บทที่ ๔

คุณพ่อน้องต้นน้ำ

“เธอเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่มาฝึกงานครับ” พัฒน์รายงานผู้เป็นนายตามข้อมูลที่ได้รับมา

“อืม” ชลชาติพยักหน้า ความจริงจากการแต่งตัวเขาก็พอจะเดาได้ว่าเธอน่าจะเป็นนักศึกษาที่มาฝึกงานที่บริษัท แต่ที่แปลกใจก็คือ เหตุใดบุตรชายจึงบอกว่ารู้จักกับผู้หญิงคนนั้นมานาน เขาตั้งใจจะซักถามรายละเอียดให้มากกว่านี้ ทว่าบุตรชายตัวดีก็ชิ่งหลับตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งถึงบ้าน จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ถามไถ่ในภายหลัง

“ดูๆ ไว้หน่อยก็แล้วกัน” 

“ครับนาย” พัฒน์ค้อมศีรษะรับคำ

“มีอะไรคืบหน้าบ้าง” ชลชาติเบนสายตาไปทางประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดออกก่อนเอ่ยถาม

“ยังเหมือนเดิมทุกอย่างครับนาย” ธีร์ตอบพลางวางเอกสารหลายฉบับลงบนโต๊ะของผู้เป็นนาย เลือกเปิดเฉพาะหน้าที่ตนทำสัญลักษณ์เอาไว้ขึ้นมา 

ชลชาติหลุบตาลงมองตัวเลขของแต่ละหน้าแล้วกดยิ้มมุมปาก “ฉันคงต้องขยันทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิมสินะ” 

คนที่ยอมจ่ายค่าตอบแทนราคาแพง จัดสรรสวัสดิการที่ดีที่สุด เพราะต้องการดูแลให้พนักงานทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทว่าสิ่งที่เขาตั้งใจมอบให้คงยังไม่เพียงพอสำหรับคนบางกลุ่ม ที่ยังคอยหาลู่ทางกอบโกยผลประโยชน์ลับหลัง สำหรับเขาแล้ว หากสิ่งที่เขามอบให้ยังไม่พอก็เพียงแค่มาคุยกัน เขายินดีจะปรับโครงสร้างค่าตอบแทนใหม่ให้เหมาะสมกับความสามารถ แต่คนพวกนั้นกลับเลือกที่จะลักกินขโมยกิน ด้วยคงคิดว่าเขาโง่เง่าตามกลโกงไม่ทันกระมัง

ชลชาติแสยะยิ้ม ความจริงเขารับรู้ถึงความผิดปกตินับตั้งแต่เดือนแรกที่คนพวกนั้นเริ่มทำ แต่ที่ยังไม่จัดการขั้นเด็ดขาดเพราะต้องการสืบสาวไปให้ถึงตัวบงการใหญ่ เขาไม่เชื่อว่าพนักงานสามสี่คนที่เขาได้รายชื่อมาจะวางแผนกอบโกยเงินก้อนใหญ่ได้แนบเนียนแบบนี้ อีกอย่าง เขาเองก็ต้องการเลี้ยงดูคนพวกนั้นให้อิ่มหมีพีมัน ให้เสพสุขกันอย่างชะล่าใจ แล้วค่อยกระชากพวกมันให้ตกลงสู่ก้นเหวพร้อมกันทีเดียวให้สิ้นซาก

“นับจากวันนี้ ฉันจะหาเวลาไปเยี่ยมชมการทำงานของพนักงานทุกชั้น”

“ครับนาย” พัฒน์กับธีร์รับคำ 

ชลชาติใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารที่ธีร์พบปัญหาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำงาน

“อิงเอาเอกสารไปเข้าเล่มก่อนนะคะ” ศศิมาเอ่ยกับปรางค์ทิพย์ และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ เธอจึงยกเอกสารกองพะเนินไปยังมุมเครื่องใช้สำนักงานส่วนกลางติดกับทางเข้าประตูอัตโนมัติ

“ยี่สิบเล่ม เจาะกันให้กล้ามขึ้นไปเลยจ้า ฮึบ!” หญิงสาวชะเง้อคอมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครใช้บริการเครื่องถ่ายเอกสารอยู่ จึงยกแขนทั้งสองข้างขึ้นหมุนยืดเส้นยืดสาย เมื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อพอสมควรแล้วจึงเริ่มต้นเจาะกระดาษพร้อมกับฮัมเพลงไปพลางๆ 

“ชั้นนี้ไม่มีใครอยู่สินะ” ชลชาติเอ่ยกับผู้ช่วยทั้งสองคน

“ผู้บริหารบางส่วนลงไปประชุมกับกลุ่มพลังงาน บางส่วนประชุมกับกลุ่มรถครับ” ธีร์ตอบ

“ดี จะได้เห็นจริงๆ สักทีว่าพนักงานทำงานกันยังไง” ชลชาติว่าแล้วก้าวเท้าผ่านประตูอัตโนมัติที่พัฒน์เป็นคนแตะบัตรเปิดเอาไว้รอท่า

คนที่ได้ยินเสียงประตูอัตโนมัติถูกเปิดออก แต่ไม่เห็นมีใครเดินเข้ามาจึงละมือจากการเจาะกระดาษ ชะเง้อคอมอง เพราะหากประตูเปิดค้างโดยไม่มีใครแตะบัตรเปิด เธอจะได้รีบแจ้งฝ่ายธุรการให้ตามช่างมาดู

“อ้าว! คุณพ่อน้องต้นน้ำนี่เอง หนูก็นึกว่าใคร”

“...”

“น้องต้นน้ำไม่มาด้วยหรือคะวันนี้” หญิงสาวถามหลังจากลดมือที่ประนมไหว้ระหว่างอกลง

ชลชาติกระแอมกระไอ เลี้ยงดูบุตรชายมาห้าปีก็เพิ่งมีคนเรียกขานด้วยสรรพนามนี้เป็นครั้งแรก แถมยังเรียกขานอย่างสนิทสนมในที่ทำงานอีกด้วย 

“ยังไม่เลิกเรียน” ถึงจะไม่อยากเสวนา แต่กระนั้นก็ยังรักษามารยาทเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยตามปกติวิสัย

“จริงด้วย” ศศิมาเบนสายตาขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกาบนผนังแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี “ว่าแต่คุณพ่อน้องต้นน้ำมาหาใครหรือคะ รู้จักโต๊ะหรือเปล่า ให้หนูพาไปไหมคะ” 

คนที่ตั้งแต่มารับช่วงบริหารต่อจากบิดาก็เพิ่งมีพนักงาน อ้อ ไม่ใช่สิ เด็กฝึกงานแสดงความมีน้ำใจถามไถ่เสนอความช่วยเหลือเป็นครั้งแรก ก็ได้แต่ยืนนิ่งประมวลผลทางความคิด 

“ไม่เป็นไร” 

“อ๋อค่ะ พอดีหนูไม่เคยเห็นคุณพ่อน้องต้นน้ำที่ชั้นมาก่อน เลยเข้าใจว่าน่าจะทำงานที่ชั้นอื่น” ศศิมายิ้มแต้ ทำยังไงได้ในเมื่อเธอตกหลุมรักลูกชายของเขาไปแล้ว ก็เลยต้องผูกมิตรกับเขาเอาไว้ เผื่อเขาจะใจดียอมให้เจ้าตัวเล็กอ้วนกลมมาเล่นกับเธอบ้าง 

“งั้นหนูขอตัวทำงานต่อก่อนนะคะ แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือยังไงเรียกใช้บริการหนูได้ตลอดเลยค่ะ หนูน่าจะเข้าเล่มอยู่ตรงนี้อีกพักใหญ่”

“...”

ชลชาติพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำผู้ช่วยทั้งสองเข้าไปตรวจสถานที่ทำงาน แม้จะเป็นการเดินตรวจแบบผ่านๆ แต่ก็สร้างความแตกตื่นให้แก่พนักงาน ลนลานเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะบนโต๊ะทำงานมือเป็นระวิง รองประธานกรรมการบริหารที่เพิ่งได้เห็นพนักงานกระตือรือร้นทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานเป็นครั้งแรก ก็ได้แต่ทอดถอนลมหายใจ 

“กลับแล้วหรือคะ”

“...”

นี่ก็อีกคน งานกองเต็มหน้ายังจะมีเวลาวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นอีก ชลชาติกระแทกลมหายใจ พยักหน้าให้น้อยๆ แทนคำตอบ 

“ค่า โชคดีนะคะ” ศศิมาร้องตามพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้สองคนที่เดินตามคุณพ่อของน้องต้นน้ำเป็นเงา หญิงสาวรอจนประตูอัตโนมัติปิดสนิทแล้วจึงผ่อนลมหายใจออก

“ต้นน้ำนะต้นน้ำ เลี้ยงพ่อยังไงให้เป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์แบบนี้เนี่ย” 

“สวัสดีครับคุณย่า” นักเรียนชายชั้นอนุบาลสามยืนหลังตรง เท้าทั้งสองข้างชิดกัน กระพุ่มมือขึ้นระหว่างอกแล้วค้อมศีรษะลง

คุณหญิงทิพย์ประภาทอดสายตามองหลานชายอย่างอ่อนโยน ย่อตัวลงนั่งยองๆ กอบกุมมือป้อมเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “เด็กดีของคุณย่า” 

เด็กดีของคุณย่าเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างจนตาหยี “คุณหญิงย่าไม่ทำงานหรือครับ”

“วันนี้ย่าเลิกงานไว เลยจะพาต้นน้ำไปกินข้าวที่บ้านคุณตาทวด”

เด็กชายทำตาวาว ก่อนจะเปลี่ยนมาทำแก้มพอง เมื่อคิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วป๊าล่ะครับ”

“ป๊ากับอากงจะตามไปทีหลังครับ” คุณหญิงทิพย์ประภาตอบ แล้วจูงเจ้าของมือเล็กไปขึ้นรถ 

“เหล่ากงล่ะครับ” เด็กชายถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนคาร์ซีต

“เหล่ากงเบื่อรถติด เลยฝากให้ต้นน้ำกินแทน” 

“เหล่ากงต้องกินข้าวคนเดียว” 

เหลนชายตัวน้อยของเหล่ากงถอนหายใจ

คุณหญิงทิพย์ประภาวางฝ่ามือลงบนศีรษะเล็กแล้วโยกอย่างเอื้อเอ็นดู “เหล่ากงไม่ชอบนั่งรถนานๆ”

“เหล่ากงปวดขา แต่ต้นน้ำนวดได้” เด็กชายถอนหายใจอีกครั้ง เบนสายตามองข้างทางเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้เป็นย่า “ที่บ้านคุณตาทวดมีขนมเค้กกับไอติมกินหรือเปล่าครับ”

“ต้นน้ำอยากกินหรือครับ” 

เด็กชายพยักหน้าแรงๆ “วันนี้ต้นน้ำไม่ได้ไปช่วยป๊าทำงาน เลยอดกินขนมเค้กพี่นางฟ้า”

“พี่นางฟ้า” คุณหญิงทิพย์ประภาทวนคำ

“มันอร่อยมาก ใจของต้นน้ำละลายไปหมด”

“ขนาดนั้นเชียว” คนเป็นย่าหัวเราะร่วน ใครๆ ก็มักจะบอกว่าหลานชายของเธอคนนี้เหมือนคนเป็นพ่อทุกกระเบียด แต่สำหรับคนที่เลี้ยงดูทั้งลูกทั้งหลานมาเองกับมือ จึงรู้ดีว่านอกจากจะถอดแบบความจริงจังมาจากชลชาติแล้ว เจ้าตัวเล็กยังมีมุมขี้เล่นช่างจำนรรจาเหมือนกับนทีธัชช์ผู้เป็นอาอีกด้วย

“ร้านอยู่แถวไหน ย่าจะได้ให้คนไปซื้อให้”

“อาพัฒน์บอกว่าอยู่ใกล้ที่ทำงาน” เด็กชายสมุทรตอบก่อนจะร้องขอให้ผู้เป็นย่าต่อสายถึงบิดา “ต้นน้ำขอคุยกับป๊าได้มั้ยครับ”

“แต่ย่าไม่รู้ว่าป๊าประชุมอยู่หรือเปล่านะ” ถึงจะบอกเช่นนั้นแต่คุณหญิงทิพย์ประภาก็ล้วงสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋า แล้วกดต่อสายไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของบุตรชายคนโต

“ครับคุณแม่”

“ป๊า!” ทันทีที่ปลายสายส่งเสียงตอบรับ เจ้าตัวเล็กก็ร้องเรียกเสียงสูง

“ว่าไงครับ” ชลชาติเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

“ต้นน้ำอยากกินขนมเค้กพี่นางฟ้า ป๊าซื้อมาให้ต้นน้ำหน่อยนะครับ นะครับ นะครับ”

คนที่กำลังจะเดินเข้าห้องประชุมชะงักฝีเท้า เด็กคนนั้นอีกแล้วงั้นหรือ แค่คิดว่าจะต้องได้ยินเธอเรียกขานเหมือนเมื่อช่วงบ่ายก็แทบจะร้องหายามากินแก้ปวดหัว “ป๊าจำได้ว่าแถวบ้านคุณตาทวดมีคาเฟ่สวยๆ อยู่ร้านหนึ่ง”

“ร้านไหนครับ” เด็กชายเอียงคอคิดตาม

“ร้านที่ต้นน้ำบอกว่าสวยไงลูก”

“อ๋อ...” 

“ต้นน้ำให้คุณย่าพาไปซื้อนะครับ” เมื่อได้ยินเสียงใสคล้ายคล้อยตาม ชลชาติจึงสรุปทางเลือกให้ลงตัว ทว่า...

“ป๊า!” เด็กชายกระแทกลมหายใจ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นย่าเล็กน้อยก่อนว่าต่อ “ต้นน้ำไม่ได้อยากกินร้านสวยๆ ต้นน้ำอยากกินเค้กอร่อยๆ”

“...”

“ป๊าไม่เข้าใจต้นน้ำ”

“...” ชลชาติโคลงศีรษะ อยากรู้นักว่าใครเป็นคนสอนให้บุตรชายรู้จักคำพูดแก่แดดแก่ลมแบบนี้ และยิ่งปวดหัวหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของมารดาแว่วเข้ามาในสาย

“เค้กที่พี่นางฟ้าทำคือเดอะเบสต์” เด็กชายทำหน้าม่อย

“เขื่อน แวะซื้อขนมให้ลูกแค่นี้มันจะเสียเวลาสักแค่ไหนเชียว”

เสียงของมารดาที่ดังเข้ามาในสายทำให้คนที่กำลังอ้าปากจะท้วงว่าพี่นางฟ้านางตานีอะไรนั่นเป็นแค่คนยกมาเสิร์ฟ จำต้องงับปากลงฉับ ชลชาติถอนหายใจ แต่กระนั้นก็จำต้องรับปากสองคนในสายแต่โดยดี

“ก็ได้ครับ เสร็จงานแล้วป๊าจะแวะไปดูให้”

“ไม่ใช่ดู ป๊าต้องซื้อด้วยต้นน้ำถึงจะได้กิน” เด็กชายท้วง

“ได้ครับลูก” คนที่มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยสอนบุตรชายให้ยอกย้อนกัดฟันตอบ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าคืนนี้จะถามให้รู้ความว่าเจ้าตัวแสบไปจำคำพูดพวกนี้มาจากไหน แล้วค่อยไปคิดบัญชีกับคนคนนั้นให้สาสม

สิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที รถยนต์สมรรถนะสูงที่มีตราของลักษมีเมธี กรุ๊ปติดอยู่ก็แล่นมาจอดหน้าคาเฟ่ที่เคยมาใช้บริการเมื่อวาน พัฒน์เดินลงจากรถเพื่อเข้าไปซื้อขนมตามที่นายน้อยของตนต้องการ ส่วนคนที่จำใจต้องรับฝากก็ฆ่าเวลาระหว่างรอโดยการอ่านอีเมลบนไอแพด ชลชาติใช้สมาธิจดจ่อกับตัวอักษรตรงหน้าจนกระทั่ง...

ตึ้ง!

“โอ๊ย!”

“มีคนเดินชนท้ายรถครับ” ศักดิ์รายงานผู้เป็นนาย

ชลชาติเหลือบตามองผู้ช่วยอีกคนที่นั่งอยู่ในรถ พร้อมๆ กับลดหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือลง 

ธีร์เหลียวมองไปทางต้นตอของเสียง ไม่ต่างกันเลยกับชลชาติ 

“หือ” สองหนุ่มที่นั่งอยู่ในส่วนของผู้โดยสารหันมาสบตากัน

“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ”

คล้ายกับภาพเดจาวู ไม่อยากจะคิดเลยว่านักศึกษาที่วิ่งตัดหน้ารถเมื่อหลายวันก่อน คือคนคนเดียวกันกับคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บดอกไม้ที่หล่นเกลื่อนพื้นใส่ตะกร้า

“ลงไปดูหน่อย ว่ามีอะไรต้องช่วยหรือเปล่า” ชลชาติเอ่ยกับศักดิ์

“ครับนาย” ศักดิ์รับคำ แล้วเปิดประตูลงไปจากรถ

“เป็นอะไรหรือเปล่าหนู” เสียงศักดิ์ดังแว่วเข้ามาในรถ

“หนูไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษทีนะคะ พอดีหนูมัวแต่เก็บดอกไม้ เลยไม่ทันดูว่ามีรถจอดอยู่” 

“คราวหลังก็ระวังหน่อยก็แล้วกัน” ศักดิ์ว่า ขณะย่อตัวลงช่วยเก็บดอกไม้หลากหลายชนิดใส่ตระกร้า

“ขอโทษอีกครั้งนะคะ พอดีดอกไม้กินได้ในร้านหมด หนูก็เลยรีบ” เมื่อเก็บดอกไม้ใส่ตะกร้าจนหมดแล้ว จึงลุกขึ้นขอโทษขอโพยอีกครั้งแล้วออกตัววิ่งไปทางประตูร้าน 

“โอ๊ย!”

ทว่าเจ้าของร่างเล็กวิ่งยังไม่ทันถึงประตูร้านก็สะดุดขาตัวเองล้มลงอีกครั้ง จะดีกว่าเดิมก็ตรงที่รอบนี้เธอชูตะกร้าใส่ดอกไม้ขึ้น “เกือบสิ้นชื่อแล้วไง หล่นอีกรอบนี่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ดอกไม้กินได้ที่ไม่ได้กิน’ แล้วนะพวกแก”

ศักดิ์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจะวิ่งเข้าไปช่วย เมื่อคนที่ล้มไปนั่งจุมปุ๊กผุดลุกขึ้นยืน ยกตะกร้าขึ้นในระดับสายตาแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น

ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่รู้ตัวอีกทีชลชาติก็พบว่าตัวเองกำลังกำมือแน่น ลุ้นระทึกว่า ‘พี่นางฟ้า’ ของบุตรชายจะล้มคำนับแผ่นดินอีกกี่ครั้ง จึงจะสามารถพาตัวเองเข้าไปในร้านได้สำเร็จ และเมื่อเห็นเธอเดินกลับเข้าไปในร้านแล้วจึงผ่อนลมหายใจออก

“กำชับพัฒน์ว่า อย่าให้ต้นน้ำอยู่กับผู้หญิงคนนั้นตามลำพังเด็ดขาด”

“ครับนาย” ธีร์รับคำ 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น