออกตัวตอนนี้ก็กลัวจะแห้วไป เอาเป็นว่าผมยังดูๆ อยู่ครับ”

“ดูอยู่ แสดงว่าชอบงั้นเหรอ”

“ครับ แต่ยังต้องดูกันไปก่อน” 

รามิลไม่อยากอธิบายความรู้สึกเพิ่ม เพราะเขาไม่อยากให้คำตอบของตัวเองกลายเป็นการเร่งรัดพริตา ถ้าตอบไปว่าจะเดินหน้าเต็มตัว คุณย่าของเขานี่แหละคงได้ออกโรงทำอะไรก่อนเป็นแน่ เพราะแฟนเก่าคนสุดท้ายที่คบกันตอนไปเรียนต่อต่างประเทศ พอคุณย่ารู้ก็ส่งคนไปตรวจสอบซักถามวุ่นวายไปหมด

“แล้วพื้นฐานครอบครัวล่ะเป็นยังไง”

“เป็นครอบครัวที่ดีครับ แล้วเธอก็ไม่ได้สนใจจะไล่จับผมด้วย แต่เป็นผมต่างหากที่ต้องไล่จับเธอ”

“ขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น”

จินดาทำเสียงแปลกใจ ก็หลานชายหน้าที่การงานดีขนาดนี้ แถมยังเป็นประธานบริษัท ประวัติดีดีเลิศและหล่อเหลา แล้วสาวที่ไหนจะไม่อยากเข้าใกล้บ้าง แต่ดูหลานชายพูดเข้า อย่างกับว่าผู้หญิงที่หลานชายว่ากำลังดูๆ อยู่นี้วิ่งหนีความสมบูรณ์แบบที่ใครๆ ต่างก็วิ่งเข้าหา 

“เพราะผมเคยไปหักอกเธอไว้ครับ”

รามิลยอมเปิดปากบอก แล้วก็เล่าวีรกรรมการหักอกพริตาที่เขาทำไว้ให้ท่านฟัง พอมาเจอกันอีกครั้ง หล่อนจึงยังลืมไม่ลงและยังตั้งกำแพงใจใส่เขาอยู่ เขาจึงอยากทลายกำแพงนี้ให้ได้ แถมบอกด้วยว่าพริตาอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ก็คือหล่อนเข้ากับน้องวีได้ รักเด็ก มีสัญชาตญาณการปกป้อง และจะเป็นแม่ที่ดีได้แน่

จินดาพอได้ฟังอย่างนั้น แม้จะไม่แน่ใจว่าหลานชายเยินยอครูสอนพิเศษให้ฟังหรือไม่ แต่การได้ยินว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่พร้อมจะปกป้องเด็กชายตัวน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของครอบครัวไว้ ก็ทำให้จินดารู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างและไม่ได้ตั้งป้อมใส่อย่างตอนแรก

“ถ้าอย่างนั้นว่างเมื่อไหร่ก็พาแม่หนูคนนั้นมาให้ย่ารู้จักบ้างก็แล้วกันตามิล”

“ได้ครับคุณย่า แล้วผมจะหาโอกาสพากุ้งมาหาคุณย่า”

“ดีแล้ว ที่ย่าเรียกมาคุยก็อยากรู้แค่นี้แหละ มิลไปพักผ่อนเถอะ ย่าเองก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”

คนเป็นย่าตัดบทแค่นี้ เพราะได้สิ่งที่อยากฟังแล้ว ที่เหลือก็คงต้องรอให้เจอหน้าผู้หญิงคนนั้นที่หลานชายถึงกับออกปากชม ว่าแท้จริงแล้วจะดีอย่างที่หลานชายพูดไว้หรือเปล่า 

“ครับคุณย่า ฝันดีนะครับ” รามิลรับคำแล้วชะโงกหน้ามาหอมแก้มผู้เป็นย่าครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป 

คล้อยหลังเขาแล้ว จินดาที่ดูจะยอมเข้าใจอะไรๆ ได้ก็หันไปสั่งคนสนิททันที

“จับตาดูไว้ให้ดีล่ะยายอ้อย แล้วมีอะไรก็มารายงานให้ฉันรู้ด้วย”

“ค่ะ คุณผู้หญิง”

แม่บ้านคนสนิทรับคำแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจ เพราะลองคุณนายใหญ่สั่งอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่คลายความกังวลเรื่องว่าที่หลานสะใภ้ ไม่รู้ว่าจะถูกใจท่านแค่ไหน หรืออาจจะไม่ถูกใจเลยก็เป็นได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น