บทที่ ๒

เพลิงพรางตา

“เพลิงพรางตา เป็นเรื่องของหญิงสาวสองพี่น้องที่มีเป้าหมายชีวิตต่างกัน พุดจีบและพวงครามเป็นลูกสาวแม่บ้านในบ้านของคุณนายมัลลิกา พุดจีบเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เธอดูแลรับใช้คุณนายมัลลิกาและครอบครัวอย่างดี สำนึกบุญคุณคุณนายที่ส่งเสียให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยและได้มีงานทำ แม้เธอจะเป็นครูเงินเดือนไม่มาก ต่างจากพวงครามน้องสาวที่เฝ้าแต่คิดทะเยอทะยานถีบตัวเองให้พ้นจากการเป็นลูกคนใช้อยู่ตลอดเวลา พวงครามไม่เคยพอใจในชีวิตตนเอง เคียดแค้นหาว่าคุณนายมัลลิกากีดกันความรักในวัยเรียนของเธอกับนพดล เพื่อนนักเรียน ทั้งที่ความจริงแล้วคุณนายทำไปเพื่อหวังจะให้เธอเป็นคนดีอยู่ในกรอบที่ถูกที่ควรเหมือนกับพุดจีบ

“พวงครามโปรยเสน่ห์ใส่เมฆ ลูกชายคนเดียวของคุณนายจนได้แต่งงานกัน พุดจีบแอบรักเมฆมาตลอดแต่เธอก็เสียสละให้น้องสาว เมื่อเมฆพาพวงครามออกจากบ้านเพราะแม่ของเขาไม่พอใจพวงครามก็ทนกัดก้อนเกลือกินไม่ไหว เธอมีลูกกับเมฆ แต่ก็ทิ้งเมฆกับลูกไปมีสามีใหม่ เมฆไม่ยอม ทั้งสองคนทะเลาะกันจนรถเกิดอุบัติเหตุทำให้เมฆพิการ เมฆจึงพาลูกกลับมาอยู่กับคุณนายมัลลิกา

“สามีใหม่ของพวงครามคือไพโรจน์ เศรษฐีใหญ่ที่รักและตามใจเธอทุกอย่าง แต่พวงครามไม่เคยลืมความเคียดแค้นที่มีต่อคุณนายมัลลิกา เธอให้คนไปวางเพลิงห้องแถวและตลาดของคุณนาย ทำให้คุณนายหมดเนื้อหมดตัวและมากู้หนี้ยืมสินจากไพโรจน์โดยไม่รู้ เมื่อคุณนายไม่มีเงินใช้หนี้พวงครามก็เข้ามายึดบ้านขับไล่คุณนายมัลลิกา และทุกคนออกจากบ้าน คุณนายตรอมใจจนเสียชีวิต พุดจีบยังคงดูแลเมฆจนชายหนุ่มเห็นถึงความรักที่เธอมีให้เขาเสมอมา เมฆแต่งงานกับพุดจีบและสร้างครอบครัวที่มีความสุขแม้จะไม่ร่ำรวย พวงครามได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่ผลกรรมทำให้พวงครามได้พบกับนพดลที่ยังหลงใหลในตัวเธอ นพดลแย่งชิงพวงครามจากไพโรจน์ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม กรรมที่พวงครามกระทำต่อผู้มีพระคุณก็ทำให้ชีวิตของเธอมีจุดจบเหมือนตายทั้งเป็นเพราะเพลิงแค้นที่มีต่อคุณนายมัลลิกาพรางตาเธอ” 

“เรื่องย่อก็ประมาณนี้ค่ะ”

กัลยาเล่าเรื่องย่อละครเรื่องเพลิงพรางตาให้นักแสดงที่มาทดสอบบทฟังก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น ทุกคนนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องโถงกลางของบริษัท ส่วนผู้จัดและทีมงานนั่งรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่ง

หลังจากกัลยาอ่านเรื่องย่อให้ทุกคนฟังแล้วก็หมุนรถเข็นกลับไปยังห้องคัดเลือกนักแสดง แดนสรวงมาช่วยเปิดประตูห้องให้ ผู้จัดและทีมงานเดินตามเข้าไปเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทดสอบบท ทีมงานอีกคนก็มาแจ้งให้นักแสดงรอสักครู่

“พล็อตเรื่องก็เฉยๆ ผู้กำกับก็หน้าใหม่ คนเขียนบทก็...ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลย เอมไม่เชื่อหรอกว่าบทจะออกมาดีได้ นี่เอมคิดถูกแล้วใช่ไหมคะที่มาแคสต์เรื่องนี้น่ะ” อัจจิมาพูดกับกุ้งนาง ผู้จัดการส่วนตัวคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ 

“คิดถูกสิจ๊ะ เอมไม่รู้อะไร เรื่องนี้น่ะช่องมั่นใจว่าต้องดี ต้องดังแน่ๆ นะคะ ถึงได้ให้คุณต้นเป็นพระเอก” กุ้งนางส่งยิ้มให้ตรีภพที่นั่งประกบอัจจิมาอยู่อีกฝั่ง ชายหนุ่มยิ้มรับอย่างเปิดเผย

“เออ แล้วเอมอย่าไปพูดให้ใครเขาได้ยินนะคะว่าเอมไม่เชื่อมือคนเขียนบท” กุ้งนางพูดด้วยเสียงเบาลง

“ทำไมล่ะคะพี่กุ้ง เอมพูดความจริงนะคะ ก็ดูสภาพเขาสิ”

“น้องเอม...” กุ้งนางพูดเสียงแหลม “อย่าพูดอย่างนี้สิคะ เดี๋ยวคนเขาหาว่าเราบุลลีคนพิการน่ะแย่เลยนะคะ”

“ใช่ เอม ถึงคิดก็อย่าพูด เสียภาพลักษณ์หมดนะคะ ถ้าถูกมองแบบนั้นแล้วจะแก้ให้กลับมาเหมือนเดิมมันยากนะ” ตรีภพบอก

เมื่อแฟนหนุ่มกับผู้จัดการพูดเป็นเสียงเดียวกันอัจจิมาจึงต้องสงบปากสงบคำ แต่ในใจเธอก็ยังคิดว่าไม่ผิดที่จะคิดแบบนี้ คนพิการง่อกแง่กอย่างนั้นมาเขียนบทละครมันดูไม่เจียมสังขารเอาเสียเลย

“เราจะเริ่มที่บทพุดจีบ นางเอกของเรื่องนะคะ คนแรกเชิญคุณลิลลี่ ลลิตาค่ะ” ทีมงานออกมาเรียกตัวนักแสดง

“ลิลลี่เป็นคนแรกเลยลูก คนที่หนึ่งต้องเป็นที่หนึ่งแน่ๆ” มารดาของนักแสดงสาววัยรุ่นดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าเจ้าตัวเสียอีก

“แม่ แม่ไม่ต้องตื่นเต้นได้ไหม ทำเหมือนหนูไม่เคยมาแคสต์งานไปได้ หนูอายเขานะ แม่รออยู่นี่แหละ หนูเสียสมาธิ” ลลิตาบอกผู้เป็นแม่แล้วเดินตามทีมงานไป

“ดูสิคุณกุ้ง แม่อุตส่าห์มาเป็นกำลังใจให้ ลิลลี่กลับมาพูดกับแม่แบบนี้” ลักษณา แม่ของลลิตาขยับมานั่งแทนที่ลูกสาวแล้วบ่นกับกุ้งนาง

“คุณแม่อย่าไปถือสาน้องเลยค่ะ น้องคงจะตื่นเต้น” กุ้งนางพูดปลอบใจ แต่ก็ลอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายในความจุ้นจ้าน

นอกจากกุ้งนางจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอัจจิมาแล้วเธอยังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของลลิตาด้วย หญิงสาวรำคาญแม่ของเด็กในสังกัด เมื่อหันไปเห็นว่าอัจจิมากำลังคุยสนุกอยู่กับแฟนหนุ่ม จึงถือโอกาสหลบไปหาที่นั่งเช็กโทรศัพท์มือถือรับคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่ยังไม่ได้ตอบกลับตั้งแต่เช้า

“ผมว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะได้บทนางเอกนะ บทนี้ไม่มีใครเหมาะเท่าเอมแล้วละ” ตรีภพพูดเอาอกเอาใจแฟนสาว

“ไม่แน่นะคะ ลิลลี่เล่นบทใสๆ มาบ่อย เขาอาจจะถนัดกว่าเอมก็ได้”

“ไม่หรอก เอมแหละเหมาะแล้ว เราจะได้เล่นคู่กันไง”

“คู่แข่งไม่ใช่น้อยๆ เอมไม่มั่นใจ แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด เพราะเอมอยากเล่นคู่กับต้น”

“ต้องอย่างนี้สิคะ” คำพูดยังหวานไม่พอ ตรีภพยังส่งสายตาหวานฉ่ำให้อัจจิมาด้วย

แม้จะได้กำลังใจจากแฟนหนุ่ม แต่นางเอกสาวก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้รับบทที่มาดหมายเพราะคู่แข่งคนสำคัญของเธอก็มาทดสอบบทนางเอกละครเรื่องนี้เช่นกัน พิมพ์ระพี นางเอกไฮโซฝีมือดีที่เข้าวงการบันเทิงมาไล่เลี่ยกับอัจจิมา ทั้งสองคนมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันมาตั้งแต่สมัยเข้าวงการใหม่ๆ 

เมื่อสิบสี่ปีก่อนอัจจิมาเข้าวงการด้วยการชักนำของกุ้งนาง เธอเข้าประกวดนางแบบรุ่นเยาว์ที่จัดโดยแบรนด์เครื่องแต่งกายวัยรุ่นแบรนด์หนึ่ง พิมพ์ระพีก็ร่วมประกวดด้วย อัจจิมาเป็นตัวเต็งที่จะชนะการประกวดตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้ายเพราะแสดงบนเวทีได้ดีและในรอบสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด แต่พอประกาศผลสายสะพายกลับตกเป็นของพิมพ์ระพี อัจจิมาเชื่อว่าพิมพ์ระพีชนะเพราะใช้อิทธิพลและเงินทอง เธอจึงผูกใจเจ็บตลอดมา 

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงต่างช่องกัน สถานีโทรทัศน์ทั้งสองแห่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ เมื่ออัจจิมาและพิมพ์ระพีเป็นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของช่องจึงเป็นคู่แข่งกันมาตลอด หลังหมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ทั้งสองคนต่างก็ออกมาเป็นนักแสดงอิสระ เพิ่งมีโอกาสมาทดสอบการแสดงเพื่อช่วงชิงบทบาทเดียวกันในวันนี้เอง

“ถ้าไม่เพราะต้นเป็นพระเอก เอมไม่มีทางมาแคสต์หรอกค่ะ”

“เอมไม่ถูกกับคุณระพี” ตรีภพพูดต่อให้เพราะเขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว

“ทำไมต้องเรียกเขาว่าคุณ” อัจจิมาตัดพ้อทันที

“ก็เขาเป็นลูกเพื่อนแม่ผม เขาก็เรียกผมว่าคุณต้น เรียกกันมาอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ไม่มีอะไรสักหน่อย อย่างอนสิคะ รักษาภาพนางเอกแสนดีหน่อย”

อัจจิมาไม่พูดอะไรอีก เธอมองดูลลิตาออกมาจากห้องทดสอบบทพลางคิดในใจว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คู่แข่งของเธอ อัจจิมาคิดว่าการที่เพื่อนนักแสดงสังกัดผู้จัดการคนเดียวกันใช้เวลาทดสอบน้อย อาจเป็นเพราะผลงานไม่เป็นที่พอใจของทีมงาน

“คนต่อไป คุณเอม อัจจิมาค่ะ”

หญิงสาวลุกขึ้นด้วยความมั่นใจว่าคราวนี้เธอจะต้องชนะพิมพ์ระพีได้แน่นอน

“ครามทำไมครามถึงทำแบบนั้นกับคุณเมฆ” อัจจิมาในบทพุดจีบสาวใช้ใสซื่อโต้ตอบกับทีมงานที่รับบทเป็นพวงคราม นางร้ายของเรื่อง

“ครามทำอะไร”

“ก็ที่ยั่วยวนคุณเมฆ”

“ครามไม่ใช่แค่ยั่วยวน ครามจะเอาคุณเมฆทำผัว”

“ครามรู้ไหมว่าครามพูดอะไรออกมา” 

อัจจิมาพยายามแสดงให้นุ่มนวลสมบทบาทนางเอกที่สุด แต่แล้วเสียงใครคนหนึ่งก็สั่งให้เธอหยุดแสดง

“หยุดก่อนครับ คุณเอมลองเล่นบทพวงครามแทนได้ไหม” แดนสรวงเดินมาถามเธอ

“แต่ฉันมาทดสอบบทนางเอกนะคะ”

“แต่ทางการแสดงของคุณมันเหมาะเป็นนางร้าย”

“คุณหมายความว่าไง”

“คือ ผมพูดจริงๆ นะ คุณเล่นโอเวอร์แอกติง”

“คุณ...” อัจจิมานึกโกรธด้วยรู้สึกว่าการตำหนิต่อหน้าแบบนี้เป็นการหักหน้ากัน แต่ก็พยายามเก็บอาการ 

“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่คุณ นักแสดงตัวจริงต้องแสดงได้ทุกบทไม่ใช่เหรอครับ คุณลองต่อบทกับผมดู... มาพี่เอง” 

แดนสรวงบอกทีมงานสาวที่ทำหน้าที่ต่อบท เธอจึงส่งบทละครในมือให้ผู้กำกับทำหน้าที่แทน

นี่มันอะไร เขาเป็นผู้ชายแต่ดันมาต่อบทผู้หญิง นายผู้กำกับคนนี้ตั้งใจแกล้งกันชัดๆ อัจจิมาได้แต่คิดในใจ หญิงสาวเข้าใจว่าแดนสรวงคิดว่าถ้าเธอต้องต่อบทกับผู้ชายแล้วจะไม่อินบทเท่ากับผู้หญิง เธอจะต้องพิสูจน์ให้ผู้กำกับหน้าอ่อนนี่เห็นว่าเธอก็เป็นนักแสดงตัวจริงคนหนึ่งเหมือนกัน

อัจจิมาตั้งใจแสดงบทนางร้ายอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่แดนสรวงต่อบทอย่างไร้ความรู้สึก เธอยิ่งแน่ใจว่าเขาแกล้งเธอ ยิ่งรู้อย่างนี้ก็ยิ่งอยากเอาชนะ แต่ต่อบทไปได้ยังไม่ทันจะจบฉาก เจนกิจก็สั่งให้หยุดอีก แล้วบอกให้ทีมงานตามตัวพิมพ์ระพีที่ต้องเข้ามาแคสติงคิวถัดไปมาต่อบทนางเอก อัจจิมาไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่กล้าขัดใจผู้จัด

“คุณระพี เริ่มตรงนี้เลยนะครับ” แดนสรวงบอกเมื่อพิมพ์ระพีเข้ามาในห้อง อัจจิมานึกขวางที่ผู้กำกับหนุ่มพูดกับนางเอกไฮโซซึ่งเป็นคู่แข่งของเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่า

แล้วการต่อบทก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

“ครามรู้ไหมว่าครามพูดอะไรออกมา” พิมพ์ระพีในบทพุดจีบเอ่ยขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์

“ครามบอกว่า ครามจะเอาคุณเมฆทำผัว” อัจจิมาแสดงบทพวงคราม หญิงสาวผู้ทะเยอทะยาน เมื่อพิมพ์ระพีส่งอารมณ์มาแรง เธอก็ส่งอารมณ์กลับไปแรงไม่แพ้กัน

“พูดออกมาได้ไม่อายปาก”

“ทำไมต้องอาย มัวแต่อายแล้วดักดานเป็นขี้ข้าเขาเหมือนพี่จีบ ครามไม่เอาด้วยหรอก”

“ทำไมครามถึงคิดแบบนี้กับคุณท่าน คุณท่านเลี้ยงดูส่งเสียเรามานะ”

“เลี้ยงไว้เป็นขี้ข้าน่ะสิ พี่จีบน่ะโง่ คุณท่านน่ะไม่ได้หวังดีอะไรหรอก เขาก็แค่เอาคำว่าบุญคุณมาล่ามเราไว้ ให้ไปไหนไม่ได้”

“ครามพูดอย่างนี้เพราะโกรธที่คุณท่านไม่ให้ครามคบหากับนายนพดลนั่นใช่ไหม”

“ใช่ ยายแก่นั่นกลัวว่าครามจะแต่งงานไปได้ดิบได้ดี ก็เลยกันท่า”

“หยุดก้าวร้าวคุณท่านเดี๋ยวนี้นะคราม”

“ไม่หยุด แล้วครามก็จะไม่หยุดอ่อยคุณเมฆด้วย พี่จีบห้ามครามไม่ได้หรอก” พูดจบแล้วหญิงสาวในบทพวงครามก็เดินหลบฉากไป

“คราม...” คนรับบทพุดจีบพูดเสียงเครือ โกรธน้องสาวจนแทบจะร้องไห้

เจนกิจปรบมือให้นักแสดงทั้งสองก่อนจะเอ่ยว่า “ดีมากทั้งสองคนเลยครับ”

“ผมว่าเราน่าจะได้ทั้งสองบทเลยนะครับ” จีรพัฒน์ผู้ทำหน้าที่เป็นตากล้องบันทึกภาพเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก

“จี...” พิมพ์ระพีรำพึงเรียกชื่อ แต่ดูเหมือนคนที่เธอเรียกจะไม่สนใจฟัง เธอจะเรียกเขาซ้ำ แต่แดนสรวงพูดขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

“ขอบคุณครับ คุณสองคนแคสติงจบแล้วครับวันนี้”

“นี่หมายความว่าเอมจะได้เล่นบทพวงคราม แทนที่จะได้เล่นบทพุดจีบงั้นเหรอคะ” อัจจิมาถามเจนกิจ

“ยังไม่แน่หรอกครับ ยังทดสอบไม่ครบทุกคน”

“อาจจะไม่ได้สักบทเลยก็ได้” แดนสรวงพูดเบาๆ แต่อัจจิมาก็ยังได้ยิน

“คุณว่าอะไรนะ” อัจจิมาถามอย่างเอาเรื่อง

“ก็ยังไม่ประกาศผล อะไรๆ ก็ยังไม่แน่ หวังมากเดี๋ยวจะผิดหวังมากนะครับ” 

แดนสรวงพูดหน้าตาเฉยแก้ตัวไปได้น้ำขุ่นๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เขาคงคิดว่าเธอไม่มีทางจะผ่านการคัดเลือกถึงได้รำพึงออกมาแบบนั้น แต่พอเธอจับได้ไล่ทันก็ทำเป็นพูดเลี่ยงไป นักแสดงสาวโกรธจนแทบจะกรี๊ด ถ้าไม่เกรงใจเจนกิจเธอคงตอบโต้เขาด้วยคำพูดเจ็บๆ แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือเดินหนีไป แสดงให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอไม่แคร์เขา

พิมพ์ระพีกล่าวขอบคุณทีมงานก่อนจะออกไป เธอมองหาจีรพัฒน์เหมือนอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ผู้ช่วยผู้กำกับหนุ่มเอาแต่คุยกับกัลยา เขาไม่ได้สนใจเธอเลย พิมพ์ระพีจึงตัดใจเดินออกจากห้องทดสอบการแสดงไป

กัลยาสังเกตเห็นจึงถาม “จี พี่ว่าคุณพิมพ์ระพีเขามีอะไรจะพูดกับจีนะ รู้จักกันเหรอ”

จีรพัฒน์หยุดชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะบอก “เรียนคณะเดียวกัน แค่นั้นแหละฮะ”

อัจจิมาได้ยินเข้าก็รู้สึกว่าพิมพ์ระพีกำลังจะใช้เส้นสายเพื่อให้ได้งานอีกแล้ว

โอย...ดีจังเลย ที่เอมได้บทพวงคราม” กุ้งนางจับไม้จับมือแสดงความยินดีกับนักแสดงในสังกัดทันทีที่เจนกิจประกาศผลคัดเลือกนักแสดง

“ดีใจอะไรกันคะพี่กุ้ง” อัจจิมาพูดเสียงแข็งแล้วลุกออกจากที่นั่งทันที

“เดี๋ยวสิเอม...เอมจะไปไหน” กุ้งนางรีบเดินตามอัจจิมาออกไป

“เอมจะกลับ”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเอม” ผู้จัดการดาราสาวเดินมาทัน เธอดึงมือเด็กในความดูแลให้เดินตามไปคุยกันที่ทางเดินไปห้องน้ำ

“เอมจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ มันดูไม่เป็นมืออาชีพเลย”

“ก็รู้ผลแล้ว ไม่มีอะไรแล้วนี่คะ ทำไมจะกลับเลยไม่ได้”

“กลับน่ะกลับได้ แต่ต้องไปลาผู้จัดก่อนสิ ไปขอบคุณที่เขาเลือกเรา เอมไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่นะ จะได้ทำแบบนี้”

อัจจิมาคิดได้ว่าตัวเองวู่วามเกินไปจึงกล่าวกับกุ้งนางด้วยเสียงอ่อนลง “เอมขอโทษค่ะพี่กุ้ง เอมใจร้อนไปหน่อย”

“เอาเถอะพี่เข้าใจ พี่รู้ว่าเอมคงไม่ชอบที่ได้บทนางร้ายแทนที่จะได้เป็นนางเอกคู่กับคุณต้น แต่บทนี้ส่งมากเลยนะเอม พวงครามเป็นตัวเดินเรื่องเลยนะ เด่นกว่าบทนางเอกอีก”

“ไม่รู้ละ ที่เอมมาแคสต์ก็เพราะอยากเล่นคู่กับต้น ถ้ารู้อย่างนี้เอมไม่มาหรอก ละครก็ดูไม่น่าจะไปรอด”

“เอม พูดอย่างนี้อีกแล้วนะ” กุ้งนางมองซ้ายมองขวากลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า

“ก็จริงนี่ พี่กุ้งดูสิว่าเหมือนที่เอมบอกไหม ทีมนี้มีแต่หน้าใหม่ ผู้กำกับ ผู้จัดก็เพิ่งทำละครแค่สองเรื่อง คนเขียนบทนั่นยิ่งแล้วใหญ่”

“ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้นล่ะ รู้ไหมว่าละครเรื่องที่แล้วทีมนี้เขาได้รางวัลด้วยนะ”

“เอมว่าละครดีก็ต้องเริ่มที่บทดี งานนั้นพี่สุชาติเป็นหัวหน้าทีมบท มันก็ต้องดีอยู่แล้ว เอมยังยืนยันนะว่าเอมไม่เชื่อว่าคนง่อกแง่ก อย่างนั้นจะเขียนบทได้ดี”

“เอม...” กุ้งนางร้องเสียงสูง “พี่บอกแล้วไงว่าอย่าไปบุลลีเขา ถ้าโดนสังคมแบน ถึงกับหมดอนาคตเลยนะเอม”

“เอมแค่พูดตามที่เห็น แล้วนายผู้กำกับนั่นก็แกล้งเอมด้วย เขาจงใจจะให้เอมเล่นบทร้าย ไม่ให้เอมได้แสดงฝีมือในบทนางเอก ที่จริงคนที่ทำงานมาเป็นสิบปีอย่างเอมไม่จำเป็นต้องมาแคสติงแล้วด้วยซ้ำ ที่อื่นมีแต่เขาเสนอบทมาให้เอมเลย”

“อ้าว...เอมพูดอย่างนี้มันก็ไม่ถูกนะ เรารู้อยู่แล้วว่าที่นี่เขาขอให้ทุกคนมาแคสต์เพราะอยากให้ได้นักแสดงที่เหมาะสมกับแต่ละบทที่สุด เอมยังบอกพี่เลยว่าแฟร์ดี ดีกว่าเสนอบทโดยตรง เผื่อว่าใครแคสต์แล้วไม่เหมาะกับบทหนึ่ง อาจจะไปลงตัวกับอีกบทก็ได้ เอมก็ได้แล้วนี่ไง”

“แต่เอมไม่ได้อยากเล่นบทนี้ ยายระพีต้องใช้เส้นแน่ๆ นายผู้กำกับนั่นก็ไม่ชอบเอม เขากีดกันเอมไม่ให้ได้บทนางเอก”

“เอมก็ไปว่าเขา พี่ว่าเอมได้เล่นประกบกับคุณระพี ต้องดังแน่ๆ”

“คุณระพีๆ พี่กุ้งก็เหมือนต้นไม่มีผิด” อัจจิมาพูดแล้วก็เปิดประตูเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ผู้จัดการสาวถอนใจหนักหน่วง

หลังการประกาศผลคัดเลือกนักแสดงแล้ว แดนสรวงเดินมาคุยกับนักแสดงกลุ่มที่ไม่ได้รับคัดเลือก เขาให้กำลังใจนักแสดงหน้าใหม่หลายคนที่ทำได้ดีแม้ยังไม่ได้รับคัดเลือก ขากลับเขาเดินผ่านทางไปห้องน้ำและได้ยินคำพูดของอัจจิมาเต็มสองหู

แดนสรวงเสียความรู้สึก อัจจิมาที่เห็นวันนี้แตกต่างจากเอม อัจจิมา นักแสดงสาวดาวรุ่งที่เขาพบเมื่อสิบสองปีก่อนมาก ตอนนั้นเธอเป็นคนร่าเริงสดใส เมื่อได้พบกับแฟนคลับเธอจะให้ความเป็นกันเองและน่ารักกับทุกๆ คน

ละครเรื่องแรกที่อัจจิมาแสดง เธอรับบทเป็นพยาบาลสาวใจดี ละครเรื่องนั้นมาถ่ายทำยังโรงพยาบาลที่แมนสรวงน้องชายของเขารักษาตัวอยู่ แมนสรวงรบเร้าให้พี่ชายพาไปดูการถ่ายทำละคร ในช่วงพักกองอัจจิมาหันมาเห็นแมนสรวง เธอเข้ามาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ทำให้แมนสรวงมีความสุขและมีกำลังใจรักษาตัวมากขึ้นและคนเป็นพี่ชายอย่างแดนสรวงก็ประทับใจไม่รู้ลืม สองพี่น้องกลายเป็นแฟนคลับของเอม อัจจิมาอย่างเหนียวแน่น แดนสรวงคิดว่าความฝันที่จะเป็นผู้กำกับการแสดงของเขาถูกจุดประกายขึ้นในวันนั้น

แต่วันนี้อัจจิมาทำให้ภาพประทับใจนั้นพังทลายไปหมดสิ้น

แดนสรวงสังเกตเห็นสายตาที่นางเอกสาวมองกัลยาตั้งแต่ตอนที่อ่านเรื่องย่อให้ทุกคนฟัง เขาเฝ้าแต่บอกตัวเองว่าอาจจะมองผิดหรือคิดไปเองว่านั่นเป็นสายตาดูแคลน อัจจิมาอาจแค่ไม่ค่อยได้เห็นคนพิการที่ใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นอย่างเพื่อนของเขา เธออาจเคยเห็นแต่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลจึงรู้สึกแปลกใจและมีสายตาแบบนั้น แต่คำพูดที่แดนสรวงได้ยินจากปากอัจจิมาเป็นเครื่องยืนยันความคิดของเธอได้ดี อัจจิมาดูถูกฝีมือการกำกับการแสดงของเขา เขาไม่ว่า แต่ที่เธอดูแคลนเพื่อนรักของเขา เขารับไม่ได้

ผู้กำกับหนุ่มยืนรอจนนางเอกสาวเดินออกมาจากห้องน้ำโดยไม่มีผู้จัดการเดินตามมา เขาเปิดฉากเคลียร์ใจกับเธอทันที

“คุณอัจจิมา คุณคิดว่าบทละครเพลิงพรางตานี่มันไม่สนุกเลยเหรอ”

“เอ่อ...ฉัน” อัจจิมาอั้นอ้น นี่เขาได้ยินที่เธอพูดหรือ ถ้าเขาคิดว่าเธอเหยียดคนพิการอย่างที่กุ้งนางว่า ภาพลักษณ์ของเธอคงไม่เหลือชิ้นดี “ฉันก็แค่คิดว่าคนเขียนบทมือใหม่ งานมันจะออกมาไม่ดีก็เท่านั้นเอง”

“แล้วที่คุณว่าผมแกล้งคุณ กีดกันไม่ให้คุณเป็นนางเอกล่ะ”

“ก็มันจริงไหมล่ะ ตอนฉันทดสอบบทนางเอก คุณยังไม่ทันได้ฟังด้วยซ้ำ”

“ผมฟังแล้ว ผมเห็นแล้ว คุณน่ะ มีแต่แอกติง ไม่มีอินเนอร์”

“คุณเป็นใคร กำกับใครมาบ้าง คุณถึงได้มาวิจารณ์ว่าฉันไม่มีอินเนอร์”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ คุณน่ะเอาการแสดงมากลบความรู้สึก คุณแค่แสดงเป็นตัวละคร แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวละครตัวนั้น”

“คุณจะดูถูกฉันมากไปแล้ว”

“ผมดูไม่ผิดหรอกคุณ ผมขอแนะนำให้คุณเอาดีทางเป็นนางร้ายนะ เพราะคุณไม่มีความอ่อนหวานแบบที่จะเป็นนางเอกได้เลย”

“นี่คุณ...” อัจจิมาเดินเข้าหาแดนสรวงอย่างจะเอาเรื่อง

“มีอะไรกันคะ” กุ้งนางที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำรีบเข้ามาห้ามทัพแล้วหันไปถามนักแสดงในสังกัด “มีอะไรกันเอม”

“ก็เขา...” อัจจิมายังพูดไม่จบ แดนสรวงก็พูดสวนขึ้น

“ผมแค่อธิบายเรื่องงานให้คุณเอมเธอฟังน่ะครับ ผมขอย้ำว่าบทพวงคราม เป็นบทที่เหมาะกับบุคลิกของคุณที่สุดแล้ว อ้อ แต่ขอให้คุณเล่นให้ลึกกว่าที่เคยเล่นมาหน่อยนะครับ ไอ้แบบตื้นๆ กลวงๆ น่ะ ผมไม่เอานะ แต่คุณเอมผ่านงานมาเยอะแล้ว เยอะกว่าผมอีก คงจะเข้าใจ ผมเบื่อนักแสดงประเภทอวดเนื้อหนัง โชว์ความเซ็กซี่ไปวันๆ พวกเนี้ย พอหมดความเซ็กซี่แล้วก็ไม่มีใครเหลียวแลหรอกครับ เพราะกลวง มีแต่เปลือก” แดนสรวงพูดจบก็เดินจากไป

“พี่กุ้ง ดูสิ เขาว่าเอม”

“เขาว่าเอมตรงไหน พี่ว่าเขาก็พูดถึงนางร้ายทั่วๆ ไปนะ”

“โอย...พี่กุ้งเนี่ย” อัจจิมาได้แต่ร้องขึ้นอย่างขัดใจ เพราะเธอไม่รู้จะอธิบายให้ผู้จัดการของเธอเข้าใจได้อย่างไรว่าเธอถูกผู้กำกับหน้าอ่อนนั่นหลอกด่าเข้าให้แล้ว

 

หลังจากล่ำลาผู้จัดแล้วอัจจิมาก็ออกมานั่งรอในรถของแฟนหนุ่มที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงตรีภพจึงได้ออกมาจากตึก หญิงสาวที่ต้องเปิดประตูรถนั่งรออยู่จึงค่อนข้างจะหงุดหงิด

“ทำไมนานจังคะ เอมคิดว่าต้นจะตามออกมา”

“โทษทีนะคะเอม พี่เจขอคุยเรื่องบทกับผม นึกว่าจะแป๊บเดียว” ตรีภพพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างเคย เสียงนี้เองที่มักละลายใจอัจจิมาได้

“ไปกันเถอะค่ะ เอมหิวแล้ว” อัจจิมาพูดด้วยเสียงติดจะแง่งอน

“เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง เอมเลือกร้านเลย วันนี้เอมจะเลือกเมนูแพงแค่ไหนก็ได้นะ เป็นค่าปรับที่ผมมาช้า” ตรีภพรู้ว่าอัจจิมาแกล้งงอนเพื่อให้เขาง้อ ชายหนุ่มชอบท่าทีงอนพองามของแฟนสาว ชีวิตของเขาพบแต่ผู้หญิงที่วิ่งเข้าหาและพร้อมเอาอกเอาใจ การได้เป็นฝ่ายง้อบ้างทำให้ความรักไม่น่าเบื่อ

อัจจิมายังบ่นกระปอดกระแปดเรื่องที่เธอได้รับบทนางร้ายแทนบทนางเอก ตรีภพได้แต่ปลอบใจแฟนสาวว่าการได้เล่นละครเรื่องเดียวกันก็นับว่าดีแล้ว

“ผมได้ยินมาว่าน้องลิลลี่เกือบจะได้บทพวงครามแล้วนะ” ตรีภพพูดขึ้นขณะที่รถจอดติดไฟแดงภายในซอย

“ลิลลี่น่ะเหรอคะ ใสซื่ออย่างนั้นน่ะเหรอจะเล่นร้ายได้”

“ก็ไม่รู้สินะ ได้ยินว่าผู้กำกับเขาชอบการแสดงของลิลลี่”

“แน่ละ หมอนั่นไม่ชอบเอม”

อัจจิมาตั้งท่าจะบ่นอีกยาว แต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของตรีภพดังขึ้นเสียก่อน

ชายหนุ่มรับสายแล้วฟังอยู่ครู่หนึ่ง เขาแอบเหลือบมองอัจจิมานิดหนึ่ง แต่หญิงสาวก็ยังจับได้ 

“ครับแม่” ตรีภพรับคำสั้นๆ แล้ววางสาย “เอม ขอโทษทีนะ ไปเลี้ยงข้าวเอมไม่ได้แล้วละ ผมต้องไปกินข้าวกับคุณแม่ เอาไว้พรุ่งนี้ผมชดเชยให้นะ”

“พรุ่งนี้เอมมีงาน”

“งั้นอาทิตย์หน้าที่พี่เจนัดประชุมงาน ผมเลี้ยงคืนนะ”

“เอมไปทานข้าวกับคุณแม่คุณด้วยไม่ได้เหรอคะ คุณแม่ก็ทราบอยู่แล้วนี่คะว่าเราเป็นแฟนกัน”

อัจจิมารู้ว่าแฟนหนุ่มไม่อยากให้เธอไปร่วมโต๊ะกับมารดาของเขา ด้วยเพราะฝ่ายนั้นไม่ชอบเธอที่ฐานะไม่เสมอกัน แต่หญิงสาวก็อยากลองใจคนรักว่าจะทำอย่างไร

“ไม่ได้หรอกเอม มีเพื่อนคุณแม่ไปด้วย เอมไปก็ไม่สนุกหรอก”

‘เพื่อนคุณแม่’ คำนี้ทำให้อัจจิมาเอะใจ เธอยังจำได้ดีที่ตรีภพเคยบอกว่าแม่ของเขากับแม่ของพิมพ์ระพีเป็นเพื่อนกัน เธอจึงถามออกไปตามสัญชาตญาณของผู้หญิง

“เพื่อนคุณแม่คุณคือแม่ของพิมพ์ระพีใช่ไหม ยายนั่นไปด้วยใช่ไหม”

“เอม...มันก็แค่กินข้าว ผมไม่มีอะไรกับเขาสักหน่อย ผมบอกเอมหลายครั้งแล้วนะ”

“งั้นก็ให้เอมไปด้วยสิคะ”

“เอม...” ตรีภพโอดครวญ เขารู้ว่าเธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เข้าใจว่าคนรักกำลังหึงหวงและหาเรื่องมาตีรวนเขา “ไม่เอาน่า ไว้วันหลังนะคะ เอมว่างวันไหนผมเทคิวให้เอมได้ทั้งวันเลยนะ นะ...”

อัจจิมาไม่ได้ตอบคำ เธอรู้ว่าถ้าเธอไปร่วมโต๊ะกับมารดาของคนรักคงรับประทานอาหารอย่างไม่มีความสุข แต่กระนั้นก็ยังอดน้อยใจจนรู้สึกตื้อตันในลำคอไม่ได้

“เดี๋ยวผมแวะไปซื้ออาหารร้านที่เอมชอบ แล้วจะเลยไปส่งเอมที่บ้านก่อนค่อยไปนะคะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ จอดตรงนี้แหละ เอมจะลง”

“เอม...เข้าใจผมหน่อยสิ”

“เอมเข้าใจค่ะ ต้นจอดรถเถอะ” อัจจิมาตอบเสียงแข็ง สะบัดสะบิ้ง

ตรีภพรู้ว่าถ้าอัจจิมาอยู่ในอารมณ์นี้ ไม่มีทางที่เขาจะง้อเธอได้ง่ายๆ ทางที่ดีเขาควรโอนอ่อนผ่อนตาม รอให้หญิงสาวใจเย็นลงแล้วค่อยคิดหาวิธีง้อเธอใหม่อีกครั้ง

ตรีภพนำรถจอดเทียบข้างทาง เมื่ออัจจิมาลงจากรถแล้วก็ไม่ลืมบอกเธอว่า “ถึงบ้านแล้วโทร. หาผมด้วยนะ”

เมื่อยืนอยู่ลำพังที่ริมทางเท้าในซอยอัจจิมาจึงได้รู้ตัวว่าตัดสินใจผิดถนัด ตึกที่ตั้งบริษัทเจนจัด พลัส สตูดิโออยู่ในซอยเปลี่ยวแถบชานเมือง การที่เธอขอลงรถกลางซอยแบบนี้เป็นการสร้างความลำบากให้ตัวเอง เพราะไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาให้เรียกเลยสักคัน

แดนสรวงขับรถผ่านมาพอดี เขาเห็นอัจจิมายืนอยู่ริมทาง ท่าทางเหมือนกำลังมองหารถสักคัน ใจหนึ่งเขาก็อยากจะแวะรับเธอ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอดูแคลนเพื่อนรักของเขา ความโกรธก็หวนกลับมาทำให้เขาตัดสินใจขับรถผ่านไป

อัจจิมายืนโบกรถอยู่นาน เมื่อเห็นรถแท็กซี่ที่เปิดไฟว่างผ่านมาเธอก็รีบเดินลงไปโบกรถบนถนน หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็นรถสามล้อเครื่องที่วิ่งสวนเลนมาทางด้านหลัง รถคันนั้นเร่งเครื่องแซงรถคันอื่นจึงเสียหลักแล่นกินเลนพุ่งมาหาเธอ คนขับรถตกใจพยายามหักหลบ แต่ก็หลบไม่พ้น กว่าจะรู้ตัวอัจจิมาก็ถูกรถเฉี่ยวล้มหงายหลัง คนขับรถสามล้อเครื่องรีบเร่งเครื่อง ขับออกไปทันที

“เฮ้ย! ชนแล้วหนีเหรอ...” อัจจิมาตะโกนไล่หลัง ขณะลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าเธอรู้สึกเจ็บหลังมาก แต่ก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร หญิงสาวรีบขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรอก่อนที่ฝนจะตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น