บทที่ ๑๕

๑๕

ความน่ารักมีเป็นร้อย ความอร่อยมีเป็นล้าน

“ต้นน้ำเจ็บตรงนี้”

ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนผ้ายืดที่พันรอบเฝือกอ่อนบนแขนเล็ก ศศิมาลดใบหน้าเป่าลมออกจากริมฝีปากรูปกระจับ ก่อนจะกดริมฝีปากลงแนบอย่างแผ่วเบา “เพี้ยง หายนะครับ”

“ตรงนั้นก็เจ็บ” เจ้าตัวเล็กบนเตียงส่งสายตาออดอ้อนไปทางข้อเท้าที่มีเฝือกอ่อนและผ้ายืดพันรอบอยู่เช่นกัน

ศศิมาขยับตัว รวบผมที่ดัดลอนปล่อยยาวมาพาดลาดไหล่ซ้าย ทำปากขมุบขมิบคล้ายท่องคาถา เป่าลมร้อนรดเนื้อผ้ายืด ก่อนจะกดริมฝีปากลง

“เพี้ยง”

เมื่อคนที่อยากเจอขยับมานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวเล็กก็ยกมือข้างที่ไม่มีเฝือกเกะกะกวนใจขึ้นแตะหลังมือที่วางอยู่บนเตียง

“พี่นางฟ้าสวยจัง”

“...”

คำชื่นชมของเด็กชายเรียกสายตาของผู้ชายสามคนที่นั่งอยู่โซฟาข้างห้องให้หันไปมอง ครั้งที่เคยเจอเธอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เปิดตัวสินค้าใหม่ ก็ยังไม่แต่งหน้าทำผมถึงขั้นนี้ ต่อให้ไม่อยากใส่ใจ แต่ลึกๆ แล้วก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าวันนี้เธอไปทำงานพิเศษที่ไหนมา

ชลชาติกับธีร์เบนสายตาไปทางพัฒน์ ฝั่งนั้นจึงหยิบสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะกลางขึ้นมากดส่งข้อความ รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ได้รับคำสั่งจนกระทั่งไปรับ ‘นางฟ้า’ ของเจ้านายตัวน้อยมาโรงพยาบาล

‘ผมไปที่ร้านกาแฟ แต่พนักงานที่นั่นบอกว่าคุณอิงฟ้าไม่ได้มาทำงาน และเพื่อนของเธอก็เพิ่งออกกะ ผมเลยตามไปดูที่บ้านตามที่อยู่ที่เธอให้ไว้กับบริษัท เธอเล่าให้ฟังว่าวันนี้มีงานพิเศษที่อื่น เลยไม่ได้ไปทำงานที่ร้านกาแฟ’

‘งานอะไร’ 

ธีร์แตะปลายนิ้วลงบนตัวอักษร

‘ถ่ายมิวสิกวิดีโอ’

สายตาสามคู่เบนกลับไปทางสองคนกลางห้องพักอีกรอบ

“พี่อิงเอาขนมมาฝากต้นน้ำด้วยน้า” ศศิมาว่า

เด็กชายทำตาวาว “ขนมอะไรครับ”

“ขนมกล้วยครับ พี่อิงเพิ่งนึ่งเสร็จตอนคุณพัฒน์ไปหาที่บ้านพอดี” ศศิมาเล่า ขณะลุกไปหยิบกล่องในกระเป๋าสะพาย เดินไปทางแพนทรี จัดขนมแบ่งเป็นสองจาน จานแรกนำไปวางบนโต๊ะกลางโซฟา ส่วนจานที่สองยกไปวางบนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย

“หอมจัง” เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึก

“ขยับตัวได้มั้ยครับ” 

“น่าจะได้ ถ้าพี่นางฟ้าช่วย” เจ้าของเสียงเล็กตอบ

ศศิมาระบายยิ้ม ขณะออกแรงประคองร่างเล็กให้นั่งพิงพนักเตียง จัดหมอนผ้าห่มให้เข้าที่จนมั่นใจว่าคนบนเตียงอยู่ในท่าที่สบายแล้วจึงหยิบกระทงใบตองขึ้นมา 

“พี่อิงป้อนนะครับ” หญิงสาวว่าพลาง ใช้ช้อนคันเล็กตักขนมแล้วยื่นออกไปด้านหน้า

เด็กชายอ้าปากงับแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ “อร่อยเท่าจักรวาล”

“อร่อยก็ต้องกินเยอะๆ นะครับ” ศศิมาว่าพลางตักขนมใส่ปากจิ้มลิ้มอีกคำ

“พี่นางฟ้าสอนต้นน้ำทำได้มั้ย” เด็กชายเบนสายตามองขนมบนจาน ก่อนจะเอียงหน้าขึ้นถาม

หญิงสาวเหลือบตามองไปทางโซฟาข้างห้องเล็กน้อย เมื่อหนึ่งในสามคนนั้นพยักหน้า จึงคลี่ยิ้มกว้างให้กับคนบนเตียง “ได้สิครับ แต่ต้องรอให้กล้วยต้นข้างบ้านพี่อิงสุกก่อนนะ เครือที่พี่อิงตัดมาทำวันนี้ เพื่อนพี่อิงคงจะปอกเตรียมไว้ทำขายวันพรุ่งนี้หมดแล้ว”

“พี่นางฟ้ามีเพื่อนด้วยเหรอ” เด็กชายถาม

ศศิมาหัวเราะจนไหล่ไหว “ถึงจะแปลก แต่พี่อิงก็ยังมีคนคบอยู่นะ”

“สวยเหมือนพี่นางฟ้ามั้ย”

“สวยกว่าเยอะเลย ตอนอนุบาลสอง พี่อิงเป็นเทพีสงกรานต์ พี่ไอเป็นหนูน้อยนพมาศ” ศศิมาเล่าเสียงกลั้วหัวเราะ

“แต่ต้นน้ำว่าพี่นางฟ้าต้องสวยกว่าแน่ๆ” เด็กชายว่า แล้วเบนสายตาไปทางประตูที่ถูกเปิดออก

“ยาก่อนนอนค่ะ” เจ้าหน้าที่นำถาดมาวางบนหัวเตียง

ศศิมาเงยหน้าขึ้นมองเข็มนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้อง อีกสิบห้านาทีจะสองทุ่ม หญิงสาวค้อมศีรษะให้นางพยาบาล ก่อนจะหยิบแก้วใส่ยาขึ้นมา

“พี่อิงช่วยนะครับ”

ถึงจะทำหน้ามุ่ยแต่กระนั้นเจ้าตัวเล็กก็พยักหน้า อ้าปากรับยาอย่างว่าง่าย

“เก่งจังเลยครับ พอพี่สาวมากินยาเก่งเลยน้า” เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนป้อนยาก่อนอาหารเย้าเสียงใส

ทว่าเด็กชายกลับส่ายหน้า กลั้นใจกลืนทั้งยาทั้งน้ำลงคอ เอื้อมไปจับมือของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง “พี่นางฟ้าไม่ใช่พี่”

“...”

“พี่นางฟ้าเป็นแม่ของต้นน้ำ”

“...”

“คุณแม่สวยจังเลยนะคะ ขอโทษค่ะที่เข้าใจผิด” เจ้าหน้าที่คนเดิมว่า ก่อนจะยกถาดยาเดินออกไปจากห้อง โดยไม่รอฟังคำอธิบายของคนที่ยืนเหลอหลาอยู่ข้างเตียง

“แค็กๆๆ” ส่วนอีกคนที่ถูกพาดพิงถึงในบทสนทนา ทั้งที่ไม่มีการเอ่ยชื่อก็สำลักอากาศขึ้นมากะทันหัน เพราะไม่ว่า ‘นางฟ้า’ ของบุตรชายจะถูกเข้าใจว่าเป็นพี่สาวหรือมารดา ก็ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น เหอะ หากเด็กนั่นเป็นพี่สาวของเจ้าตัวเล็ก ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นลูกสาวอีกคนของเขาหรือไร และเขาก็ไม่ได้เป็นพวกโลลิคอนเหมือนน้องชายสักหน่อย ถึงจะได้หลอกเด็กที่ยังเรียนไม่จบมาเป็นภรรยา 

“ต้นน้ำครับ” หญิงสาวที่เพิ่งตั้งสติได้เรียกชื่อคนช่างพูดที่ขยันทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเสียงแผ่ว

“ค้าบ” เด็กชายหาวกลั้วเสียงตอบรับ

ทั้งที่ตั้งใจจะแก้ไขความเข้าใจผิด แต่เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กขยี้ตาแล้วหาวติดกันหลายหน จึงจำต้องยับยั้งความตั้งใจเอาไว้ก่อน เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาในการอธิบาย ถึงจะเป็นความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่เธอก็อยากมั่นใจ ว่าการแก้ไขจะไม่ทิ้งบาดแผลใดไว้ให้หัวใจดวงน้อยๆ อันบริสุทธิ์

“ง่วงแล้วหรือครับ”

เด็กชายพยักหน้ารับน้อยๆ

“งั้นก็นอนนะครับ” ศศิมาว่าพลางช่วยประคองเด็กชายให้นอนลง จัดแขนขา แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างเล็กจนถึงคอ

“พี่นางฟ้าเล่านิทานให้ฟังได้มั้ย” เด็กชายถาม

หญิงสาวหันไปมองรอบๆ ห้อง ชลชาติพยักพเยิดไปทางมุมชั้นหนังสือและของเล่น 

“ต้นน้ำอยากฟังเรื่องอะไรครับ”

“อะไรก็ได้” 

“รอแป๊บนะครับ พี่อิงไปหยิบหนังสือก่อน” ศศิมาว่า แล้วลุกขึ้นไปหยิบหนังสือนิทานอีสปมาสองสามเล่ม

“พี่นางฟ้าขึ้นมานอนกับต้นน้ำมั้ย” 

ชลชาติขมวดหัวคิ้ว สิ่งหนึ่งที่บุตรชายได้จากเขาไปคือความหวงพื้นที่ส่วนตัว ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยยอมรับพี่เลี้ยงคนไหนที่เขาจ้างมา แม้แต่แม่บ้านเก่าแก่บุตรชายยังไม่ยอมให้กล่อมนอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเลี้ยงดูบุตรชายด้วยตัวเอง โดยมีครอบครัวคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

“พี่อิงตัวโต นั่งตรงนี้ดีกว่า”

“ต้นน้ำอยากให้พี่นางฟ้ากอดนอน” เด็กชายทำหน้าม่อย

“รอต้นน้ำถอดเฝือกออกแล้ว พี่อิงจะกอดแน่นๆ แบบนี้เลย” ศศิมาว่า สาธิตการกอดแน่นๆ โดยใช้หนังสือนิทานแทนเจ้าตัวเล็กบนเตียง

“...” ริมฝีปากเล็กยื่นน้อยๆ ตากะพริบอย่างน่าเอ็นดู

“ถ้าพี่อิงขึ้นไปเบียดต้นน้ำบนเตียงตอนนี้ พี่อิงอาจจะทับแขนทับขาของต้นน้ำ พี่อิงไม่อยากเห็นต้นน้ำเจ็บอีก” 

“เพราะพี่นางฟ้ารักต้นน้ำใช่มั้ย เลยไม่อยากให้ต้นน้ำเจ็บ” เด็กชายถามพร้อมกับหาวยาวๆ อีกหนึ่งครั้ง

ศศิมาพยักหน้ารับพร้อมยิ้ม เปิดหนังสือนิทานในมือ แล้วเริ่มอ่านออกเสียง “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง...”

น้ำเสียงสูงต่ำและความมีอารมณ์ร่วมกับทุกตัวอักษรบนหน้ากระดาษ ส่งผ่านไปถึงชายหนุ่มสามคนที่กำลังเพลิดเพลินไม่ต่างไปจากคนบนเตียง 

เพราะแบบนี้กระมัง บุตรชายถึงได้ร้องไห้ในคืนนั้น ชลชาติถอนหายใจ แต่ก็จนใจที่จะเล่านิทานให้ได้แบบนี้ ถึงจะอยากเอาใจและตามใจมากเพียงไร ก็ไม่อาจปรับเสียงสูงต่ำ บีบเสียงให้เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือแม้กระทั่งทำหน้าทำตาเหมือนหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังเข้าถึงบทบาทขั้นสูงสุด

เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ศศิมาจึงวางหนังสือนิทานลงบนโต๊ะหัวเตียง สำรวจความเรียบร้อยของหมอนและผ้าห่มอีกรอบ ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟา

“นั่งก่อน” ชลชาติว่า พลางผายมือไปยังโซฟาตัวที่ว่างอยู่

“ขอบคุณค่ะ”

“อย่างที่เธอเห็น ต้นน้ำไม่เอาใครเลย ร้องจะหาเธอคนเดียว” ชลชาติเกริ่น

“...”

“ช่วงที่ต้นน้ำรักษาตัว เธอช่วยมาดูแลได้ไหม”

“เอ่อ...คือ...” แม้จะถูกชะตาและตกหลุมรักเจ้าตัวเล็กมากเพียงไร แต่เธอก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หากต้องลางานมาทำหน้าที่พยาบาลพิเศษ ก็อาจจะเก็บเงินค่าเทอมไม่ทัน หรือหากทางบ้านจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม เธอก็คงไม่สามารถช่วยเหลือได้

“ฉันรู้ว่าเธอมีงานต้องทำ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคยคิดเอาเปรียบใคร เอาตามนี้ก็แล้วกัน” 

“คะ?” ศศิมาเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าก็สรุปปิดการประชุมลงอย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยที่เธอยังไม่ได้พูดเลยสักคำ

“จันทร์ถึงศุกร์ หลังเลิกงานจนถึงสี่ทุ่ม เสาร์อาทิตย์เริ่มแปดโมงถึงห้าโมงเย็น มีค่าล่วงเวลาหากต้องอยู่เกินเวลาที่คุยกันไว้” ธีร์สรุปแทนผู้เป็นนาย

แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่ามัดมือชก ทว่าในขณะที่ศศิมาคิดสรตะอยู่นั้น เสียงเล็กเจือสะอื้นก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้ทุกคนหันไปมอง

“พี่นางฟ้า ต้นน้ำเจ็บ”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม” ชลชาติถาม

หญิงสาวพยักหน้ารับน้อยๆ “หนูขอคุยกับเจ้าของร้านก่อนได้ไหมคะ หนูกลัวว่า...”

“พัฒน์จะจัดการเรื่องนี้ให้เธอเอง แค่บอกว่าเธอมีงานที่ไหนบ้างก็พอ” 

สมแล้วที่เป็นนักธุรกิจ พูดยังไม่ทันจบก็ดักคอเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในความคิด นักศึกษาสาวอดที่จะชื่นชมคนตรงหน้าไม่ได้ “ก็ได้ค่ะ งั้นคืนนี้หนูขอกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะรีบมาแต่เช้า”

“...”

“อ้อ ขนมน่าจะเย็นหมดแล้ว อุ่นก่อนกินจะฟินกว่าเยอะเลยค่ะ” ศศิมาว่า แล้วตั้งท่าจะลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเขื่องที่บรรจุสารพัดข้าวของประดามี 

“พัฒน์” ชลชาติเรียก

“ครับนาย” พัฒน์ลุกขึ้นอย่างรู้หน้าที่ 

เมื่อศศิมาเห็นพัฒน์หยิบสมาร์ตโฟนและกุญแจรถ ก็รีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้”

“ให้พัฒน์ไปส่ง” 

“ค่ะ” ศศิมาจำต้องค้อมศีรษะรับคำ ใครเลยจะบังอาจทัดทานสายตาและน้ำเสียงของรองประธานกรรมการบริหารได้

“เชิญครับ” พัฒน์ผายมือ

“ขอบคุณค่ะ” ศศิมากล่าว ประนมมือไหว้สองคนที่นั่งอยู่ในห้อง ก่อนจะเดินตามหลังพัฒน์ออกไป

“นายกลับไปพักผ่อนเถอะ” เมื่อพัฒน์และศศิมาเดินออกไปจากห้องแล้ว ชลชาติจึงหันไปเอ่ยกับธีร์

“ครับนาย” ธีร์ค้อมศีรษะลง 

ชลชาติรอจนกระทั่งธีร์ปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ลูบหน้าผากเล็กแผ่วเบา “ถูกอกถูกใจอะไรนักหนาหืม”

คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวจับจ้องใบหน้าเล็กที่แย้มมุมปากเป็นรอยยิ้มทั้งที่หลับตา ถึงจะไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้บุตรชายมากนัก แต่ในเมื่อเธอทำให้เจ้าตัวเล็กมีความสุขและมีรอยยิ้มได้ ทั้งที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง เขาจึงต้องยอมลดทอนความเข้มงวดลง 

และถึงจะตัดสินใจเรื่องจ้างงานอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่กระนั้นก็ผ่านการไตร่ตรองมาถี่ถ้วน เธอรู้จักการดูแลเอาใจใส่ แต่ก็ไม่ได้ตามใจจนเกินพอดี มีวิธีรับมือลูกอ้อนดื้อๆ ของบุตรชายเขาอย่างละมุนละม่อม และเหนือสิ่งอื่นใดคือ เธอไม่มีจริตที่ทำให้เขารำคาญ 

ถึงจะระแวงเกรงว่าว่าบุตรชายจะติดความแปลกจากเธอไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าให้อยู่ใกล้พวกที่ถนัดแต่ปรุงแต่งมารยา แต่หาความจริงใจไม่ได้

ความจริงใจ...

ชลชาติขมวดหัวคิ้ว ก็แค่คนที่จ้างมาดูแลบุตรชายช่วยคราว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้มากความ ชายหนุ่มส่ายหน้าให้แก่ความคิดของตัวเอง ตั้งท่าจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วค่อยอ่านเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการเจรจางานในวันพรุ่งนี้ ทว่าเสียงท้องก็ร้องประท้วงขึ้นมาเสียก่อน คงไม่มีอะไรย่อยแล้วกระมัง 

ชลชาติถอนหายใจเพราะตั้งแต่อุ้มลูกมาโรงพยาบาล ก็ยังไม่มีข้าวปลาอาหารตกถึงท้องเลยสักนิด คนที่ไม่ค่อยพิถีพิถันกับเรื่องส่วนตัวของตัวเองมากนักหันซ้ายแลขวา มองหาของกินเล็กๆ น้อยๆ กินรองท้อง สายตาสบเข้ากับขนมไทยที่ไม่ได้กินมาหลายปีที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ใช้ช้อนคันเดิมกับที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ป้อนบุตรชาย ตักขนมที่เหลืออยู่ขึ้นรับประทาน 

รสชาติแบบนี้ หากบุตรชายจะชมว่าอร่อยเท่าจักรวาล ก็ยังถือว่าไม่มากไป 

กลิ่นหอมอ่อนๆ กอปรกับรสชาติที่ไม่หวานจนเกินไป จึงทำให้ไม่เลี่ยนคอ ชิ้นแรกหมดไปก็หยิบชิ้นใหม่ขึ้นมากิน เพลิดเพลินเสียจนหลงลืมเรื่องคุมน้ำหนัก รู้ตัวอีกทีก็พบว่า เขาลุกขึ้นไปยกขนมบนโต๊ะกลางโซฟามานั่งกินตรงข้างเตียงจนเกลี้ยงจาน  

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น