5

บทที่ 5


 

“อ้าว กลับดึกไม่ใช่หรือลูก ทำไมตื่นแต่เช้าล่ะ”

รมิตาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อสายตาของพ่อกวาดมองตามสายตาของย่า เธอกลบเกลื่อนด้วยการลูบท้องเหมือนหิวเสียเต็มประดา

“รุ้งหิวค่ะ คุณย่ามีอะไรให้กินบ้างคะ”

อาทิตย์โคลงศีรษะอ่อนใจระคนขบขัน เขาอารมณ์ดีเมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดของรมิตา ลูกจะได้ไม่ต้องไปรับรองหนุ่มตาน้ำข้าวที่จ้องมองลูกสาวเขาราวกับจะกลืนกิน แล้วเขาก็จะได้ไปหาเพื่อนอย่างสบายใจ

“ไปก่อนนะแม่ ยิ่งสายรถจะยิ่งติด”

หนุ่มใหญ่วางแก้วกาแฟ เรียกสายตาผู้เป็นลูกให้มองตามพ่อที่เดินออกไปจากครัวอย่างฉงน ร่างอวบนั่งเบียดย่าบนแคร่ไม้ตัวใหญ่ แต่ไม่ทันปริปากถาม หญิงชราก็มีคำตอบให้ตรงใจ

“พ่อเขาไปตกปลากับเพื่อน” น้ำเสียงที่บอกทอดอ่อน “ต่อไปย่าจะไม่บอกแล้วนา มีอะไรก็ถามพ่อเขาเอง”

ทว่ารมิตาไม่ได้ใส่ใจประโยคหลังของย่ามากไปกว่าประหวัดถึงต้นเหตุที่ทำให้เธอตื่นเช้า เธอพยายามข่มตานอน ปิดหูหนีเสียงทุ้มเบาเท่ากระซิบที่ประกาศเจตนารมณ์แต่ก็ไม่สำเร็จ นี่อาจเป็นโอกาสให้เธอได้พูดคุยกับแซมอีกครั้งโดยไม่ต้องระแวดระวังว่าอาจมีสายตาของพ่อมองมา

“คุณย่าขา รุ้งเปลี่ยนใจยังไม่กินข้าวดีกว่า รุ้งไปโฮสเทลแป๊บหนึ่งนะคะ”

หลานสาวลุกจากไปพร้อมกับอาสายกถาดอาหารเช้าที่แม่ครัวทำเสร็จไปด้วย จากคนเชื่องช้า...รมิตาไม่รู้ว่าท่าทางกระตือรือร้นของตนสร้างพิรุธในสายตาผู้ใหญ่ เธอก้าวผ่านซุ้มรั้วเล็กไปยังอาณาบริเวณโฮสเทลแล้วจึงได้เห็นแขกสองคนที่นั่งอยู่บนระเบียงริมน้ำ บังเอิญเหลือเกินที่เป็นโจชัวกับแพทริเซีย ทว่าไร้เงาเพื่อนอีกคนของพวกเขา

“เฮ้ นี่คุณทำงานทุกตำแหน่งเลยหรือไงนะ” ชายหนุ่มเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง

ผู้จัดการสาวไม่ได้เฉลย เธอทำหน้าที่ไม่มีขาดตกบกพร่องด้วยการยกจานอาหารเช้าแบบฝรั่งและข้าวต้มเสิร์ฟให้แขกสองคน

“เอ่อ เพื่อนของพวกคุณล่ะคะ รับอะไรดี”

“มันยังไม่ตื่นเลยมั้ง โทร. เข้ามือถือไม่ติด วานคุณโทร. ไปปลุกมันทีได้ไหม บอกว่าพวกผมจะหนีเที่ยวแล้วนะถ้าอีกครึ่งชั่วโมงมันยังไม่โผล่หัวละก็”

“จอช” แฟนสาวกดเสียงเตือนคนรักที่พูดมาก ก่อนหันไปเอ่ยกับผู้หญิงด้วยกันด้วยเสียงอ่อนลง “รบกวนทีนะคะ”

รมิตารับคำอย่างเสียมิได้ อีกใจก็เป็นห่วงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เป็นทุน แทนที่จะกลับบ้าน เธอจึงก้าวไปทางอาคารที่พักที่มีเคาน์เตอร์ต้อนรับอยู่

พนักงานต้อนรับไม่ได้มีท่าทางแปลกใจที่เห็นเธอ เพราะบ่อยครั้งที่หญิงสาวแวะมาดูความเรียบร้อยในวันหยุดตัวเอง แต่เป็นรมิตาที่พานลังเลเมื่อยกหูโทรศัพท์ เธอมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาแปดโมงเศษ แล้วเพื่อนเขาคงจะรอถึงเก้าโมงเท่านั้น คิดได้ดังนั้นจึงจิ้มหมายเลขห้องพักที่จำได้ขึ้นใจ

สัญญาณรอสายดังอยู่นานจนหญิงสาวร่ำร่ำจะถอดใจ แต่ขณะที่ลดหูโทรศัพท์ เสียงทุ้มต่ำก็แทรกมาตามสายเสียก่อน

“ฮัลโหล”

รมิตาเผลอกำกระบอกโทรศัพท์ ใครใช้ให้เขามาทำเสียงเซ็กซี่ชิดหูเธอแบบนี้!

“สะ...สวัสดีค่ะ เพื่อนของคุณให้ฉันโทร. ปลุกเพราะติดต่อคุณไม่ได้ พวกเขากำลังจะออกไปข้างนอกในอีกครึ่งชั่วโมง”

คำพูดยืดยาวได้รับการตอบกลับมาสั้นๆ “รุ้งเหรอ”

“ค่ะ” เธอตอบออมเสียงพลางปรายตามองพนักงานสาวหน้าตาหมดจดอย่างหวั่นเกรงจะได้ยินเสียงที่ลอดมา แต่อีกฝ่ายดูจะสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า รมิตาจึงระบายยิ้มดีใจที่เขาจำเสียงตนได้

“ถ้าคุณต้องการรับอาหารเช้า แจ้งได้เลยนะคะ”

“ตกลงวันนี้คุณไปได้หรือเปล่า” เขาถามไปอีกทาง

“แซม...”

“ถ้าคุณไม่ไปผมก็ไม่ไป ไม่ต้องคิดมาก บอกแล้วไงว่าผมตั้งใจมาหาคุณ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงฟังสบายเช่นทุกครั้ง “สักสิบโมงโทร. มาปลุกผมอีกทีได้ไหม แล้วฝากบอกจอชด้วยว่าผมแฮงก์ ขอบคุณครับ”

ก้อนบางอย่างจุกในลำคอ รมิตาวางสายด้วยความรู้สึกผิด แม้เขาจะทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใดก็ควรได้ไปเที่ยวชมกรุงเทพฯ มากกว่าอยู่พิสูจน์ความจริงใจกับผู้หญิงขี้ขลาดอย่างเธอ แต่จะให้เธอตอบรับคำชวนของเขาก็ไม่เห็นทางไปต่อได้เลย เมื่อเธอต้องอยู่ในกรอบที่พ่อขีดไว้ ส่วนเขาก็มีโลกอีกใบที่พัทยา

นี่อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่หากคู่กันแล้วคงไม่แคล้วกันกระมัง คำปลอบใจที่คนขี้แพ้อย่างเธอคิดได้ก่อนผล็อยหลับไปพร้อมกับหางตาเปียกชื้นเมื่อคืน

 

หลังนำคำพูดของแซมไปบอกโจชัวและแพทริเซีย รมิตาก็กลับมาช่วยงานครัวที่บ้าน เธอใจลอยจนได้เรื่อง ตักกระเทียมเจียวราดบนไข่ดาวแทนที่ข้าวต้มจึงถูกย่าไล่ให้ไปนอนต่อเสีย คนที่ขึ้นมานอนเล่นเก็บตัวลำพังผล็อยหลับไป กระทั่งแว่วเสียงพูดคุยรบกวนห้วงนิทรา

“ไปตามยายรุ้งมาทีซิแม่อี๊ด ฉันพูดภาษาปะกิดไม่เป็นหรอก”

เสียงของย่าดังมาจากครัวหลังบ้านขณะรมิตาลงบันไดมา เงาคนวูบไหวหลังประตูมุ้งลวดคุ้นตาจนหัวใจสาวสั่นไหว เธอรีบก้าวไปทางครัวสวนกับผู้ช่วยย่าที่กำลังจะเปิดประตูมุ้งลวดเข้ามา แล้วก็ได้เห็นชายชาวต่างชาติมองสำรวจสิ่งต่างๆ ในครัวด้วยความสนใจ

“คุณ...”

แซมหันมายิ้มกว้างพร้อมกับสืบเท้ามา เมื่อเหลียวมองนาฬิกาบนผนัง รมิตาก็เพิ่งนึกได้ว่าเลยเวลาโทร. ปลุกเขามาครึ่งชั่วโมง

“รู้จักเขาหรือลูก” ผู้สูงวัยถามหลาน

“แซมเป็นเพื่อนปูเป้น่ะค่ะ เขามาพักที่โฮสเทลสองคืน”

“ถึงว่าซี น่ารักเชียว เขาไหว้ย่าด้วยนะ”

“ไหว้ป้าด้วยค่ะ” นางอี๊ดสำทับอย่างปลาบปลื้ม

พ่อคู้น...พ่อรูปทอง ทั้งผมทั้งผิวดั่งทองทา นัยน์ตาชวนฝันดั่งดวงดาราบนนภากาศ รูปร่างใหญ่โตผึ่งผายราวนักรบ แต่กิริยามารยาทพินอบพิเทา ไม่วางท่าใหญ่โตอย่างฝรั่งบางคนที่นางเคยเจอ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้คนแก่อย่างนางปลื้มได้อย่างไร

“คุณย่าของฉันค่ะ แล้วก็ป้าอี๊ด” รมิตาแนะนำด้วยภาษาอังกฤษบ้าง

จากความหวาดระแวง เธอก็อดยิ้มขันไม่ได้เมื่อแซมพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างเก้ๆ กังๆ อีกครั้ง ย่าและผู้ช่วยแม่ครัวรับไหว้แทบไม่ทัน

“มือไม้อ่อนจริ๊งพ่อคุณ” นางอี๊ดชื่นชม

“ผมไม่รู้ว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณ เห็นรั้วเปิดไว้เลยเดินมา” เขาแก้ตัวกับหญิงสาว แล้วหันไปถามสตรีสูงวัยด้วยความสนใจ “ทำอะไรกันอยู่หรือครับ”

“คุณย่ากำลังจะทำน้ำปลาหวานค่ะ เป็นเครื่องจิ้มกับผลไม้” รมิตาตอบแทน โดยมีผู้เป็นย่าพยักหน้าคล้อยตาม

“ถามเขาสิแม่รุ้ง กินอะไรหรือยัง”

นั่นสินะ เธอลืมไปสนิทว่าเลยเวลาอาหารเช้าของโฮสเทลแล้ว และเมื่อแปลคำถามของย่าก็ได้คำตอบดังที่คาดคิด

“ยัง”

แซมสั่นศีรษะพลางยกมือลูบท้อง ผู้อาวุโสทั้งสองเข้าใจในอากัปกิริยานั้นทันทีและบอกให้หญิงสาวคนกลางเชื้อเชิญแขกอยู่กินข้าวด้วยกัน

“คุณจะรับอะไรดีคะ ชุดอาหารเช้าหรือข้าวต้ม”

“นั่นอะไรหรือ” ชายหนุ่มสนใจฝาชีครอบอาหารบนโต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางครัว

“กับข้าวของพวกเราค่ะ”

“ผมกินแบบคุณก็ได้ จะได้ไม่ต้องลำบากพวกคุณอีก” เขาบอกง่ายๆ เหมือนกับการตัดสินใจทุกเรื่องในชีวิต

รมิตามองสตรีวัยกลางคนที่กำลังล้างจานชามกับย่าซึ่งนั่งหั่นหอมแดงเตรียมทำน้ำปลาหวานบนตั่งไม้ แล้วจึงเห็นดีตามแซม เธอคดข้าวจากหม้อใส่สองจาน ทำท่าจะยกถาดอาหารซึ่งกับข้าวสามอย่างพร่องลงเล็กน้อยออกไป

“ผมช่วย” ชายหนุ่มอาสาเมื่อรู้ว่าเจ้าหล่อนกำลังจะทำอะไร

การกระทำของหนุ่มสาวอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ทว่าไม่มีใครพูดอะไร รมิตาจึงถือจานข้าวสองใบ รีบนำเขาไปยังโต๊ะหินบนสนามหญ้าหลังบ้าน มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาและแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปริมคลอง

“บ้านคุณน่าอยู่มาก คุณย่ากับคุณป้าก็น่ารัก”

คำชมนั้นลดเกราะกั้นส่วนตัวของหญิงสาวลง หัวใจพองฟูที่เขาดูจะชื่นชอบบ้านของเธอและสมาชิกจากใจจริง มีแต่แซมฝ่ายเดียวที่พยายามลดช่องว่างระหว่างกันโดยไม่ย่อท้อ เขาพิสูจน์ว่าตั้งใจมาหาเธอ แล้วเธอก็เชื่อเช่นนั้นแล้วจริงๆ

“ขอโทษนะคะที่ฉันไม่ได้โทร. ปลุกคุณ”

“เฮ้ ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้”

น้ำเสียงอ่อนโยนกึ่งปลอบใจเรียกดวงตากลมโตให้สานสบอีกครั้ง หัวใจรมิตาเพลี่ยงพล้ำเสียสูญให้แก่รอยยิ้มบางบนใบหน้าหล่อเหลา ยิ่งเมื่อแซมเอ่ยประโยคต่อไป เธอก็ต้องก้มหน้าซ่อนยิ้มและรอยหวั่นไหวในแววตา

“ถ้าคุณไม่ลืม ผมคงไม่ได้ทะเล่อทะล่ามาพบคุณย่ากับคุณป้าของคุณ”

“เพื่อนของคุณออกไปเที่ยวกันแล้วหรือคะ” รมิตาเสถามเปลี่ยนเรื่อง

“ใช่มั้ง ผมไม่ได้สนใจมันนักหรอก มันก็ไม่สนใจผมเหมือนกัน” เขาตอบกลั้วหัวเราะในลำคอ ก่อนดักคอเธอ “คุณไม่ต้องขอโทษผมอีกล่ะ”

“ฉันยังไม่ทันพูดอย่างนั้น” หญิงสาวพึมพำแย้ง แต่ไม่วายยิ้มน้อยๆ ยามเผลอสบตาเขา

รมิตากินข้าวน้อยกว่าปกติเมื่อผีเสื้อในท้องพากันบินป่วนไม่เป็นใจ ตรงข้ามกับชายหนุ่มที่ดูจะเจริญอาหารกว่าวันที่เธอซื้อโจ๊กให้เขา

“เมื่อวานผมได้ยินคุณแนะนำตัวว่าชื่อ...รามี...อะไรนะ”

“รมิตาค่ะ”

“เพราะดี แปลว่าอะไร”

ท่าทางสนใจทุกอย่างรอบตัวคือเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ที่นับวันจะประจักษ์ชัดแก่ใจเธอ ใช่แต่รูปร่างหน้าตาของเขา

“รื่นรมย์ รื่นเริงมั้งคะ”

“งั้นก็เหมือนชื่อเล่นคุณน่ะสิ สายรุ้งคงเป็นตัวแทนความสดใส อย่างนั้นรึเปล่า”

เจ้าของชื่อไม่เคยคิดแง่นั้นมาก่อน แล้วก็ให้นึกทึ่งการสันนิษฐานของชาวต่างชาติ เอ๊ะ! ว่าแต่เขารู้ความหมายชื่อเล่นของเธอได้อย่างไร

“ปูเป้บอกคุณเหรอ”

“ใช่ รู้ไหมผมฝึกออกเสียงตั้งนานแน่ะ”

“พวกคุณเจอกันบ่อยไหมคะ” หญิงสาวถามเสียงอ่อยอย่างนึกเสียดาย คงดีถ้าเธอสามารถไปไหนก็ได้ตามใจ

“แค่ครั้งเดียวหลังจากพวกคุณกลับไป แต่ก็เป็นครั้งเดียวที่คุ้มค่า เพราะทำให้ผมได้รู้เรื่องของผู้โชคดีวันเสาร์มากขึ้น” แซมตอบพร้อมยิ้มพราย “คุณจะไปพัทยาอีกเมื่อไรครับ”

หัวใจพองฟูพลันห่อเหี่ยวเพราะคำถามนั้น ถึงเวลาที่เธอต้องให้คำตอบต่อคำถามเมื่อคืนแล้วใช่ไหม ผู้ที่ไม่อาจเลือกทางเดินชีวิตยกมือดันแว่นตาพลางลอบถอนใจ

“ฉัน...ไม่แน่ใจเหมือนกัน ฉันกำลังหางานใหม่น่ะค่ะ คงไม่ได้ไปเที่ยวไหนบ่อยนัก”

“คุณไม่ลองหางานที่พัทยาดูล่ะ”

แซมยังคงมองโลกในแง่ดี ทว่าคนที่เติบโตมาดั่งไข่ในหินมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลย แม้คำพูดของเขาจะเป็นดั่งแสงไฟแห่งความหวังอันริบหรี่ ส่องทางเดินใหม่ที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนก็ตาม

สีหน้าท่าทางลำบากใจของหญิงสาวทำให้แซมต้องกดเก็บความต้องการของตัวเองอย่างยากเย็น ต่อให้สนใจเจ้าหล่อนมากแค่ไหน แต่หากมากด้วยอุปสรรคแล้วคงเปล่าประโยชน์ที่จะดันทุรังสานสัมพันธ์ ทว่าเพียงแค่คิดว่าต้องตัดใจจากเธออีกครา ใจเจ้ากรรมก็เสียดแปลบๆ

“ฉันจะลองคิดดู” รมิตาตอบอ้อมแอ้ม

“คุณให้ความหวังผมมากกว่า” ชายหนุ่มหรี่ตาจับผิดกึ่งล้อเลียน ครั้นเจ้าหล่อนดันแว่นสายตาก็ยิ่งแน่ใจ เขายักไหล่น้อยๆ พลางยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไรน่า ไม่ผิดที่คุณจะปฏิเสธ”

“ฉันไปเอาน้ำมาให้นะคะ”

รมิตารีบลุกหนีความอ่อนแอของตัวเอง ขืนนั่งอยู่ตรงนั้น...ความดีและไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้คงทับถมใจจนเจ็บกว่านี้

โชคดีที่ในครัวกำลังวุ่นวายจึงไม่มีใครสังเกตความรู้สึกในแววตาของเธอ หญิงสาวรินน้ำดื่มใส่แก้ว แว่วเสียงกำชับจากย่าให้นำวุ้นกะทิไปแบ่งแขกเป็นของหวาน

 

แซมก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์เมื่อเธอเดินกลับไปที่โต๊ะหินริมคลองอีกครั้ง สีหน้ายุ่งยากใจที่เธอไม่เคยเห็นยังคงปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนเขาจะกลบเกลื่อนมันหายไปในชั่วพริบตา

“มีปัญหาที่เซเวนวันเดอร์สนิดหน่อย คืนนี้เลยขาดคนแสดง ผมคงต้องกลับ...”

ถ้านั่นเป็นข้ออ้างหาทางปลีกตัวก็ถือว่าแนบเนียนทีเดียว เขาคงเห็นแล้วว่าเสียเวลาเปล่า สมควรแก่เวลากลับไปใช้ชีวิตของเขาตามเดิม

“ผมมีของฝากให้คุณ ไปด้วยกันหน่อยได้ไหม”

“คะ...ค่ะ” รมิตาตอบตะกุกตะกัก หน้าตาเหลอหลา

วุ้นกะทิถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะใต้ร่มไม้ หนุ่มสาวต่างจมจ่อมกับความคิดของตัวเองขณะเดินลัดสนามหญ้าไปยังโฮสเทล รมิตาจึงไม่ได้เห็นสายตาที่มองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใยระคนหนักใจ

เขารู้ว่าเธอมีใจ แววตาเจ้าหล่อนอ่านง่ายออกอย่างนั้น นั่นจึงทำให้เขายิ่งนึกเสียดายที่ไม่อาจสานสัมพันธ์ แซมไม่เชื่อว่าความแตกต่างทางเชื้อชาติหรือภาษาเป็นอุปสรรคระหว่างเขากับเธอ หญิงไทยที่เขาพบเจอก็คงคิดเช่นเดียวกัน แต่เป็นกำแพงส่วนตัวของรมิตาต่างหากที่กั้นขวางตน

“รุ้ง ทางนี้ครับ” ชายหนุ่มเรียกไว้ก่อนจะเดินไปถึงบริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับในอาคารที่พัก

ทางนี้ที่เขาว่าคือทางเดินที่ขนาบด้วยห้องพักทั้งสองฝั่ง ผนังและประตูทำจากไม้สีน้ำตาลไหม้ หมายเลขห้องสีทองติดเหนือตาแมวบนประตูแต่ละบาน รมิตาลังเลระหว่างตามแขกเข้าพักไปกับตกเป็นเป้าสายตาพนักงานแล้วล่วงรู้ถึงหูพ่อ แล้วเธอก็ตัดสินใจไม่ยาก

สีหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบของหญิงสาวอยู่ในสายตาแซมมาตลอด แม้เธอจะไม่ได้เป็นฝ่ายพูดกับเขาก่อนบ่อยนัก แต่ก็ไม่เคยมีท่าทางไม่สนใจสิ่งรอบตัว ตรงกันข้าม...แซมรู้ดีเชียวละว่าตนมักถูกแววตาตระหนกคู่นั้นลวนลามเสมอ เขาขมวดคิ้วน้อยๆ แม้กระทั่งเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เจ้าหล่อนก็ยังเดินตามเข้ามาอย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ผมจำสร้อยม้าน้ำสีรุ้งของคุณได้ เจอคนขายตุ้มหูม้าน้ำคู่นี้โดยบังเอิญ อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมซื้อมาทั้งที่ไม่รู้จะได้เจอคุณอีกหรือเปล่า”

รมิตาหลุบตามองตุ้มหูพลาสติกสีสันสดใสกลางฝ่ามือใหญ่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเธอได้ ขณะที่เธอเพิ่งสังเกตรายละเอียดเล็กน้อยเกี่ยวกับเขาตอนนี้เอง เมื่อเห็นฝ่ามือที่เคยจับและกุมมือเธอมีรอยด้านจากการฝึกซ้อมและออกกำลังกาย

หญิงสาวแตะปลายนิ้วบนตุ้มหูที่ไม่มีราคาค่างวดมากมาย แต่แสดงถึงความใส่ใจของผู้ให้ เธอชอบเขา...ชอบเขามากเหลือเกิน ยิ่งเขาดีด้วยและแสดงความรู้สึกที่เธอไม่กล้าคิดฝันว่าจะได้รับจากใคร รมิตาก็ยิ่งเจ็บใจตัวเอง

“รุ้ง...”

นิ้วมือสั่นน้อยๆ และปลายจมูกแดงเรื่อไม่อาจรอดพ้นสายตาชายหนุ่ม แซมฉวยมือข้างนั้น มืออีกข้างเชยคางเธอให้แหงนเงยรับจุมพิตอย่างหมดความยับยั้งชั่งใจ ริมฝีปากอิ่มเต็มของเจ้าหล่อนนุ่มและอุ่นยิ่งกว่าจินตนาการเชิญชวนให้เขารุกล้ำดูดดื่ม เธอไม่ได้ผลักไสบ่ายเบี่ยง แต่ตอบสนองทุกการกระตุ้นจนเขาตัดใจถอนริมฝีปากอย่างยากเย็น

ใช่แต่ปลายนิ้วที่สั่นเทาและจมูกแดงระเรื่อ แซมมองดวงหน้าแดงเห่อและร่างอวบอิ่มที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว หัวใจสะท้านด้วยความปรารถนาแต่ก็ต้องหักห้าม

“ผมจะรอนะ รอคุณที่พัทยา”

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดไว้ แม้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็ตาม แซมตั้งใจจะกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนไม่เคยรู้สึกพิเศษต่อเธอเช่นเดือนก่อน ทว่าเขากลับเอ่ยเช่นนั้นออกไปโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดหรือไตร่ตรองใดๆ เป็นความรู้สึกที่ผลักดันมันออกมา

รมิตามองชายหนุ่มเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าด้วยความรู้สึกอันยากจะบรรยาย เธอไม่ได้รังเกียจหรือกลัวสัมผัสของเขาอีกต่อไป แซมปลุกสัญชาตญาณท้าทายบางอย่างให้เธออยากลุกขึ้นมาเผชิญหน้าตัวเอง

‘คุณไม่ลองหางานที่พัทยาดูล่ะ’

ถ้าจุมพิตราวกับสูบวิญญาณเมื่อครู่นี้คือสินบนของข้อเสนอแนะ มันได้ผล รมิตารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กคอซองใจแตก ผิดกันตรงที่ตอนนี้เธอโตพอที่จะคบหาดูใจกับใครแล้วไม่ใช่หรือไร

 

แซมกลับไปแล้วนะ

รมิตานอนคว่ำพิมพ์ข้อความหาเปรมสินีอย่างหงอยๆ อยู่บนเตียง แล้วประหวัดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เธออาสาเช็กเอาต์ให้ชายหนุ่มกลบเกลื่อนความเก้อกระดากจนไม่อาจมองหน้าเขาได้เต็มตา กระทั่งแซมขี่จักรยานยนต์จากไปพร้อมกับพรากเอาความคิดคำนึงและหัวจิตหัวใจเธอติดไปกับสัมภาระด้วย

“แม่รุ้ง”

เสียงเรียกจากหน้าประตูดึงสติหญิงสาวกลับมาที่ปัจจุบัน เธอกระเด้งตัวลุกนั่งพลางยกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหลบไปชิดหัวเตียงเมื่อผู้เป็นย่าก้าวเข้ามา

“เมื่อกี้รุ้งเห็นคุณย่าเอนหลังอยู่ข้างล่าง ทำไมรีบลุกเสียล่ะคะ”

“ย่าเห็นรุ้งกับพ่อหนุ่มนั่นรีบออกไปไหนกันเหมือนมีเรื่องใหญ่โต แล้วหลานย่าก็กลับมาคนเดียว เลยมาดูว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ในสายตาคนอาบน้ำร้อนมาก่อน นางจันทร์บอกได้ว่าท่าทางของหนุ่มสาวเกินกว่าความเป็นเพื่อนของเพื่อน หลานสาวนางประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อหนุ่มผมทอง ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นก็ไม่ได้พยายามปิดบังความรู้สึกในแววตาเลย นางอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเป็นใยหลานสาวคนเดียวที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา

“อ๋อ แซมมีงานด่วน เขาต้องกลับก่อนกำหนดน่ะค่ะ”

“ท่าทางเขาสุภาพดีนะ แม่อี๊ดชมเปาะ” หญิงชราว่าไปเรื่อย “รู้จักกันนานหรือยังล่ะลูก เขารีบกลับไปทำงานก็แปลว่าอยู่เมืองไทยน่ะสิ ชวนเขามากินข้าวที่บ้านอีกก็ได้”

“ค่ะ เขาทำงานที่ไทย รุ้งก็...เพิ่งรู้จักตอนเขามาพักที่โฮสเทลแล้วปูเป้ฝากดูแล คุณย่ากับป้าอี๊ดอย่าบอกพ่อนะคะว่าเขามาที่บ้าน รุ้งกลัวพ่อดุพนักงานคนอื่น” รมิตาจำต้องโกหก

จะบอกย่าได้อย่างไรว่าสถานที่ที่พบกับแซมครั้งแรกคือสถานบันเทิงสำหรับผู้หญิง แถมยังเป็นการทำความรู้จักกับเขาผ่านท่วงท่าลีลาเร่าร้อน และขืนไม่ยกพนักงานมาอ้างแล้วเรื่องนี้เข้าหูพ่อ เธอคงไม่มีวันได้ออกไปเผชิญโลกภายนอกตลอดชีวิต

ใช่...เธอตัดสินใจแล้วว่าจะลองหางานที่พัทยา ในเมื่อที่นั่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีโรงแรมยักษ์ใหญ่ที่จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์การทำงานให้เธอ แล้วทำไมจึงต้องจำกัดความสนใจอยู่ที่กรุงเทพฯ เล่า แล้วคนที่จะช่วยเธอได้ก็คือเปรมสินี...หลานสาวเจ้าของโรงแรมห้าดาวที่พัทยา

“เห็นย่าปากโป้งไปได้นี่” ผู้สูงวัยมองค้อน ก่อนจะผละไปเมื่อโทรศัพท์ของหลานส่งเสียงเรียกเข้า

หลังเยี่ยมหน้ามองว่าย่าลงบันไดไปแล้วและปิดประตูห้องเรียบร้อย รมิตาจึงรับสายเพื่อน คาดการณ์ไม่ผิดเมื่อได้ยินคำถามกึ่งกล่าวโทษถึงสาเหตุที่ชายหนุ่มต้องกลับก่อนกำหนด แม้เธอจะบอกตามคำกล่าวอ้างว่าเขาติดงาน เปรมสินีก็ไม่วายคิดว่านั่นเป็นข้ออ้างปลีกตัวของแซม

“คิดว่ารุ้งไม่คิดเหรอ” หญิงสาวพ้อตามความอ่อนไหว “ใจหนึ่งรุ้งก็คิดอย่างนั้น เป้ยังจะว่ารุ้งอีกเหรอ”

แม่สื่อได้คิดว่าตนด่วนตัดสินทุกอย่างเกินไป เสียงที่เอ่ยต่อมาจึงอ่อนลง

“อืมๆ ไว้ถามจอชก็ได้ว่ามีเรื่องอะไร เมื่อคืนนัดกันว่าเย็นนี้จะไปกินข้าวที่โฮสเทลแก ฉันโม้ถึงฝีมือทำอาหารของคุณย่ากับป้าอี๊ดเยอะเลย เสียดายแซมไม่ได้กิน”

ใครว่าเขาไม่ได้กิน...รมิตาค่อยยิ้มออกมาได้เมื่อนึกถึงคนที่บุกมาถึงครัวเมื่อเช้า เธอดีใจ ภูมิใจนิดๆ ที่ได้ต้อนรับขับสู้เขา หาใช่เอาแต่กลัวสายตาของใครจนต้องเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำตามหัวใจไม่

เพราะเหตุนี้...เพราะอย่างนี้เธอจึงตัดสินใจจะทำตามใจตัวเองอีกสักครั้ง แม้ไม่รู้ปลายทางเป็นอย่างไร แต่ย่อมดีกว่าเสียใจตั้งแต่แรกเริ่ม

“รุ้งมีเรื่องอยากปรึกษาปูเป้เหมือนกัน เรื่องโรงแรมของญาติเป้ที่พัทยา”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น