7

บทที่ 7

บทที่ 7

 

ศาสนะเปิดคอมพิวเตอร์ ฝ่ายขายเอายอดสั่งจองสินค้าลอตแรกของ Zassy นั่นคือกระเป๋าลายดอกปีบมาให้ดู โดยเฉพาะฝ่ายออนไลน์ ที่มีภาพถ่ายกระเป๋าโดยนางแบบหน้าตาน่ารักในสถานที่ต่างๆ อิริยาบทเป็นธรรมชาติดึงดูดได้เป็นอย่างมาก

เป็นการเริ่มต้นของการเปิดตลาดใหม่ที่น่าพอใจ เพราะนี่เป็นผลงานของเขาทั้งหมด ศาสนะบอกฝ่ายขายให้จับตาดูสินค้าเลียนแบบ รวมทั้งหานักแสดงวัยรุ่นและการให้สินค้าเข้าไปปรากฏในละครทั้งสื่อหลักและสื่อรอง

พอเห็นลายดอกปีบบนกระเป๋าก็นึกถึงเจ้าของชื่อ เธอทำให้เขาหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อคืน 

นึกว่าจะได้เห็นอาการตื่นกลัว กลับเอาที่นอนมาปูพื้นนอนหน้าตาเฉย ซ้ำเมื่อเช้ายังกล้าคุยกับแม่ตนเองเรื่องจะกลับไปอยู่บ้านอีก ไม่ใช่เพราะจะไปช่วยแม่ทำขนมอย่างเดียวหรอก หาโอกาสไปเจอไอ้อัษฎามากกว่า

เขารู้ความเป็นไปของคู่ปรับตัวฉกาจโดยบังเอิญจากเพื่อนสนิทที่ชื่นจอห์น วันนั้นพวกเขาไปดื่มกัน หลังจากเพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยได้ไม่นาน

กูเจอเพื่อนเก่ามึงด้วยนะ

ศาสนะกำลังยกแก้วดื่มชะงัก เพื่อนเก่า ใครวะ

พ่อหนุ่มสามแต้มประธานองค์กรนักศึกษาไง

ประโยคเดียวแต่บอกคุณลักษณะครบเรียกความทรงจำทุกภาพของศาสนะให้ฉายกลับมาได้ทันที เขากระแทกแก้วลงบนโต๊ะ

นี่มึงก็ยังอุตส่าห์เจอมันนะ

ยังอุตส่าห์ หมายความว่ายังไง มึงก็เจอมันเหรอ

ศาสนะรินเบียร์หมดขวด เขายกขวดแกว่งไปมาพร้อมชูสองนิ้ว พนักงานพยักหน้ารับแล้วเดินมาเสิร์ฟให้ พอเทเต็มแก้ว กระดกเสร็จก็อธิบายสั้นๆ ว่าบังเอิญเจอที่บ้านของคนรู้จัก

แล้วมึงไปเจอมันได้ไง’ เขาถามกลับ

เห็นมาที่บริษัทวันก่อนโน้น ไม่แน่ใจมาเรื่องอะไร แต่เดินไปทางฝ่ายตลาด

บริษัทที่เพื่อนทำงานอยู่ส่งออกเสื้อผ้า ศาสนะพยายามคิดว่าอัษฎาไปทำอะไร 

มึงรู้จักบริษัทที่มันทำงานอยู่ไหม

รู้สิ บริษัทมันชื่อ...

ศาสนะพิมพ์ชื่อบริษัทเพื่อค้นหาในเว็บไซต์ เจอว่าเป็นบริษัทผลิตเสื้อผ้าขนาดเล็กๆ ไม่มียี่ห้อเป็นของตัวเอง ดูเหมือนจะเป็นบริษัทที่รับจ้างผลิตมากกว่า เป็นไปได้ว่าคงมารับงานเหมือนเคย

เขาเอนตัวพิงพนัก นึกถึงภาพที่ได้จากคนของเขาที่ส่งมาให้ ไม่รู้ป่านนี้หมอนั่นอาการดีขึ้นหรือยัง

 

หลังมื้อเย็น อมรรัตน์บอกกับสุทินว่าเยาวลักษณ์กลับไปตั้งแต่เช้าเพราะต้องไปทำขนมต่อ ส่วนทิพารักษ์มีเรื่องจะปรึกษา นั่นคือเธออยากจะกลับไปอยู่กับแม่ ซึ่งที่โต๊ะนั้นศาสนะก็นั่งอยู่ด้วย 

“ปีบเป็นห่วงแม่ค่ะ ถ้าแม่เป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยทัน”

สุทินมีสีหน้าเรียบนิ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ เขามองไปยังลูกชายที่กลอกตาไปมาทำท่าราวกับเบื่อที่ต้องได้ยินเรื่องนี้ 

“แต่ว่าหนูแต่งงานแล้วนี่ จะแยกกันอยู่กับสามี มันก็ดูไม่ค่อยดีใช่ไหม”

“ปีบเข้าใจค่ะ แต่...คุณศาสไม่ยอมย้ายไปอยู่กับปีบ”

“ใครจะไปอยู่บ้านนั้นได้”

“ศาส” สุทินปราม 

ศาสนะขบฟัน ยายดอกปีบ เห็นหงิมๆ ติ๋มๆ ที่แท้ที่แสบไม่เบา โยนมาให้เป็นความผิดของเขาเสียอย่างนั้น 

“การแต่งงานเป็นเรื่องของการปรับตัว พ่อเข้าใจปีบนะที่เป็นห่วงแม่ แต่ถ้าปีบพิจารณาตามความเป็นจริงก็จะรู้ว่าการที่ปีบอยู่บ้านนี้ง่ายกว่าให้ศาสย้ายไป” เขาเว้นวรรค มองสีหน้าหญิงสาวที่สงบและรับฟัง “ถ้าอย่างนั้นเราต้องมาพบกันครึ่งทาง เรื่องแม่เยาว์ พ่อคิดได้แล้วว่าจะทำยังไง”

ทิพารักษ์มีสีหน้ากระจ่าง 

“เดี๋ยวให้ติ๋วไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เยาว์ ติ๋วชอบทำอาหาร คงช่วยแม่เยาว์ได้เยอะ ทีนี้ปีบก็หมดห่วงได้แล้วใช่ไหม”

ลูกสะใภ้หมาดๆ กะพริบตาปริบ ไม่คิดว่าทางออกจะเป็นแบบนี้ เธอหันไปมองอมรรัตน์ อีกฝ่ายยิ้มบาง ดูเหมือนทั้งคู่จะปรึกษากันมาแล้ว

ส่วนศาสนะก็ได้แต่เลิกคิ้ว ดูเหมือนไม่ว่าวิธีแก้ปัญหาจะออกมาเป็นแบบไหนเขาก็ไม่สนใจเท่าคำตอบเดียวนั่นคือเขาไม่ต้องย้ายออกไปไหน

“แล้ว...ป้าติ๋วเขาเต็มใจเหรอคะ”

“เต็มใจสิ พ่อคุยกับเขาแล้ว เดี๋ยวให้เขาเตรียมตัวเก็บของสักวันสองวัน ปีบล่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ดีไหม”

“ค่ะ” 

ทิพารักษ์ตอบ ถึงไม่ใช่บทสรุปที่ต้องการให้เป็น แต่ก็ไม่อาจจะเรียกร้องอะไรได้แล้ว นี่เป็นการพบกันครึ่งทางและเป็นเหตุเป็นผลที่สุดอย่างที่สุทินบอก แต่พอเหลือบไปที่นั่งตรงข้ามก็เห็นกับสีหน้าของศาสนะที่ยิ้มอย่างผู้ชนะ

 

วันต่อมา หลังจากกินมื้อเช้าเรียบร้อยและศาสนะไปทำงานแล้ว ทิพารักษ์ก็ได้กลับบ้านไปหาแม่ โดยให้เหตุผลกับอมรรัตน์ว่าตอนนี้แม่ยังไม่มีคนช่วยและถ้าเสร็จแล้วจะรีบกลับทันที  

ทิพารักษ์ช่วยแม่ทำขนมจนถึงบ่ายสามก็ไปหาปิยะดา เธอนั่งรออยู่ในร้านใกล้ๆ ที่ทำงานของเพื่อนรักนั่นเอง

“เบ๊นซ์”

ปิยะดาเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นเห็นทิพารักษ์โบกมือ ยังไม่ทันจะนั่งเรียบร้อยทิพารักษ์ก็เปิดฉากทันที

“ตกลงเรื่องวันนั้นมันเป็นยังไง”

คนเป็นเพื่อนหน้าเหวอ “เฮ้ย อะไรเนี่ย จะไม่เกริ่นนำอารัมภบทหน่อยเหรอ ไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ”

“ก็ไม่เห็นจำเป็น แกรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องเล่าให้ฉันฟัง”

ปิยะดาเม้มปาก 

“แกสัญญาไว้แล้วนะ” ทิพารักษ์ย้ำ

เพื่อนรักถอนใจ ก่อนจะเล่าให้ฟังว่าวันนั้นนั้นที่เธอหายไปจากงานเป็นเพราะอัษฎาโทร.มาหา ตอนไปพบเห็นเขาถูกทำร้ายหน้าตาบวมปูด เลือดเต็มเสื้อ สีแดงที่เปื้อนเสื้อของเธอคือเลือดของอัษฎานั่นเอง

“พี่ดาถูกทำร้ายงั้นเหรอ! ใครเป็นคนทำ!

ทิพารักษ์ร้องเสียงหลง ปิยะดาพลอยตกใจไปด้วย เธอส่งสัญญาณและสองสาวก็ทำคอหดด้วยกันทั้งคู่เพราะโต๊ะอื่นๆ พากันพร้อมใจมองมา

“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนฉันไปถึงก็เห็นนั่งหมดสภาพอยู่แล้ว”

ปิยะดาเห็นสีหน้าของเพื่อนก็รีบพูด “แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่ดาปลอดภัยแล้ว ไม่กี่วันก็คงกลับบ้านได้ ทีแรกน่ะ เขาไม่ยอมไปโรงพยาบาลด้วยซ้ำ จะให้ฉันพามาหาแกที่บ้านให้ได้เลย แล้วคิดดูพาเขามาในสภาพนั้นเนี่ยนะ” เธอเล่าพลางทำหน้าเบ้ “ทั้งยื้อทั้งอธิบายอยู่นานถึงยอมขึ้นแท็กซี่ไปจนได้”

ทิพารักษ์น้ำตาคลอ สงสารคนรักจับใจ “พี่ดาไม่ใช่คนมีศัตรู ใครกันทำร้ายเขา...”

พูดแล้วก็หยุดกลางคัน ตาเบิกกว้างเมื่อนึกถึงภาพที่ศาสนะคุยโทรศัพท์ในวันงาน

“ฝีมือคุณศาสงั้นเหรอ...”

“หะ เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ แกว่าคุณศาสเป็นคนทำเหรอ” ปิยะดาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มีเขาคนเดียวที่มองพี่ดาเป็นศัตรู แล้วที่ฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เป็นผลมาจากการที่เขาต้องการแกล้งพี่ดาไม่ใช่เหรอ”

“แต่ในเมื่อแกกับพี่ดาจบกันแล้ว เขาจะมาทำร้ายพี่ดาอีกทำไม”

คราวนี้ทิพารักษ์เงียบ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ  อย่างคนหาคำตอบไม่ได้ เธอนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะขยับตัวลุกพรวดพรวด “ฉันอยากไปเยี่ยมพี่ดา เราไปกันได้ไหม วันนี้เลย”

“เดี๋ยวปีบ เดี๋ยวๆ” ปิยะดาร้องเสียงหลงรีบดึงมือเพื่อนให้นั่งลงเหมือนเดิม “ใจเย็นๆ ก่อน นี่มันกี่โมงแล้ว กว่าจะไปถึงกว่าจะเยี่ยมเสร็จ ถ้ากลับบ้านดึกพ่อแม่คุณศาสนะถามจะตอบว่าไงรล่ะ”

คำเตือนของเพื่อนมีเหตุผล ทิพารักษ์ทิ้งตัวลงนั่งหมดแรง สูดลมหายใจลึกสองสามครั้ง

“ใจเย็นๆ เถอะ พี่ดาปลอดภัยแล้วไม่ต้องห่วง มาๆ สั่งข้าวมากินกันดีกว่า ฉันหิวไส้จะขาดแล้ว”

ปิยะดาบอก แล้วรีบเรียกพนักงานเป็นการจบบทสนทนาในหัวข้อนี้โดยปริยาย

 

ทิพารักษ์ถึงบ้านตอนสองทุ่มกว่า เธอขอโทษกับพ่อแม่สามีที่กลับช้า ทั้งคู่ไม่ได้ซักถามอะไรนอกจากเรื่องปากท้อง เธอตอบว่ากินมาเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวเปิดห้องนอน วางกระเป๋าที่โต๊ะทีวี เหลือบมองคนบนเตียง ศาสนะนั่งกึ่งนอนและกำลังมองมาเช่นกัน แต่เธอไม่สนใจเดินผ่านไปทำท่าจะเข้าห้องน้ำ

พลัน ศาสนะก็ลุกพรวดพราดก้าวยาวๆ แซงเธอไปยืนดักหน้า ทิพารักษ์ชะงัก 

“นี่คุณ”

“เธอไปไหนมา นี่มันกี่โมงแล้ว”

คนถูกถามยกข้อมือดูนาฬิกา “สองทุ่มสิบนาทียี่สิบสามวินาทีค่ะ”

คราวนี้คนถามอึ้งบ้าง แต่ยังถามต่อ “ไปไหนมา”

“ไปหาเพื่อนมาค่ะ” ตอบแล้วทำท่าจะเดินไปห้องน้ำ แต่ชายหนุ่มยังคงขยับมาขวางไว้

“เพื่อนคนไหน” 

ทิพารักษ์ ทำท่าจะไม่ตอบแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ จ้องหน้าเขา

“เพื่อนคนที่คุณส่งคนไปทำร้ายเขาไง”

ศาสนะขมวดคิ้ว “เธอหมายถึงใคร”

“วันงานคุณให้คนไปทำร้ายพี่ดาไม่ใช่เหรอ” 

แวบหนึ่ง ศาสนะนึกถึงภาพของอัษฎาที่ถูกทำร้ายจนสะบักสะบอม เขากอดอกเอียงคอยืนประจันหน้ากับหญิงสาว

“เธอกับหมอนั่นช่างเหมือนกันจริงๆ โดยเฉพาะไอ้นิสัยชอบกล่าวหาคนอื่นเนี่ย”

“ฉันไม่ได้กล่าวหา พี่ดาไม่เคยมีศัตรู จะมีก็แค่คุณคนเดียว” ทิพารักษ์พูดอย่างรวดเร็ว

ศาสนะยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆ เธอด้วยสายตายียวน “ถ้าคิดว่าฉันทำจริงก็หาหลักฐานสิ หาได้ไหมล่ะ” เขาโปรยยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ

ทิพารักษ์กำมือแน่น กัดริมฝีปากจนเจ็บ

 

ที่โรงพยาบาล วันนี้ทิพารักษ์มาเยี่ยมอัษฎา ถึงแม้ปิยะดาจะคัดค้านก็ตาม

อย่าหาว่าฉันอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ในเมื่อแกตัดสินใจแต่งงานกับคุณศาสนะแล้วก็ไม่น่าจะไปข้องเกี่ยวกับพี่ดาอีก ยิ่งแกสันนิษฐานว่าคุณศาสส่งคนไปทำร้ายพี่ดา แบบนี้เขายิ่งไม่ปลอดภัยหรือเปล่า

ทิพารักษ์จำได้ว่าตัวเองเงียบไปอยู่พักใหญ่ ไม่ได้โกรธเพื่อนรักแม้จะรู้สึกเจ็บเหมือนถูกมีดกรีดกลางอก เธอเป็นต้นเหตุทำให้อัษฎาต้องเจ็บตัว 

ฉันแค่อยากไปเห็นกับตาว่าพี่ดาปลอดภัยจริงๆ’  เธอกดเสียงสะอื้น 

พอเห็นสีหน้าเพื่อนรัก ปิยะดาก็ได้แต่ถอนหายใจ ในที่สุดก็ให้ชื่อโรงพยาบาลกับเลขห้องมา

ทิพารักษ์เคาะประตู ไม่มีเสียงตอบรับ เธอหมุนลูกบิด

“ทำอะไร”

หญิงสาวสะดุ้ง หันขวับ โสภากำลังเดินเข้ามา ยิ่งเมื่อได้เห็นชัดว่าเธอเป็นใครก็เร่งฝีเท้าทันที 

ทิพารักษ์พนมมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

“ยังจะกล้ามาอีกเหรอ” นอกจากจะไม่รับไหว้ยังกระชากเสียงใส่เธออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“คุณป้า ปีบ...มาเยี่ยมพี่ดาค่ะ”

“ฉันถึงได้ถามไงว่ายังจะกล้ามาอีกเหรอ” โสภาเข้ามายืนตรงหน้าประตูราวกับจะป้องกันไม่ให้ผู้มาเยือนได้เข้าไป “ดาทั้งเจ็บตัว เจ็บใจ เพราะใครนี่เธอยังไม่รู้อีกหรือไง”

“คุณป้าคะ ฟังปีบก่อน คือปีบมีเรื่องจะคุย...”

 “ไม่ต้องคุยอะไรทั้งนั้นละ! ให้มันจบไปได้แล้ว เลิกมายุ่งวุ่นวายกับลูกชายของฉันซะที! ทุกคำเหมือนน้ำกรดที่สาดใส่ ทิพารักษ์น้ำตาคลอ

“ปีบขอร้อง ขอให้พี่ได้เจอพี่ดาสักครั้งเถอะค่ะ ครั้งเดียวเท่านั้น...” 

“ไม่! ไปให้พ้นจากลูกชายฉันเดี๋ยวนี้นะ!

โสภาผลักร่างหญิงสาวจนเซ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แล้วก็ปิดประตูใส่หน้าเธอ

ทิพารักษ์ได้แต่ยืนน้ำตาไหลริน หัวใจสลาย 

 

ครบหนึ่งอาทิตย์ที่อัษฎารักษาตัว เขากลับมาทำงานที่บริษัทอีกครั้ง แม้จะยังมีอาการเจ็บกลางอกเวลาหายใจลึกๆ ก็ตาม ใจจริงอยากจะมาให้เร็วกว่านี้แต่แม่ก็ไม่ยอม ต้องการให้ตรวจร่างกายให้ละเอียด แต่เพราะเขามีงานที่ต้องทำและมีเรื่องที่อยากได้คำตอบอยู่

เบื้องหลังพาร์ติชั่นเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย เขาเดินไปหา

“หัวหน้า”

“อ้าวดา มาแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง” เขาเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ ทำสัญญาณว่าให้เข้ามาได้เลย

อัษฎาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม “โอเคแล้วครับ ขอบคุณครับ”

“แจ้งความแล้วหรือยังล่ะ” 

“เดี๋ยวจะไปพรุ่งนี้ครับ”

“อืม ดีแล้ว จัดการซะ” อีกฝ่ายขยับตัวเข้าหาหน้าจออีกครั้ง ทำท่าวางมือที่คีย์บอร์ด

“เอ่อ หัวหน้าครับ เรื่องที่ผมเอาไปเสนอวันก่อน”

หัวหน้าละมือ เอนตัวไปพิงพนัก มองหน้าลูกน้อง

“โปรเจกต์อันนั้น...ไม่ผ่านนะ”

หัวใจอัษฎาหล่นลงที่ปลายเท้า “ทำไมล่ะครับ คุณยุทธเขาให้เหตุผลว่าอะไร”

“เราเป็นแค่บริษัทรับจ้างผลิต ถ้าเราผลิตสินค้าเอง มียี่ห้อเองก็ต้องโฆษณาเอง เราไม่มีทุนหรอก” 

“พี่ลองคุยกับคุณยุทธอีกทีไม่ได้เหรอครับ ตอนนี้ตลาดออนไลน์ขายสินค้าได้ทุกอย่าง ผมคิดว่างบโฆษณาไม่ได้ใช้เยอะขนาดนั้น อีกอย่างถ้าเกิดเราไม่ได้สัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาเราจะไม่มีสินค้าสำรองนะครับ” ชายหนุ่มพยายามชี้แจงเหตุผล 

“เธอคิดว่าคนอย่างคุณยุทธเขาจะไม่มีปัญญาเจรจาหรือไง”

อัษฎาชะงัก เสียงอ่อนลง ดูท่าการพูดคุยครั้งนี้จะไม่เป็นผล หัวหน้ามีสีหน้าเครียดขึง “เปล่าครับ คือ ผมคิดเผื่อในกรณีฉุกเฉิน”

“ไม่ต้องมากังวลแทนบริษัทหรอก ถึงจะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่เขาก็บริหารกันมานาน ขอบใจที่อุตส่าห์คิด แต่ไม่ต้องแล้วละ เรายังไม่มีปัญหาขนาดต้องให้พนักงานอย่างเธอมาสอน ไปได้แล้ว”

อัษฎาเดินหน้าชาออกมาจากห้องผู้จัดการ ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเสนอโปรเจกต์ใหม่ ดีที่สุดก็คือการรับไปปรับปรุงเป็นบางส่วน ส่วนแผนงานล่าสุดคือการทำเสื้อผ้าออกขายเอง เป็นแบรนด์กีฬากึ่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับลูกค้าที่เริ่มเดินทางท่องเที่ยว โดยจะเน้นไปที่คนวัยสี่สิบขึ้นไปที่เริ่มมีพฤติกรรมจับจ่ายซื้อของด้วยโทรศัพท์มากขึ้น แต่ก็ไม่ผ่านการพิจารณา เพราะเจ้าของไม่อยากเสี่ยงกับการลงทุนครั้งใหม่ ยิ่งอธิบายก็เหมือนยิ่งประจานตัวเองว่าล้มเหลว ทั้งที่พยายามให้ข้อมูลรวมทั้งแนวทางทำตลาดไว้หมดแล้ว

ชายหนุ่มกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด เขาตอนนี้พ่ายแพ้ทุกอย่าง เสียคนรักที่กำลังจะแต่งงานกันไปให้ศัตรู งานที่จะทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองก็ถูกปัดลงถังขยะ 

ไอ้ศาสนะ ทุกอย่างเป็นความผิดชองมัน

 

อัษฎานั่งดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์ พลางดูภาพในโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าลายดอกปีบชื่อ Zassy กำลังเป็นที่นิยม มีคนให้ข้อมูลว่าเป็นเจ้าของเดียวกับยี่ห้อ Zaas นั่นคือ สุทิน อรรถพิพัฒน์ แต่เป็นฝีมือของลูกชายที่ชื่อศาสนะ ที่เพิ่งจบมาจากต่างประเทศเป็นคนทำตลาด สาเหตุมาจากมีนักแสดงซีรีส์ชื่อดังคนหนึ่งสะพายกระเป๋านี้เข้าฉากในละคร ด้วยสีที่น่ารัก ลายดอกปีบเรียบๆ แต่ก็ดูเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งเป็นกระเป๋าที่ออกมาแบบมาใช้ได้ในทุกโอกาส จึงมีคนตามหากันจนสินค้าขาดตลาดไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

มันใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็ประสบความสำเร็จ ส่วนเขาทำงานมากำลังจะครบหกปี แต่ส่วนใหญ่ก็ทำไปตามตารางเพราะเจ้าของไปเจรจาไว้หมดแล้ว ไม่มีโอกาสได้วางแผนอะไรอย่างที่ต้องการ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม

เขากระดกเหล้าอีก ตั้งแต่ผิดหวังจากทิพารักษ์ก็ดูจะสนิทสนมกันมากขึ้น เพราะมันช่วยให้เขานอนหลับลงได้โดยไม่ฝันร้าย ฝันว่าทิพารักษ์กลับมา เพื่อจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันไม่เป็นความจริง 

“ดูอะไรอยู่”

เสียงผู้หญิงดังขึ้นข้างๆ อัษฎาสะดุ้ง รีบหันไป 

ใบหน้าใต้แสงไฟหลากสีคุ้นตา “นัท”

ณัฐวรายิ้มหวาน “บังเอิญจังเจอดาที่นี่ มาคนเดียวด้วย”

“รู้ได้ยังไง”

เธอขยับขึ้นมานั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ “คนที่นั่งหน้าบาร์ ร้อยละร้อยยี่สิบมาคนเดียว เอาเบียร์ค่ะ” ประโยคท้ายเธอหันไปสั่งบาร์เทนเดอร์

อัษฎาเลือกยกแก้วมากกว่าต่อบทสนทนานั้น แต่พอวางแก้วก็ถามกลับ “เธอล่ะ”

“มาคนเดียวเหมือนกัน” หญิงสาวไหวไหล่ เธอรับแก้วกับขวดเบียร์มารินน้ำสีทองลงไปแล้วยกจิบเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง

“เมื่อกี้เห็นดูกระเป๋าอยู่ ยี่ห้อ Zassy ใชไหม” 

อัษฎาหันมาณัฐวรา เลิกคิ้วแสดงว่าคำถามนั้นถูกต้อง

“สวยดีนะ เรียบแต่เท่ มีสไตล์ จำง่าย คนออกแบบเก่ง ใช้เวลาแป๊บเดียวก็ทำให้ตลาดรู้จักได้ ราคาก็ไม่แรงเกินไป”

ชายหนุ่มแค่นยิ้ม “คนมันต้นทุนดี ทำอะไรก็ดีไปหมด”

“หืม น้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยชอบใจเท่าไรเลยนะ”

ณัฐวราเองก็จำได้ถึงเรื่องเล่าความเป็นคู่แข่งระหว่างสองหนุ่มจากคณะบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในตำนานที่มีตำรวจมาจับนักศึกษาถึงในมหาวิทยาลัย

“เรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้ว ยังไม่ญาติดีกันอีกเหรอ”

อัษฎากระดกเหล้าก่อนตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน 

“คนที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันน่ะ ไม่มีทางญาติดีกันได้หรอก”

หญิงสาวรู้สึกว่าชายหนุ่มน่าจะกรึ่มได้ที่แล้วดูจากแววตากับภาษาที่ใช้ เขาเรียกขอเหล้าจากบาร์เทนเดอร์อีก ส่วนของเธอพอแค่นั้น 

“แล้วไง ถ้าไม่ญาติดีกัน งั้นก็จะเป็นคู่แข่งกับเขาอย่างนั้นเหรอ”

คำว่าคู่แข่งทำให้อัษฏาที่กำลังจะยกแก้วขึ้นกระดกต่อเปลี่ยนใจวางลงบนโต๊ะ แล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

“เราไปก่อนนะ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ต่อบทสนทนาแล้ว ณัฐวราขยับตัวลงจากเก้าอี้ทำท่าจะเดินออกไป แต่ชายหนุ่มคว้าแขนไว้

“เดี๋ยว”

เธอหันไปมองอย่างแปลกใจ

“เรื่องที่เคยชวนเราไปทำงานด้วยน่ะ ล้มเลิกความคิดไปแล้วหรือยัง”

                

ทิพารักษ์วางสายจากฝ่ายบุคคลที่โทร.มาแจ้งผลการสัมภาษณ์ เธอผ่านการพิจารณา บริษัทจะรับเข้าทำงานแต่มีเงื่อนไขต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด ถึงแม้จะมีสวัสดิการบ้านพักและเป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก แต่เธอก็ไม่สะดวก จึงบอกว่าขอคิดดูก่อน แล้วพรุ่งนี้จะให้คำตอบอีกครั้ง

เธอนั่งพักผ่อนที่ศาลาในสวน ถอนใจ ทำไมชีวิตถึงได้ยากเย็นนัก สมัครงานกี่ที่ก็ได้แต่ที่ไกลบ้าน ยิ่งตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับแม่แล้วถ้าจะต้องห่างไปต่างจังหวัดอีกยิ่งเป็นไปไม่ได้

เธอหยิบโทรศัพท์มาอีกครั้ง ต้องมีสักที่สิน่าที่เป็นที่ของเธอ

เสียงโทรศัพท์ดัง หน้าจอขึ้นชื่อแม่ ทิพารักษ์ยิ้มออก

“จ้าแม่”

“ปีบ พรุ่งนี้ว่างไหมลูก แม่ทำวุ้นดอกไม้ไว้เยอะแยะเลย มาเอาไปให้บ้านนั้นกินสิ”

“ได้ๆ เดี๋ยวปีบไปแต่เช้าเลยนะ”

“จ้ะ”

การได้คุยกับแม่ทำให้อารมณ์ทิพารักษ์ดีขึ้น อย่างน้อยก็ได้ปรึกษาเรื่องงานกับแม่อีกที

                

อัษฎานั่งกินข้าวเย็นตอนสองทุ่มครึ่ง แม่ขึ้นห้องนอนไปแล้วจึงเหลือเขาเพียงคนเดียวกับเสียงทีวีที่ฉายภาพยนตร์ฝรั่งรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ แต่จำได้ว่าเคยดูไปแล้ว

เขาลุกไปเปิดตู้เย็นจะหยิบน้ำขวดใหม่ เห็นเบียร์กระป๋องตั้งอยู่ เมื่อคืนเขาเพิ่งไปดื่มมาที่ร้าน วันนี้ตั้งใจจะพักจึงกลับมากินข้าวที่บ้าน แต่ยังเจอเบียร์ที่ยังเหลือทำให้ลังเลที่จะหยิบมาดื่ม

ขณะที่กำลังตัดสินใจเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน อัษฎาปิดตู้เย็น เดินถือขวดน้ำกลับมาที่โต๊ะ

หน้าจอขึ้นชื่อณัฐวรา เขากดรับ

“ขอโทษที่โทร.มาเวลาป่านนี้ ฉันเพิ่งเสร็จงาน กำลังจะกลับบ้าน” 

“ไม่เป็นไร มีอะไรเหรอ” เขานั่งที่เก้าอี้ เปิดน้ำรินใส่แก้ว

“ก็จะโทร.มาคอนเฟิร์มเรื่องที่ดาจะมาทำงานที่บริษัทเรา”

อัษฏานิ่งไปครู่หนึ่ง ทบทวนบทสนทนาที่ได้คุยกับเมื่อคืนที่ร้านเหล้า ณัฐวราดูประหลาดใจมากที่เขาแสดงความต้องการจะไปทำงานที่บริษัทของเธอ

“เมือคืนเมา ตอนนี้น่าจะสร่างเมาแล้ว ยังยืนยันคำพูดเหมือนเดิมหรือเปล่า”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงเพลงเบาๆ แทรกมา 

“ยอมรับว่าเมา แต่ไม่ได้ขาดสติ”

ณัฐวรายิ้มอยู่อีกปลายสาย “พร้อมจะเริ่มงานเมื่อไรดีล่ะ”

อัษฎาดื่มน้ำก่อนตอบ “ขอเวลาเคลียร์งานที่เก่าก่อนนะ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น