บทที่ ๕

ธาตุแท้

“น้องลิลลี่รู้สึกยังไงบ้างคะ ที่ต้องมาเป็นมวยแทนพี่เอมแบบนี้น่ะค่ะ” ผู้สื่อข่าวสาวของเว็บไซต์ข่าวบันเทิงถามลลิตาในการแถลงข่าวเปลี่ยนตัวนักแสดงที่จัดโดยบริษัทเจนจัด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของละครเพลิงพรางตาจัดให้มีการแถลงข่าวช่วงเช้าก่อนถ่ายทำ

งานนี้จัดขึ้นที่บ้านหลังใหญ่ซึ่งเจนกิจสร้างขึ้นสำหรับใช้ถ่ายละครโดยเฉพาะ เพื่อประหยัดค่าเช่าสถานที่ ด้านหน้าของตึกเป็นฉากไม้ที่รื้อปรับเปลี่ยนแบบได้ตามบทละคร จะสร้างฉากหน้าเป็นบ้านไม้ บ้านตึก เก๋งจีน หรือแม้แต่เรือนไทยก็ยังได้ ส่วนภายในบ้านมีห้องใหญ่หลายห้องที่ปรับเปลี่ยนตกแต่งให้แตกต่างกันไปได้ สถานที่นี้เป็นสถานที่หลักของละคร นอกจากนั้นบริเวณโดยรอบยังมีทั้งสวนหย่อมและป่าขนาดย่อมๆ ที่ใช้ถ่ายทำละครได้ด้วยเช่นกัน

ตรีภพ พระเอกของเรื่องได้ร่วมแถลงข่าวด้วยเพราะนักข่าวต้องการซักถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตรีภพกับอัจจิมา หลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับเจ้าของบทบาทพวงครามคนเดิม

“ลิลลี่ก็ทั้งเสียใจและดีใจค่ะ ความรู้สึกปนๆ กันไป เพราะลิลลี่กับพี่เอมก็สนิทกันดี ไม่คิดว่าจะต้องมาแสดงแทนพี่เอมเพราะเกิดเรื่องแบบนี้ ลิลลี่เสียใจกับพี่เอมจริงๆ ค่ะ แต่ก็ดีใจที่ได้รับเกียรติให้รับบทนี้แทนพี่เอม” นักแสดงสาววัยใสตอบด้วยสีหน้าขรึม

“เด็กคนนี้ตอบคำถามใช้ได้นะ วางสีหน้าได้ดีด้วย ดูไม่กระดี๊กระด๊ามากเกินไป” แดนสรวงที่นั่งดูอยู่ห่างๆ พูดกับกัลยา                                                                                                                                                                                                                                                                                   

“น้องลิลลี่ได้เล่นบทนี้สมใจแดนแล้ว แก้วหวังว่าเธอจะเล่นได้ดีนะ”

‘สมใจแดนแล้ว’ แดนสรวงสะดุดใจกับวลีนี้ เขารู้ว่าเพื่อนไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรให้ต้องคิดมาก แต่เขากลับคิดถึงคำพูดของอัจจิมาที่บอกว่าเขาคงสมใจแล้วที่เธอต้องมาพิการแบบนี้

หลังสัมภาษณ์ลลิตาจบลง นักข่าวก็หันมาสัมภาษณ์ตรีภพ

“ความสัมพันธ์ของน้องเอมกับคุณต้นตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“ความสัมพันธ์ของเราก็ยังเหมือนเดิมครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเอม ผมก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอครับ”

“ยืนยันใช่ไหมครับว่ายังรักน้องเอมเหมือนเดิม”

“ครับพี่ ผมขอร้องพี่ๆ นะครับ อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลยนะครับ เรื่องนี้มัน...” ตรีภพเสียงเครือ เสียงหายไปชั่วขณะ ก่อนจะรวบรวมสติพูดทิ้งท้าย “ผมขอเวลาทำใจก่อนนะครับ”

พูดจบก็ลุกออกจากที่นั่งทันที

การแถลงข่าวทำท่าจะจบลง แต่แม่ของลลิตาก็รีบเข้ามานั่งแทนที่พระเอกหนุ่มแล้วพูดใส่ไมโครโฟน

“อยากถ่ายรูปน้องลิลลี่อีกไหมคะ เชิญเลยนะคะ เดี๋ยวคุณแม่ไปเรียกนักแสดงคนอื่นมาถ่ายกับน้องนะคะ” พูดจบลักษณาก็ลุกไปตามนักแสดงคนอื่นอย่างที่บอก

นักข่าวต่างมองหน้ากันด้วยความขำปนรำคาญในความจุ้นจ้านของแม่ดารา

“คนนี้ก็พูดเก่งนะ แสดงเนียนดีด้วย” กัลยาลดเสียงเป็นกระซิบเมื่อพูดประโยคหลัง

“ต้นเหรอ” ผู้กำกับหนุ่มถาม

กัลยาพยักหน้า

“ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ”

“ไม่รู้สิ แก้วเจอคนแบบนี้มาเยอะมั้ง คนที่จริงๆ ก็ไม่ได้อยากช่วยเหลืออะไรเรา แต่ก็มาช่วยแบบเสียไม่ได้ เพราะไม่อยากให้ใครคิดว่าแล้งน้ำใจกับผู้ด้อยโอกาส แก้วว่าแววตาเขาเป็นแบบนั้นน่ะ”

“ตีบทแตก บีบน้ำตา” แดนสรวงรำพึงเบาๆ พลางคิดถึงเรื่องที่ได้ฟังจากญาติผู้น้องของอัจจิมาเมื่อวันก่อน

การถ่ายทำละครเริ่มตั้งแต่ตอนสาย เป็นฉากแรกของลลิตา ดาราสาวต้องแสดงร่วมกับมาดา นักแสดงหญิงรุ่นใหญ่ที่รับบทเป็นคุณนายมัลลิกา การถ่ายทำดำเนินไปเกือบสองชั่วโมงฉากนี้ก็ยังไม่สำเร็จลงได้

“เพลิงพรางตา ตอนสิบสอง ฉากสิบแปด เทกสิบแปด แอกชัน”

สิ้นเสียงสั่งของผู้ช่วยผู้กำกับ การถ่ายทำก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

“สวัสดีค่ะคุณท่าน” พวงครามย่อตัวไหว้คุณนายมัลลิกาอย่างมีจริตจะกร้าน

“กองไว้ตรงนั้นแหละย่ะ หล่อนมาทำอะไรที่นี่”

“อุ๊ย...คุณท่านคงยังไม่รู้สินะคะ ว่าครามเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว” พวงครามลอยหน้าลอยตาพูด

“หล่อนหมายความว่ายังไง...” คุณนายมัลลิกาถาม

“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละค่ะ บ้านนี้คุณท่านขายให้คุณไพโรจน์ใช่ไหมคะ”

“ไม่ใช่ ฉันขายให้คุณไพรัตน์”

“อ๋อ...ขายให้คุณไพรัตน์” พวงครามเดินวนไปจนเฉียดใกล้คุณนายมัลลิกา “คุณท่านคงยังไม่ทราบว่าไพรัตน์กับไพโรจน์ สามีของครามเป็นคนคนเดียวกัน แล้วตอนนี้สามีของครามก็ยกบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของครามแล้วค่ะ” พวงครามลากเสียงคำว่า ‘ค่ะ’ ยาวจนน่าหมั่นไส้

“เป็นไปไม่ได้ แกโกหก”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้คะ แค่คุณไพโรจน์เปลี่ยนชื่อเป็นไพรัตน์ก่อนจะมาให้คุณท่านกู้เงิน ก็เท่านั้นเองค่ะ”

“แก นังพวงคราม นังงูพิษ แกหลอกให้ฉันขายบ้านให้แก”

“ใช่ รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว นังพวงครามคนนี้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แล้ว แล้วมันก็กำลังจะไล่คุณนายมัลลิกาจอมบงการออกไปจากบ้านนี้”

“แก…แกมันเลว แกไล่ฉัน แกก็ไล่ลูกแกไปเป็นเด็กเร่ร่อนด้วย”

“ลูก...” พวงครามมีท่าทีอ่อนลงเพราะส่วนลึกเธอก็รักลูก

ทีมงานทุกคนกลั้นหายใจพร้อมกันโดยไม่รู้ตัวเพราะลลิตาเทกในจังหวะนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอเปลี่ยนอารมณ์ไปมาระหว่างความแค้นกับความรักของแม่ไม่ได้ ถ้าไม่พูดบทผิดก็เล่นไม่ถึงอารมณ์ที่ผู้กำกับต้องการ

พวงครามเก็บซ่อนความรักที่มีต่อลูกไว้ พูดออกไปอย่างไม่แคร์ “อย่ามาพูดถึงลูกเลย ฉันไม่ได้สนใจไยดีอะไรมันหรอก ฉันมีมันก็เพื่อผูกใจคุณเมฆไว้ ในตอนที่ฉันยังหาใครให้พึ่งพาไม่ได้ต่างหากล่ะ”

“นังแม่ใจยักษ์” คุณนายมัลลิการ้องด่าอย่างเหลืออด

“ใช่ ฉันมันใจยักษ์ ฉันจะบอกให้แกรู้นะว่า ฉันเป็นคนส่งคนไปเผาตึกแถวของแก จนแกหมดเนื้อหมดตัว หนี้ท่วมหัวจนต้องไปกู้เงินผัวฉัน ต้องยอมขายบ้านหลังนี้ล้างหนี้ไง”

คุณนายมัลลิกาตกใจกับข่าวที่ได้รับรู้จนช็อก เธอรู้สึกเจ็บหัวใจจนต้องทรุดลงนั่งบนโซฟา

“คัต ผ่านครับ”   เสียงผู้กำกับทำให้ทีมงานหลายคนถอนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“เฮ้ย...ผ่านซะที” แม้แต่คนเก็บความรู้สึกอย่างจีรพัฒน์ก็ยังอดตะโกนด้วยความดีใจไม่ได้

แต่ความสบายใจคงอยู่ได้ไม่นานก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้น

“หนูไม่ได้เอาไปจริงๆ นะคะคุณ” แม่บ้านกองถ่ายบอกปากคอสั่น

“ไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร มีแต่เธอที่เดินอยู่แถวห้องน้ำ” ลักษณาต่อว่าเสียงดัง ออกมือออกไม้ไม่ต่างจากนางร้ายในละคร

หากใครมาเห็นมาได้ยินการโต้เถียงนี้อาจจะคิดว่าเป็นการซ้อมละครฉากหนึ่ง แต่นี่คือเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นจริงในกองถ่าย

ขณะที่ทุกคนกำลังดีใจที่การถ่ายทำฉากยากแสนยากสำหรับลลิตาผ่านไปได้ แม่ของเธอก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในฉาก โวยวายว่าแหวนเพชรหายไปหลังจากที่ไปล้างมือในห้องน้ำ ลักษณาปักใจว่าแม่บ้านของกองถ่ายเอาแหวนไป ไม่ว่าแม่บ้านจะอธิบายอย่างไรเธอก็ไม่ฟัง

“หลังจากคุณออกมาจากห้องน้ำ หนูเข้าไปทำความสะอาดก็จริง แต่หนูไม่เห็นแหวนของคุณเลยนะคะ”

“โกหก” ลักษณาเถียงไม่ลดละ

“แม่คะ ใจเย็นๆ ก่อนสิคะ” ลลิตาอับอายที่แม่ของเธอโวยวายเหมือนคนไม่ได้รับการอบรมจึงพยายามปราม

“จะให้แม่ใจเย็นได้ยังไงล่ะลิลลี่” ลักษณายังไม่หยุด

“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ในห้องน้ำมีกล้องวงจรปิด เดี๋ยวก็รู้ครับ” แดนสรวงบอกแล้วเดินนำหน้าลักษณาไปที่ห้องรักษาความปลอดภัย

“ในห้องน้ำมีกล้องวงจรปิดด้วยเหรอคะ” ลลิตาตกใจ

“มีเฉพาะตรงอ่างล้างมือค่ะ ในห้องส้วมไม่มีค่ะ” นุกนิกรีบอธิบายให้ดาราสาวเข้าใจ

เมื่อลักษณาได้ดูกล้องวงจรปิดทุกอย่างก็คลี่คลาย ภาพในกล้องแสดงให้เห็นว่าลักษณาถอดแหวนเพชรไว้บนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ ล้างมือเสร็จก็ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดแล้ววางทับไว้บนแหวนเพชร เดินออกจากห้องน้ำไปโดยไม่ได้เก็บแหวนเพชรไปด้วย

หลังจากนั้นแม่บ้านก็เข้ามาทำความสะอาด เธอเก็บกระดาษทิชชูทิ้งไปโดยไม่รู้ว่าได้รวบเอาแหวนเพชรทิ้งไปด้วย กว่าลักษณาจะนึกได้และกลับมาดูก็ไม่พบแหวนแล้ว

เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วแม่บ้านก็รีบไปหาแหวนเพชรในถังขยะมาคืนให้ลักษณา แม่ของดาราสาวขอโทษที่ปรักปรำแม่บ้าน ส่วนแม่บ้านก็ขอโทษที่ทำงานสะเพร่า เรื่องทุกอย่างจึงจบลงด้วยดี

ค่ำวันนั้นหลังจากเลิกกองตรีภพก็มาที่ลานจอดรถ เขาแปลกใจที่เห็นแดนสรวงยืนอยู่ที่ข้างรถเหมือนมาดักรอพบ

“อ้าว พี่แดน ทำไมมาอยู่นี่ มีอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

“ผมมีเรื่องจะถามคุณหน่อย”

สรรพนามที่เปลี่ยนจากพี่กับต้นเป็นผมกับคุณทำให้ตรีภพรู้สึกว่าเรื่องที่แดนสรวงจะพูดคงเป็นเรื่องสำคัญ

“ที่คุณให้สัมภาษณ์ว่าคุณกับคุณอัจจิมายังรักกันดีเป็นความจริงหรือเปล่า”

“จริงสิครับพี่ ทำไมพี่ถึงถามแบบนี้ล่ะ ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของผมกับเอมนะครับ”

แดนสรวงรู้ว่าตรีภพกำลังต่อว่าเขาอ้อมๆ ว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง หรือถ้าพูดแบบไม่ต้องเกรงใจกันได้ ดาราหนุ่มคงอยากบอกเขาว่าอย่าเสือก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ

“ผมแค่อยากรู้ว่าเรื่องที่คุณพูดกับคุณมาดาที่ทางเดินข้างบ้านเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

ตรีภพตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถามกลับ “พี่ได้ยินอะไรบ้าง”

แดนสรวงนึกขอบคุณที่เกิดคดีแหวนเพชรหายเมื่อบ่ายนี้ มันทำให้เขาได้เห็นธาตุแท้ของคนอย่างตรีภพ

ขณะที่ลักษณาสนใจดูกล้องวงจรปิดในห้องน้ำ แดนสรวงกลับสนใจภาพวงจรปิดที่ห้องแต่งตัวของนักแสดง ในภาพนั้นตรีภพกำลังนั่งท่องบทอยู่ ครู่หนึ่งนักแสดงสาวใหญ่ผู้รับบทคุณนายมัลลิกาก็เดินเข้ามาคุยด้วย ภาพที่เห็นผ่านกล้องวงจรปิดนั้นไม่ใช่การคุยกันธรรมดา ท่าทางที่มาดาสัมผัสตัวนักแสดงหนุ่มทำให้แดนสรวงคิดว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมากกว่าเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้ว่าจะไม่มีกิริยาใดเกินงามเกินกว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้อง แต่สัญชาตญาณของแดนสรวงบอกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

โชคเข้าข้างเขา ระหว่างช่วงพักกองแดนสรวงเห็นตรีภพเดินเลี่ยงจากกลุ่มเพื่อนนักแสดงไป ครู่ต่อมามาดาก็เลี่ยงออกไปจากกลุ่มเช่นกัน

แดนสรวงไม่ชอบบทละครที่มีการแอบฟังเลย เขาคิดว่ามันตื้นเขิน มีแต่คนเขียนบทที่คิดวิธีเผยความลับไม่ออกเท่านั้นที่ให้ตัวละครหนึ่งแอบฟังตัวละครอื่นคุยกัน แต่วันนี้เขาจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อไขข้อข้องใจให้ตัวเอง

พอแอบตามไปก็เห็นตรีภพนั่งทอดอารมณ์ที่ม้ายาวข้างบ้าน แดนสรวงหลบไปในบ้านแล้วค่อยๆ เลื่อนหน้าต่างกระจกให้แง้มเล็กน้อยเพื่อให้ได้ยินเสียงสนทนา ไม่นานนักมาดาก็ตามมา พระเอกหนุ่มหันมาเห็นนักแสดงสาวใหญ่ก็ลุกหนี แต่เธอเดินมาขวางไว้

‘ต้น คุยกับพี่ก่อนสิ’

‘ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ดา ถึงผมจะรักหรือไม่ได้รักเอมแล้ว ผมก็ไม่เลือกพี่ดาหรอก’

‘แหม ตัดไมตรีกันจังเลย พี่รู้หรอกว่าต้นไม่อยากถูกแม่บงการให้รักชอบกับยายระพี ถ้าครอบครัวของต้นมีปัญหาเรื่องเงินละก็ พี่ช่วยได้นะ’

‘ถ้าผมคบกับพี่ เราก็เปิดเผยไม่ได้นะ ผมไม่อยากโดนสังคมเล่นงาน ถ้าจะเลิกกับเอมก็ต้องรอให้ข่าวเงียบก่อน’

‘พี่เข้าใจค่ะ ต้นจะคบกับยายระพีบังหน้า พี่ก็ไม่ว่านะ’

ตรีภพยิ้มให้มาดา ในแววตานั้นมีความพิศวาส

“ผมถามว่าได้ยินอะไรบ้าง” ตรีภพถามซ้ำ

แดนสรวงไม่ตอบแต่ถามกลับ “ผมแค่อยากรู้ว่าถ้าคุณไม่รักคุณอัจจิมาแล้ว คุณให้สัมภาษณ์แบบนั้นทำไม”

“ผมจะรักหรือไม่รักเอม มันเกี่ยวอะไรกับพี่”

“มันไม่เกี่ยวกับผมหรอก แต่ผมสงสารเธอ ถ้าคุณไม่รักเธอแล้ว คุณก็ควรจะบอกความจริง ไม่ใช่หลอกเธอแบบนี้”

“ผมไม่ได้หลอก บอกตอนนี้เอมก็รับไม่ได้หรอก”

“แล้วคุณจะรอถึงเมื่อไหร่”

“เมื่อไหร่ก็เรื่องของผม...ไม่ว่าพี่จะได้ยินอะไรมา ถ้าพี่พูดให้ผมเสียหายละก็ ผมฟ้องแน่”

แดนสรวงนึกเจ็บใจ เขาได้ยินเต็มสองหูว่าผู้ชายคนนี้เต็มใจจะสลัดผู้หญิงคนหนึ่งไปเกาะชายกระโปรงผู้หญิงอีกคนเพียงเพื่อเงิน ครั้นความเลวของตัวจะถูกเปิดเผยก็กลัวจนต้องเอากฎหมายมาขู่ หาความเป็นลูกผู้ชายไม่ได้เลยสักนิด

“ทีนี้กลัวเหรอ หน้าตัวเมีย”

“ว่าไงนะ...” ตรีภพโกรธจัด เดินเข้ามากระชากคอเสื้อแดนสรวง

แดนสรวงไม่กลัว เขาผลักตรีภพอย่างแรงจนชายหนุ่มล้มลงไปกระแทกกับกระโปรงหน้ารถยนต์

“แล้วพี่จะรู้ว่าพี่เล่นกับใครอยู่” ตรีภพกล่าวอาฆาต

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น