3

บทที่ 3

บทที่ 3

                

 

“รีบบอกมาว่าอยู่ที่ไหน เร็ว!

ทิพารักษ์ใจเต้นไม่เป็นส่ำ มือไม้อ่อนไปหมด พยายามตั้งสติแล้วบอกชื่อสถานที่

“ดี ออกมารอได้เลย เดี๋ยวเจอกัน”

เธอวางสายแล้วรีบวิ่งออกไปรอหน้าร้าน ร้อนใจกระวนกระวาย จู่ๆ ก็นึกได้ว่าลืมกระเป๋า กำลังจะหมุนตัววิ่งกลับไปรถเก๋งสีขาวก็มาจอดเทียบฟุตพาท รวดเร็วจนทิพารักษ์ไม่ทันสังเกตว่าเวลาตอนนั้นยังไม่ถึงห้านาที

“ทำไมล่ะ ขึ้นรถสิ” ศาสนะเรียกเมื่อเธอทำท่ารีรอ

“ฉันลืมกระเป๋าค่ะ ขอเข้าไปเอาก่อน”

“ถ้าไม่มีอะไรสำคัญค่อยมาเอา เดี๋ยวเพื่อนคงเก็บไว้ใน รีบไปดูน้าเยาว์เถอะ” 

คำเร่งบวกกับความตกใจทำให้ทิพารักษ์ตัดสินใจรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่ง ยังไม่ทันคาดเข็มขัดนิรภัยหญิงสาวก็พูดขึ้น

“แม่เป็นยังไงบ้างคะ อยู่โรงพยาบาลไหน”

ศาสนะบอกชื่อโรงพยาบาล ทิพารักษ์ขมวดคิ้วจังหวะที่กดล็อกเข็มขัด

“ทำไมถึงไปที่โรงพยาบาลนั้นคะ น่าจะเป็นที่...ใกล้กว่า” 

ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัย กะพริบตาถี่ “ก็โรงพยาบาลนั้นมีหมอที่เป็นหมอประจำครอบครัวฉันอยู่ ตอนนั้นนึกออกแค่โรงพยาบาลนี้ มันตกใจนี่”

“ทำไมแม่ถึงตกบันไดได้คะ”

 “สงสัยจะหน้ามืด ดีนะที่ฉันอยู่ในเหตุการณ์พอดี”

ทิพารักษ์ขมวดคิ้ว “แล้ว...มืดค่ำป่านนี้คุณไปทำอะไรที่บ้านฉัน”

ศาสนะถอนใจกึ่งรำคาญ “เธอนี่มันช่างซักจริงนะ คอแห้งบ้างไหม เอ้านี่ กินน้ำก่อนได้นะ” เขาหยิบขวดน้ำตรงช่องวางของตรงเกียร์ส่งให้ 

ทิพารักษ์รับมาแต่ยังไม่เปิด ยอมรับว่าคอแห้งผากตั้งแต่รู้ว่าแม่ตกบันได แต่อะไรบางอย่างในใจทำให้ยังไม่กล้ากิน 

ศาสนะเหลือบมอง “ดูเหมือนเธอจะไม่เคยมองฉันในแง่ดีเลยนะ ถ้าคิดว่าฉันวางยาในน้ำจนไม่กล้ากินก็เอาคืนมา” พูดแบบหน้าบึ้งแล้วแบบมือ

“เปล่าค่ะ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น” หญิงสาวรีบปฏิเสธแล้วเปิดน้ำดื่ม ฝาถูกเปิดและปริมาณพร่องไปบ้างแล้วซึ่งตรงนี้ศาสนะก็บอกเองว่าเขาเปิดดื่มเองตอนขับรถมาหาเธอ ทิพารักษ์ตำหนิตนเอง เขาอุตสาห์มีน้ำใจพาแม่ไปส่งโรงพยาบาล ทำไมถึงคิดว่าเขาจะทำเรื่องร้ายๆ แบบนั้นได้นะ บ้าจริง

ขณะที่ดื่มน้ำ ทิพารักษ์ไม่ได้เห็นประกายตาแห่งความสมใจของศาสนะสักนิด

 

อีกสิบห้านาทีจะห้าทุ่ม อัษฎาคิดว่าใกล้เวลาเลิกปาร์ตี้จึงโทร.หาทิพารักษ์ แต่ขมวดคิ้วแปลกใจที่เธอไม่รับสายหลังจากโทร.ไปสองครั้ง เสียงในห้องคาราโอเกะคงดังจนไม่ได้ยิน หรือไม่ก็กำลังสนุกสนาน อาจจะเป็นช่วงกำลังเป่าเค้กก็ได้ เขาตัดสินใจหยิบกุญแจรถ ไปรอเธอที่หน้าร้านเลยจะดีกว่า

 

เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตักของทิพารักษ์ดังอยู่หลายทีแล้ว ศาสนะหยิบมันจากมือของเธอแล้วกดปิดเครื่อง ขณะที่เจ้าของเครื่องนอนหลับสนิท

ชายหนุ่มเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งออกไป ยิ้มให้กับแผนการที่สำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น

 

ปิยะดาออกมาตรงหน้าห้องคาราโอเกะ ความจริงตอนนั้นปาร์ตี้ก็ใกล้จะเลิกแล้ว เพื่อนๆ นั่งกินเค้กและสนทนาติดพันกันอยู่

“เบ๊นซ์”

 “พี่ดา” 

อัษฎาก้าวเร็วๆ มาหา สีหน้าเป็นกังวล “ปีบล่ะ”

“ปีบออกไปคุยโทรศัพท์สักพักหนึ่งแล้วค่ะ ยังไม่กลับเข้ามาเลย ไม่ได้คุยกับพี่ดาอยู่เหรอ”

“เปล่า พี่โทร.ไปก็ไม่รับเนี่ย คิดว่างานจะเลิกแล้วเลยจะมารอรับ ”

สีหน้าหญิงสาวตื่นตระหนกทันควัน “อ้าว แล้วไปไหนของเขา” พร้อมกันนั้นก็กดโทร.หาเพื่อนรักก่อนจะพูดว่าโทร.ไม่ติดจริงๆ ด้วย

เธอเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องคาราโอเกะ บอกให้ทุกคนเบาเสียงแล้วถามหาทิพารักษ์ 

“พอรู้ไหมครับว่าใครโทร.หาปีบ” ชายหนุ่มถาม

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่เห็นว่ารับสายแล้วเดินออกไปเลย”

“แต่กระเป๋ายังอยู่นะ” อีกคนบอกชูกระเป๋าสะพายรูปนกฮูกของเจ้าตัวให้ดู อัษฎารับมาถือไว้

“ไปแถวนี้หรือเปล่า”

อัษฎาหน้าเครียด รู้ดีว่าทิพารักษ์ไม่ใช่คนที่จะขาดการติดต่อไปดื้อๆ ถึงเธอจะไม่ใช่คนช่างคุย แต่ก็บอกกล่าวเสมอว่าจะทำอะไรที่ไหน เขากล่าวขอบคุณปิยะดาและเดินออกมา บอกว่าจะลองไปถามยามดู เพื่อนบางคนหยุดกินขนมแล้วเดินตามออกมา

“เหมือนจะเห็นนะครับ” ยามพูดเมื่อเห็นภาพทิพารักษ์จากโทรศัพท์ของอัษฎาประกอบกับคำอธิบายรูปร่าง “ผมเห็นน้องเขาออกมายืนรอริมถนนนี่แหละ แล้วก็มีรถเก๋งมารับออกไป แต่ไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า”

“ขอบคุณครับ” 

อัษฎาพยายามโทร.หาทิพารักษ์อีกแต่คราวนี้กลายเป็นโทร.ไม่ติด เขาขมวดคิ้ว ไม่มีสัญญาณ หรือมีการปิดเครื่อง 

“บางทีอาจจะไม่ใช่ปีบก็ได้นะคะ เพราะถ้าเป็นปีบจริง ทำไมไม่เอากระเป๋าไปด้วย” เพื่อนคนหนึ่งพูด

“งั้นลองช่วยตามหาแถวนี้อีกทีดีไหม เผื่อจะเจอก็ได้” ปิยะดาเสนอ ทุกคนเห็นด้วยแล้วก็แยกย้ายกันไป 

เวลาผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนมารวมกันตรงหน้าร้าน ต่างพบกับความผิดหวัง ไม่เจอทิพารักษ์

“เดี๋ยวพี่ขอกลับไปดูปีบที่บ้านก่อน บางทีอาจจะกลับไปบ้านแล้วก็ได้” อัษฎาบอก “ขอบคุณทุกคนมากนะครับ พี่ไปก่อนนะเบ๊นซ์”

ชาวหนุ่มกล่าวกับปิยะดาก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไป 

“ค่ะ พี่ดาส่งข่าวด้วยนะ”

เขายกมือแล้วสวมหมวกกันน็อค หญิงสาวมองตามอย่างกังวลแล้วดูโทรศัพท์อีกครั้ง

“ไปไหนของเขานะ”

 

เยาวลักษณ์รีบร้อนลงมาจากชั้นสองหลังจากรับสายจากอัษฎาแจ้งว่าทิพารักษ์หายตัวไป ชายหนุ่มยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน เธอรีบมาเปิดประตู

“ปีบหายไปได้ยังไงเหรอดา”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไปรับที่งานแล้วไม่เจอ ถามเพื่อนก็ไม่มีใครรู้เลยกลับมาดูที่บ้านเพราะคิดว่าปีบอาจจะกลับมา” เขาเล่าแล้วส่งประเป๋าของทิพารักษ์ให้แม่ของเธอ

“ตายจริง จะหายไปได้ยังไงกัน”

“ผมอยากถามน้าเยาว์ว่าปีบมีเพื่อนสนิทคนอื่นที่เขาอาจจะไปด้วยอีกไหม”

“ไม่มีนะ มีแค่หนูเบ๊นซ์นี่แหละที่ปีบสนิทที่สุดแล้ว”

เห็นอาการกระวนกระวายใจของเยาวลักษณ์แล้วอัษฎาก็ยิ่งร้อนใจ เขาเคยไปเที่ยวกับทิพารักษ์แล้วกลับดึก แต่ ทุกครั้งก็จะมาส่งเธอถึงบ้าน ระยะหลังแม่ของเธอก็วางใจเข้านอนไปก่อน เช้าตื่นมาก็เจอลูก วันนี้ก็วางใจว่าจะเป็นเหมือนปกติ ทำให้เขารู้สึกผิด

“ขอโทษครับน้าเยาว์”

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของดา น้าแค่แปลกใจว่าปีบไปไหน” เยาวลักษณ์ตกใจแต่พยายามตั้งสติใช้ความคิด อัษฎาอดทึ่งไม่ได้ ขณะที่เขาใจร้อนจนนั่งไม่ติด

“เราแจ้งความได้ไหมดา”

“ได้ครับ แต่ตำรวจจะรับแจ้งหรือเปล่า เขาอาจจะมองว่าปีบเพิ่งหายไปแค่ชั่วโมงกว่าเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจ

ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรกันดีโทรศัพท์ของเยาวลักษณ์ก็ดัง ชื่อที่ปรากฏคืออมรรัตน์ 

“สวัสดีค่ะคุณอิม”

“ขอโทษนะแม่เยาว์ที่โทร.มาเสียดึก พอดีพรุ่งนี้ฉันจะไปงานทอดกฐินที่วัด เลยจะชวนแม่เยาว์กับปีบไปทำบุญด้วยกัน” 

เยาวลักษณ์สูดลมหายใจ “ขอบคุณมากค่ะคุณอิม แต่ตอนนี้คือ...” ปลายเสียงของเธอสั่นเครือ

“มีอะไรเหรอแม่เยาว์”

คนเป็นแม่มองหน้าอัษฎา ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่ทิพารักษ์หายตัวไป ในใจก็นึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลใจให้อดีตนายจ้างสามีติดต่อมาเวลานี้ ทำให้เธอมีทางเลือกให้ปรึกษา เพราะใจก็อยากจะติดต่ออีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ติดตรงช่วงเวลา

“อย่าเพิ่งตำหนิว่าฉันคิดไปเองเลยนะคะ แต่ปีบไม่เคยเป็นแบบนี้ อีกอย่างฉันไม่รู้จะปรึกษาใครขอโทษด้วยนะคะ” 

“อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันเองก็รู้จักหนูปีบดี เห็นมาตั้งแต่เด็ก หนูปีบไม่ใช่เด็กเหลวไหล” 

“ถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้เลยค่ะ เรา...แจ้งความได้ไหมคะ” คนเป็นแม่พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น

“น่าจะได้ อ๊ะ เดี๋ยวคุยกับคุณสุทินนะ” 

“แม่เยาว์” คู่สนทนาเปลี่ยนเป็นคนเป็นสามี “ใจเย็นๆ ก่อนนะ ตอนนี้เที่ยงคืน ฉันอยากให้แม่เยาว์อดทนรออีกนิด ถ้าเช้าแล้วปีบยังไม่กลับเดี๋ยวฉันจะพาแม่เยาว์ไปแจ้งความนะ”  เยาวลักษณ์กลั้นสะอื้น 

“ขอบคุณค่ะคุณสุทิน”

เยาวลักษณ์วางสาย เช็ดน้ำตา 

“คุณอิมน่ะ นายจ้างเก่าพ่อของปีบเขา” เธอบอกกับแฟนลูกสาว 

อัษฎาพอรู้คร่าวๆ หญิงสาวเคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน

“ต้องรอให้เช้าก่อน เดี๋ยวคุณสุทินจะพาไปแจ้งความ

“ผมขออยู่เป็นเพื่อนน้าเยาว์นะครับ เผื่อปีบหรือใครติดต่อมา”

“ไม่เป็นไร ดากลับบ้านเถอะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง”

“กับแม่เดี๋ยวผมบอกเอง แต่ผมเป็นห่วงน่าเยาว์ ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนดีกว่าะ มีอะไรจะได้ช่วยกันคิด”

เยาวลักษณ์มองหน้าแฟนลูกสาวด้วยความซึ้งใจ ดีใจที่ลูกเลือกเขา ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้ลูกสาวปลอดภัย

 

ทิพารักษ์พลิกตัวนอนตะแคง อากาศเย็นจนต้องดึงผ้าห่มมาคลุม ทำไมร่างกายสัมผัสกับผ้าแบบนี้ แถมยังปวดหัว เธอสูดลมหายใจลึกแล้วค่อยๆ ลืมตา

ภาพที่เห็นคือโคมไฟสีน้ำตาลข้างเตียง ถัดออกไปที่มุมห้องเป็นโต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณที่สวยมาก แต่ที่ห้องเธอไม่มีโต๊ะแบบนี้

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ คำถามผลักให้ตื่นเต็มตารีบยันตัวขึ้นมานั่ง ผ้าห่มที่คลุมอยู่เลื่อนลงไป เผยให้เห็นว่าใต้ผ้านั้นคืนร่างกายที่เปลือยเปล่า หัวใจแทบหยุดเต้น

ที่นี่ที่ไหน ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ ในสภาพแบบนี้

ความทรงจำไหลหลั่งเข้ามาในสมอง จำได้ว่าไปงานวันเกิดของเบ๊นซ์ กำลังร้องเพลงกันสนุก แต่ก็ต้องรีบร้อนออกมาเพราะแม่ตกบันได คนโทร.มาบอกคือศาสนะ

ศาสนะ

หัวใจกระทุ้งหน้าอกอย่างแรงจนเจ็บ

เขามารับเธอที่หน้าร้าน บอกว่าจะพาไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แต่อยู่ๆ เธอก็ง่วง 

น้ำขวดนั้น

ประตูห้องน้ำเปิดออก ทิพารักษ์สะดุ้ง ศาสนะเดินเข้ามา เครื่องแต่งกายมีเพียงผ้าขนหนูชิ้นเดียว เขาชะงักเล็กน้อยที่เห็นเธอตื่นแล้ว

“คุณ...” ทิพารักษ์สั่นไปทั้งตัว “คุณทำอะไรฉัน!

คนฟังเอียงศีรษะ จุดยิ้ม “เธอมีคำถามที่ดีกว่านี้ไหม ก็เห็นๆ กันอยู่”

น้ำตาเอ่อมาคลอที่เบ้า หญิงสาวกัดริมฝีปาก มือกำผ้าห่มแน่น หมายความว่าเรื่องทั้งหมดคือแผน เขาหลอกเธอว่าแม่ตกบันได ก่อนจะ...

ทิพารักษ์หายใจถี่ ความหวาดระแวงที่แวบเข้ามาตอนรับขวดน้ำเป็นสัญญาณเตือน แต่เธอก็แพ้เพราะคำพูดของเขา 

“คุณนี่...” คำพูดหายไปเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา

ศาสนะเดินมาหยิบเสื้อผ้าของเธอที่ตกอยู่ข้างเตียงมากึ่งโยนกึ่งวางให้

“แต่งตัวซะ จะได้กลับบ้าน หมดเวลาสนุกแล้ว”

“คุณมันเลวที่สุด!” 

ทิพารักษ์เค้นคำด่าออกมาได้ รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เสียใจที่ถูกหลอกจากคนที่ตั้งใจว่าจะไม่มองเขาในแง่ร้าย แต่ท้ายที่สุดก็พลาดท่าเสียที โกรธเกลียดที่เสียรู้คนแบบเขา

“รีบจัดการตัวเองได้แล้ว” เขาพูดอย่างเย็นชา

“ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนเลวขนาดนี้ เลวที่สุด! 

ศาสนะที่กำลังจะเดินออกไปหันขวับ “ถ้าเธอด่าฉันว่าเลวอีกคำเดียวได้ค้างที่นี่อีกสักอาทิตย์แน่!

ทิพารักษ์ชะงัก ปิดปากแน่น ปล่อยน้ำตารินไหลอย่างสุดกลั้น

 

ทิพารักษ์มองหาโทรศัพท์ แต่แล้วมันก็ถูกยื่นมาตรงหน้าจากมือศาสนะ เธอจะคว้ามาแต่เขาชักมือกลับ 

“คนที่บ้านเธอโทร.มาร้อยกว่ามิสคอล รู้ใช่ไหมว่าต้องตอบว่าอะไร”

เจ้าของโทรศัพท์ไม่สนใจ ก้าวเข้าไปเพื่อจะแย่งโทรศัพท์คืน แต่เขาถอยหลบ 

“ตอบว่าเธอมากับฉัน และกำลังจะกลับ”

ดวงตาทิพารักษ์แดงก่ำ จ้องศาสนะด้วยความโกรธ ชายหนุ่มวางข้อศอกบนหลังคารถทำนองว่าแล้วแต่เธอจะตัดสินใจ อย่างไรเขาก็รอได้

“ฉันจะตอบ”

ศาสนะเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง ทิพารักษ์สูดลมหายใจ เปิดประตูเข้าไปนั่ง คาดเข็มขัดนิรภัย โทรศัพท์ถูกยื่นมาให้ เธอรีบคว้าแล้วกดโทร.ออก

“แม่...”

ชายหนุ่มเอียงคอจับจ้องการสนทนานั้น หญิงสาวพยายามกลั้นสะอื้นเมื่อได้ยินเสียงมารดาที่ร้องไห้ด้วยความดีใจกลับมาหลังจากได้รับการติดต่อจากลูกสาวในที่สุด

“แม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ปีบ...มากับคุณศาส”

เธอใช้มือปิดปากตัวเอง สูดลมหายใจลึก ศาสนะสตาร์ตเครื่องยนต์

“อ้าว ทำไมไปกับคุณศาสได้ล่ะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน 

“ปีบ...กำลังกลับค่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

เธอกล่าวตัดบทเพื่อวางสายแล้วรีบเช็ดน้ำตา 

 

รถแล่นออกมาได้สักระยะหนึ่ง เวลาตอนนั้นตีสี่กว่าๆ ป้ายข้างทางทำให้ทิพารักษ์รู้ว่าเธออยู่ที่จังหวัดหนึ่งที่ติดทะเลทางภาคตะวันออก

“กินอะไรไหม”

ศาสนะถาม แต่ทิพารักษ์เลือกเงียบ เธอตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรกับเขาอีกแล้ว แม้ต้องปิดปากตลอดระยะทางเธอก็ทำได้ ใจตอนนี้คิดถึงแต่บ้านอันเป็นที่พักเท่านั้น

“กว่าจะถึงกรุงเทพอีกตั้งชั่วโมง แวะเซเว่นสักนิดก่อนดีไหม”

คนถูกถามยังคงเอาแต่มองไปนอกหน้าต่าง คนถามย่นคิ้ว

“นี่ฉันถามได้ยินไหม!

คำตอบยังคงเป็นความเงียบ ศาสนะแค่นยิ้ม

“เมื่อคืนฉันคิดว่าก็ไม่ได้ทำกับปากเธอมากกว่าที่ตรงอื่นนะ ทำไมถึงใบ้กิน”

ทิพารักษ์หันขวับ เจอกับรอยยิ้มในดวงตาทำให้รู้ว่าเสียท่าให้คำรุกรานนั้นแล้ว เธอกำมือแน่น

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

ศาสนะโคลงศีรษะ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เธอเป็นคนของครอบครัวฉันล่ะ แล้วฉันก็ไม่ชอบให้คนในปกครองของครอบครัวฉันไปเกี่ยวข้องกับไอ้อัษฎา ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม”

ทิพารักษ์จ้องชายหนุ่มอย่างตกใจปนขยะแขยง นึกถึงคำพูดและสีหน้าของอัษฎา เขาทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน มีข้อเกลียดชังกันในอดีตอย่างไม่ต้องสงสัย 

“ที่ฉันกลายเป็นเหยื่อของคุณเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้น่ะเหรอ คุณมันบ้า! คุณมันปีศาจ!

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!

ศาสนะตะคอกทันที เสียงดังลั่นรถ ทิพารักษ์สะดุ้งสุดตัว ใบหน้าของเขาดุดันเหี้ยมเกรียม 

“ถ้าด่าว่าฉันเป็นปีศาจอีกคำเดียว ฉันจะโยนเธอออกไปจากรถ!

หัวใจหญิงสาวเต้นตุบๆ มือสั่น ตัวสั่น วินาทีแรกเกือบจะตอบโต้ออกไปแล้ว แต่เสี้ยววินาทีถัดมาก็นึกได้ว่าไม่เป็นผลดีกับตนเองแน่ ยามวิกาล ถนนต่างจังหวัดที่ไม่รู้จัก แถมยังไม่มีเงิน 

ท้ายที่สุดทิพารักษ์ก็ปิดปากเงียบ เจ็บทั้งใจและกาย แต่ต้องอดทนให้ได้จนกว่าจะถึงบ้าน

ศาสนะมองเสี้ยวหน้าหญิงสาว ผมยาวระข้างแก้ม เธอเป็นคนผิวขาวเหลืองเนียนละเอียด น่าจะได้ส่วนนี้มาจากแม่ แต่ใบหน้านั้นดูคล้ายพ่อ 

เมื่อคืนหลังจากที่อุ้มเธอมานอนที่เตียงก็มีเวลาเพ่งพิจ ก่อนที่จะก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากนั้น ไปจนถึงที่ซอกคอ ถึงไม่มีการตอบสนองแต่ความนุ่มนวลอิ่มเอิบดันอารมณ์รัญจวนขึ้นมาได้ไม่ยาก ภาพร่างกลมกลึงของหญิงสาวที่นอนระทวยอยู่เป็นความงามที่ติดตา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนล่อล่วงเธอมาทำเรื่องร้ายความร้อนแรงนั้นก็ดับวูบ

แม่งเอ้ย อ่อนหัดชะมัด ไอ้บ้าศาส

เขาก่นด่าตัวเอง 

 

ยิ่งเข้าใกล้บ้าน อารมณ์ของทิพารักษ์ยิ่งเหมือนควบคุมไม่ได้ เมื่อรถจอดที่หน้ารั้วและเห็นว่าทั้งแม่ ทั้งอัษฏา ยืนรออยู่น้ำตาก็ไหลออกมาเอง ดังนั้นเมื่อเปิดประตูรถลงได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้านทันที

“ปีบ!

“แม่”

เยาวลักษณ์ยืนอยู่ตรงประตูบ้านดีใจแต่ก็ตกใจที่เห็นลูกสาวร้องไห้และมีอาการแบบเสียขวัญ

“มีอะไร เป็นอะไรลูก”

ทิพารักษ์ส่ายหน้าถี่ กลั้นสะอื้น เมื่อเยาวลักษณ์มองไปที่ศาสนะชายหนุ่มก็ไม่ตอบ วินาทีนั้นเอง อัษฎาพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อผู้มาเยือนแล้วตะคอกใส่หน้า

“มึงทำอะไรปีบ!

ศาสนะตกใจนิดหน่อยกับการถูกจู่โจมกะทันหัน แต่แล้วก็จุดยิ้มร้าย ก่อนจะกระซิบตอบพอได้ยิน

“ปีบดอกนี้ ทั้งหอมทั้งหวานจริงๆ ว่ะ”

เร็วกว่าใครจะคาดคิด อัษฏาฟาดกำปั้นใส่หน้าศาสนะเต็มแรงจนคนกระเด็น เยาวลักษณ์หวีดร้อง

“ดา!

“ไอ้สารเลว!

อัษฎาตะโกนแล้วพุ่งเข้ามาต่อยศาสนะอีก ความโกรธก่อตัวขึ้นตั้งแต่ทิพารักษ์ติดต่อกลับมาบอกว่าเธอปลอดภัย แต่มีชื่อของศาสนะอยู่ในเรื่องราว อัษฎาโมโหจนหัวร้อน นั่งไม่ติด คำถามเกิดขึ้นมากมาย ใจสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งมาเห็นภาพคนรักร้องไห้ เห็นรอยแดงที่ลำคอของเธอ แถมได้ยินจากปากไอ้คนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ อารมณ์ก็ระเบิดประหนึ่งภูเขาไฟ เจ็บปวดราวกับว่าหัวใจถูกควักออกมีดมากรีดเป็นชิ้นๆ

ด้วยความโกรธสุดขีดเขาพยายามจะปล่อยหมัดใส่อีก แต่ศาสนะที่เจ็บจากการถูกกระทำก่อนไม่มีทางยอม เขาเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าของอัษฎา โดนครึ่งปากครึ่งจมูกเต็มๆ คนตัวสูงอย่างอัษฎาเซแซ่ด

“คุณศาส โอ้ย ตายแล้ว!

“แน่จริงก็เข้ามาเลย”

“มึง!

อัษฏาพยายามพุ่งเข้าหาอีก จังหวะนั้นเองก็มีรถอีกคันเข้ามาจอด หยุดการปล่อยหมัดของชายหนุ่มได้ชั่วขณะ ประตูรถสองข้างเปิดแทบจะพร้อมๆ กัน

“คุณอิม! เยาวลักษณ์เหมือนเห็นนางฟ้าก็ไม่ปาน ทิพารักษ์ก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน

“ศาส เกิดอะไรขึ้น โอ้ย ตายแล้ว” อมรรัตน์วิ่งเข้ามาหาลูกชาย เธอร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเลือดที่มุมปากของเขา   รีบหันไปทางอัษฎา “เธอทำอะไร ถึงกับลงไม้ลงมือกัน นี่มันเข้าข่ายทำร้ายร่างกายนะ!

“แค่นี้ยังน้อยไป ลองถามลูกคุณสิ มันทำอะไรปีบ!

“เกิดอะไรขึ้นศาส” สุทินถามบ้าง แต่ลูกชายเงียบ จึงหันไปทางทิพารักษ์ที่ยืนเกาะรั้วและจับมือกับแม่อยู่ “บอกลุงมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นหนูปีบ ศาสมันทำอะไรหนูอย่างที่พ่อคนนี้ว่าจริงหรือเปล่า”

เหตุการณ์ที่ทั้งรวดเร็ว รุนแรง กะทันหัน กระทบกระเทือนจิตใจทิพารักษ์อย่างรุนแรง หญิงสาวน้ำตาร่วง พูดไม่ออก ตัวสั่น และในที่สุดก็วิ่งเข้าบ้านไป 

“ปีบ”

อัษฎาวิ่งตาม เขาลืมมารยาทวิ่งตามหญิงสาวไปบนชั้นสองห้องส่วนตัว พยายามเคาะประตูเรียก

“ปีบ ออกมาคุยกับพี่ก่อนได้ไหม ปีบ”

แต่ยังไม่การตอบรับ นอกจากเสียงสะอื้น

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับปีบพี่ก็ไม่แคร์หรอกนะ พี่ยังรับปีบเหมือนเดิม ปีบ...”

ไม่ว่าอัษฎาจะร้องเรียกอย่างไรประตูก็ไม่เปิด ชายหนุ่มก้มหน้าอย่างปวดร้าว ทันใดนั้นเองเขาก็กระโจนลงมาชั้นล่าง พุ่งตรงเข้าไปหาศาสนะอีกครั้ง 

“ดา อย่า!! เยาวลักษณ์ตัดสินใจดึงแขนแฟนของลูกสาวไว้ “ดากลับไปก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

“มันทำปีบนะน้าเยาว์ น้าเยาว์ก็เห็น” ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราด เสียงแห่งความโกรธดังลั่น แต่เมื่อเขาหันไปก็เห็นสีหน้าแม่ของแฟนสาวสลดวูบ น้ำตารื้น

“แต่น้าอยากให้ดากลับไปก่อน ยังไงปีบก็กลับมาแล้ว ถ้าปีบพร้อมคุยแล้วน้าจะบอกนะ” เสียงเยาวลักษณ์สั่นเครือ ร่างเล็กๆ นั้นพยายามสะกัดกั้นเขาสุดฤทธิ์ แค่เขาผลักเธอออกไปก็ง่ายดาย แต่น้ำตาทำให้นึกถึงแม่ อัษฎาหายใจหอบ 

“นะดา ถือว่าน้าขอร้อง เดี๋ยวน้าโทร.หา กลับไปก่อนเถอะนะ”

ชายหนุ่มที่กำลังจะได้มาเป็นลูกชายของครอบครัวนี้กัดฟันกรอด หลับตากล้ำกลืนความเจ็บร้าวจากความจริงตรงหน้า เขามองศาสนะอย่างอาฆาต ก่อนจะตัดสินใจเดินจ้ำออกไปจากบ้าน

เสียงมอเตอร์ไซค์ถูกสตาร์ตเครื่องดังสนั่น ก่อนจะค่อยๆ เงียบหายไป

เยาวลักษณ์หมดแรงทรุดลงกับพื้น วิงเวียนเหมือนจะลม

“แม่เยาว์”

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น