บทที่ ๑

บทที่ ๑

 

ในตระกูลคนจีนซึ่งมักมีลูกหลานมากมาย หลานชายคนโตของตระกูลมักจะเป็นหลานคนโปรด แต่สำหรับตระกูลวรกิจไพศาลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหลานคนที่ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งในใจของภิมุข ประมุขใหญ่แห่งตระกูล กลับเป็น พิชชาภา วรกิจไพศาล หลานสาวคนเล็กสุดของตระกูลซึ่งประมุขเลี้ยงดูประหนึ่งลูกสาวแท้ๆ 

               หลานสาวคนนี้กำพร้าพ่อ เพราะกฤษดา ลูกชายคนเล็กของภิมุขประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกจากการลงพื้นที่ ภิมุขรู้สึกผิดมาโดยตลอดว่าหากวันนั้นตนไม่ให้กฤษดาไปตรวจงานแทน พิชชาภาก็คงไม่กำพร้าพ่อตั้งแต่แบเบาะ

               นับจากการสูญเสียครั้งนั้น ภิมุขจึงเป็นทั้งพ่อและปู่ให้พิชชาภา ไม่ว่าหญิงสาวต้องการอะไร หากไม่ใช่สิ่งที่เป็นไม่ได้ ภิมุขก็ไม่เคยขัดใจและสรรหามาให้ทุกอย่าง พรรณีผู้เป็นสะใภ้ไม่พอใจนักที่ลูกสาวถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ แต่ก็ขัดใจประมุขใหญ่ของบ้านไม่ได้ ประกอบกับพรรณีเองก็เป็นม่ายแต่สาว และเป็นแม่ประเภทที่ไม่พร้อมจะทุ่มเทเวลาเลี้ยงลูกเองได้ตลอดยี่สิบชั่วโมง ในเมื่อมีปู่และพี่เลี้ยงคอยดูแลให้แล้ว พรรณีจึงใช้เวลาส่วนใหญ่นอกบ้านกับเพื่อนๆ ภรรยาเศรษฐี ชอปปิง กินข้าวร้านหรูๆ และจัดกลุ่มไปเที่ยวต่างประเทศแทบทุกเดือน ถึงพรรณีจะเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องในสายตาภิมุข แต่ผู้อาวุโสก็ไม่ถือสาหาความ เพราะอย่างน้อยพรรณีก็ยังรักษาภาพลักษณ์ของสะใภ้ที่ดี ไม่มีข่าวซุบซิบเรื่องชู้สาวให้เสียหาย 

               พิชชาภาได้เล่าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีที่สุดเหมือนกับลูกพี่ลูกน้องในตระกูลทุกคน และไม่จำเป็นต้องสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยให้เหนื่อยยาก พอสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้น ภิมุขก็ส่งพิชชาภาไปเรียนมัธยมปลายที่ประเทศอังกฤษ ด้วยผลการเรียนที่ไม่แย่แต่ก็ไม่ถึงกับดีเลิศ หญิงสาวจึงได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในระดับกลางๆ ต่างกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ที่ได้รับเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลก

ทว่าพิชชาภาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าใคร เพราะหล่อนไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่มีความฝัน ดังนั้นเมื่อภิมุขแนะนำให้เรียนคณะบริหารธุรกิจ หญิงสาวจึงไม่อิดออดแต่อย่างใด หล่อนรู้เพียงว่าการเรียนปริญญาตรีให้จบคือขั้นตอนหนึ่งในชีวิตที่ต้องทำให้สำเร็จ จบแล้วก็จบกัน จะให้เรียนปริญญาโท ปริญญาเอกอีกกี่ใบก็ได้ ขอเพียงได้ใช้ชีวิตสุขสราญอย่างที่เป็นอยู่ และรู้ดีว่าหลังเรียนจบ เพียงหล่อนเอ่ยปากว่าอยากอยู่บ้านเฉยๆ ภิมุขก็คงไม่ขัดข้อง

               แล้วก็จริงดังที่หล่อนคิดไว้ หลังจากพิชชาภาเรียนจบปริญญาตรี ภิมุขเริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจและต้องผ่าตัดใหญ่ หญิงสาวจึงใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกลับมาดูแลปู่แทนที่จะเรียนต่อปริญญาโทอย่างลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ภิมุขเองก็พูดไม่ออก เพราะลึกๆ แล้วก็อยากมีหลานสักคนอยู่ใกล้ๆ คอยปรนนิบัติดูแล แล้วพิชชาภาก็เป็นพยาบาลที่ดีเสียด้วย ภิมุขจึงหายวันหายคืน กลับมาแข็งแรงราวกับมีปาฏิหาริย์ 

แม้ตอนนี้พิชชาภาจะไม่ต้องดูแลภิมุขอย่างใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่หล่อนก็ไม่คิดจะใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเพื่อช่วยธุรกิจครอบครัว ภิมุขเคยเรียกพิชชาภามาคุยและเสนอตำแหน่งงานบริหารบริษัทเล็กๆ ในเครือให้ แต่หล่อนปฏิเสธ โดยอ้างว่าถ้าต้องรับผิดชอบงานหนักๆ จะทำให้หล่อนเครียดจนถึงขั้นป่วยเป็นโรคร้ายแรงได้

               ผ่านมาแล้วห้าปี พิชชาภายังคงไม่ทุกข์ร้อนกับการใช้ชีวิตแบบไร้ภาระและความรับผิดชอบใดๆ ต่างจากลูกพี่ลูกน้องที่ต่างเติบโตก้าวหน้าในสายงานของตัวเอง นอกจากหลานๆ เหล่านี้จะช่วยบริหารธุรกิจครอบครัวให้มั่นคงยิ่งใหญ่กว่าเดิมแล้ว หลายคนยังแตกไลน์ธุรกิจร่วมลงทุนกับต่างประเทศจนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับเอเชีย ดังนั้นพิชชาภาจึงเป็นแกะดำในหมู่พี่น้อง ทุกคนดูถูกและไม่พอใจอย่างมากที่หญิงสาวเอาเปรียบไม่ช่วยทำงาน ร้ายกว่านั้นยังใช้เงินกงสีมากกว่าทุกคน

               ล่าสุดพิชชาภาก็เพิ่งถอยลัมโบกินีรุ่นใหม่ป้ายแดงมาขับจนกลายเป็นข่าวใหญ่ฮือฮา ตราบใดที่ภิมุขไม่ตำหนิหรือห้ามปราม หญิงสาวก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่าใครจะมองหรือนินทาหล่อนลับหลังอย่างไร ถึงบรรดาลูกพี่ลูกน้องจะไม่มีใครยอมรับในตัวหล่อนและถึงขั้นลบพิชชาภาออกจากกลุ่มไลน์ลูกหลานวรกิจไพศาล พิชชาภาก็ไม่แคร์ เพราะตลอดมาก็ไม่เคยมีใครทำตัวเป็นพี่เป็นน้องกับหล่อนอยู่แล้ว นานทีปีหนเจอกันก็เหมือนเจอคนแปลกหน้าที่ทักทายกันตามมารยาท

               ส่วนเพื่อนน่ะหรือ หล่อนก็พอมี แต่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ได้ไหม ก็แค่ไปปาร์ตีหรือออกงานสังคมด้วยกันเท่านั้น รวมกลุ่มกันเพื่อให้เป็นจุดสนใจ ซึ่งสาวๆ ในกลุ่มล้วนแต่เป็นคนดังในแวดวงสังคมที่มียอดไลก์ในอินสตาแกรมมากกว่าดาราดังบางคนเสียอีก การที่หล่อนต้องแต่งตัวสวยๆ ใส่ชุดแบรนด์เนมลงอินสตาแกรมก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพราะเสื้อผ้าหรือรองเท้าคู่ไหนที่หล่อนใส่ก็ขายดีหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา ครอบครัวควรจะขอบคุณหล่อนด้วยซ้ำ เพราะช่วยทำให้สินค้าแพงๆ ไม่ค้างสต๊อก

               แม้พิชชาภาจะมีความสุขดีและมั่นใจว่าจัดการชีวิตของตัวเองได้ แต่ภิมุขก็ยังเป็นห่วงหลานสาวคนนี้เหลือเกิน เขาไม่ได้คาดหวังให้พิชชาภาต้องเป็นเวิร์กกิงวูแมนที่ทำงานแบบเอาเป็นเอาตายหรือต้องประสบความสำเร็จอะไรมากมาย เขาแค่อยากให้หญิงสาวรู้จักทำงานและรับผิดชอบชีวิตตัวเองเสียที คงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยหลานสาวคนนี้ให้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงเป็นหลักเป็นฐานเสียที

               ภิมุขนั่งคิดอะไรเพลินๆ จนกระทั่งมีเสียงประกาศจากพิธีกรดาราหนุ่มชื่อดังบนเวที

               “ตอนนี้ถึงเวลาอันสมควรที่จะตัดเค้กวันเกิดแล้วนะครับ ขอเรียนเชิญคุณภิมุข วรกิจไพศาล ด้วยครับ”

               หลานชายสองคนช่วยประคองภิมุขขึ้นไปบนเวทีกลางแจ้งซึ่งประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพรรณประหนึ่งจำลองสวนพฤกษชาติย่อมๆ เอาไว้ ทั้งยังมีน้ำพุประดับสวนขนาดมหึมา กลางสวนคือแท่นวางเค้กที่ทำเป็นชั้นสูง แต่ละชั้นประดับประดาด้วยดอกไม้ที่ทำจากมาซิแพนอย่างวิจิตรบรรจงยิ่งกว่าเค้กในงานแต่งงาน เสียงเพลงคลาสสิกบรรเลงคลอเบาๆ เสริมบรรยากาศให้ยิ่งหรูหรา แม่งานที่ใช้งบบานปลายอลังการในวันนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากพิชชาภาซึ่งยืนยิ้มแฉ่งถือแก้วแชมเปญอยู่หน้าเวที 

               หลังจากภิมุขตัดเค้กเสร็จแล้ว ก็มีเสียงพลุที่ปรากฏเป็นตัวเลขแปดสิบสี่บนท้องฟ้า แขกในงานพากันอุทานและถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้น แต่ภิมุขกลับไม่ได้ตื่นเต้นกับงานหรือบรรยากาศเลิศหรูนี้ เมื่อชีวิตย่างเข้าปลายทางแล้ว ความสุขที่มั่นคงยั่งยืนกลับไม่ใช่ความสุขฉาบฉวยที่หาซื้อได้ด้วยเงินอีกต่อไป

               แขกเหรื่อและลูกหลานต่างทยอยมาอวยพรวันเกิดภิมุขและนำของขวัญมาให้ แน่นอนว่าคนอย่างพิชชาภาซึ่งชอบทำตัวเป็นจุดเด่นเดินมาอวยพรวันเกิดเป็นคนสุดท้าย

               “เนื่องในวันเกิดครบเจ็ดรอบ เพิร์ลขอให้คุณปู่มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนหมื่นๆ ปี หนุ่มขึ้น หล่อขึ้น สาวๆ ที่ไหนเห็นก็ขอให้หลงรักนะคะ แต่ไม่ว่าคุณปู่จะรักใครก็ขอให้รักเพิร์ลที่สุด” พิชชาภาไม่พูดเปล่า ยังหอมแก้มภิมุขด้วย 

               “สาวที่ไหนจะมาหลงรักคนแก่ที่ฟันแทบหมดปาก แล้วนี่แฟนเราอยู่ไหนล่ะ” 

ภิมุขเหลียวหาธัชนันท์ นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งได้รับรางวัลนักธุรกิจดีเด่นหมาดๆ วันนี้เป็นวันเกิดของเขา อย่างน้อยคนรักของหลานสาวก็ควรมาร่วมงาน เขาไม่เคยชอบชายหนุ่มผู้นี้เลย แม้ภายนอกจะดูเอาการเอางาน น่าจะเป็นคนที่พิชชาภาฝากชีวิตไว้ด้วยได้ แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตทำให้เขามองออกว่าธัชนันท์ไม่ใช่คนที่น่าไว้ใจ แต่เขาก็ไม่อยากขัดใจหลานสาวที่กำลังอินเลิฟและภูมิใจกับแฟนหนุ่มคนนี้เหลือเกิน

               “พี่เท็ดเขาติดงานด่วนค่ะ พอดีมีลูกค้าต่างชาติบินมาคุยงาน เขาฝากกราบขอโทษคุณปู่ และจะหาโอกาสมาอวยพรวันเกิดด้วยตัวเองค่ะ” พิชชาภายิ้มเจื่อนๆ เพราะดูออกว่าภิมุขไม่พอใจ

               “เรื่องงานสำคัญก็จริง แต่คนที่จัดสรรเวลาไม่เป็นคือคนที่ไม่ได้เรื่อง”

               “คุณปู่ขา แค่นี้พี่เท็ดเขาก็ได้เรื่องได้ราวจะแย่อยู่แล้ว คุณปู่อย่าไปถือสาพี่เขาเลยนะคะ...วันเกิดปีนี้คุณปู่จะมีเซอร์ไพรส์อะไรให้หลานๆ เอ่ย จะเป็นเพนต์เฮาส์กลางเมืองที่ไหน หรือว่าจะเป็นที่ดินกลางเมืองน้า” พิชชาภากอดแขนประจบ

               ถือเป็นธรรมเนียมในงานวันเกิดของภิมุขว่าจะมีการมอบของขวัญให้แก่ลูกหลานเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการจับฉลาก และหลายครั้งที่หล่อนมักได้รางวัลในงานวันเกิดของเขา จนมีลูกหลานบางคนถึงกับท้วงว่าภิมุขใช้การเสี่ยงโชคเป็นข้ออ้างเพื่อให้รางวัลหลานสาวคนโปรด

               “ปีนี้ของขวัญเด็ดกว่าทุกปี รับรองว่าจะต้องเซอร์ไพรส์จนอ้าปากค้าง” ภิมุขตอบยิ้มๆ ป่านนี้แม่หลานสาวตัวดีอาจคิดฝันไปไกลว่าเขาจะต้องแจกรางวัลชิ้นใหญ่อย่างเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวหรืออะไรที่พิเศษกว่านั้น

               “งั้นเพิร์ลไม่กวนคุณปู่แล้วดีกว่าค่ะ คุณปู่จะได้พักสักนิดก่อนแจกรางวัล อย่าลืมเลือกฉลากชื่อเพิร์ลนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปพูดคุยกับแขกเหรื่อในงาน 

               ภิมุขมองตามหลานสาวคนโปรดที่เวลานี้หัวเราะพูดคุยอย่างสนุกสนาน ชนแก้วกับแขกด้วยท่าทางแจ่มใสอย่างผู้ที่ไม่เคยมีความอนาทรร้อนใจใดๆ กล้ำกรายเข้ามาในชีวิต เขาได้แต่ถอนใจด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง หากวันหนึ่งโลกของหญิงสาวที่เคยปกคลุมด้วยฟ้าใสกระจ่างเกิดมีฟ้าผ่าลงมากะทันหัน พิชชาภาจะรับมือไหวไหม

               ชีวิตของภิมุขล่วงเลยมาเลขแปดกลางๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ถึงวันไหน เขาจะปกป้องดูแลพิชชาภาไปได้นานอีกสักแค่ไหนกัน ถ้าพิชชาภาไม่เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย มีความฝัน และยืนหยัดด้วยตัวเอง ยามที่เขาจากโลกนี้ไปแล้วจะกล้าสู้หน้าลูกชายคนเล็กได้อย่างไร ภิมุขได้แต่รำพึงกับตัวเอง

               ‘ขอโทษนะเพิร์ล ปู่ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย แต่วันหนึ่งเพิร์ลจะต้องขอบคุณปู่’

               พิชชาภาดื่มทั้งแชมเปญและไวน์ไปกี่แก้วแล้วก็ไม่รู้ ที่รู้คือหล่อนเริ่มมึนนิดๆ แต่จะเป็นอะไรไปหากหล่อนยังครองสติได้ดี ที่สำคัญวันเกิดของคุณปู่จัดปีละหน ถ้าไม่เฉลิมฉลองให้สุดเหวี่ยงวันนี้จะไปฉลองวันไหน จะว่าไปแล้วหล่อนไม่ค่อยพอใจคนรักนัก ถึงเขาจะยุ่งแค่ไหนก็ควรจัดเวลามาร่วมงานนี้ให้ได้

               “ดื่มเยอะขนาดนี้ เพิร์ลงอนที่เท็ดไม่มางานนี้ใช่ไหม” ชญานี ลูกพี่ลูกน้องสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เปรยขึ้นมา

               “ทำไมต้องงอนด้วยล่ะคะ ก็พี่เท็ดเขางานยุ่ง...วันนี้ไวน์ดีๆ ทั้งนั้น เพิร์ลจ้างซอมเมอลิเยร์เจ้าดังให้ช่วยเลือกไวน์ให้ พี่หญิงไม่ดื่มสักแก้วเหรอคะ เพิร์ลไปเอาให้ไหม” ถึงชญานีจะญาติดีกับหล่อนกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ แต่พิชชาภาก็ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ชญานีอาจแกล้งทำดีมาชวนคุยเพื่อเอาเรื่องของหล่อนไปนินทาต่อในกลุ่มไลน์

               “พี่ไม่ดื่มละจ้ะ การดื่มจะทำให้เราขาดสติ” ชญานียิ้มเย็น ปั้นหน้านิ่งสงบ 

พิชชาภาอยากหัวเราะ ไม่ใช่ชญานีหรอกหรือที่เดือนก่อนสติหลุด ถึงกับเอาน้ำไปสาดหน้ากิ๊กของสามีที่ร้านอาหารดังแห่งหนึ่ง เคราะห์ดีที่หล่อนไม่ต้องทนคุยกับชญานีต่อ เพราะภิมุขกำลังจะจับฉลากรางวัลพิเศษในค่ำคืนนี้

               “ถึงเวลาที่ลูกๆ หลานๆ ทุกท่านรอคอยแล้วนะครับ ท่านภิมุขจะจับฉลากรางวัลพิเศษแล้วครับ” พิธีกรหนุ่มเอ่ยพลางยื่นถ้วยคริสตัลที่ใส่ฉลากชื่อลูกหลานในตระกูลไว้ให้ภิมุข

               ในจังหวะที่ประมุขของตระกูลเอื้อมมือไปหยิบฉลาก ลูกหลานทุกคนต่างลุ้นจนแทบจะลืมหายใจ พิชชาภาเองก็หายใจไม่ทั่วท้อง ความจริงหล่อนไม่จำเป็นต้องลุ้นเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าหล่อนเอ่ยปากขออะไร คุณปู่ก็พร้อมจะให้หล่อนอยู่แล้ว แต่รางวัลในวันเกิดของภิมุขมักเป็นของขวัญพิเศษเสมอ จะดีแค่ไหนหากปีนี้หล่อนได้เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไปเที่ยว รับรองว่าโพสต์รูปลงอินสตาแกรมเมื่อไร คนที่ติดตามหล่อนจะต้องกรี๊ดและกดไลก์รัวๆ แน่ 

               “ก่อนที่ปู่จะประกาศว่าใครจะเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลนี้ ต้องขอบอกก่อนว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลพิเศษที่สุดตั้งแต่ที่เคยให้มา เพราะปู่เองก็อายุแปดสิบกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าปีหน้าจะได้มาแจกของขวัญเหมือนวันเกิดปีนี้ไหม ทุกคนคงอยากรู้แล้วว่าของขวัญสุดพิเศษนี้คืออะไร งั้นเรามาดูพร้อมๆ กัน”

               หน้าจอโพรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นมาบนเวที พิชชาภามั่นใจว่าในฐานะที่เป็นแม่งาน หล่อนไม่ได้สั่งให้เตรียมโพรเจกเตอร์นี้ไว้แน่ๆ คุณปู่คงเตรียมงานนี้ไว้เอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะภิมุขมักทำอะไรที่ลูกหลานคาดไม่ถึงเสมอ

               ภาพรางวัลที่ฉายบนหน้าจอโพรเจกเตอร์ไม่ใช่เครื่องบินเจ็ตอย่างที่พิชชาภาหวังไว้ แต่กลับเป็นภาพสามมิติของอาคารขนาดใหญ่ที่มองดูแล้วไม่น่าจะเป็นคอนโดหรือที่พักอาศัย จนกระทั่งมีตัวอักษรคำว่า ‘เพรสทีจ’ (Prestige) ปรากฏเท่านั้น ถึงได้มีเสียงพึมพำดังขึ้น

               “ของรางวัลที่ปู่จะมอบให้ในปีนี้ คือหุ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของห้างสรรพสินค้าสาขาใหม่แห่งนี้ ฟังแล้วเป็นไงบ้าง”

               เสียงอื้ออึงดังไม่หยุด การได้หุ้นครึ่งหนึ่งของห้างสรรพสินค้าใหม่แห่งนี้ถือว่าโชคดีกว่าได้เครื่องบินเจ็ตเป็นไหนๆ เพราะหากธุรกิจมีผลประกอบการดี ก็เตรียมรับส่วนแบ่งก้อนโตทุกเดือน 

แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้าหล่อนเกิดได้รางวัลใหญ่นี้จริงๆ ใครจะเป็นผู้บริหารห้างสรรพสินค้าสาขานี้ให้ล่ะ อย่าบอกนะว่าหล่อนจะต้องเป็นผู้บริหารเอง ถ้าเป็นแบบนี้ขอสละสิทธิ์ดีกว่า

               พิชชาภายิ้มปลอบใจตัวเอง คงไม่มีทางที่หล่อนจะได้รางวัลนี้แน่ เพราะภิมุขรู้ดีว่าหล่อนไม่มีทางรับมือของขวัญชิ้นใหญ่ที่มาพร้อมความรับผิดชอบนี้ได้ ดีไม่ดีธุรกิจที่ภิมุขสร้างมากับมืออาจพังพินาศในมือหล่อน

               “ผู้ที่ได้รับรางวัลใหญ่ประจำนี้ได้แก่...พิชชาภา”

               เอาละสิ...งานเข้า หล่อนต้องได้ยินผิดแน่ๆ อาจเป็นป้าจันทร์นิภาที่ฟังแล้วใกล้เคียงกัน พิชชาภาจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ จนกระทั่งชญานีสะกิดหล่อนนี่แหละ

               “เพิร์ล ทำไมไม่รีบขึ้นไปรับรางวัล คุณปู่เรียกชื่อเรานานแล้วนะ”

               “คุณปู่เรียกชื่อป้าจันทร์ไม่ใช่เหรอคะ” ถึงตอนนี้พิชชาภาก็ยังไม่อยากยอมรับว่าหล่อนคือผู้ที่ได้รับรางวัล ครั้นเหลือบมองไปทางจันทร์นิภา ก็ไม่เห็นคุณป้ามีทีท่าจะเดินขึ้นไปบนเวทีเลย หรือว่าหล่อนจะได้รางวัลนี้จริงๆ จะเป็นอะไรไหมถ้าขอสละสิทธิ์

               “เพิร์ล ขึ้นมารับรางวัลสิลูก”

ครั้นภิมุขย้ำอีกครั้ง พิชชาภาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตัวชาขึ้นไปรับรางวัลที่พลิกผันเป็นบทลงโทษ หล่อนคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว พอเดินขึ้นมาบนเวที พิชชาภาจึงไม่รอช้า คว้าไมโครโฟนจากมือพิธีกรหนุ่มที่ทำหน้างงๆ

               “เพิร์ลขอบคุณคุณปู่สำหรับรางวัลนะคะ แต่คงรับไว้ไม่ได้ เพิร์ลขอสละสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่เหมาะสมกับรางวัลนี้ดีกว่าค่ะ” พิชชาภาหันมายิ้มแหยเป็นเชิงขอโทษภิมุขที่ทำหน้าผิดหวัง

               “ปู่เสียใจนะที่เพิร์ลไม่อยากได้ของขวัญชิ้นนี้ หรือว่าเพิร์ลกลัวบริหารงานไม่ได้ ทำไมไม่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นล่ะว่าเพิร์ลก็บริหารงานได้ดีไม่แพ้ใคร”

               คำพูดของภิมุขเหมือนหมัดที่ต่อยท้องพิชชาภาจนจุก ทำไมคุณปู่ถึงใจร้ายพูดประเด็นที่อ่อนไหว มารดา คุณลุงคุณป้า รวมไปถึงลูกพี่ลูกน้องทุกคนของหล่อนต่างจ้องมองหล่อนเป็นตาเดียวกัน แต่จะให้พูดออกมาตรงๆ ว่าหล่อนไม่มั่นใจหรือทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่คนอย่างพิชชาภาเช่นกัน

               บรรยากาศในงานเงียบกริบเหมือนมีใครกดสวิตช์ปิดเสียง สร้างความกดดันให้พิชชาภายิ่งกว่าเดิม คล้ายกับว่าหล่อนถูกบีบให้ต้องรับรางวัลนี้ไปโดยปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ

               “เพิร์ลรับของขวัญชิ้นนี้ก็ได้ค่ะ คุณปู่” พิชชาภากัดฟันพูด อย่างน้อยก็ขอให้สถานการณ์ที่แสนบีบคั้นนี้ผ่านไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ต่อรองกับภิมุขในภายหลัง

               ภิมุขยื่นซองเอกสารให้หล่อน ซึ่งภายในนั้นก็คงเป็นเอกสารสัญญาต่างๆ พิชชาภายกมือไหว้ รับมาและยืนถ่ายภาพกับภิมุขที่ดูจะยิ้มแฉ่งเป็นพิเศษ ใครจะอิจฉาคิดว่าหล่อนโชคดีก็อิจฉาไปเถอะ เพราะสำหรับพิชชาภาแล้ว ของขวัญมูลค่าสูงลิบชิ้นนี้คือของร้อนที่หล่อนอยากจะโยนทิ้งถังขยะให้รู้แล้วรู้รอดไป

               

               “ดูพลุนั่นสิพฤกษ์ สงสัยมีพวกเศรษฐีจัดงานวันเกิดแน่ๆ เห็นแล้วเสียดายเงินเนอะ เหมือนเอาเงินมาเผาทิ้งยังไงไม่รู้” สาวผมซอยสั้นในชุดเอี๊ยมยีนที่กำลังง่วนกับการยกกระถางเซรามิกเข้ามาในโรงเรือนเปรยขณะแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสี 

               “เขาคงมีเงินเหลือกินเหลือใช้ อย่าไปสนใจเขาเลยเนตร แต่ละคนก็มีความสุขในการใช้ชีวิตตามฐานะของตัวเอง” พฤกษ์เอ่ยเนิบๆ จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้คิดต่างจากเนตรนพินนัก แต่ไม่ได้ต่อต้านเพราะคิดว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล

               “พฤกษ์นี่เป็นคนดีจังเนอะ พยายามเข้าใจคนอื่น แล้วเมื่อไหร่พฤกษ์จะเข้าใจว่าเนตรรู้สึกยังไงกับพฤกษ์เสียทีนะ” เนตรนพินได้โอกาสทีไรก็คอยหยอดเขาทุกที แต่พฤกษ์ทำเป็นไม่ได้ยิน

               พฤกษ์รู้จักเนตรนพินจากงานกระบองเพชรและไม้อวบน้ำที่ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองแห่งหนึ่งเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นหญิงสาวเพิ่งเริ่มเลี้ยงกระบองเพชรและมาซื้อกระบองเพชรที่ร้านของเขา พอคุยกันถูกคอ เนตรนพินก็ขอเบอร์ติดต่อและขอคำปรึกษาจากเขาบ่อยๆ ทั้งยังเป็นลูกค้าประจำอีกด้วย จากลูกค้าที่เริ่มสะสมไม้เป็นงานอดิเรก เนตรนพินซึ่งเรียนจบด้านการออกแบบเซรามิกก็ได้ลู่ทางการทำอาชีพเสริมด้วยการทำกระถางแฮนด์เมดขาย ช่วงปีแรกๆ กระถางของเนตรนพินยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เพราะกระถางแฮนด์เมดมีราคาสูงกว่ากระถางพลาสติกทั่วไป จนหญิงสาวเริ่มถอดใจอยู่หลายครั้ง

               พฤกษ์เห็นความตั้งใจของหญิงสาว จึงรับกระถางมาวางขายที่สวนของเขา พฤกษ์เลือกเอากระบองเพชรพันธุ์ยอดนิยมราคาสูงมาจัดในกระถางของเนตรนพิน จึงทำให้ลูกค้าเริ่มสนใจกระถางแฮนด์เมดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจากจะสวยและคุณภาพดีแล้ว ยังมีเพียงชิ้นเดียวในโลก นำไปวางประดับตามที่ต่างๆ ได้อย่างไม่อายใคร ยิ่งช่วงนี้กระแสการเลี้ยงกระบองเพชรกำลังกลับมาเป็นที่นิยม กระถางของเนตรนพินก็เลยพลอยขายดีไปด้วยจนผลิตแทบไม่ทัน

               จะว่าไปแล้วพฤกษ์เองก็ปลื้มกับความขยันขันแข็งของเนตรนพินไม่น้อย รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวก็จัดว่าสวยน่ารัก แต่เนตรนพินไม่ใช่คนช่างแต่งตัว และมักแต่งกายด้วยชุดง่ายๆ สีเรียบทึมๆ กับรองเท้าผ้าใบ เขาแทบจะไม่เคยเห็นเนตรนพินสวมกระโปรงหรือใส่รองเท้าส้นสูงเลย หน้าตาก็แทบไม่แต่ง แต่การที่หญิงสาวเป็นคนผิวดีประกอบกับมีดวงตากลมโต ขนตาเป็นแพหนา ก็เลยทำให้ใบหน้าดูไม่จืดชืด ถึงอย่างนั้นเนตรนพินก็ยังไม่ได้สวยสะดุดตาชนิดที่เดินผ่านแล้วต้องมองจนเหลียวหลัง แต่ตัวพฤกษ์เองก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ ฐานะปานกลาง ซ้ำยังใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายพอเพียงอีกต่างหาก ดังนั้นเนตรนพินจึงน่าจะเป็นคนที่กำลังพอดีสำหรับเขา แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงยังไม่พร้อมเปิดใจให้เธอ และยังคงเว้นระยะความสัมพันธ์ไม่ให้ลึกซึ้งเกินกว่าความเป็นเพื่อน

               “เอากระถางมาวางตรงนี้ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะเอาไปจัดวางที่ชั้นให้...เนตรจะให้ผมดูอาการเจ้ามังคุดด้วยไหม” 

               เจ้ามังคุดที่พฤกษ์เอ่ยถึงคือกระบองเพชรสายพันธุ์ยิมโนคาไลเซียมสีเปลือกมังคุด มีสีเขียวแซมเล็กน้อยตามบั้ง โดยทั่วไปแล้วเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘เดย์ดรีม’ แต่เนตรนพินกลับตั้งชื่อใหม่ให้ว่ามังคุด เพราะเป็นผลไม้โปรดของเธอ 

               “อยู่ดีๆ ลำต้นมันก็ยุบไปข้างนึง พฤกษ์ช่วยรักษาให้หน่อยสิ” หญิงสาวยื่นกระบองเพชรในกระถางขนาดกลางให้เขาด้วยสีหน้ากังวล

               พฤกษ์หมุนดูเจ้ามังคุดอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะแซะรากออกมาอย่างเบามือด้วยไม้ปลายแหลมเพื่อไม่ให้รากกระเทือน และรูดดินออกจากรากอย่างเบามือ

               “เห็นไหมว่ารากเหลือนิดเดียว ส่วนปลายๆ มีปัญหานิดหน่อย เลยได้น้ำไม่ดีเท่าเดิม” พฤกษ์อธิบายพลางหยิบกรรไกรมาตัดแต่งรากเจ้ามังคุดจนแทบจะสั้นกุด แล้วใส่ดินใหม่พร้อมหยอดเม็ดปุ๋ยลงในกระถางเพื่อลงปลูกอีกครั้ง 

               “พรุ่งนี้ค่อยรดน้ำนะ รอให้ฟื้นตัวสักคืนนึงก่อน”

               “มันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม พฤกษ์ก็รู้ว่าเจ้ามังคุดมีความหมายกับเนตรมากแค่ไหน” หญิงสาวเอ่ยเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้

               “มันแพงเลยกลัวตายใช่ไหมล่ะ” พฤกษ์แกล้งแซว เพราะรู้ดีว่าจริงๆ แล้วที่เนตรนพินรักเจ้ามังคุดมากเป็นพิเศษไม่ใช่เพราะสนนราคาที่สูงและเป็นไม้หายากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขามอบให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด

               “อย่าเครียดสิ ผมรู้ว่าเนตรดูแลมังคุดอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องเสียใจ”

               “ของแบบนี้พูดง่ายแต่ทำยากนะ...จริงสิ พฤกษ์ได้ข่าวเรื่องที่มีคนมากว้านซื้อที่ดินแถวนี้ไหม ได้ยินมาว่าเจ้าของที่ดินข้างๆ ก็ขายไปแล้ว เห็นว่าจะเอาไปสร้างห้าง”

               “ผมก็ได้ยินมาบ้าง” 

พฤกษ์ตอบไม่เต็มเสียงนัก เขาเองก็ได้รับการติดต่อขอซื้อที่ดินด้วยข้อเสนอที่ดีมากทีเดียว หากยอมขายที่ดินผืนนี้ พฤกษ์ก็จะมีเงินก้อนโตมากพอที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างจังหวัดอย่างสบายจนแก่เฒ่า แล้วยังสามารถสร้างสวนกระบองเพชรที่ใหญ่กว่านี้สองสามเท่า ตาของเขาก็เปรยๆ อยู่ว่าอยากย้ายกลับไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ เพราะบิดามารดาของเขาก็ทำไร่ผลไม้อยู่ที่นั่น พฤกษ์คิดหนักไม่น้อย ใจหนึ่งก็ผูกพันกับที่ดินผืนนี้ ที่สำคัญสวนกระบองเพชรแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่เขาตั้งใจเปิดเพื่อให้เด็กๆ และผู้สนใจได้มาเรียนรู้การปลูกกระบองเพชร รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอีกด้วย 

               “แล้วถ้าเขามาขอซื้อที่ พฤกษ์จะยอมขายไหม” เนตรนพินยังคงคาดคั้น

               “ไม่รู้สิ ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เนตรกลัวผมย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นเหรอ” พฤกษ์แกล้งกระเซ้าเพื่อนสาวที่หน้าแดงนิดๆ 

               “เนตรไม่กลัวหรอก เพราะไม่ว่าพฤกษ์จะย้ายไปอยู่ที่ไหน เนตรก็จะตามไปด้วย แต่ถ้าให้ดีก็อย่าย้ายไปไหนเลยนะ” น้ำเสียงตอนท้ายของเนตรนพินฟังดูวิตก

               “ตอนนี้ผมยังไม่มีแผนย้ายไปไหนหรอก แต่ถ้าผมจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เนตรจะเป็นคนแรกๆ ที่รู้เรื่องนี้” พฤกษ์ยังไม่แน่ใจกับแผนการชีวิต ในเมื่ออนาคตเป็นสิ่งที่ยากต่อการคาดเดา แต่ตราบใดที่เขายังไม่คิดขายที่ดินผืนนี้ เขาก็ไม่อยากเอามาคิดให้หนักสมอง รวมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเนตรนพินด้วย

ทว่าสิ่งที่พฤกษ์คิดว่าไม่ใช่ปัญหากลับกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญเร็วกว่าที่คิดไว้มาก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น