7

บทที่ 7



 

คำถามนั้นทำให้คฑาวุธรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะความตั้งใจแรกสุดก็คือการเจรจาขอซื้อที่ดินตรงที่เฌอริลีนบาร์ตั้งอยู่ แต่พอได้เห็นลลิษาอีกครั้ง ความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับเข้ามาโจมตีจิตใจเขาเสียจนว้าวุ่น ยิ่งพอได้เห็นมนัสด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากจะรู้จักสองแม่ลูกคู่นี้ให้ดียิ่งขึ้น

ไม่แน่ว่า มนัสอาจเป็นลูกของเขาด้วยก็ได้

“โอเค ผมยอมรับว่าผมกำลังจีบคุณ”

“จีบ!?” ลลิษาทวนคำด้วยความแปลกใจ

“ทำไมล่ะ ก็คุณออกจะสวย แล้วหุ่นก็...” เขาทอดเสียงลงแล้วมองสำรวจเรือนร่างของเธอ

หญิงสาวรีบถอยห่างจากเขาทันที แล้วเบี่ยงตัวเพื่ออำพรางเรือนร่างของตนจากสายตาแวววาวของเขา

“อย่ามารุ่มร่ามกับฉันนะ”

“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ผมไม่ใช่พวกโรคจิตนะ”

“ใครจะไปรู้” ลลิษาเถียง

คฑาวุธหัวเราะกลบเกลื่อน “เอาเป็นว่าผมหวนกลับมาเพราะยังคิดถึงคุณอยู่ ยิ่งมาเห็นมนัสด้วยแล้วผมก็ยิ่งรู้สึกว่า การได้อยู่ใกล้ชิดคุณกับลูกมันอบอุ่นจนผมเริ่มอยากจะสร้างครอบครัวขึ้นมาแล้ว”

“คุณไม่รังเกียจผู้หญิงที่มีลูกแล้วหรือ”

“ไม่นะ” เขายักไหล่

“แต่ฉันผ่านผู้ชายมาเยอะนะ”

ชายหนุ่มยิ้ม “คงไม่เยอะเท่าผมมั้ง”

“คุณเคยผ่านผู้ชายมาด้วยเหรอ”

“เฮ้ย! ไม่ใช่” คฑาวุธโบกมือเป็นพัลวัน “ผมหมายถึงผมก็ผ่านผู้หญิงมาไม่น้อยเหมือนกัน มันคงไม่ยุติธรรมนักหรอก ถ้าผมจะเอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อตัดสินคุณ จริงไหม”

ลลิษาจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคิดที่เขาแทบไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร หรือว่าจะจำเขาได้สักนิดบ้างไหม

“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่คนอย่างคุณจะมาชอบหรอกนะคะ”

“คุณเอาอะไรมาตัดสิน”

หญิงสาวถอนใจเฮือก “คุณก็รู้ว่าฐานะเรามันต่างกันมาก งานฉันก็เป็นงานกลางคืน และถึงคุณจะไม่ถือเรื่องที่ฉันผ่านผู้ชายมาแล้วหลายคน กับเรื่องที่มีลูกแล้ว แต่คนรอบข้างคุณล่ะ พ่อแม่คุณจะว่ายังไงถ้าพวกเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ เหมือนที่คุณกับฉันก็รู้ดี”

“ที่คุณพูดมา ผมไม่เห็นเลยว่าตรงไหนเป็นข้อเสียของคุณ” คฑาวุธท้วงเสียงเข้มเอาจริงเอาจัง “ฐานะมันก็แค่เรื่องที่คนกำหนดขึ้น คนเราไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร มันก็คือคนเหมือนๆ กัน มีเลือดเนื้อ มีความรัก มีความรู้สึกด้วยกันทั้งนั้น ส่วนเรื่องงานกลางคืน มันก็เป็นงานสุจริตไม่ใช่หรือ คุณจะเอามันมาตีตราลงบนหน้าผากคุณทำไมล่ะ”

“พ่อแม่คุณล่ะ” เธอย้อน

“สองคนนั้นยิ่งไม่ว่าอะไรใหญ่ พวกเขาสนแต่ว่าผมรักผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหนเท่านั้นเอง”

ลลิษานิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ “แล้วมีเหตุผลอื่นที่ฉันยังไม่รู้อีกไหมคะ”

“ไม่มี” คฑาวุธยืนกราน พยายามบังคับให้ตัวเองไม่แสดงพิรุธออกไปเหมือนทุกครั้งที่เจรจาเรื่องธุรกิจ

“งั้น...ฉันก็ไม่มีอะไรจะถามแล้วค่ะ” เธอบอกด้วยเสียงเบาหวิว และทำท่าว่าจะหันหลังให้เขา

“เดี๋ยวสิ” ชายหนุ่มคว้าแขนเธอเอาไว้ เมื่อเธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เขาจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ “เรื่องผมจีบคุณล่ะ”

ดวงหน้าขาวใสแดงก่ำขึ้นมาทันที “ทะ...ทำไมคะ”

“คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

“ฉันบอกเหตุผลที่คุณไม่ควรมาชอบฉันไปหมดแล้ว ถ้าคุณยังยืนกราน ฉันก็คงห้ามคุณไม่ได้ เพราะฉันรู้ดีว่า ถึงห้ามไปคุณก็คงไม่ทำตามหรอก”

“แปลว่า...”

ลลิษายกมือห้ามเขา “อย่าเพิ่งคิดไปไกลค่ะ ที่พูดมานี่มันก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะเปลี่ยนใจไปชอบคุณเร็วๆ นี้หรอกนะ ถ้าคุณอยากได้ฉันอีกครั้ง ก็คงต้องพยายามกันหน่อยล่ะ เพราะตอนนี้หัวใจของฉันไปอยู่ที่ลูกหมดแล้ว”

คฑาวุธยิ้มพราวกับโอกาสที่เธอหยิบยื่นให้ แม้เธอจะพูดว่ามันมีโอกาสน้อยมากก็ตาม แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในการบริหารเสน่ห์ของตัวเองตลอดมา

“อ้อ แล้วฉันขอยืนยันอีกครั้งนะคะ” เธอเอ่ยเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “มนัสเป็นลูกของฉันกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว อย่าได้คิดว่าเขาเป็นลูกคุณเด็ดขาด”

“เรื่องนั้นผมรู้ดี”

“งั้นก็แค่นี้ใช่ไหมคะ ฉันจะได้ไปแต่งตัว”

“เชิญครับ” เขาปล่อยแขนเธอแล้วผายมือให้

“ดวงใจคงมาราวๆ สี่โมงกว่า แต่ถ้าคุณมีธุระอะไรก็ไปก่อนได้นะคะ ฉันเลี้ยงลูกเองได้”

“ก็บอกแล้วไงว่าช่วงนี้ไม่มีงาน เชิญคุณตามสบายเถอะ”

ลลิษาพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังให้เขาแล้วเดินด้วยท่าทางสงบจากไป ราวกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไปไม่มีความหมายอะไรเลย

 

ทันทีที่ลลิษาขึ้นมาถึงชั้นสอง เข่าของเธอก็แทบอ่อนยวบลงจนต้องเกาะราวบันไดเพื่อประคองตัวเอาไว้ แม้ภายนอกเธอจะเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ภายในร่างกายของเธอกลับร้อนระอุราวมีกองเพลิงลุกโชนเผาไหม้ หลังจากได้ยินว่าเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธอต่อจากเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

หญิงสาวค่อยๆ เกาะกำแพงเดินเข้าห้องนอน พอปิดประตูเธอก็หันหลังพิงมันแล้วหลับตาตั้งสติอยู่นาน กว่าหัวใจที่เต้นรัวแรงจะกลับมาเป็นปรกติดังเดิม

เรื่องนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอยังรักเขาอยู่ รักทั้งๆ ที่เคยมีวันชื่นคืนสุขด้วยกันแค่คืนเดียวเท่านั้น มันเป็นเพราะอะไรกันนะ

เพราะเธอรักลูกซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขามากอย่างนั้นหรือ

การกอด การหอม และการได้ใช้ชีวิตกับลูกชายมาตลอดหกปี รวมไปถึงอีกเกือบปีที่อยู่ในครรภ์ ทำให้เธอรู้สึกผูกพัน และทำให้เธอไม่เคยลืมคฑาวุธเลยใช่ไหม 

มนัสเหมือนพ่อของเขามาก เหมือนจนแทบจะเรียกได้ว่าแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน จนบางครั้งเธอก็รู้สึกว่าการกอดลูก เหมือนกำลังกอดเขาอยู่

หรือมันอาจเป็นเพราะรักแรกพบที่เธอเคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริง

เพราะครั้งแรกที่เธอเห็นสายตาของเขาที่บาร์เมื่อเจ็ดปีก่อน ร่างของเธอก็แทบหลอมละลายดั่งเล่มเทียนที่ถูกไฟร้อนแผดเผา เธอติดกับดักรักของเขาโดยง่าย ยิ่งเขาพูดจาระรื่นหู และแย่งกีตาร์จากนักดนตรีบนเวทีไปบรรเลงเพลงรักจีบเธอ โลกของเธอก็แทบกลายเป็นสีชมพู นี่ยังไม่รวมถึงที่เขามีเพลงรักร้อนแรงบนเตียงด้วยนะ ความเร่าร้อนของเขาทำให้เธอแทบไม่เคยลืมค่ำคืนนั้นอีกเลย

บางครั้งเธอถึงกับฝันถึงคืนนั้น และยังฝันไปด้วยว่าเขาจะกลับมาหาเธอกับลูกอีกครั้ง

ตอนนี้ความคิดของลลิษาสับสนไปหมด มันทำให้เธอไม่แน่ใจว่า หากออกไปจากห้องนี้แล้ว เธอยังจะสามารถโกหกหน้าตายใส่เขาได้อีกหรือเปล่าว่า เขาไม่ใช่พ่อของมนัส

ความรู้สึกผิดต่อลูกชายเริ่มกัดกินใจของเธอทีละน้อย เพราะทั้งๆ ที่พ่อของมนัสอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เขากลับไม่อาจรับรู้ได้ว่า คฑาวุธคือพ่อของเขา

“โอ๊ย...ไม่เอาไม่คิด ตอนนี้ทุกอย่างมันลงตัวแล้ว อย่าให้คนที่ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบหวนเข้ามาในชีวิตสิ” ลลิษาบอกตัวเอง ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วเดินไปดูตัวเองในกระจกห้องน้ำ 

ร่างกายของเธอยังสาวสะพรั่งอยู่มาก ยิ่งมีส่วนโค้งส่วนเว้ามากกว่าเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เธอดูเป็นที่น่าใฝ่ฝันหาของผู้ชายไม่น้อย

ทำไมล่ะ ก็คุณออกจะสวย แล้วหุ่นก็...’

คำพูดกำกวมของเขาพลุ่งพล่านอยู่ในหัวของเธอ มันทำให้ร่างกายของเธอร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง และแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการอย่างมากล้นเมื่อเธอไม่ได้สวมอะไรเลยเหมือนในค่ำคืนนั้น

“บ้าจริง”

หญิงสาวคำราม แล้วรีบผละจากกระจกไปที่ฝักบัว จากนั้นก็เปิดมันราดรดตัวเอง หวังให้สายน้ำเย็นดับเพลิงราคะภายในร่างกายให้สงบลงได้ แต่สายน้ำที่เลื่อนไหลเป็นสายพรายพร้อยทั่วร่างของเธอกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกว้าวุ่น ภาพการร่วมรักกันในห้องน้ำระหว่างเธอกับเขาผุดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้อารมณ์ใคร่ของเธอยิ่งพลุ่งพล่านมากขึ้น จนไม่อาจหยุดการระบายมันออกมาด้วยปลายนิ้วของตัวเอง

 

ตอนที่ลลิษาลงมาจากชั้นสอง เธอไม่เห็นคฑาวุธอยู่ในบ้านแล้ว มีเพียงดวงใจกับมนัสที่นั่งเล่นกันอยู่ในโซนเด็กน้อย

“ลุงวุธกลับไปแล้วหรือลูก”

“ยังครับ รอแม่อยู่ที่รถ” เด็กน้อยตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เพราะกำลังเล่นหุ่นยนต์ตัวโปรดที่คนในรถเพิ่งซื้อให้

“รอทำไม” ลลิษาบ่นงึมงำ ก่อนจะก้มลงไปจูบลาลูกน้อยแล้วออกจากบ้านไปที่รถยนต์คันหรูของคฑาวุธ

“ขึ้นมาสิ ผมจะไปส่งคุณที่ร้าน”

เพียงแค่เห็นหน้าเขา ภาพที่ตัวเองจินตนาการถึงเขาเพื่อปลดปล่อยความใคร่ของตัวเองในห้องน้ำเมื่อครู่ก็ฉายวาบขึ้นมา ใบหน้าจึงแดงก่ำร้อนวูบวาบ

“ใกล้แค่นี้เอง ไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะ” ลลิษาก้มหน้าหลบสายตาวิบวับของเขา

“เอาน่า ผมต้องขับผ่านอยู่ดี จะเดินให้เมื่อยทำไมล่ะ”

หญิงสาวยืนลังเล รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะใกล้ชิดเขาอีก แต่ในที่สุดก็ถอนใจเบาๆ แล้วยอมขึ้นรถเขาอย่างไม่รู้จะหลีกเลี่ยงอย่างไร หลังจากนั้นไม่นานรถสีดำคันงามก็แล่นมาจอดที่หน้าร้านของเธอ เพราะมันอยู่ห่างจากบ้านเพียงไม่กี่ช่วงตึก

“สบายใจหรือยังคะ”

เขาหัวเราะ “ครับ สบายใจแล้ว เอาไว้ดึกๆ ก่อนคุณปิดร้าน ผมจะมานะครับ”

เธอขมวดคิ้วมุ่น “มาทำไม...คะ”

“ก็มาดื่มน่ะสิ ร้านคุณเป็นบาร์ไม่ใช่หรือ”

“ก็ใช่ แต่...”

“ผมมาเป็นลูกค้านะ” คฑาวุธอ้างจนเธอแย้งไม่ออก “เอาล่ะ คุณลงไปได้แล้ว ผมจะไปธุระต่อ”

ลลิษาได้แต่หันไปเปิดประตูลงจากรถ จากนั้นก็มองตามรถคันหรูของเขาไปจนลับสายตาด้วยความว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ไอ้หมอนั่นนี่” เสียงของวายุดังขึ้นจากด้านหลัง

หญิงสาวสะดุ้ง รีบหันไปมองคนพูดและทำสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด “แหม คืนก่อนนั้นยังเป็นคุณวุธอยู่เลย วันนี้กลายเป็นหมอนั่นแล้วเหรอ”

“มันมาจีบพี่เหรอ” ชายหนุ่มถามโดยไม่สนใจท่าทีสงสัยของเธอ

“เขาว่างั้นนะ”

“แล้วพี่สนมันหรือเปล่า”

เธอยักไหล่ “ฉันไม่มีเวลาไปสนใจใครหรอก ทำงานเลี้ยงลูกก็เหนื่อยพอแล้ว”

“ดีแล้วล่ะพี่” วายุยิ้มแป้น “ท่าทางเป็นคนเจ้าชู้จะตาย คงหว่านเสน่ห์ไปทั่วนั่นแหละ”

“ไป...เข้าร้าน จะมายืนบ่นอะไรอยู่เนี่ย” ลลิษาตัดบท ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในเฌอริลีนบาร์เพื่อเตรียมเปิดร้านให้บริการลูกค้าในค่ำนี้

ซึ่งเฌอริลีนบาร์ในค่ำคืนนี้ก็ยังเต็มไปด้วยลูกค้าหนาแน่นเหมือนทุกวัน พนักงานทุกคนต่างทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง หลังจากได้เจ้าของร้านกลับมาประจำตำแหน่ง ซึ่งมันก็เหมือนจะผ่านไปด้วยดีอีกวันหนึ่ง หากไม่เกิดเสียงเอะอะขึ้นที่กลางร้านตอนเที่ยงคืนเสียก่อน

“อี๋...อีกะเทย”

“มึงสิอีกะเทย”

สิ้นเสียงของชายหนุ่มท่าทางตุ้งติ้งสองคน ก็เกิดการโรมรันพันตูกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างตบกันอย่างไม่เพลามือ จนล้มไปโดนลูกค้าโต๊ะใกล้เคียงด้วยกันทั้งคู่ โต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจายจนกลายเป็นลานสำหรับฟาดฟันกัน

ชาตรีรีบปรี่เข้าไปห้ามทัพ แต่พอจับคนหนึ่ง อีกคนที่ได้เปรียบก็รีบเข้าไปตบกระหน่ำซ้ำเติมอีกคนจนการ์ดร่างใหญ่มือเป็นระวิง แต่ก็ไม่อาจทำให้เหตุวุ่นวายนั้นสงบลงได้ เพราะกันอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายก็รุกกระหน่ำเข้าใส่ จนลูกค้าคนอื่นๆ ต้องหลบลูกหลงกันจ้าละหวั่น

“หยุด!” วายุตะโกน แล้วรีบออกจากเคาน์เตอร์บาร์จะไปช่วยชาตรี

แต่ก่อนที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มจะออกไปถึง คฑาวุธที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็ปราดเข้ามาล็อกตัวคู่กรณีฝ่ายหนึ่งเอาไว้แล้วดึงออกมาจากอีกฝ่าย ขณะที่ชาตรีก็จับตัวอีกฝ่ายไว้แน่น จากนั้นสองหนุ่มร่างใหญ่ก็พากันฉุดกระชากลากถูคู่กรณีทั้งสองออกไปข้างนอกร้าน

พอทุกอย่างสงบ ลลิษาก็รีบเรียกจอยกับแจนไปเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น และจัดที่จัดทางให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสียใหม่พร้อมกล่าวขอโทษลูกค้า จนกระทั่งทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเป็นปรกติ

ครู่หนึ่งคฑาวุธกับชาตรีก็กลับเข้ามา การ์ดร่างใหญ่กลับไปนั่งประจำที่ด้วยความเหนื่อยหอบเพราะไม่ใช่หนุ่มๆ เหมือนสมัยก่อนแล้ว ส่วนชายหนุ่มก็ตรงมานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์พร้อมปลดเนกไทและกระดุมเสื้อออกสองเม็ดด้วยความเหนื่อยไม่แพ้กัน

“ส่งสองคนนั้นขึ้นรถแท็กซี่ไปคนละคันเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“ขอบคุณนะคะ คุณช่วยฉันไว้อีกแล้ว”

“บังเอิญน่ะ เปิดประตูเข้ามาเห็นนัวเนียกันอยู่ ก็เลยต้องเข้ามาช่วย” เขายิ้ม “ไม่มีอะไรเสียหายใช่ไหมครับ”

“มีจานชามกับแก้วสองสามใบค่ะ” ลลิษาตอบ “วันนี้จะรับโอล์ดแฟชั่นเหมือนเดิมไหมคะ”

“ครับ” คฑาวุธพยักหน้ายิ้มๆ และรอคอยเครื่องดื่มของเขาอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็ไม่วายต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นสายตาขวางของวายุมองมา

“ทำไมคุณถึงมาถูกที่ถูกเวลาเสมอ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มเอ่ยถาม

“นายหมายความว่ายังไง”

“คุณช่วยเรามาสองครั้งแล้ว และก็เป็นเวลาที่คุณเข้ามาในร้านพอดีด้วย มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ”

เขาหรี่ตามองเด็กหนุ่ม “นี่นายกำลังกล่าวหาว่าฉันอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนั่นหรือ”

“แล้วมันใช่หรือเปล่าล่ะ” วายุถามเสียงแข็ง

“พอแล้ววายุ” ลลิษาร้องปรามเสียงแข็งกว่า เหมือนมารดากำลังดุลูกตัวน้อย “ไปทำค็อกเทลให้ลูกค้าไป”

ชายหนุ่มจ้องมองคฑาวุธคู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะผละจากไป ลลิษาจึงวางแก้วเครื่องดื่มที่ชงให้อย่างสุดฝีมือลงตรงหน้าพี่เลี้ยงลูกสุดหล่อ

“ขอโทษด้วยนะคะ วายุยังเด็กอยู่ ก็เลยพูดอะไรไม่ทันคิดไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ” เขาโบกมือแล้วหยิบโอล์ดแฟชั่นขึ้นดื่ม “แล้วคุณคิดเหมือนอย่างที่วายุคิดหรือเปล่า”

“เรื่องอะไรคะ”

“เขาคิดว่าผมอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งสองครั้ง”

ลลิษาหัวเราะเบาๆ “แล้วคุณอยู่เบื้องหลังจริงหรือเปล่าล่ะคะ”

“เปล่า” คฑาวุธส่ายหน้า แววตาของเขาแน่วแน่จนเธอเชื่อ

“งั้นก็โอเคนี่คะ” เธอยักไหล่

“คุณเชื่อคนง่ายแบบนี้เสมอหรือ”

“ก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไปค่ะ แต่ถ้าคนคิดจะโกหก เราจะรู้ได้ยังไงกันล่ะคะว่าเขาพูดความจริงหรือความเท็จ”

“แล้วกรณีนี้ล่ะ”

“ฉันคิดว่าถ้าคุณส่งคนมาป่วนร้านฉันจริง คุณต้องการอะไรล่ะคะ อยากให้ฉันเสื่อมเสียชื่อเสียงงั้นหรือ”

ลลิษาทอดเสียงลงก่อนจะส่ายหน้า “ก็คงไม่ เพราะคุณบอกเองว่ากำลังจีบฉันอยู่ คุณจะแกล้งฉันอย่างนั้นทำไม หรือคุณอยากให้ฉันประทับใจที่คุณยื่นมือเข้ามาช่วยทันเวลาทุกครั้ง เพื่อเอาชนะใจฉันคะ”

คฑาวุธส่ายหน้า “ผมไม่ทำอะไรทึ่มๆ อย่างนั้นหรอก วิธีเอาชนะใจคุณอย่างสุภาพมีตั้งหลายวิธี”

“นั่นไง มันมีเหตุผลที่ทำให้ฉันเชื่อคุณ ฉันไม่ได้เชื่อคนง่ายเสียหน่อย”

“แล้วเหตุผลที่ว่า เขาเป็นคนของ ดี.เค.กรุ๊ป ล่ะ” วายุแทรกขึ้น

ชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวหายิ้มและส่ายหน้าให้กับอคติของอีกฝ่าย “ถ้าผมเป็นคนของ ดี.เค.กรุ๊ป แล้วจะมาช่วยทำไมล่ะครับ สู้ปล่อยให้ร้านเสียชื่อเสียงแล้วก็เจ๊งไป จะได้ไม่เสียแรงกล่อมให้เหนื่อยไม่ดีกว่าหรือ”

ลลิษาหันไปทำตาเขียวใส่วายุ “ก็จริงของคุณวุธนะ ถ้าเขาเป็นคนของ ดี.เค.กรุ๊ป จริง ก็คงปล่อยให้ร้านเราเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้วล่ะ”

เมื่อผู้หญิงเข้าข้างผู้ชายอีกฝ่าย ก็ทำให้วายุรู้ได้ทันทีว่าเธอมีใจให้กับคฑาวุธเสียแล้ว จึงส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปที่อีกฟากหนึ่งของเคาน์เตอร์บาร์

“วันนี้คุณเลิกงานกี่โมง”

“บาร์ปิดตีสองค่ะ” ลลิษาตอบ “ทำไมคะ จะหาเรื่องแจ้งตำรวจว่าฉันเปิดเกินเวลาหรือไง”

เขาหัวเราะ “เปล่าเสียหน่อย ผมว่าจะไปส่งคุณที่บ้านน่ะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเดินกลับเองได้”

“แต่มันมืด”

ลลิษาขมวดคิ้วมุ่นมองเขา “ฉันเดินไปกลับทุกวันนะคะ อีกอย่างร้านรวงแถวนี้ก็เยอะ ข้าวต้มโต้รุ่งนั่นก็เปิดยันสว่าง บ้านฉันก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง”

“ผมกำลังจีบคุณอยู่ ลืมไปแล้วหรือ”

หญิงสาวถอนใจเฮือก “ถ้าคุณอยากทำให้ฉันประทับใจจริงๆ ก็อย่าทำให้ฉันรำคาญสิคะ”

“คุณรำคาญผมหรือ” เขาถามเสียงอ่อน

“ตอนนี้ยังค่ะ แต่ถ้าเซ้าซี้มากก็ไม่แน่” เธอตอบยิ้มๆ “อ้อ แล้วอีกอย่าง พรุ่งนี้เช้าคุณต้องมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกของฉัน ลืมไปแล้วหรือคะ”

“ไม่ลืมหรอก แต่...”

“อ๊ะ!” ลลิษายกนิ้วชี้หน้าเขา “ถ้าคุณเล่นไม่หลับไม่นอนแบบนี้ ฉันคงจ้างคุณต่อไม่ได้แล้วล่ะ ขืนมาหลับกลางวันแล้วลูกฉันถูกอุ้มไป หรือวิ่งออกไปกลางถนนให้รถชนเหมือนในข่าวจะทำยังไงคะ”

คฑาวุธถอนใจอย่างจำนนต่อเหตุผล “ก็ได้ หมดแก้วนี้ผมจะกลับบ้านนอนให้เต็มคราบเลย”

“บอกไว้ก่อนนะคะ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน ถ้าคุณคิดจะทำให้ฉันประทับใจ คุณก็ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณดูแลมนัส และทำให้เขารักคุณได้”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะเผยยิ้ม “นี่คุณทอดสะพานให้ผมหรือเปล่าเนี่ย”

“เปล่าค่ะ ลูกชอบก็ไม่ได้แปลว่าแม่ชอบ จริงไหมคะ”

“โอเคๆ ผมจะเชื่อฟังคุณ” คฑาวุธยอมศิโรราบ รีบยกแก้วค็อกเทลขึ้นดื่มจนหมด “งั้นผมกลับไปพักผ่อนก่อนล่ะ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน”

“ค่ะ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน” ลลิษายิ้มส่งเขา และมองดูจนชายหนุ่มลับตาไปด้วยหัวใจที่พองโตอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ชอบเขาเหรอ”

เสียงวายุที่แทรกเข้ามาทำให้เธอสะดุ้งเฮือก รีบหุบยิ้มแล้วหันไปส่งสายตาค้อนให้บาร์เทนเดอร์หนุ่ม

“เปล่าเสียหน่อย”

“อะไรกัน มองตามไปด้วยรอยยิ้มแบบนั้น อย่ามาโกหกกันดีกว่า”

“ไม่ได้โกหก ไปทำงานได้แล้ว”

“ยังไม่มีใครสั่งเครื่องดื่ม” วายุอ้างดื้อๆ

“แล้วจะมาเซ้าซี้เอาอะไรกับพี่หือ”

“คำตอบไง”

“คำตอบอะไร” ลลิษาทำไขสือ

“พี่รู้สึกยังไงกับไอ้หมอนั่น”

คำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังของวายุทำเอาหญิงสาวถึงกับอึ้ง และเริ่มถามใจตัวเองอีกครั้งว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับคฑาวุธกันแน่ ซึ่งคำตอบก็เป็นคำที่เธอรู้มาตลอด นั่นคือ...

พี่รักเขา”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น