๕
หลังจากคฑาวุธกรอกเสียงลงไปในสมาร์ตโฟนราคาแพงของเขา ปลายสายก็เงียบไปพักใหญ่ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ว่าเธอกำลังตกตะลึงอยู่ว่า เขาโทร.หาเธอทำไม และได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมาจากไหน
ก่อนหน้านี้ที่บาร์ หลังจากเขาคุยกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มและไม่ได้มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม เขาก็เบนความสนใจไปที่สาวเสิร์ฟหน้าตาจิ้มลิ้มที่ชื่อแจน พอพูดคุยกันได้พักใหญ่ เขาก็ได้รู้ว่าที่วันนี้ลลิษาไม่มาทำงานก็เพราะต้องพาลูกชายไปโรงพยาบาล เนื่องจากตกโซฟาจนน่าจะแขนหัก
ชายหนุ่มเก็บความตกใจและเป็นห่วงเด็กคนนั้นเอาไว้ในใจ เพราะไม่อยากแสดงออกจนอีกฝ่ายผิดสังเกต พอเครื่องดื่มหมดเขาก็ออกจากบาร์แล้วขับรถมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลที่แจนบอกว่าลลิษาพาลูกชายไปฉีดวัคซีนเป็นประจำ
‘คุณไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน’
“โธ่คุณ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว เขามีแอปฯเยอะแยะที่ใช้ค้นหาหมายเลข ไม่ต้องนั่งงมในสมุดหน้าเหลืองเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ”
‘แล้วคุณโทร.มาทำไม มันดึกแล้ว’
“ผมไม่เห็นคุณที่บาร์ นึกว่าไม่สบาย เลยโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาคนรู้จักกันน่ะ”
‘ขอบคุณนะคะสำหรับความห่วงใย ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น และฉันก็บอกคุณไปแล้วว่าจำอะไรเกี่ยวกับคุณไม่ได้ เราไม่ได้สนิทกันขนาดที่คุณจะโทร.มาหาฉันกลางค่ำกลางคืนแบบนี้’
ใจแข็งจริงนะ
“แต่ผมอยากไปเยี่ยมคุณ”
‘ไม่ต้องค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรมาก แล้วตอนนี้ก็หมดเวลาเยี่ยมแล้วด้วย’
“หมดเวลาเยี่ยม” คฑาวุธทวนคำด้วยความกระหยิ่มใจ “นี่แสดงว่าคุณอยู่โรงพยาบาลเหรอ”
มีเสียงถอนใจเฮือกของคนที่รู้ว่าตัวเองติดกับดักผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาเบาๆ
‘โอเคค่ะ ฉันอยู่โรงพยาบาล แต่ไม่เป็นอะไรมาก แค่อ่อนเพลีย มานอนให้น้ำเกลือคืนเดียว พรุ่งนี้เช้าก็จะกลับแล้ว’
“ให้ผมไปรับไหมครับ”
‘ไม่ต้อง!’
เสียงนั้นดังสะท้านแก้วหูจนคฑาวุธต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหูทีเดียว
‘ขอโทษนะคะฉันต้องวางสายแล้ว มันรบกวนคนไข้คนอื่น และฉันก็รู้สึกง่วงแล้วด้วย’
“เอ...ปรกตินี่มันเวลาทำงานของคุณนี่ ไม่น่าจะง่วงนะ”
‘แต่วันนี้ฉันไม่ได้ทำงาน’
“โธ่คุณ คนเรามันจะปรับโหมดเปลี่ยนเวลานอนแบบกดปุ่มแล้วเห็นผลทันทีไม่ได้หรอกนะ ผมว่าคุณต้องตาค้างอยู่แน่ๆ ตอนนี้ ไม่งั้นคุณคงไม่เปลี่ยนจากชุดคนไข้มาเป็นชุดธรรมดา แล้วออกมายืนคุยโทรศัพท์กับผมที่ระเบียงหรอก”
ลลิษาสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาเขา เมื่อไม่เห็นจึงมองลงมายังด้านล่าง จึงเห็นเขายืนถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ข้างรถสีดำคันหรูของตัวเองริมทางเท้าภายในโรงพยาบาล
“หรือคุณไม่ได้สวมชุดคนไข้ตั้งแต่แรกกันแน่”
‘คะ…คุณมาที่นี่ได้ยังไง’
“บังเอิญผมมาเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลนี้” เขาโกหก “แล้วก็บังเอิญอีกที่กำลังจะกลับบ้าน แต่เห็นคุณออกมาไถโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงเสียก่อน ก็เลยโทร.หา”
‘ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่เป็นอะไร’ เธอบอกพร้อมทำตาดุใส่เขา
“ผมก็ว่างั้น เพราะตรงระเบียงที่คุณยืนอยู่มันเป็นแผนกเด็ก ลูกป่วยเหรอ”
‘ค่ะ ลูกของฉันป่วย’ ลลิษาเน้นคำว่า ‘ของฉัน’ ราวกับจะตอกย้ำให้เขารู้ว่าเด็กคนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ
“เป็นอะไร” เขาถามเสียงเข้มอย่างรู้จังหวะว่าตอนไหนควรจะใช้ไม้อ่อนและตอนไหนควรใช้ไม้แข็ง
‘ตกโซฟาแขนหักค่ะ’
“หนักหรือ ถึงได้นอนโรงพยาบาล”
‘ไม่หนักค่ะ หมอเข้าเฝือกให้แล้ว บอกว่ากลับบ้านได้ แต่ฉันอยากให้แน่ใจเลยขอแอดมิทหนึ่งคืน’
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะมารับคุณกับลูกกลับบ้าน”
‘ไม่ต้อง!’
“ทำไม” คฑาวุธส่งเสียงเข้มสวนกลับไปทันที “อย่าบอกนะว่าคุณจะพาลูกที่แขนเจ็บเดินกลับบ้าน ไม่สงสารลูกบ้างหรือไง”
‘แท็กซี่ก็มี ฉันไม่ต้องให้เขาลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ’
“ในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับลูก ทำไมคุณถึงปฏิเสธ ผมไม่เข้าใจ”
‘เพราะฉันไม่อยากรบกวนใคร แล้วฉันก็มีปัญญาพาลูกกลับได้เอง คุณไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราถึงขนาดที่ฉันต้องรับความอนุเคราะห์จากคุณ’
“แต่…”
ยังไม่ทันที่เขาจะแย้ง เธอก็วางสายไปเสียก่อน พอเขาเงยหน้าขึ้นไป เธอก็โบกมือไล่เขาแล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง
“ให้ตายสิ” คฑาวุธคำราม เขายืนรออยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะโทร.หาเธออีกครั้ง แต่กลับพบว่าไม่มีสัญญาณตอบรับแล้ว ครั้นจะบุกขึ้นไปก็คงไม่ได้ เพราะดึกดื่นอย่างนี้คงจะไปรบกวนคนไข้คนอื่นแน่
เมื่อเห็นว่ายืนอยู่ตรงนี้ก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงขึ้นรถแล้วติดเครื่องขับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้เลยว่า มีสายตาคู่หนึ่งกำลังแอบมองรถเขาจนหายลับตาไป
ลลิษาดูจนแน่ใจแล้วว่าคฑาวุธจากไปแล้วจริงๆ จึงกลับเข้าห้องพักผู้ป่วยด้วยใจเต้นระทึก เธอไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้พบเขาที่นี่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่โลกมันจะกลมอย่างนี้ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่เขากล่าวอ้าง ก็ต้องมีใครสักคนบอกเขาแน่ๆ ว่าเธอพาลูกมารักษาที่โรงพยาบาลนี้
“วายุ”
หญิงสาวงึมงำอย่างนึกขึ้นได้ ดูก็รู้ว่าหมอนั่นซาบซึ้งที่คฑาวุธมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์คืนก่อนมาก จึงเปิดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง แล้วเข้าไปในแอปพลิเคชันสนทนา
Rose : นายบอกคุณวุธเรื่องฉันอยู่โรงพยาบาลเรอะ
WinWin : เปล่าคับ
WinWin : หมอนั่นไปหาพี่เหรอ
Rose : เขาบอกว่ามาเยี่ยมเพื่อนแล้วเจอฉันพอดี
WinWin : บังเอิญไปไหม
Rose : ไม่รู้ดิ
WinWin : งั้นเดี๋ยวผมถามคนอื่นให้
Rose : ไม่ต้องหรอก ฉันไล่เขากลับไปแล้ว
แล้วเธอก็ส่งสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนไปราตรีสวัสดิ์บาร์เทนเดอร์หนุ่ม ก่อนจะปิดเครื่องเพื่อป้องกันไม่ให้คฑาวุธโทร.มาอีก จากนั้นก็หยิบหนังสืออ่านเล่นมาเปิดอ่านฆ่าเวลา
ก็มันนอนไม่หลับจริงๆ นี่นา ใครจะไปกดปุ่มเปิดโหมดหลับกลางคืนได้รวดเร็วขนาดนั้น...จริงไหม
วันรุ่งขึ้น ลลิษาปล่อยลูกชายให้นอนรออยู่บนเตียง แล้วออกไปชำระค่ารักษาพยาบาลและรับยาที่โถงกลาง ซึ่งก็มีผู้คนมากมายมาเข้าคิวรอ ทำให้กว่าจะจัดการเรื่องจนสามารถพาลูกชายออกจากโรงพยาบาลได้ก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
หลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับต้องชะงักเมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ได้อยู่คนเดียว แต่มีชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังนั่งพูดคุยกับเขาอยู่ข้างเตียงอย่างสนุกสนาน
หัวใจของลลิษาพลันหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีที่เห็นว่าเขาคือ...คฑาวุธ
‘เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง’
เร็วเท่าความคิด ลลิษาสลัดความตกตะลึงออกอย่างรวดเร็วด้วยความเป็นห่วงลูกชาย สองขายาวจึงรีบปราดเข้าไปยืนข้างเตียงของลูกชายทันที
“แม่ครับ คุณลุงวุธเพื่อนแม่มาเยี่ยม เอาหุ่นยนต์มาให้ผมด้วย” มนัสชี้ที่กล่องของเล่นบนตักน้อยๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดูก็รู้ว่าดีใจที่ได้ของเล่นชิ้นนี้ขนาดไหน
“จ้ะ” เธอยิ้มให้ลูก ก่อนจะหันไปทำหน้าถมึงทึงใส่คฑาวุธ “ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”
เขาพยักหน้ายิ้มๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะหันไปใช้มือยีผมเด็กน้อยอย่างเอ็นดู “เดี๋ยวมานะเจ้าหนู”
“ครับ” มนัสยิ้มแป้น
ลลิษาเห็นแล้วก็ชะงักเล็กน้อย เพราะดูเหมือนสายสัมพันธ์ของพ่อลูกจะทำให้มนัสสนิทกับเขาเร็วเกินไปแล้ว จึงรีบเดินนำคฑาวุธออกไปที่ระเบียงซึ่งเธอเคยยืนคุยโทรศัพท์กับเขาเมื่อคืนนี้
“นี่มันอะไรกันคะ”
“ก็ลูกไม่สบาย ผมก็มาเยี่ยมไง”
“พอที” ลลิษายกสองมือห้าม “เลิกพูดเหมือนว่าเขาเป็นลูกคุณเสียที ฉันบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าเขาไม่ใช่ลูกคุณ ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องมารับผิดชอบ แล้วก็เลิกยุ่งกับฉันเสียทีได้ไหม”
“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามนัสเป็นลูกผม”
“ก็คุณพูดเหมือน...” หญิงสาวชะงัก แล้วถอนใจเฮือกออกมา “ช่างเถอะ คุณกลับไปได้แล้ว”
“ไม่ ผมบอกลูก...” เขาอ้ำอึ้งไปอึดใจ “...ของคุณแล้วว่าจะพาไปกินของอร่อยแล้วจะไปส่งบ้าน”
“อะไรนะ!?”
คฑาวุธยักไหล่ “ดูเหมือนแกจะชอบผมเสียด้วยสิ ถ้าคุณไล่ผมไป แกคงผิดหวังมากแน่ๆ”
“คุณนี่มัน...” ลลิษาขบฟันแน่น
“เอาน่า แค่ขับรถไปส่งบ้าน มันจะอะไรกันนักหนาเชียว” เขาบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แล้วนี่จัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ เสร็จหรือยังล่ะ จะได้กลับบ้านกัน”
“โอเค ฉันยอมให้คุณครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” ลลิษายกนิ้วชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ “ต่อไปห้ามซื้อของให้ลูกของฉันอีก มันจะทำให้แกเสียเด็ก”
คฑาวุธยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะผายมือให้เธอเข้าไปหาลูกชาย แล้วเดินตามเธอเข้าไปในห้องพักฟื้นผู้ป่วย จากนั้นก็เดินไปยีผมมนัสเบาๆ อีกครั้ง
“ไปไอ้หนู กลับบ้านกัน เดี๋ยวลุงจะพาไปกินอะไรอร่อยๆ แล้วจะไปส่งที่บ้าน”
“จริงหรือครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น “คุณลุงใจดีสุดๆ เลย”
ลลิษาขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองไปที่คฑาวุธด้วยสีหน้าแปลกใจ พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา เธอก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองถูกหลอกเสียแล้ว เขาไม่ได้บอกมนัสว่าจะพาไปกินของอร่อยและไปส่งบ้านก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งบอกหลังจากคุยกับเธอแล้วต่างหาก
‘คนเจ้าเล่ห์’
ระหว่างขับรถ คฑาวุธก็ผิวปากตามไปอย่างอารมณ์ดี ผิดกับลลิษาที่นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่กับลูกบนตัก เขาพาทั้งสองไปที่ร้านเบเกอรี่แล้วสั่งเค้กในเด็กน้อยกิน ส่วนเขากับเธอก็เป็นกาแฟร้อนหอมกรุ่นกันคนละถ้วย พออิ่มหนำสำราญกันแล้ว เขาก็ขับรถพาเธอมาถึงบ้านโดยที่เธอไม่ต้องบอกทางด้วยซ้ำ
“นี่คุณรู้จักบ้านฉันด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ยากที่จะหา” เขายักคิ้ว
“คุณเป็นโรคจิตหรือเปล่าเนี่ย”
“โธ่คุณ อย่ามองความหวังดีของคนอื่นไปในแง่ร้ายสิ ผมไม่ใช่พวกสต๊อกเกอร์หรอก ไว้ใจเถอะ”
คฑาวุธยักคิ้วอีกครั้งแล้วลงจากรถ เดินอ้อมไปเปิดประตูให้เธอ จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปหาเด็กน้อยที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมอกมารดา
“จะทำอะไร” ลลิษากอดลูกอย่างหวงแหน
“ผมอุ้มให้เอง”
“ไม่ต้อง”
“คุณจะได้เปิดบ้านไง อุ้มลูกอย่างนี้จะเปิดบ้านได้ยังไงกัน” เขาอ้าง ก่อนจะดึงร่างเด็กน้อยจากอ้อมอกแม่มาอุ้มไว้แทน
ลลิษาพ่ายแพ้อีกครั้ง เธอลงจากรถด้วยท่าทางหงุดหงิดแล้วเดินไปไขกุญแจเปิดประตูค้างไว้ เพื่อให้เขาพามนัสเดินผ่านเข้าไปภายใน
คฑาวุธวางเด็กน้อยไว้บนโซฟาตัวยาว ก่อนจะเหลียวมองไปทั่วบ้านซึ่งเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นเธอก็จัดบ้านได้อย่างเป็นสัดส่วน ตรงข้ามกับชุดโซฟามีโทรทัศน์แขวนอยู่บนผนังช่วยประหยัดพื้นที่ ถัดไปเป็นคอกบุนวมสีฟ้าสำหรับเด็ก ภายในมีของเล่นวางเกลื่อน ลึกเข้าไปมีชั้นวางของเล็กใกล้กับบันไดขั้นชั้นสอง ทุกซอกทุกมุมของบ้านจะมีของเล่นวางระเกะระกะเต็มไปหมด
“คุณจะกลับหรือยังคะ” ลลิษาเอ่ยถามเป็นเชิงไล่อยู่ในที
“เวลาคุณไปทำงาน ใครดูแลลูก...” คฑาวุธชะงักเมื่อเห็นสายตาราวจงอางหวงไข่ “...ของคุณ”
“หลานของฉันจะดูแลช่วงเย็น ส่วนตอนกลางวันก็คุณครูที่โรงเรียน”
“อ้าว แล้วถ้าลูกคุณไม่ไปโรงเรียน ใครจะดูแลล่ะ”
“ก็ต้องเป็นฉันแหละ”
“จะไหวรื้อ ทำงานกลางคืนแล้วยังต้องมาเลี้ยงลูกตอนกลางวันอีก”
“ทำยังไงได้ล่ะคะ หลานฉันก็ต้องไปเรียนหนังสือ แล้วมนัสก็แขนเจ็บอย่างนี้คงไม่ได้ไปโรงเรียนเป็นอาทิตย์ ก็เหลือฉันคนเดียวที่แหละที่ต้องคอยดูแกตอนกลางวัน”
“ผมหาคนมาดูแลให้เอาไหม”
“ไม่ต้อง” ลลิษาตอบทันควัน ดูเหมือนจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาอีกแน่
“นี่คุณ เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ไม่จำเป็นจะต้องสตรองไปทุกสถานการณ์หรอกนะ คนนะคุณ ไม่ใช่โป๊ยเซียน จะได้ทั้งดมทั้งทาในหลอดเดียวกัน ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง มันก็ไม่ได้เสียศักดิ์ศรีอะไรนี่นา”
หญิงสาวชะงักไปกับเหตุผลของเขา แต่ก็ยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาอยู่ดี
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการได้ ไม่รบกวนคุณดีกว่า”
“ก็แค่อาทิตย์เดียว อาทิตย์หน้าก็ไปโรงเรียนได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฉันบอกว่า...”
“เอางี้” เขาแทรกขึ้นก่อนที่เธอจะโมโห “ผมหาคนให้ แล้วคุณจ่ายค่าจ้างเอง แบบนี้ดีไหม”
ลลิษามองเขาด้วยแววตาลังเล คงเพราะทำงานที่ร้านตอนกลางคืน แล้วยังต้องมาเลี้ยงลูกตอนกลางวัน มันออกจะสาหัสไม่น้อยสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ
กว่าลูกจะหายดี มีหวังกลายเป็นซอมบี้แน่ๆ
“ตกลงไหม”
“ก็...เอ่อ...เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
คฑาวุธยิ้มแป้นอย่างผู้ชนะอีกครั้ง “งั้นเดี๋ยวผมจัดการเลยนะ พรุ่งนี้จะพามาส่ง วันนี้คุณดูแลลูก...ของคุณไปก่อน ค่ำนี้ก็ไม่ต้องไปทำงานหรอก ไม่ได้นอนทั้งคืนไม่ใช่เหรอ หยุดงานสักวันเถอะ”
“แต่…”
“เมื่อวานผมไปที่บาร์มา พอคุณไม่อยู่ ไอ้หนุ่มบาร์เทนเดอร์ก็ทำงานได้ดีนะ ไม่เห็นจะต้องห่วงอะไรเลย”
“ฉันขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องคิดหรอก คืนนี้ผมจะไปที่บาร์อีก ถ้าเห็นคุณ ผมจะอุ้มกลับบ้านเลยคอยดูสิ”
ลลิษาถอนใจเฮือก “คุณทำทั้งหมดนี้ เพื่ออะไร”
“ถึงเราจะเริ่มต้นกันไม่ดีเท่าไร แต่ผมก็ยังอยากเป็นเพื่อนคุณนะ”
“ถ้าคุณคิดถึงเรื่องเซ็กซ์ในคืนนั้นล่ะก็ ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่าฉันเลิกแล้ว ฉันไม่ทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว”
“ผมก็ไม่ได้คิดจะมีเซ็กซ์กับคุณนี่ ก็แค่...เพื่อน”
หญิงสาวชะงักไป ก่อนจะถอนใจเฮือกออกมาอีกครั้ง “ตกลงค่ะ วันนี้ฉันจะหยุดงาน แล้วพรุ่งนี้จะยอมให้คุณส่งคนมาดูแลลูก ว่าแต่ไว้ใจได้หรือคะ ฉันเห็นในข่าวแล้วไม่อยากไว้ใจใครเลย”
“ไว้ใจได้แน่นอน ผมรับประกัน”
ลลิษาหลิ่วตามองเขา “งั้นฉันขอดูตัวก่อน แล้วค่อยตกลงก็แล้วกันนะคะ”
“ไม่มีปัญหา” คฑาวุธยิ้มแป้นอย่างผู้ชนะอีกครั้ง “งั้นผมไปทำงานล่ะ”
“ค่ะ ขับรถระวังนะคะ”
เขายิ้มแฉ่ง “เหมือนภรรยาส่งสามีไปทำงานเลยแฮะ”
ใบหน้าหวานขึงตึงขึ้นมาทันที “ไปได้แล้วค่ะ ฉันจะพักผ่อน”
“บายจ๊ะ...ที่รัก”
ยังไม่ทันที่เธอจะอ้าปากต่อว่าเขา คฑาวุธก็รีบออกจากบ้านแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมผิวปากอย่างอารมณ์ดี
ลลิษาถอนใจเฮือกออกมาอีกครั้งเมื่อคฑาวุธจากไปแล้ว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งโซฟาข้างๆ ลูกชายแล้วหลับตาลงอย่างรู้สึกเพลียและง่วงงุนเหลือเกิน
เพราะเอาเข้าจริง เธอก็แทบจะไม่ได้นอนเลยตั้งแต่พาลูกไปโรงพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจหลับลงได้เลย เพราะหัวสมองมัวแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องคนที่เพิ่งออกไปจากบ้านของเธอ
เขากลับเข้ามาในชีวิตของเธอทำไม?
นั่นเป็นคำถามที่เธอเองก็ไม่แน่ใจในคำตอบนัก เพราะเขาหายไปนานเหลือเกิน นานเสียจนเธอคิดว่าเขาคงลืมเธอไปแล้วแน่ๆ
ค่ำคืนเดียวมันคงไม่มีอะไรน่าจดจำนักสำหรับผู้ชายท่าทางเจ้าสำราญอย่างเขา แต่เขากลับจำเธอได้ทันทีที่เห็นหน้ากันครั้งแรก
ไม่สิ...เขาเห็นเธอครั้งแรกที่บาร์ แต่ก็กลับจากไปโดยไม่มีการทักทายกันเลย
แล้วอะไรกันนะที่ทำให้เช้าวันรุ่งขึ้น เขาถึงมาทักเธอที่หน้าโรงเรียน แถมยังจำชื่อเล่นเธอได้อย่างแม่นยำอีกต่างหาก
เขาคงไปส่งลูกที่นั่นเหมือนกัน แล้วก็บังเอิญเจอกันเข้า ความสว่างที่มีมากกว่าในบาร์คงทำให้เขาจำเธอได้
แปลว่าเขาไม่เคยลืมเธองั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเขาจำเธอได้ แต่ไม่มาหาเธออีกนับตั้งแต่ค่ำคืนนั้น เพราะเห็นเธอเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง จะหยิบมาดอมดมแล้วก็ทิ้งไปเมื่อไรก็ได้
แล้วทำไมเขาถึงหันมาทำดีกับเธอล่ะ ในเมื่อเธอก็เปิดโอกาสให้เขาหายไปอีกครั้งด้วยการแสดงตัวว่าจะรับผิดชอบลูกชายด้วยตัวของเธอเอง
หรือเขาอยากเด็ดเธอจากริมทางไปดอมดมเล่นอีก?
เซ็กซ์ใช่ไหมที่เขาต้องการจากเธอ?
ใช่สิ ผู้ชายก็ต้องการแค่นั้น
หลายปีมานี้ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เปิดใจให้ใคร แต่ทุกครั้งที่ผู้ชายเหล่านั้นรู้ว่าเธอมีลูกแล้ว ก็กลับทำตัวหมางเมินราวกับไม่เคยรักไม่เคยชอบกันเลย
พวกผู้ชายจะเอาอะไรกันนักกันหนากับผู้หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่อง ในเมื่อพวกเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านผู้หญิงมาก่อน อาจมากกว่าที่ผู้หญิงเคยผ่านมือชายเป็นหลายเท่าตัวอีกต่างหาก
ความคิดที่วนเวียนอยู่ในสมองทำให้ลลิษารู้สึกอยากจะย้อนเวลากลับไปในคืนนั้นอีกครั้ง แต่แล้วเธอก็กลับถามตัวเองว่า ถ้าย้อนไปได้จริงๆ เธอยังจะออกไปกับเขาอีกหรือเปล่า
‘ไปสิ’ เจ้าตัวสีแดงถือไม้สามง่ามในสมองของเธอบอก ขณะที่เจ้าตัวขาวมีปีกเหมือนนางฟ้าเอาแต่นิ่งเงียบ
นั่นเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าทีเดียวนะ แม้จะทำให้เธอต้องพลาดอะไรไปหลายๆ อย่าง และทำลายอนาคตของเธอให้พังลง แต่เธอก็ได้สิ่งที่วิเศษสุดตอบแทนมาอย่างคุ้มค่า
ลลิษาปรือตามองลูกชายที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาน่ารักและเป็นเด็กดีมากสำหรับเธอ ไม่มีอะไรจะวิเศษไปกว่าลูกคนนี้อีกแล้ว เธอจะไม่ยอมให้เขาเป็นอะไรไป และจะไม่ยอมเสียเขาไปให้ใครแน่ ไม่เว้นแม้แต่พ่อของเขา
‘พ่ออยู่ไหนครับ’
เสียงมนัสแว่วดังอยู่ในสมองเธอ นั่นเป็นคำถามที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เป็นคำถามที่ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า แม้เธอจะทุ่มเทให้เขาเป็นสองเท่าเพื่อทดแทนการขาดพ่อไป แต่มันก็ไม่อาจเติมเต็มจิตใจดวงน้อยๆ นี้ ไม่ให้โหยหาพ่อเหมือนเด็กคนอื่นๆ ได้อยู่ดี
และแล้วภาพการปิกนิกในสวนสาธารณะของเธอและลูก กับคฑาวุธผู้เป็นพ่อก็เบียดแทรกเข้ามาในความคิดอันสับสนวุ่นวายของเธอ หัวใจของเธอพองโตเมื่อได้เห็นภาพนั้น ภายในอกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยนับพันกระพือปีกเหมือนในสวนสวยของห้วงความคิด
ลลิษามองสองพ่อลูกกำลังเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน ขณะกำลังเตรียมอาหารว่างให้พวกเขา ความสนิทสนมนั้นทำให้เธออดยิ้มทั้งน้ำตาไม่ได้ พอสองพ่อลูกเล่นกันจนเหนื่อย ก็พากันวิ่งมาหาเธอแล้วหอมแก้มเธอคนละข้างพร้อมกัน เพื่อขอบคุณสำหรับแซนด์วิชแสนอร่อย
ลูกจะมีความสุขมากแค่ไหนนะ ถ้าได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้
ลลิษาเผยยิ้มออกมา โดยไม่รู้เลยว่าเธอเพิ่งผล็อยหลับไป และฝันหวานถึงวันที่ได้ครองคู่กับคฑาวุธ ที่ช่วยเธอสร้างครอบครัวอันสมบูรณ์พร้อม
เช้าวันต่อมา ลลิษาไม่ได้ปลุกลูกชายไปโรงเรียนเหมือนเคย เพราะอยากให้เขาได้พักสักหนึ่งสัปดาห์ และด้วยเป็นเวลาที่ปรกติเธอจะไปส่งลูกที่โรงเรียน อีกทั้งเมื่อวานก็นอนหลับทั้งบ่าย แถมยังมานอนต่อตอนหัวค่ำอีก ก็เลยทำให้ตาสว่างกว่าปรกติ จึงตัดสินใจเริ่มทำงานบ้านฆ่าเวลา รอให้คฑาวุธพาพี่เลี้ยงเด็กคนใหม่มาแล้วจึงค่อยขึ้นไปนอนต่อ เก็บแรงเอาไว้ทำงานคืนนี้
หลังจากดวงใจออกไปมหาวิทยาลัยไม่นาน เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น ลลิษาจึงรีบวิ่งไปเปิดประตู ส่วนมนัสที่นั่งเล่นของเล่นอยู่ในคอกเด็กด้วยมือเดียวก็ชะโงกหน้าชะแง้มองตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อสาวร่างบางเปิดประตู เธอก็เห็นเขายืนยิ้มหน้าเป็นอยู่ ตอนแรกเธอคิดว่าร่างใหญ่ของเขาจะบดบังพี่เลี้ยงเด็กคนใหม่จนมิด แต่เมื่อเอียงตัวแล้วชะโงกหน้าไปดูกลับไม่เห็น พอมองไปที่รถคันหรูก็ไม่เห็นใครนั่งหรือยืนอยู่แถวนั้นสักคน
“ไหนล่ะ พี่เลี้ยงเด็ก”
“นี่ไง” เขายืดอกตอบ และไม่ขยับตัวไปทางใด
“ห๊ะ!?”
“ผมจะอุทิศตนเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้คุณหนึ่งสัปดาห์”
“อะไรนะ!?”
ความคิดเห็น |
---|