บทนำ
คฑาวุธ ยืนมองหยาดฝนโปรยปรายใส่ผนังกระจกบานใหญ่ในห้องประชุมอันโอ่อ่าของบริษัทด้วยท่าทางอันสงบนิ่ง หากสมองของเขากลับเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับงาน และแม้ท่าทีภายนอกจะดูเหมือนไม่สนใจเสียงที่กำลังรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ แต่หูของเขาก็กลับรับทุกคำพูดของหัวหน้าโครงการนั้นเอาไว้ทุกถ้อยคำ
“เอ่อ...แต่มีปัญหาอยู่อย่างครับท่านรองฯ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่ถูกเรียกว่าท่านรองฯ หันใบหน้าที่คมคายราวกับรูปปั้นเทพบุตรกรีกไปทางผู้พูดทันทีที่การรายงานต้องสะดุดลงด้วยคำว่า ‘ปัญหา’
“อะไร” เขาถามเสียงห้วน คิ้วหนาขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจนัก ดวงตาสีเหล็กคมกริบจ้องอีกฝ่ายไม่กะพริบ
“มี...เอ่อ...บาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ยอมขายที่ให้เราครับ”
“เพิ่มเงินไปสิ”
ชวิน หัวหน้าโครงการหน้าเจื่อน “เจ้าของร้านบอกว่าให้เท่าไรก็ไม่ขายครับ”
คราวนี้ร่างสูงโปร่งหันไปหาคนพูดอย่างเต็มตัว ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้น่าสบายที่หัวโต๊ะประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำเอาคนที่นั่งร่วมอยู่ในห้องอีกหลายคนถึงกับกระสับกระส่าย
“เหตุผล” คฑาวุธเหลือบมองตัวแทนการเจรจาซื้อที่ดินของบริษัทที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้
“เธอบอกว่าไม่มีเห็นผลครับ ยืนยันอย่างเดียวว่าไม่ขายเด็ดขาด” กิตติศักดิ์ตอบด้วยท่าทีสุขุม ไม่ได้มีความเกรงกลัวรองประธานหนุ่มคนนี้เหมือนคนอื่นๆ สักนิด
“ให้ตายเถอะ” รองประธานหนุ่มกัดฟันส่งเสียงงึมงำ ก่อนจะเหลือบมองไปยังภาพร่างของโครงการขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ใกล้กับจอโปรเจคเตอร์อย่างคิดคำนึง
โครงการเดอะไททัน เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมบนพื้นที่ห้าสิบไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าหรูหรา โรงแรมระดับห้าดาว พื้นที่ให้เช่าสำนักงาน ห้องชุดเพื่อพักอาศัย และพื้นที่จัดกิจกรรมริมแม่น้ำขนาดใหญ่ มีมูลค่าการก่อสร้างสูงถึงหกหมื่นล้านบาท
ส่วนหนึ่งในมูลค่าการก่อสร้างสูงลิบขนาดนั้นคือเงินที่ใช้ในการกว้านซื้อที่ดินอันประกอบด้วยโรงสีข้าวขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน และชุมชนเล็กๆ ที่กระจายอยู่โดยรอบ การเจรจาขอซื้อที่ดินเหล่านั้นดูเหมือนจะราบรื่นดีทีเดียว แต่วันนี้เขากลับได้รับรายงานถึงปัญหาอันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และมันก็ได้กลายเป็นปมเล็กๆ ที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
“บาร์นั่นอยู่ตำแหน่งไหนของโครงการ” คฑาวุธเอ่ยถาม
“ทะ...ทางเข้าครับ” สถาปนิกตอบเสียงสั้น เพราะรู้ดีว่าคำตอบของเขาคงจะขยายความหงุดหงิดของเจ้านายได้ไม่น้อยไปกว่าเรื่องการซื้อที่ดินเล็กๆ นั่นไม่ได้
นั่นเพราะตำแหน่งทางเข้าโครงการนั้นได้ถูกกำหนดจากซินแสหยางจิวเง็ก ผู้เป็นอาจารย์ด้านศาสตร์ฮวงจุ้ยจากประเทศจีนเอาไว้แล้วว่า จะเป็นปากมังกรที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จและสร้างความมั่งคั่งให้กับเจ้าของโครงการและผู้ที่จะมาอยู่อาศัยหรือเช่าพื้นที่ทำร้านค้า
แม้คฑาวุธจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ก็ศึกษาเรื่องฮวงจุ้ยมาพอสมควร เขาพบว่ามันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของปรัชญาเกี่ยวกับความเป็นไปของธรรมชาติ อันประกอบด้วยพลังลมและน้ำ และอาจารย์หยางจิวเง็กนี่ก็เป็นที่นับถือของเขามาก อาคารใหญ่หลายแห่งในประเทศจีนและฮ่องกงต่างก็ได้รับคำแนะนำจากท่านจนกิจการรุ่งเรืองกันไปถ้วนหน้า
แต่วันนี้ เขากลับพบอุปสรรคเล็กๆ ที่อาจล้มโครงการระดับยักษ์อย่างเดอะไททันให้พังครืนลงได้
“บาร์นั่นชื่ออะไร”
“เฌอริลีนครับ” พนักงานคนหนึ่งตอบ
“เฌอริลีน” คฑาวุธทวนชื่อ เพราะรู้สึกคุ้นหูเอามากๆ
“ให้ผมลองไปเจรจาดูอีกครั้งไหมครับ” กิตติศักดิ์เสนอ
“ไม่ต้อง” รองประธานหนุ่มโบกมือ “เอาแฟ้มของเฌอริลีนไปวางไว้บนโต๊ะผมก็แล้วกัน วันนี้เลิกประชุมก่อน ผมมีนัดกับท่านประธานเดอะซีซั่น”
“ครับ” พนักงานผู้รับผิดชอบโครงการในด้านต่างๆ รับคำ ก่อนจะพากันเก็บของแล้วแยกย้ายกันออกจากห้องประชุม ยกเว้นกิตติศักดิ์ที่ถูกรองประธานหนุ่มเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ขอแฟ้มผมตอนนี้เลยแล้วกัน” คฑาวุธแบมือขณะกลับไปยืนหน้าแผงกระจกบานใหญ่อีกครั้ง
“ครับ” กิตติศักดิ์หยิบแฟ้มเกี่ยวกับเฌอริลีนบาร์แล้วส่งให้เขาอย่างใจเย็น
“เมื่อกี้คุณใช้คำว่า ‘เธอ’ เจ้าของร้านเป็นผู้หญิงหรือ”
“ใช่ครับ อายุยังน้อยอยู่เลย แต่มีลูกวัยหกขวบแล้ว”
คฑาวุธขมวดคิ้วมุ่น “ลูก?”
“ครับ” กิตติศักดิ์พยักหน้าขรึมๆ “เป็นเด็กผู้ชาย หน้าตาน่ารักทีเดียวครับ”
“รายละเอียดอยู่ในแฟ้มนี้หมดแล้วใช่ไหม” รองประธานหนุ่มตัดบท
“ครับ”
คฑาวุธพยักหน้า “คุณไปทำงานต่อได้แล้ว”
กิตติศักดิ์ค้อมศีรษะลง ก่อนจะหันหลังให้รองประธานกรรมการแห่ง ดี.เค.กรุ๊ป แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาราวรูปสลักยืนอยู่ลำพังในห้องประชุมที่เย็นฉ่ำ
เม็ดฝนเริ่มซาลงแล้ว เมฆดำที่ปกคลุมมหานครใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนตัวจากไป เปิดทางให้แสงอาทิตย์สว่างไสวสาดส่องลงมาอาบทุกสรรพสิ่งในเมืองที่เปียกชุ่ม
คฑาวุธถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะ จากนั้นก็เปิดแฟ้มที่ได้รับมาออกดู ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นหน้าร้านที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อได้เห็นหน้าตาเจ้าของร้านกับลูก เขาก็ยิ่งตกใจเป็นทวีคูณ
“โรส!?”
แม้จะผ่านมานานราวเจ็ดปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยลืมชื่อนี้ และไม่เคยลืมค่ำคืนอันเร่าร้อนกับเธอได้เลย ทุกอย่างในคืนนั้นเหมือนรอยน้ำหมึกที่ถูกหยดลงบนเสื้อขาว แม้ว่าจะซักอย่างไรก็ไม่มีวันกลับมาขาวสะอาดเหมือนเดิมได้
อะไรกันที่ทำให้เด็กสาววัยสิบแปดในวันนั้น กลายมาเป็นเจ้าของบาร์เล็กๆ ที่เคยมีชายชราคนหนึ่งเป็นเจ้าของกันนะ
เธอแต่งงานกับเขาหรือ และนั่นก็คงเป็นลูกชายของชายแก่คนนั้นใช่ไหม
แต่ยิ่งคฑาวุธพินิจมองเด็กคนนั้นเท่าไร เขาก็แทบจะรู้สึกเหมือนตัวเองในวัยเด็กเสียเหลือเกิน มันดูราวกับเขากำลังจ้องมองตัวเองผ่านกระจกก็ไม่ปาน
เด็กอายุหกปีงั้นหรือ นั่นช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะอะไรเช่นนี้
“ให้ตายสิ”
ชายหนุ่มกัดฟัดกรอดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธออาจปกปิดเขามาตลอดเจ็ดปี ถ้ามันเป็นอย่างที่เขาคิด เขาก็คือไอ้คนเลวที่ไม่รับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ซึ่งเขารับไม่ได้
“ฉันต้องแก้ไขเรื่องนี้”
คฑาวุธพึมพำแล้วรีบลุกขึ้น จากนั้นก็ก้าวอาดๆ ออกจากห้องประชุมที่เต็มไปด้วยภาพความหลังที่ยังคงอบอวลอยู่จากห้วงคำนึงของเขาเมื่อครู่นี้
เจ็ดปีก่อน
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ร่างสองร่างก็หลุดพรวดเข้ามาภายในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบ คฑาวุธยื่นมือกลับหลังไปกดปุ่มโดยไม่หันไปมองแม้แต่หางตา ก่อนจะผลักหญิงสาวจนหลังของเธอกระแทกกับผนังลิฟต์ เธอหัวเราะคิกคัก กลิ่นแอลกอฮอล์ตลบอบอวล
เขายิ้มแล้วพุ่งเข้าหาหญิงสาว ประกบริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากแดงจัดของเธอเพื่อไม่ให้จุมพิตหวานหวามขาดตอนลง ตลอดเวลาที่ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบเจ็ดของโรงแรมหรูใจกลางมหานครใหญ่ ริมฝีปากของเขากับเธอแทบไม่ห่างจากกันเลย สองมือของชายหนุ่มลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของเธอ ไม่ต่างอะไรกับมือบางของเธอที่ลูบไล้แผ่นหลังเขา ก่อนที่เธอจะเลื่อนมือลงไปบีบก้นแข็งปั๋งของเขาเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้น
ชายหนุ่มหันไปมองตัวเลขยี่สิบเจ็ดบนผนัง ก่อนจะช้อนร่างของเธออุ้มออกจากลิฟต์แล้วเดินตรงไปยังห้องพักของเขา ท่ามกลางเสียงหัวเราะใสประดุจดั่งแก้วเจียระไนของเธอ
“ล้วงคีย์การ์ดให้หน่อยสิ ผมไม่มีมือแล้ว”
“ตรงไหนคะ”
“กระเป๋ากางเกงด้านซ้าย” เขาบอก ก่อนจะร้องครางเสียงหลง “โอ้...ไม่ใช่ตรงนั้นที่รัก”
หญิงสาวหัวเราะคิกคักก่อนจะใช้สองนิ้วคีบคีย์การ์ดขึ้นโชว์เขา จากนั้นก็แตะมันตรงแป้นจนไฟเขียวขึ้น เขาใช้เท้าเตะประตูเปิดออกและพาเธอเข้าไป ปล่อยให้เธอเสียบคีย์การ์ดกับแผงควบคุมระบบไฟฟ้าข้างประตู ไม่กี่วินาทีต่อมาห้องทั้งห้องก็สว่างวาบขึ้น
“ว้าว...กรุงเทพฯตอนกลางคืนนี่สวยจัง” หญิงสาวร้องอย่างตื่นเต้น ก่อนจะกระโดดจากอ้อมอกของเขาไปยืนที่หน้าต่างบานใหญ่ ซึ่งสามารถเห็นทิวทัศน์ยามราตรีที่ประดับด้วยแสงไฟระยิบระยับ ราวกับเป็นแสงของดวงดาวที่ประดับอยู่บนท้องฟ้าในคืนเดือนแรม
คฑาวุธลอบมองด้านหลังของเรือนร่างในชุดเดรสสั้นสีแดงแบบพอดีตัวด้วยความอึดอัด เพราะอารมณ์ที่ยังกรุ่นอยู่ทำให้เขาไม่สามารถหักห้ามใจได้อีกแล้วเมื่อเห็นเธอในสภาวะแวดล้อมแบบนี้ ก่อนจะเดินตามไปโอบกอดเธอจากทางด้านหลัง ใช้ลำตัวหนากดร่างเธอให้แนบไปกับกระจกแล้วก้มลงจุมพิตที่ซอกคอกับลาดไหล่ที่เปลือยเปล่า สองมือก็พลันเคล้าคลึงเนินอกสล้างที่อยู่ภายใต้ชุดเดรสสั้นแบบเปิดไหล่อย่างปลุกเร้า
“อืม...” หญิงสาวครางแผ่ว แล้วเอี้ยวคอหันมาหาเขา
คฑาวุธประกบริมฝีปากกับเธออีกครั้ง อย่างคาดหวังว่าจูบดูดดื่มนี้จะต้องทำให้เธอลืมความสวยงามอันยิ่งใหญ่ของมหานคร แล้วหันมาโหยหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าจากบุรุษเพศอย่างเขาแทน
“คุณนี่หวานจริงๆ” เขากระซิบแผ่ว ก่อนจะจูบไซร้ลงมาตามลำคอระหง เรื่อยลงมาจนถึงขอบชุดเดรสตรงกลางหลังของเธอ จากนั้นก็ใช้ฟันกัดห่วงซิปรูดลงเพื่อแหวกชุดของเธอออกอย่างช้าๆ
เธอหัวเราะคิกคักอย่างพึงใจกับการกระทำของเขา เสียงหัวเราะของเธอยั่วเย้าอารมณ์เขาจนลุกโชนราวกับเปลวเพลิงบนยอดปล่องภูเขาไฟ ครั้นพอซิปเลื่อนลงจนสุด เขาก็รูดเดรสสีแดงของเธอให้หลุดร่วงลงไปกองที่ข้อเท้าเล็กๆ ของเธอได้โดยง่าย บั้นท้ายภายใต้กางเกงแบบจีสริงลายลูกไม้สีแดงนั้นงามงอนจนเขาอดเอ่ยปากชมอีกไม่ได้
“ก้นคุณสวยมาก” คฑาวุธเอ่ยพร้อมจุมพิตแผ่วลงไปบนส่วนโค้งที่งดงามนั้นเบาๆ
“จั๊กจี้” เธอหัวเราะ
เขาทาบจมูกกับแก้มก้นของเธอแล้วสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นแล้วจับไหล่ของเธอให้หันมาหา สองมือหนาดันแผ่นหลังขาวเนียนของเธอให้ชิดติดกระจก จนแผ่นแก้วหนาๆ สั่นสะเทือนเล็กน้อย
“อืม...ข้างบนนี่ก็คงสวยไม่แพ้กัน” ชายหนุ่มจ้องมองเนินอกอวบอิ่มที่หมิ่นเหม่อยู่ภายใต้เสื้อชั้นในลายลูกไม้สีแดงอย่างชื่นชม อาการยกกระเพื่อมจากการหายใจของเธอทำให้เขารุ่มร้อน สองมือจึงอ้อมไปด้านหลังและปลดตะขอชุดชั้นในออกโดยพลัน
เพียงตะขอหลุดจากกัน เสื้อชั้นในชิ้นเล็กๆ ก็ร่วงลงไปกองรวมอยู่กับเดรสของเธอบนพื้น
คฑาวุธเบิกตาโพลงราวกับหนุ่มน้อยไร้เดียงสาที่ไม่เคยเห็นหน้าอกของผู้หญิงมาก่อน จริงอยู่ที่เขาเคยผ่านผู้หญิงมาแล้วหลายคน เคยเห็นทรวงอกของผู้หญิงเหล่านั้นมาหลายแบบแตกต่างกัน แต่สาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นทรวงอกคู่ไหนที่งดงามเท่านี้มาก่อน ทุกองค์ประกอบช่างลงตัว เต้าทรวงขนาดกำลังเหมาะมือ ยอดทรวงกระจุ๋มกระจิ๋มเป็นสีน้ำตาลระเรื่อเกือบเป็นชมพู ช่างงดงามจริงๆ
“คุณสวยไปทุกสัดส่วนจริงๆ”
คฑาวุธเอ่ยชม ก่อนจะโน้มศีรษะลงไปหมายจะสัมผัสยอดทรวงที่แข็งเป็นตุ่มไตบนเนินอกสล้าง แต่เธอกลับใช้สองมือจับกรามของเขาไว้แล้วดึงขึ้นไปจูบแทน
วินาทีหนึ่งเขาเห็นแววประหม่าในดวงตางามคู่นั้น แต่มันก็หายวับไปเพียงพริบตาเดียว
“นายเอาเปรียบเรา”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถามว่าเรื่องอะไร เธอก็จับสาบเสื้อของเขาแล้วกระชากออก
ท่ามกลางความงุนงงของเขา กระดุมหลายเม็ดกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง เสื้อเชิ้ตตัวโปรดที่ซื้อมาจากร้านดังแทบหมดราคาไปในทันที
แต่คฑาวุธกลับไม่ยี่หระต่อราคาอันแสนแพงของเจ้าเสื้อตัวนี้ เขาก้าวถอยออกมาจากเธอ จากนั้นก็สลัดเสื้อเชิ้ตไร้กระดุมนั้นทิ้งไป วินาทีหนึ่งเขาอดหลงตัวเองไม่ได้ที่เห็นสายตาเธอมองเรือนร่างกำยำของเขาด้วยความชื่นชม
“นายเข้าฟิตเนสบ่อยเหรอ”
“ก็ทุกเวลาที่ว่างจากเรียน” คฑาวุธตอบขณะที่ถอดกางเกงออก เหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว ก่อนจะดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบถุงยางมากำไว้ในมือ หลังจากนั้นก็โยนกางเกงราคาแพงตัวนั้นไปกองรวมกับเสื้อ
“ยังเรียนอยู่ แต่มีรถหรูขับ มีปัญญาเช็คอินโรงแรมแพงๆ นายนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ”
ชายหนุ่มเพียงหัวเราะกับการตั้งข้อสังเกตของเธอ ก่อนจะกางแขนออกให้เธอได้เห็นเรือนร่างอันงดงามของเขาเต็มตา
“ตอนนี้ไม่มีใครได้เปรียบใครแล้วนะ”
ดวงตาของเธอเป็นประกายระยิบระยับ แต่ในขณะเดียวกันก็มีแววประหม่าออกมาให้เห็นเล็กน้อย เรียวฟันขาวของเธอขบลงบนริมฝีปากล่าง ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ
เสียงหัวเราะใสๆ แบบนั้นอีกแล้ว เขาจำได้ว่านั่นเป็นเสียงที่ดึงดูดให้เขาเข้าไปตีสนิทเธอในบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่เขากับเพื่อนๆ เข้าไปฉลองจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย
‘เราชื่อโรสนะ’
‘กุหลาบใช่ไหมครับ’
เธอส่ายหน้า ‘ถนนน่ะ’
คฑาวุธจ้องตาเธอ ก่อนที่เธอจะหัวเราะพรวดออกมา ทำให้เขาต้องหัวเราะตาม จากนั้นเธอกับเขาก็เต้นรำกันอย่างสุดเหวี่ยงตลอดทั้งคืน ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานในเวลาพักเหนื่อย ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขามาถึงจุดที่ล่อแหลมยิ่งนักในห้องพักของเขาตอนนี้
“กระจกเย็นจัง” เธอประท้วง
“อย่าได้คิดขยับไปไหนเชียว” เขาร้องห้าม พร้อมกับย่างสามขุมกลับไปหาเธอ “ผมจะทำให้คุณอุ่นขึ้นเอง”
ยังไม่ทันขาดคำ ไฟพิศวาสก็โลมเลียเขากับเธอจนรุ่มร้อน คฑาวุธโน้มศีรษะลงไปหาเธอ หญิงสาวเปิดริมฝีปากบวมเป่งรับจูบอันแสนดุดัน สองมือของเขาลูบไล้ต้นแขนของเธอแผ่วเบา ผิวเนื้อนวลเนียนละเอียดยิบ บ่งบอกได้ชัดว่าเธอเป็นคนดูแลตัวเองอย่างดี
จูบนั้นเร่าร้อนและเนิ่นนานจนสัญชาตญาณดิบของเขาเริ่มเรียกร้องอะไรที่มากกว่า คฑาวุธเคลื่อนริมฝีปากไปที่แนวกรามของเธอ ก่อนจะเลื่อนต่ำลงที่ลำคอระหง กระดูกไหปลาร้า แล้วก็มาสะดุดหยุดกึกอยู่ตรงยอดอกที่แข็งเป็นตุ่มไต
‘ให้ตายสิ’ เขาครางฮึมฮัม ก่อนจะใช้ริมฝีปากครอบครองยอดทรวงกระจุ๋มกระจิ๋มนั้น
“อา...”
เธอคราง ลมหายใจถี่รัว สองมือนวดเฟ้นไหล่เขาด้วยความสยิวซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย การตอบสนองนั้นทำให้เขาย่ามใจ วิญญาณนักสำรวจปลุกเร้าให้เขาเคลื่อนต่ำลงไป
ร่างของเธอบิดเร่าอยู่บนกระจก เสียงเนื้อบดเบียดเสียดสีกับแผ่นแก้วสอดประสานกับเสียงครางของเธอดังระงม ก่อนที่เธอจะหวีดร้องออกมาเมื่อเขาประทับรอยจูบแรงๆ ตรงรอยต่อระหว่างลำตัวกับต้นขาขาวเนียน
รอยนั้นคงจะประทับอยู่อีกราวสองสามวัน แต่หลังจากนี้เขาจะทำให้เธอประทับใจอย่างไม่รู้ลืมเลือนเลยทีเดียว
“ไม่ค่ะ ตรงนั้นไม่ได้”
โรสร้องห้ามเมื่อเขากำลังจะจูบตรงเป้ากางเกงชั้นในของเธอ สีหน้าเธอดูกังวลไม่น้อย
“ทำไมล่ะ” เขาเอ่ยถาม “คุณหอมจนผมอดใจไม่ไหว”
“ฉันอาย”
เธอหน้าแดงราวกับสาวบริสุทธิ์
นั่นอาจเป็นมารยาหนึ่งในร้อยเล่มเกวียนที่ใช้ปลุกเร้าเขา ดึงเขาให้ทำตามที่ตั้งใจไว้ โดยโน้มศีรษะเข้าไปใกล้จุดอ่อนไหวที่สุดของเธอแล้วจูบอย่างทะนุถนอม
วินาทีนั้นสองมือของเธอก็ตะปบลงบนแผ่นกระจกจนเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับเสียงหอบฮักของเธอ
เสียงกระจกสั่นน่ากลัวทีเดียว แต่เชื่อเถอะ...เธอไม่สามารถทำให้กระจกบานนี้แตกได้หรอก โรสไม่ใช่วันเดอร์วูแมนเสียหน่อย ถึงแม้จะมีหน้าตาละม้ายคล้าย กัล กาด็อท ที่แสดงเป็นเทพสาวจอมพลังนั่นก็เถอะ
เพราะฉะนั้นเขาจะไม่หยุดเพียงแค่กลัวว่าจู่ๆ เธอจะมีพลังวิเศษขึ้นมาหรอก
คฑาวุธทำมากกว่าจูบ ค่อยๆ เพิ่มระดับการเล้าโลมเธอทีละน้อย เสียงหอบฮักและครวญครางของเธอค่อยๆ รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เฉกเช่นเดียวกับเสียงเสียดสีระหว่างเนื้อเนียนละเอียดกับแผ่นกระจกที่อยู่ด้านหลัง
ให้ตายสิ ภาพวิวจากหน้าต่างห้องตอนนี้สวยกว่าครั้งไหนๆ ที่เขามองออกไปจริงๆ ภาพโรสกางแขนแนบอยู่กับกระจกงดงามยิ่งกว่าพระจันทร์ และกลบแสงสวยงามระยิบระยับของกรุงเทพฯยามราตรีได้อย่างสิ้นเชิง
เขาไม่แน่ใจว่าข้างนอกนั่นจะมีใครมองมาเห็นเธอกำลังกางแขนเปลือยเปล่าอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ที่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองหลวงอาจมีใครสักคนมองอยู่ และเขาแน่ใจว่าถ้ามองมาจากมุมนั้น มันก็คงจะสวยแปลกตาดีเช่นเดียวกัน
แล้วคฑาวุธก็อดไม่ไหวที่จะรูดจีสริงซึ่งเปียกชุ่มลงไปตามเรียวขายาวของเธอ จากนั้นก็ช้อนเข่าข้างหนึ่งของหญิงสาวขึ้นมาพาดที่บ่าเพื่อให้เธอเปิดรับเขาได้มากกว่าเดิม
โรสหวีดร้องเสียงหลงเมื่อจุดอ่อนไหวของเธอสัมผัสกับลิ้นไม่ปรานีของเขาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เขาได้ยินเสียงศีรษะของเธอโขกกับกระจกเบาๆ ผสมผสานมากับเสียงครางและเสียงหายใจหอบดังเป็นห้วงๆ ส่วนเขาเองก็อดครางออกมาไม่ได้เช่นกัน เพราะในตัวเธอนั้นร้อนระอุจนแทบลวกลิ้นเขาทีเดียว
ไม่นานนักร่างของหญิงสาวก็กระตุกสั่น สองมือผละจากกระจกมาจิกทึ้งผมของเขาราวกับพยายามถลกหนังหัวให้หลุดออกมาเสียให้ได้ ก่อนจะร้องออกมาราวกับนักไต่เขาที่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของความปรารถนา ร่างของเธอค่อยๆ อ่อนยวบลงพร้อมความชุ่มฉ่ำละมุนลิ้น
คฑาวุธหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วช้อนร่างเธอขึ้นอุ้มไปวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม โรสอ่อนระทวยอยู่บนที่นอนนุ่ม ผมยาวของเธอสยายเต็มเตียง เรือนร่างขาวผ่องแทบกลืนไปกับผ้าปูที่นอน เธอดูราวกับเป็นประติมากรรมชิ้นเอกจากศิลปินชื่อก้องโลกเลยทีเดียว
ตอนนี้คฑาวุธแทบจะระเบิดอยู่แล้ว เขาถอดกางเกงตัวสุดท้ายออก ใช้ฟันฉีกซองฟอยล์ในกำมือแล้วดึงเครื่องป้องกันออกมาสวม จากนั้นก็ทรุดตัวลงนอนทาบทับเธอ เขาจูบเธอเพื่อปลุกเร้าเธออีกครั้ง ก่อนจะใช้สองเข่าดันต้นขาของเธอให้แยกจากกัน แล้วเคลื่อนสะโพกเข้าหาเธออย่างแช่มช้อย ค่อยๆ ชำแรกเธอทีละน้อย
ใบหน้าของเธอเหยเก เรียวฟันขาวขบลงบนริมฝีปากล่างจนห้อเลือด เปลือกตาปิดแน่นด้วยความเจ็บปวดระคนสยิวซ่าน
“ครั้งแรกของคุณหรือ” เขาถามหลังจากเห็นปฏิกิริยาของเธอและรู้สึกได้ถึงการบีบรัดอย่างหนักหน่วง
โรสพยักหน้าเล็กน้อย เรียวฟันขาวยังขบอยู่บนริมฝีปากแน่น คำตอบและสีหน้าของเธอทำให้เขาแปลกใจระคนคึกคักขึ้นมาไม่น้อย
เธอพูดจริงหรือที่ว่ายังไม่เคย คฑาวุธตั้งคำถามในใจเมื่อเห็นสีหน้าของเบลล์ ตอนนี้มีทางเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ นั่นคือเดินหน้าต่อไปเพื่อค้นพบปราการบางๆ แล้วผ่านมันไปให้ได้เท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะพยายามไม่ให้คุณเจ็บ” เขาปลอบพร้อมโน้มตัวลงจูบเธอ ทั้งที่คิดว่าอาจทำไม่ได้อย่างที่พูด เพราะทุกอย่างตั้งแต่การทักทายกันที่บาร์ จนถึงตอนนี้ที่เขาฝังร่างอยู่ในตัวเธอเกือบครึ่ง มันปลุกเร้าให้เขาแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกวินาทีเลยทีเดียว
คฑาวุธค่อยๆ ขยับเข้าไปทีละนิด ให้เธอค่อยๆ ครอบครองเขาทีละนิ้ว จนกระทั่งเข้าไปจนสุดทาง เธอกรีดร้องและหอบหายใจเฮือกออกมา ก่อนจะกรีดร้องอย่างเจ็บปวดอีกครั้งเมื่อเขาขยับออก
ระหว่างนั้นโรสพยายามทุบถองเขาเพื่อให้เขาปลดปล่อยเธอจากความเจ็บปวดนี้ แต่เขาไม่เพียงจะถอนออกตามปรารถนาของเธอ กลับขยับเขยื้อนเคลื่อนกายกลับเข้าไปในร่างเธออีกครั้ง ดื่มด่ำแล้วถอยออก จากนั้นก็ดันกลับเข้าไปใหม่ เธอร้องครางออกมาเสียงต่ำ ฟังก็รู้ว่าเธอกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดในครั้งแรก เขาจึงพยายามค่อยเป็นค่อยไปพร้อมกับจูบเธอเพื่อเอาใจช่วยให้เธอผ่านพ้นไปได้
เพราะเขาคิดว่าครั้งแรกของผู้หญิงทุกคนจะต้องเป็นอะไรที่ประทับใจไม่รู้ลืม
แล้วไม่นานร่างกายเธอก็ตอบรับเขาตามกลไกธรรมชาติ โรสดูผ่อนคลายขึ้น ใบหน้าบ่งบอกถึงความสุขลึกล้ำมากกว่าเจ็บปวด คฑาวุธจึงโถมเข้าหาเธอแรงขึ้น ด้วยจังหวะที่ถี่เร็วขึ้น พร้อมกันนั้นสองมือก็บีบเคล้นทรวงอกของเธออย่างปลุกเร้า ริมฝีปากที่ประกบกันอยู่ส่งเสียงฮึมฮัมใส่กันและกันระงมไปทั่วห้อง
เมื่อเวลาผ่านไปโรสก็เริ่มตอบรับเขาด้วยการขยับสะโพกไปตามจังหวะ เสียงเนื้อกระทบกันดังระงม ผสมผสานกับเสียงครวญครางของทั้งคู่ ราวกับเป็นบทเพลงรักที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองแห่งความปรารถนาอันรัญจวนใจ ก่อนที่ร่างของเธอจะกระตุกเกร็งอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาโจนทะยานเป็นครั้งสุดท้าย และระเบิดออกจนเครื่องป้องกันแทบแตก
ให้ตายสิ...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตะกายขึ้นมาถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดเชียวนะนี่
ความคิดเห็น |
---|