2

บทที่ 2



 

ผู้ชายคนนี้เหมือนสามารถหยุดเวลาได้ แม้เขาจะคลายมนต์สะกดให้ทุกสรรพสิ่งเคลื่อนไหวแล้ว แต่ลลิษากลับยังคงยืนนิ่ง และจ้องมองเขาอยู่ราวกับเธอกลายเป็นหินไปแล้วจริงๆ

เขาแทบไม่ต่างจากเดิมเลย ร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าคมคาย และมีดวงตาคมกริบที่สามารถบาดหัวใจเธอให้ขาดเป็นวิ่นๆ ได้ทุกครั้งที่สบตา

“โรส?”

เสียงของเขาปลุกให้สติของลลิษากลับมา เธอสะดุ้งเล็กน้อย แล้วเริ่มสร้างกำแพงกั้นตัวเองออกจากเขาขึ้นมาอีกครั้ง

“คะ...คุณ...เอ่อ...” ลลิษาเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณเป็นใครคะ”

คิ้วหนาขมวดมุ่นทันที ดวงตาสีเหล็กจ้องมองเธอด้วยแววประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหลับตาลงเหมือนคนพยายามแก้วิกฤติอะไรบางอย่าง

“ผมชื่อวุธ อืม...คุณคงจำผมไม่ได้สินะ”

“ค่ะ” ลลิษาตอบเสียงสั่น

“ถ้าอย่างนั้น คุณมีเวลาสักครู่ไหมครับ เราไปหาอาหารเช้านั่งกินกันคุยกันไป แล้วแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการดีไหม” เขาเอ่ยอย่างสุภาพ

“ตะ...แต่ฉัน...”

“ผมไม่เคยจำคนผิด และผมก็แน่ใจด้วยว่าคุณคือโรสที่ผมรู้จัก ผมขอเวลาแนะนำตัวเองและบอกคุณถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเราสักสิบห้านาทีเท่านั้น คงไม่เป็นการรบกวนเวลาของคุณมากใช่ไหมครับ”

“คือ…”

“คุณลลิษา เจ้าของบาร์เฌอริลีน”

หญิงสาวอ้าปากค้าง จ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึง

“เด็กคนนั้นคงเป็นลูกของคุณ และผมคิดว่าผมรู้จักพ่อของเขา”

“อย่ายุ่งกับเขา” ลลิษาแยกเขี้ยว สัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้เธอพลุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อเขาดึงลูกชายเธอเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเขาคือพ่อของลูกที่ไม่เคยเหลียวแลเธอและลูกชายตัวเองมาเลยตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา

“สิบห้านาที ผมขอคุณแค่นั้น”

ความนิ่งของเขาทำให้เธอรู้สึกลังเล ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “ฝั่งตรงข้ามมีร้านกาแฟที่เสิร์ฟอาหารเช้าด้วย แต่ฉันมีเวลาให้คุณแค่สิบนาที”

เขายิ้มอย่างผู้มีชัย รอยยิ้มของเขาทำให้เธอหัวใจสั่นไหวและเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที

“เชิญครับ” เขาผายมือให้เธอเดินนำไป

ทั้งคู่เดินข้ามทางม้าลายไปยังร้านกาแฟเล็กๆ ภายในมีโต๊ะอยู่เพียงสี่โต๊ะซึ่งยังว่างอยู่ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะมาซื้อไปดื่มนอกร้าน ส่วนพวกที่ชอบนั่งดื่มก็มักจะไปร้านแบรนด์เนมที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึกนัก

“ขออเมริกาโน่ร้อนๆ ครับ” เขาสั่ง ก่อนจะหันมายิ้มให้เธอ “คุณล่ะ”

“เหมือนกันค่ะ”

“งั้นเป็นสองนะครับ” เขาหันไปบอกพนักงาน จากนั้นก็ผายมือให้เธอไปนั่งกับเขาที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน

“คุณแทบไม่เปลี่ยนไปเลยนะโรส”

“ค่ะ” ลลิษาตอบสั้นๆ เพราะการเปิดหน้าแลกก่อนอาจทำให้พลาดพลั้งได้

ชายหนุ่มมองเธออย่างฉงน กับท่าทีสงบนิ่งของเธอ

“เมื่อวานตอนผมไปที่บาร์ ผมนึกว่าคุณจำผมได้เสียอีก”

ลลิษาขมวดคิ้ว “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ”

“ก็พอคุณเห็นผม คุณก็รีบหายเข้าไปในหลังร้าน”

หญิงสาวทำท่านึก ก่อนจะเผยยิ้ม “ฉันท้องเสียมาสองสามวันแล้วค่ะ ตอนนั้นคงสุดๆ จริงๆ ก็เลยรีบไปห้องน้ำ ฉันไม่ทันเห็นคุณด้วยซ้ำ เมื่อคืนคุณไปที่ร้านมาหรือคะ”

คราวนี้ใบหน้าคมคายของเขาเริ่มส่อแววแปลกใจ เขานิ่งไประหว่างที่พนักงานนำกาแฟมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ลลิษารอให้พนักงานกลับไปประจำที่เคาน์เตอร์ก่อน จึงค่อยย้ำเตือนเขาถึงเรื่องเวลา

“เอาล่ะค่ะ ฉันว่าเราเข้าเรื่องกันดีกว่าไหมคะ ฉันมีเวลาให้คุณแค่สิบนาที จำได้ไหมคะ”

เขาหัวเราะเบาๆ “ผมน่าจะจ้างคุณไปแทนไอ้พวกไม่ได้เรื่องที่บริษัทนะ คุณนิ่งพอจะเชือดใครก็ได้จริงๆ”

“ฉันอาจไม่เป็นอย่างนั้น แค่ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร และกำลังจะไปธุระสำคัญต่อ”

ในที่สุดเขาก็ถอนใจ “ผมเคยไปที่บาร์เฌอริลีนเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นผมเพิ่งจบมหาวิทยาลัย ผมกับเพื่อนๆ ไปฉลองกัน แล้วผมก็พบคุณ คราวนี้คุณจะปฏิเสธไหมว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนคุณไม่ได้สวมชุดแดงคอยเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้า”

“ไม่ค่ะ ฉันทำงานที่นั่นมาตลอดช่วงที่เรียนอยู่มัธยมปลาย”

“งั้นก็ง่ายหน่อย” เขาพยักหน้า “คืนนั้นเราออกไปข้างนอกด้วยกันหลังบาร์ปิด และผมพาคุณไป...”

ลลิษายกมือขึ้นห้ามเขาทันที พลางเหลือบมองไปที่พนักงานร้าน เมื่อเห็นเขาสวมหูฟังและกำลังนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ จึงค่อยคลายใจ

“คุณจำได้แล้วใช่ไหม”

“ฉันรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อหลังจากนั้นค่ะ เพราะไม่ได้มีแค่คุณที่ฉันออกไปด้วย” เธอโกหก

เขานิ่วหน้า แววตาคมกริบส่อแววฉงนขึ้นมาทันที

“เจ้าของร้านอาจถูกจับได้เลยนะนั่น”

“มันนอกเวลางานค่ะ และมันก็เป็นความสมัครใจของฉันเอง ไม่เกี่ยวกับร้าน”

“อ้อ งั้นสิ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับเด็กคนนั้นก็อาจไม่ใช่เรื่องจริง”

“คุณสงสัยอะไรลูกฉัน” ลลิษาแยกเขี้ยวราวกับเป็นจงอางห่วงไข่

“สงสัยว่าเขาอาจเป็นลูกผม”

“ไม่ใช่” หญิงสาวโพล่งขึ้นทันทีด้วยเสียงอันดัง แม้พนักงานหนุ่มที่สวมหูฟังก็ยังหันมามอง

“คุณแน่ใจหรือ”

“ฉันแน่ใจว่าป้องกันทุกครั้งเวลาออกไปกับแขก คนเดียวที่ฉันไม่เคยป้องกันคือพ่อของเด็กคนนั้น และเขาก็ตายไปแล้ว เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ” ลลิษาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงกร้าว “ถ้าคุณกลัวว่าฉันจะพาลูกไปทวงสิทธิ์ คุณก็วางใจเถอะค่ะ ฉันไม่ทำอย่างนั้นแน่ ถ้าฉันสิ้นคิดและสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้น ฉันคงรวยไปแล้ว เพราะผู้ชายที่ขึ้นเตียงกับฉันทุกคนรวยมาก”

เขาชะงักเล็กน้อย จ้องมองเธออย่างพินิจ ครู่หนึ่งก็ถอนใจออกมาเบาๆ

ลลิษาเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังร้าน ก่อนจะหยิบค่ากาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มวางลงบนโต๊ะ

“หมดเวลาแล้วค่ะ ฉันต้องไปแล้ว”

เขาพยักหน้า สีหน้าและดวงตายังคงเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด ลลิษาจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปด้วยใจที่เต้นระทึกราวกับมีกลองหลายใบมารัวอยู่ในอก 

พอออกมาที่หน้าถนน ลลิษาก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งเจอเรื่องสยองขวัญมา และทิ้งให้ผู้ชายคนนั้นยังคงจมอยู่ในห้วงความคิดอันสับสนจากคำพูดโกหกของเธออยู่เพียงลำพัง

 

คฑาวุธนั่งอึ้งในร้านกาแฟอยู่นานหลังจากลลิษาออกไปแล้ว เขารู้สึกสับสนไม่น้อย เพราะจำได้ว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่ก่อนที่เขาจะทำลายความบริสุทธิ์นั้นด้วยตัวของเขาเอง สิ่งที่ทำให้ไม่แน่ใจก็คือ เขาเมามากจนกระทั่งจำไม่ได้ว่ามีสักครั้งหรือไม่ที่ไม่ได้ป้องกัน จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเขาจริงๆ

แต่นั่งคิดว้าวุ่นอย่างนี้คงหาคำตอบไม่ได้ ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินไปจ่ายค่ากาแฟแล้วออกจากร้านไปขึ้นรถมาเซราติสีดำคันหรู และขับไปที่ทำงานทันที

ดี.เค.กรุ๊ป ยังคงวุ่นวายเหมือนเช่นทุกวัน พนักงานทุกคนทำงานกันอย่างขะมักเขม้นจนไม่มีเวลาเงยหน้ามาคุยกัน แต่พวกเขาก็ยังมีเวลาหันมาค้อมคำนับเขาในทุกย่างก้าวที่เขาเดินผ่านไป จนเมื่อถึงห้องทำงานนั่นแหละ ความเงียบสงบจึงกลับมาเยือนเขาอีกครั้งพร้อมกับความคิดคำนึงถึงเรื่องกวนใจในเช้าวันนี้

รองประธานกรรมการหนุ่มนั่งลงหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ จากนั้นก็หยิบแฟ้มประวัติบาร์เฌอริลีนขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะถอนใจออกมา เพราะข้อมูลเกี่ยวกับลลิษาและลูกที่ทีมของกิตติศักดิ์หามามันช่างน้อยเหลือเกิน เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ตั้งของร้าน ขนาดพื้นที่ รวมไปถึงสถานะทางการเงินที่ดูเหมือนจะมีกำไรไม่ได้มากพอจะร่ำรวยอะไร แต่ก็คงพอที่จะทำให้เด็กชายคนนั้นได้เรียนโรงเรียนเอกชนดีๆ แบบนั้นได้

ผู้หญิงคนนี้บริหารจัดการทุกอย่างได้ดีมาก ท่าทางสงบนิ่งของเธอเวลาคุยกับเขาก็น่าสนใจไม่น้อย ถ้าได้มาเป็นทีมงาน บริษัทของเขาคงประสบปัญหาน้อยกว่านี้แน่ และน่าจะไร้อุปสรรคสำหรับโครงการเดอะไททันด้วย

‘ไม่ได้มีแค่คุณที่ฉันออกไปด้วย’

ประโยคนั้นทำให้เขารู้สึกปวดใจชอบกล เธอเป็นสาวใจแตกอย่างนั้นหรือ หรือเป็นเพราะเขากันที่ทำให้เธอใจแตกขนาดนั้น

‘ฉันแน่ใจว่าป้องกันทุกครั้งเวลาออกไปกับแขก คนเดียวที่ฉันไม่เคยป้องกันคือพ่อของเด็กคนนั้น และเขาก็ตายไปแล้ว เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ’

ใครกันนะที่เป็นพ่อของเด็กคนนั้น ให้ตายสิทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดกับผู้หญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัวคนนั้นอย่างนี้นะ

คฑาวุธนิ่งคิดอยู่สักพัก ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นแล้วต่อสายไปหาเจ้าของแฟ้ม ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการสายงานสรรหาที่ดินวัยสี่สิบปี

“ผมเองนะครับคุณกิตติศักดิ์ ผมอยากได้ประวัติของเจ้าของบาร์เฌอริลีนเพิ่มอีกสักหน่อย ช่วยจัดการให้หน่อยได้ไหมครับ”

ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้เลยนะครับ’

“ขอบคุณมาก” เขาเอ่ยเสียงเข้มแล้ววางสายไป จากนั้นก็หมุนเก้าอี้หันไปหาแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านแผงกระจกบานใหญ่เข้ามาด้วยหัวสมองที่ปั่นป่วน

 

กิตติศักดิ์วางหูโทรศัพท์ลง ก่อนจะถอนใจออกมาอย่างรู้สึกว้าวุ่นใจ เพราะตั้งแต่มาทำงานที่นี่เมื่อสิบปีที่แล้ว เขาไม่เคยทำงานพลาดเลย หนำซ้ำยังไม่เคยพบเจ้าของที่ดินคนไหนที่ดื้อดึงและไม่เห็นแก่เงินซึ่งบริษัทสามารถมีประเคนให้อย่างมากมาย เหมือนอย่างผู้หญิงคนที่เจ้านายต้องการรู้ประวัติอย่างละเอียดคนนี้เลย

“มีอะไรหรือเปล่าครับท่าน” รัชเดช ลูกน้องคนสนิทเอ่ยถาม

ชายหนุ่มคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านรองประธานกรรมการใหญ่ ใบหน้าคมคายดูเจ้าสำอาง แต่ก็ทำงานเก่งใช้ได้ทีเดียว เขาจึงดึงมาเป็นมือขวา คอยเป็นมือเป็นเท้าให้ในเรื่องหยุมหยิมต่างๆ

“ท่านรองฯ สั่งให้สืบประวัติเจ้าของบาร์เฌอริลีนน่ะสิ”

“คนที่ไม่ยอมขายที่ให้เราหรือครับ”

“ใช่” กิตติศักดิ์พยักหน้า “นายไปจัดการให้ฉันทีนะ”

“ได้ครับ” รัชเดชค้อมศีรษะน้อมรับ “ว่าแต่มันจะไม่ส่งผลกระทบกับฝ่ายของเราหรือครับ ถ้าท่านรองฯ ลงมาทำเรื่องนี้เอง”

“ก็คงเสียเครดิตไปโขล่ะ” กรรมการผู้จัดการหนุ่มใหญ่ถอนใจ

“งั้นระหว่างที่หาข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น เราลองหาวิธีทำให้แม่นั่นขายที่ให้เราดีไหมครับ”

“นายหมายความว่ายังไง” กิตติศักดิ์หลิ่วตามองลูกน้องคนสนิท

“ท่านจำเคสไอ้แก่ที่โครงการเดอะวันได้ไหมครับ”

“ที่มันไม่ยอมขายที่ดินให้เราเมื่อปีก่อนน่ะหรือ”

“ครับ” รัชเดชพยักหน้า “ลูกๆ ยอมหมดเหลือเพียงมันคนเดียวที่ไม่ยอมขาย หลังจากนั้นไอ้แก่นั่นก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต พอเสร็จงานศพมัน ลูกๆ ของมันก็เลยเอาที่ดินมาขายให้เรา”

กิตติศักดิ์นิ่งคิด ก่อนจะถอนใจออกมา “ฉันยังไม่อยากให้วุ่นวายขนาดนั้น คดีไอ้แก่นั่นกว่าจะปิดได้ก็เสียเวลาไปมากโข ขืนเกิดซ้ำขึ้นมาอีก ตำรวจอาจสงสัยได้”

“งั้นก็เอาแค่เบาะๆ ดูท่าทีไปก่อนดีไหมครับ ผู้หญิงตัวคนเดียวอาจกลัวจนรีบขายที่ให้เราก็ได้นะครับ”

“อืม...แต่อย่าให้ถึงตายเหมือนไอ้แก่นั่นล่ะ” กิตติศักดิ์ย้ำ

“ไว้ใจเถอะครับ ยังมีอีกหลายวิธีนอกจากความตายที่จะช่วยเราได้”

“ฉันก็หวังว่ามันจะไม่ถึงขั้นที่ต้องใช้วิธีเดียวกับไอ้แก่ดื้อดึงนั่นนะ”

“ครับ” รัชเดชตอบรับด้วยสีหน้าและรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

 

ทุกครั้งหลังจากไปส่งลูกชายเข้าโรงเรียน ลลิษาจะกลับมานอนและหลับปุ๋ยในเวลาอันรวดเร็ว แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม เพราะเธอแทบข่มตาหลับไม่ลงด้วยซ้ำ

“ให้ตายเถอะ”

หญิงสาวถอนใจแล้วลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเดินไปที่ครัวแล้วรินนมอุ่นๆ มาดื่ม หวังให้กรดอะมิโนอย่างทริปโตแฟนที่มีอยู่ในนมช่วยให้เธอหลับง่ายขึ้น

แต่ก็ไม่สำเร็จ

แน่นอนว่าการดื่มนมไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก เนื่องจากสาเหตุจริงๆ นั้นเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นต่างหากที่จู่ๆ ก็กลับเข้ามาในชีวิตเธอ ความคิดต่างๆ ที่เวียนวนอยู่ในหัวทำให้สมองของเธอตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

‘นายกลับมาสนใจฉันทำไมอีก หลังจากหายหัวไปตั้งเจ็ดปี’

แล้วดันมาถามเรื่องลูกอีก ให้ตายสิ

ลลิษาผินหน้าไปมองรูปลูกชายตรงหัวเตียง ก่อนจะถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะรู้สึกผิดต่อเขาและพ่อของเขามาก ที่โกหกทุกอย่างไปในเช้าวันนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเธอไม่รู้จุดประสงค์การมาถามหาความหลังของเขาเลยสักนิด

มันมีโอกาสไม่น้อยที่เขาต้องการลูกของเขาไปเลี้ยง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เธอยอมรับไม่ได้แน่

เธอเลี้ยงลูกมาอย่างดีด้วยความรักใคร่ จนเขาเติบโตขึ้นมาเป็นที่รักของคนอื่นๆ จู่ๆ เขาจะมาชุบมือเปิบ เอาลูกไปจากอ้อมอกเธอ แล้วเอาไปให้ภรรยาที่ไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้เลี้ยง เหมือนอย่างในละครโทรทัศน์อย่างนั้นหรือ

ไม่มีทางเสียหรอก

แค่คิดว่าลูกจะต้องเผชิญกับแม่เลี้ยงใจร้ายและคุณย่าใจยักษ์ แถมพ่อยังเข้าข้างฝ่ายนั้นอีก เธอก็รู้สึกสงสารลูกจนแทบจะร้องไห้แล้ว

 

ฮัดเช้ย!”

จู่ๆ คฑาวุธก็จามออกมาดังลั่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอาการป่วยมาก่อนหน้านี้ ดีที่นี่เป็นห้องทำงานส่วนตัว ไม่มีใครเห็น ไม่อย่างนั้นคงเสียหน้าแย่

“ใครนินทาหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วก้มลงอ่านเอกสารต่อ แต่ยังไม่ทันไร โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นเสียงที่เขาตั้งเอาไว้สำหรับคนในครอบครัว

คฑาวุธรีบหยิบโทรศัพท์มารับทันที ก่อนจะกรอกเสียงลงไปด้วยความดีใจ “สวัสดีครับแม่ กำลังคิดถึงอยู่พอดีเชียว”

ปากหวานนะลูก’ ปลายสายหัวเราะคิกคัก ‘เปิดวิดีโอคอลสิ แม่จะได้เห็นหน้า’

“รอเดี๋ยวนะครับ”

เขารีบวางโทรศัพท์ลงบนแท่นวาง แล้วกดปุ่มเปลี่ยนโหมดให้เป็นวิดีโอคอล จนใบหน้าของบิดาและมารดาปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

“เป็นไงเจ้าวุธ กิจการของฉันที่เมืองไทย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม

“เรียบร้อยดีครับ มีปัญหาจุกจิกนิดหน่อย แต่ผมจัดการได้ครับ” ชายหนุ่มตอบ “แล้วโครงการยักษ์ของเราที่แคลิฟอร์เนียเป็นอย่างไรบ้างครับพ่อ”

“ก็ดี ราบรื่นดี”

“สองคนนี้นี่ เจอหน้ากันก็คุยแต่เรื่องงาน” ผู้เป็นแม่ค้อนใส่ทั้งสามีและลูก “เลิกคุยได้แล้ว แม่ล่ะคิดถึงลูกจะแย่ นี่ก็บ่นกับพ่อเขาทุกวันเลยนะ”

“มิน่าล่ะ...” คฑาวุธหัวเราะ

“มิน่าอะไร” มารดาย้อนถาม

“มิน่าเมื่อครู่ผมถึงได้จามออกมา ที่แท้แม่นี่เองที่นินทาผมกับพ่อ”

“เหลวไหล ถ้าแม่เขาศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น ป่านนี้แกจมูกแหกไปแล้ว”

“ทำไมล่ะครับพ่อ”

“ก็แม่แกบ่นเรื่องแกให้พ่อฟังทุกๆ ห้านาทีน่ะสิ”

“นี่คุณ” ผู้เป็นแม่หันไปฟาดต้นแขนสามีแรงๆ “อย่ามาว่าฉันนะ ก็ฉันคิดถึงลูกนี่”

“ก็มันจริงนี่นา โดยเฉพาะเรื่องแฟน แม่แกนี่บ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยล่ะ”

“สามสิบแล้วนี่คะ จะไม่ให้ฉันห่วงได้ยังไงกันล่ะคุณ” มารดาเอ่ยกับบิดา ก่อนจะหันมายิ้มให้ลูกชาย “แล้วตกลงมีหมายตาใครไว้หรือยังลูก ถ้ามีแม่จะได้รีบกลับไปสู่ขอตบแต่งให้”

คฑาวุธหัวเราะ “ยังไม่มีหรอกครับแม่ ทำแต่งานอย่างเดียว เดี๋ยวว่าจะไปจ้างพวกพริตตี้มาแต่งงานด้วยสักคน แม่จะได้สบายใจ ดีไหมครับ”

“โอ๊ย...แม่ก็เคยเป็นลูกชาวสวน ทำงานเป็นประชาสัมพันธ์ห้างมาก่อน เรื่องฐานะชาติตระกูล หน้าที่การงานสำหรับแม่น่ะ มันไม่สำคัญอะไรหรอก ขอแค่ให้เป็นคนดี ขยันทำงาน รักครอบครัว และหมั่นดูแลลูกของแม่ แค่นั้นก็พอแล้ว”

“ขอเยอะนะนั่น” ผู้เป็นพ่อแซว

พอได้ยินคำพูดของมารดา จู่ๆ คฑาวุธก็นึกถึงบาร์เทนเดอร์สาวขึ้นมา ดูจากชีวิตประจำวันของเธอ ก็ดูเป็นคนขยันและรักครอบครัวดี เพราะทั้งที่เพิ่งกลับถึงบ้านเอาเกือบรุ่งสาง แต่ก็ยังตื่นเช้าไปส่งลูกที่โรงเรียน ไหนจะเป็นบาร์เทนเดอร์ให้ร้านตัวเอง ซึ่งเจ้าของร้านไม่จำเป็นต้องลงไปทำเรื่องพวกนั้น แบบนี้ไม่เรียกว่าขยัน รักครอบครัวยังไงไหว

“คิดอะไรอยู่หรือลูก ทำไมเงียบไป”

คฑาวุธสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มเจื่อนให้มารดา “เรื่องงานน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”

“อย่าหักโหมให้มากนะ”

“ครับแม่”

“เออ...เห็นยายวีบอกพ่อว่าจะกลับเมืองไทยอาทิตย์หน้า ลูกไปรับยายวีด้วยนะ”

“เอ๋...นี่เรียนจบแล้วหรือครับ ยายน้องสาวคนนี้ ไม่เห็นบอกพี่สักคำ”

“ก็คงเกรงใจนั่นแหละ ยายวีมันขี้เกรงใจคนอยู่แล้ว นี่ก็ร่ำๆ ว่าอยากเปิดห้องเสื้อ ยังไงก็ช่วยดูให้หน่อยนะ”

“ได้ครับพ่อ น้องสาวคนเดียว ผมไม่ปล่อยให้ลำบากหรอกครับ” คฑาวุธรับปาก “งั้นผมขอตัวทำงานก่อนนะครับ เอาไว้ว่างๆ จะโทร.หา”

“ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง ส่วนพ่อก็ยิ้มและพยักหน้า จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็หยุดการติดต่อกัน

คฑาวุธเอนหลังพิงพนักอย่างคิดคำนึง เพราะมันช่างน่าแปลกเหลือเกิน ที่เขาคิดถึงอนาคตกับลลิษา หลังจากมารดาถามไถ่เรื่องการแต่งงาน

ให้ตายสิ...เธอจำเขาแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ

ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอพูดจริง คืนนั้นคงเป็นคืนที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเลยสำหรับลลิษา เหมือนที่เขาไม่เคยจำเรื่องบนเตียงของผู้หญิงคนอื่นเลยนอกจากเธอ ทั้งๆ ที่เขาออกจะมั่นอกมั่นใจมากว่า ตัวเองสามารถทำให้ผู้หญิงผ่านไปถึงจุดสุดยอดได้ชนิดที่เรียกได้ว่า พวกเธอเหล่านั้นไม่เคยพานพบมาก่อน

 

ลลิษาตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เธอก็ปัดกวาดเช็ดถูบ้าน ก่อนจะออกไปรับลูกกลับจากโรงเรียน และพาไปยังบาร์เฌอริลีน รอให้ดวงใจกลับจากมหาวิทยาลัยแล้วมารับลูกชายของเธอกลับบ้าน

“ทำงานทุกวันแบบนี้ ไม่อยากหยุดพาลูกไปเที่ยวบ้างหรือครับพี่โรส”

วายุ บาร์เทนเดอร์อีกคนเอ่ยถามขณะใช้ผ้าสะอาดเช็ดถูถ้วยแก้วที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ เขาเป็นหนุ่มน้อยวัยยี่สิบสามปีที่มีฝีมือการชงเครื่องดื่มอย่างหาตัวจับได้ยากทีเดียว

“ไปแล้วใครจะดูแลร้านล่ะ”

“ผมไงพี่”

“นายอะนะ” หญิงสาวหันไปมองคนพูดด้วยแววตาไม่เชื่อถือนัก

“โธ่พี่ ตอนลูกพี่ไม่สบายต้องรีบกลับบ้านไปรับไปหาหมอ ผมก็อยู่ดูแลร้านให้พี่ตั้งหลายครั้ง ยายจอย ยายแจนก็อยู่ แถมมีการ์ดล่ำบึกเหมือน ดเวน จอนห์สัน อย่างลุงชาตรีอีก พี่ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

จริงอยู่ที่ทั้งจอยและแจนเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ขยันขันแข็ง ทำให้เบาแรงไปเยอะ ส่วนลุงชาตรีผู้มีหุ่นและใบหน้าเหมือนดาราฮอลลีวูดชื่อดังก็สามารถจัดการทุกปัญหาเกี่ยวกับลูกค้าจอมป่วนและเด็กอายุไม่ถึงที่แอบเข้ามาในร้านได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าจะให้ทิ้งงานไปทั้งวันทั้งคืน เธอก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“เอาไว้จะลองคิดดูก็แล้วกัน”

“นี่ ผมมีบัตรเที่ยวดรีมเวิร์ดฟรีอยู่สามใบ พี่สนใจพาลูกไปเที่ยวไหมล่ะ ของพี่กับลูกสองใบ อีกใบก็ให้ดวงใจไปช่วยดูแลด้วย”

ลลิษาหันไปเหล่มองชายหนุ่ม “นี่นายทำไมถึงคะยั้นคะยอให้พี่หยุดงานนักนะ วางแผนจะฮุบร้านหรือเปล่าเนี่ย”

วายุหัวเราะลั่น “ฮุบร้าน...คิดได้ไงอะพี่”

“จะไปรู้เรอะ อยู่ดีๆ ก็อยากให้หยุด”

“ก็ผมเห็นพี่ทำงานทุกวันไม่ได้พัก ผมกับคนอื่นๆ ยังได้พักคนละวัน ก็เลยอยากให้พี่ได้ผ่อนคลายบ้างสิ”

“แน่นะ” เธอถามย้ำ

“แน่สิ ก็ผมรักพี่นี่”

ยังไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือพิฆาตก็ฟาดเปรี้ยงลงบนกบาลชายหนุ่ม

“เดี๋ยวเหอะ บอกว่าอย่าเซ้าซี้เรื่องนี้ พี่ไม่ชอบกินเด็ก”

วายุหัวเราะกลบเกลื่อน “ผมพูดเล่นน่า พี่ก็จริงจังไปได้”

“ไม่รู้แหละ ขืนพูดอีกเจอไล่ออกแน่”

“ครับพี่” วายุลากเสียงยาวแล้วรีบปลีกตัวนำถ้วยแก้วที่เช็ดแล้วไปวางไว้บนชั้นวาง

ลลิษามองตามไปอย่างนึกกังวลใจ เพราะดูเหมือนวายุจะยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะจีบเธออยู่ดี แม้เธอจะบอกเขาไปหลายครั้งว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม

หลังจากร้านเปิด ไม่นานลูกค้าก็เข้ามาจนเต็มร้าน เพราะต่างติดใจในฝีมือการชงเครื่องดื่มของลลิษากับวายุ รวมไปถึงการบริการที่อ่อนหวานของจอยกับแจนก็ทำให้ลูกค้าหนุ่มๆ หลายคนติดใจจนกลายเป็นขาประจำไป

บาร์เฌอริลีนมีผู้คนเข้ามาใช้บริการหนาตาแทบจะทุกวัน ยิ่งเป็นคืนวันศุกร์และเสาร์ด้วยแล้ว จะมีคนมายืนต่อแถวรอเข้าร้านกันยาวทีเดียว และค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน

“พี่โรส ดูนั่นสิ” วายุสะกิดเธอ

“ใคร?”

“คุณภาคิน ยูทูปเปอร์ชื่อดังที่ตระเวนดื่มไปทั่วทุกสารทิศ แล้วรีวิวทางช่องยูทูปของเขาไงล่ะ คนติดตามตั้งสี่ห้าแสนเชียวนะ”

“มาร์ตินี่บนโต๊ะนั้นใครผสม”

“พี่ไง” เขาหันมามองเธอ

“ตายจริง จะถูกปากไหมหนอ” ลลิษาเอ่ยอย่างรู้สึกกังวล เพราะถ้าไม่ถูกใจยูทูปเปอร์ชื่อก้องขนาดนี้ มีหวังโดนวิจารณ์จนคนไม่เข้าร้านแน่ๆ”

“กรี๊ด...”

แต่แล้วเสียงร้องของหญิงสาวคนหนึ่งก็กรีดแทรกเสียงเพลงขึ้น เสียงของเธอเรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง ไม่เว้นแม้แต่ลลิษาที่หันไปมองด้วยความตกใจ และไม่แน่ใจว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ส่งเสียงดังขนาดนั้นกันแน่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น