บทที่ ๗
“คุณจะนอนได้หรือยัง ถ้ามัวแต่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้พักกันพอดี”
พฤกษ์ชักเริ่มฉุน เพราะตั้งแต่หญิงสาวหย่อนร่างลงบนเตียงก็เอาแต่ใช้ให้เขาหยิบนู่นทำนี่สารพัด ไม่ว่าจะชาร์จโทรศัพท์ให้ หยิบน้ำมาให้ ขยับหมอนให้หล่อน จนพยาบาลที่เข้ามาตรวจชีพจรถึงกับออกปากว่าคงไม่ต้องเข้ามาดูแลพิชชาภาแล้ว เพราะมีบุรุษพยาบาลมือโปรคอยดูแล
จริงๆ เขาตั้งใจว่าจะอยู่รอจนหญิงสาวเข้าห้องพักเรียบร้อยก็จะกลับ แต่เวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน เขายังไม่มีโอกาสตัดบทขอตัวกลับเลย พอได้น้ำเกลือก็ดูเหมือนเรี่ยวแรงของพิชชาภาจะกลับคืนมา เพราะคุยจ้อไม่หยุดจนเขาชักเวียนหัว ถ้าไม่ดุก็คงไม่ยอมนอน
“ฉันว่าฉันโอเคแล้วละ ขอบคุณคุณอีกครั้งนะที่ยอมมาเป็นเพื่อนฉัน เอาไว้ฉันออกจากโรงพยาบาล ฉันจะช่วยเคลียร์ปัญหาของคุณให้เป็นการตอบแทน”
พฤกษ์ฟังแล้วถึงกับเลิกคิ้วอย่างงงจัด
“คนอย่างผมมีปัญหาให้คุณต้องช่วยแก้ให้ด้วยเหรอ ผมว่าคุณจัดการปัญหาของตัวเองให้รอดเถอะ”
“ก็เรื่องคุณกับแฟนไง เธอคงหึงที่เห็นคุณช่วยผายปอดให้ฉัน”
“เนตรเขาไม่ใช่แฟนผม เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นที่ต้องจะเคลียร์” พฤกษ์เอ่ยเสียงเรียบแต่เน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“อ้อ งั้นเขาคงรักคุณข้างเดียวสินะ เวลาผู้หญิงหึงนี่น่ากลัวนะ เธอมองฉันยังกะเป็นเพลี้ยที่เกาะอยู่ตามกระบองเพชร”
พฤกษ์อดขำคำเปรียบเปรยของพิชชาภาไม่ได้ คุณหนูผู้เลิศหรูเปรียบเทียบตัวเองกับเพลี้ยเนี่ยนะ เล่นตัวเองก็ได้ด้วย
“คุณทำเอาผมพูดไม่ออกเลย”
“ก็มันจริงนี่นา เวลาคุณยิ้มคุณดูดีนะ ทำไมถึงชอบเก๊กหน้าขรึมก็ไม่รู้”
พอถูกหญิงสาวชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ พฤกษ์ถึงกับเขิน
“ไม่ต้องมาหลอกชมผมเลย ผมรู้นะว่าคุณมองว่าผมเป็นพวกดิบเถื่อน”
“ฉันก็ไม่เถียงนะ ก็คุณดูเซอร์ น่ากลัวจริงๆ นี่นา แต่พอได้รู้จักคุณแล้ว ฉันว่าคุณดูดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะนิสัย ฉันว่าคุณเป็นคนใจดีคนนึง”
“อย่าคิดว่าชมแบบนี้ผมจะยอมใจอ่อนขายที่ให้คุณง่ายๆ...แฟนคุณหายไปไหนล่ะ ทำไมคุณไม่โทร. ตามเขามาดูแล เขารู้หรือเปล่าว่าคุณอยู่โรงพยาบาล”
“เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันทั้งนั้น บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าตกลงเรายังเป็นแฟนกันหรือเปล่า” พิชชาภาเอ่ยเสียงเศร้า
พฤกษ์เห็นสีหน้าท่าทางของหญิงสาวแล้วก็อดสงสารไม่ได้ พิชชาภาเหมือนจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงเธอกลับโดดเดี่ยว อย่างน้อยถ้าแฟนไม่สนใจก็ควรมีใครสักคนในครอบครัวมาดูแล แต่เขาก็ไม่อยากซักไซ้ แค่นี้เธอก็ดูน่าเวทนามากพอแล้ว
“วันก่อนเขาก็หวานกับคุณดี เห็นเขาเอาสร้อยมาให้คุณด้วย” พฤกษ์เอ่ยกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“คุณหมายถึงวันที่บาร์นั่นเหรอ” พิชชาภาจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับว่าเขาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเธอ
“ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องของคุณนักหรอก แต่พวกคุณพูดกันเสียงดังเหมือนอยากอวดชาวบ้าน”
“พวกฉันมาปาร์ตี ไม่ได้มานั่งวิปัสสนานะ จะได้ปิดวาจานั่งส่งโทรจิตคุยกัน อีกอย่างคนระดับฉันมีดีพอ ไม่ต้องอวดอะไรใคร” พิชชาภาตอบโกรธๆ
“นั่นสินะ ผมมันอยู่คนละระดับกับคุณ...ดึกมากแล้ว ผมกลับละ”
พิชชาภาทำหน้าจ๋อยและเอื้อมมือมารั้งข้อมือเขาไว้
“ฉันขอโทษ คุณช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันที่นี่ได้ไหม ฉันสัญญาว่าจะไม่กวนคุณอีก คุณนอนโซฟาตรงนั้นก็ได้นะ” พิชชาภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและทำตัวให้ดูน่าสงสาร
พฤกษ์ยืนนิ่งคิด ก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วทิ้งตัวนอนเงียบๆ บนโซฟา ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบและความมืด พฤกษ์นอนไม่หลับแม้เขาเองจะอ่อนเพลีย เพราะยังคงคอยเงี่ยหูฟังว่าเธอหลับไปแล้วหรือยัง พิชชาภาเงียบไปนาน นานจนเขากังวลว่าเธอจะหมดสติไปหรือเปล่า
พฤกษ์ขยับไปมาด้วยความกระสับกระส่าย จนในที่สุดก็ทนไม่ได้ ต้องเดินมาดูใกล้ๆ เห็นว่าหญิงสาวหลับปุ๋ยไปแล้ว เขาขยับผ้าห่มของเธออย่างเบามือและอดลูบศีรษะเธอไม่ได้
ยายตัวแสบเอ๋ย...จริงๆ ก็เก่งแต่ปาก พอสิ้นฤทธิ์แล้วก็คือหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง น่าแปลกที่เวลานี้อคติและความหมั่นไส้พิชชาภาเหมือนจะลดน้อยลงไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมใจอ่อนขายที่ให้เธอง่ายๆ หรอกนะ
พฤกษ์ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา ครั้งนี้เขาหลับสนิทเพราะหมดกังวลที่เห็นพิชชาภาหลับสนิท แต่พฤกษ์กลับคิดผิด พิชชาภาไม่ได้หลับเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้างามท่ามกลางความเงียบ...การนอนค้างที่โรงพยาบาลที่เคยคิดว่าน่าหวาดกลัวกลับกลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หัวใจหวามไหวไปเสียอย่างนั้น
“คุณต้องสัญญากับฉันนะว่าวันนี้จะโทร. มาบอกผลว่างานของฉันผ่านหรือเปล่า” พอตื่นเช้ามามีแรง พิชชาภาก็ย้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เพราะพฤกษ์ทำหน้าเหมือนไม่รับเรื่อง
“ขืนคุณย้ำอีกครั้ง ผมจะไม่ตรวจงานคุณเลย...วันนี้ก็อย่าเพิ่งซ่าออกไปไหนล่ะ เรื่องเหล้าเบาได้เบานะคุณ” พฤกษ์ได้ทีเทศนาหล่อน
“คุณนี่ขี้บ่นกว่าปู่ของฉันอีก เอาเป็นว่าฉันสัญญาว่าจะไม่ออกไปไหน จะนอนเก็บแรงเพื่อมาทำงานที่สวนวันพรุ่งนี้ คุณเองก็นอนพักเยอะๆ ล่ะ จริงสิ...ให้ฉันแวะไปส่งคุณที่สวนไหม” พิชชาภาฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายที่ดูตาโรยๆ
“ไม่ต้องหรอก ผมกลับเองได้ คุณรีบกลับบ้านได้แล้ว” พฤกษ์ไล่หล่อนด้วยน้ำเสียงเอือมๆ
พิชชาภาเรียกคนขับรถให้มารับหล่อนกลับบ้าน ป่านนี้ก็ยังไม่มีใครในบ้านรู้ว่าหล่อนแอดมิตที่โรงพยาบาล เพราะหล่อนสั่งให้คนขับรถปิดเรื่องนี้เป็นความลับ โดยเฉพาะคุณปู่ที่ไม่ควรทราบเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นท่านจะกังวล
“ไม่มีใครรู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนฉันอยู่ที่ไหน” พิชชาภาถามคนขับรถเพื่อความแน่ใจ
“ไม่มีครับ ผมไม่ได้บอกใครตามที่คุณสั่ง แล้วคุณพรรณีก็ไม่อยู่บ้านด้วยครับ”
พิชชาภาถอนใจอย่างโล่งอก แต่หล่อนก็ลืมนึกไปว่าในบ้านของหล่อนยังมีแม่บ้านเก่าแก่ที่คอยเป็นสายสืบรายงานความเคลื่อนไหวของหล่อนให้ประมุขของบ้านทราบ ทันทีที่รถตู้คันหรูจอดเทียบหน้าบ้านหลังงามของหล่อน เขมิกา แม่บ้านใหญ่ก็ยืนรออยู่แล้ว
“คุณเพิร์ลคะ คุณปู่สั่งให้ดิฉันมาเรียนคุณเพิร์ลให้ไปพบค่ะ”
พิชชาภาหันไปมองหน้าคนขับรถที่แสดงสีหน้ายืนยันว่าไม่ได้แพร่งพรายเรื่องของหล่อนให้ใครรู้
“งั้นรบกวนป้าเขมไปเรียนคุณปู่ว่าเพิร์ลขอเวลาสักครึ่งชั่วโมงจะไปพบค่ะ”
แม่บ้านใหญ่รับคำ แม้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่สีหน้าก็ปิดไม่มิดว่าสงสัยว่าหล่อนหายไปไหนมาทั้งคืน แต่พิชชาภาก็ทำหน้าเฉยๆ แล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวให้ดูสดชื่นเพื่อเตรียมตอบคำถามของภิมุข
พิชชาภารีบมาพบภิมุข เพราะรู้ว่าประมุขใหญ่ของบ้านไม่ชอบรอใครนาน และเป็นคนยึดถือเรื่องการตรงต่อเวลาอย่างมาก ภิมุขนั่งรอหล่อนอยู่ในห้องรับแขกและกำลังเพลินกับการดูซีรีส์ ดังนั้นกว่าท่านจะรู้ตัวว่ามีคนเดินเข้ามาก็ตอนที่พ้นฉากสำคัญไปนั่นแหละ
“เพิร์ลมาเงียบๆ แบบนี้ ปู่ไม่ได้ยินเสียงเลย” ภิมุขเอ่ยด้วยสีหน้าเขินๆ ก่อนจะหยิบรีโมตมากดปิดโทรทัศน์
“เห็นคุณปู่กำลังดูทีวีอยู่เพลินๆ ก็เลยไม่อยากขัดค่ะ เรื่องนี้เป็นไงคะ สนุกไหม เพิร์ลจะได้ดูบ้าง”
“ช่วงนี้มีเวลาอยู่บ้านดูซีรีส์ด้วยเหรอ ได้ข่าวเมื่อคืนไม่กลับบ้าน ไปไหนมา ปู่เป็นห่วงมากนะ” ภิมุขเข้าเรื่องทันที
“พอดีเพิร์ลไปปาร์ตีกับเพื่อนแล้วดื่มเยอะไปหน่อย ก็เลยไปค้างบ้านเพื่อนค่ะ” พิชชาภาเตรียมคำตอบไว้แล้วเช่นกัน
“เพิร์ลไม่เคยไปค้างบ้านเพื่อนเลยนะ อย่าบอกนะว่าเพิร์ลไปค้างกับแฟน” ภิมุขจ้องตาหล่อนเขม็ง
“เปล่านะคะ เพิร์ลไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ค่ะ แล้วอีกอย่างเพิร์ลก็ไม่ได้เจอพี่เท็ดมาหลายวันแล้วด้วย” พิชชาภาปฏิเสธเสียงสั่น
“งั้นก็แล้วไป แต่ต่อไปถ้าจะไปค้างบ้านเพื่อนก็โทร. มาบอกป้าเขมหน่อย แกเห็นเพิร์ลไม่กลับบ้านเลยมาบอกปู่ อย่าไปโกรธหาว่าแกจุ้นจ้านเลยนะ”
“เพิร์ลไม่โกรธป้าเขมหรอกค่ะ นอกจากคุณปู่ ในบ้านหลังนี้ก็ดูจะมีแค่ป้าเขมอีกคนที่พอจะเป็นห่วงเพิร์ลอยู่บ้าง” พิชชาภาเอ่ยเสียงเครือ ภิมุขลูบศีรษะหล่อน ทำให้พิชชาภากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“โตแล้วยังขี้แยอยู่อีก วันนี้เบี้ยวงานเหรอ”
พอภิมุขพูดเรื่องงาน พิชชาภาก็ปาดน้ำตาและเล่าแผนการซื้อที่ดินจากพฤกษ์ให้ภิมุขฟัง ประมุขของบ้านรับฟังหล่อนด้วยความตั้งใจและหัวเราะเป็นระยะ จนทำให้พิชชาภาชักใจเสีย
“คุณปู่ขำแบบนี้ แสดงว่าแผนการของเพิร์ลมันไม่เวิร์กใช่ไหมคะ”
“มันจะไม่เวิร์กได้ยังไง ในเมื่อเจ้าของที่เขายอมให้เพิร์ลไปทำงานที่สวนเขาไม่ใช่เหรอ แสดงว่าแบบนี้คงเริ่มใจอ่อนแล้วละ ปู่ชื่นชมความตั้งใจของเพิร์ลนะ”
เพียงได้ฟังคำชมของภิมุข พิชชาภาก็ยิ่งมีกำลังใจที่จะซื้อที่ดินผืนนั้นให้ได้
“เพิร์ลจะพยายามเต็มที่ค่ะคุณปู่ แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ง่ายอย่างที่เพิร์ลคิดไว้เลย แม้แต่งานที่ดูเหมือนง่ายๆ ไม่ได้ใช้หัวสมอง จริงๆ แล้วมันเหนื่อยแล้วก็ยากกว่าที่คิด”
“การทำงานไม่มีอะไรง่ายหรอกเพิร์ล แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มปรับตัวได้และอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องสนุกด้วยซ้ำ”
“เพิร์ลยังมองไม่เห็นความสนุกเลยค่ะคุณปู่” พิชชาภายิ้มแหยก่อนจะถามคำถามสำคัญ “ถ้าเพิร์ลซื้อที่ดินผืนนี้ไม่สำเร็จ คุณปู่จะผิดหวังในตัวเพิร์ลไหมคะ บอกตรงๆ นะคะ เพิร์ลไม่ได้เศษเสี้ยวความฉลาดจากคุณปู่กับคุณพ่อมาเลย”
“จะบอกว่าปู่ไม่ได้คาดหวังในตัวเพิร์ลเลยก็คงไม่ได้ ถึงเพิร์ลจะคิดว่าตัวเองไม่เก่ง แต่อย่าลืมสิว่าปู่เป็นคนเลี้ยงเพิร์ลมานะ อย่างน้อยก็ต้องได้ความเก่งจากปู่มาบ้างละ”
“เพิร์ลก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ แต่สำหรับที่ดินผืนนี้ เพิร์ลดูไม่ออกเลยว่าคุณพฤกษ์จะใจอ่อนขายให้เพิร์ลเมื่อไหร่ แล้วอย่างนี้เพิร์ลจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างของเขาอีกนานแค่ไหน” พิชชาภาถอนใจยาว
“ทำไมเพิร์ลไม่คุยกับเขาให้ชัดเจนไปเลยล่ะว่าอะไรคือสิ่งที่เขาใช้วัดว่าเพิร์ลรู้จักสวนของเขาดีพอ กำหนดขอบเขตและระยะเวลาให้ชัดเจนไปเลย เพราะยิ่งทอดเวลาออกไป เราก็ยิ่งเริ่มโครงการได้ช้า”
“ขอบคุณนะคะคุณปู่ เพิร์ลจะลองคุยกับเขาดู แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมตกลงกับเพิร์ลไหม”
“ปู่ว่ามันไม่ยากเกินความสามารถของเพิร์ลหรอกน่า อีกอย่างหลานของปู่ก็ทั้งสวยและน่ารัก เขาก็น่าจะยอมใจอ่อนบ้าง”
พิชชาภารู้ตัวว่าหล่อนสวย แต่ก็ไม่ถึงกับแน่ใจนักว่าจะสวยในสายตาคนรักกระบองเพชรอย่างพฤกษ์หรือเปล่า ขนาดหล่อนเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา เขายังไม่ยอมรับว่าหล่อนเป็นเพื่อนเลย จะว่าไปแล้วพิชชาภาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมหล่อนถึงอยากสวยในสายตาเขา ทั้งที่เขาไม่มีอะไรคู่ควรกับหล่อนเลยสักนิด
หลังจากไปพบภิมุขแล้ว พิชชาภาก็มีเวลาว่างทั้งวัน แต่การอยู่บ้านสำหรับหล่อนถือว่าเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อที่สุด เพราะไม่ได้มีงานอดิเรกเหมือนคนอื่น เพื่อนบางคนสามารถอยู่บ้าน นั่งจ่อมดูโทรทัศน์ได้สามวันสามคืน บางคนก็ชอบทำขนม จัดบ้าน หรือไม่ก็นั่งอ่านหนังสือและจิบชาสวยๆ ในสวน แต่กิจกรรมที่หล่อนชอบคือการออกไปกำลังกายที่ฟิตเนสกับเทรนเนอร์ส่วนตัว หรือไม่ก็ออกไปชอปปิงหรือกินอาหารอร่อยๆ ที่ร้านหรู ทว่าวันนี้หล่อนไม่มีแรงจะออกไปทำอะไร เลยได้แต่นั่งถอนหายใจทิ้ง กดเปิดดูรายการหรือซีรีส์ต่างๆ ก็ดูได้แป๊บเดียว พิชชาภาจึงหยิบโทรศัพท์มาพลิกดู เผื่อว่าธัชนันท์จะโทร. มาหาหล่อนบ้าง แต่ก็เปล่าเลย
ความจริงพิชชาภายังโกรธเขามาก แต่ถ้าหล่อนไม่เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน เขาก็คงหายเงียบไปอีกนาน พิชชาภาชักสงสัยแล้วว่าคนรักของหล่อนอาจแอบนอกใจคบคนอื่นอยู่จริงๆ ซึ่งถ้ามันเป็นเรื่องจริง หล่อนก็ไม่ลังเลที่จะยุติความสัมพันธ์กับเขา ทว่ากลับผิดคาด วันนี้ธัชนันท์รับสายหล่อนแต่โดยดี และน้ำเสียงก็ดูไม่อึดอัดร้อนรนเช่นทุกครั้ง บางทีชายหนุ่มอาจรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าเขาทำตัวแย่กับหล่อนแค่ไหน
“วันนี้เพิร์ลไม่ทำงานเหรอครับ พี่เห็นว่าช่วงนี้เพิร์ลยุ่งๆ ก็เลยไม่ได้โทร. หา” ธัชนันท์ยังคงแก้ตัว
“ยุ่งแค่ไหนก็ต้องมีเวลารับโทรศัพท์แฟนนะคะ เย็นนี้พี่เท็ดว่างไหมคะ เพิร์ลอยากชวนไปกินข้าว” พิชชาภาเอ่ยเสียงเนิบๆ แต่น้ำเสียงเด็ดขาด การเคลียร์กันแบบตัวต่อตัวมันชัดเจนกว่าการคุยกันทางโทรศัพท์
พิชชาภาถามตัวเองว่าหากธัชนันท์ยอมรับว่าเขานอกใจหล่อนจริงๆ หล่อนจะทำใจได้ไหม น่าแปลกที่หล่อนกลับไม่เจ็บปวดใจอย่างที่คิด หรือบางทีหล่อนอาจไม่ได้รักเขาก็เป็นได้ การคบหาของหล่อนกับเขาเกิดขึ้นเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นเหมาะสมว่าควรดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ตอนนั้นพิชชาภาเองก็ไม่มีใคร ธัชนันท์เองก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะเขาทั้งหล่อ การงานดีเยี่ยม ฐานะก็ทัดเทียมกัน หล่อนเลยตัดสินใจคบกับเขาได้ไม่ยาก
หนึ่งปีที่คบกันในฐานะคนรัก ธัชนันท์จัดได้ว่าเป็นคนรักที่ดีในช่วงสองสามเดือนแรก เขาคอยเอาใจ พาหล่อนไปกินข้าวแทบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็พาไปชอปปิง วันหยุดยาวก็พาไปเที่ยวต่างประเทศ แต่พักหลังมานี้ธัชนันท์มักอ้างว่างานยุ่งตลอดซึ่งหล่อนก็พอจะเข้าใจ เพราะครอบครัวของเขาทำธุรกิจหลายอย่าง อีกทั้งหล่อนเองก็โตมากับคุณปู่ผู้ซึ่งหายใจเข้าหายใจออกเป็นงานตลอดเวลา ถึงจะชินแต่หล่อนไม่ชอบ ลึกๆ แล้วหล่อนอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนคนทั่วไป เวลามีปัญหาก็มีคนคอยปรับทุกข์ เจ็บป่วยก็มีคนดูแล
วันนี้พิชชาภาแต่งกายด้วยชุดเดรสเรียบๆ สีดำของดีไซเนอร์ไทยชื่อดังที่ออกแบบชุดนี้ให้หล่อนเป็นพิเศษ รวบผมเป็นหางม้าหลวมๆ เพื่อขับให้สร้อยคอที่ธัชนันท์ให้ดูเด่น พิชชาภาเป็นฝ่ายมานั่งรอธัชนันท์ที่ร้านอาหารหรูซึ่งเขาเป็นคนจองไว้ พอเขาเห็นหล่อนก็ทำหน้าเขินหน่อยๆ
“พี่ขอโทษ พอดีเพิ่งประชุมเสร็จก็เลยมาสายนิดหน่อย”
“เพิร์ลชักน้อยใจแล้วสิที่งานของพี่เท็ดสำคัญกว่าเพิร์ลเสมอ แต่ก็ช่างเถอะค่ะ แค่วันนี้พี่เท็ดปลีกตัวจากงานมากินข้าวด้วยได้ เพิร์ลก็ควรดีใจมากแล้ว”
“อย่างอนสิจ๊ะเพิร์ล พูดไปก็หาว่าแก้ตัว จริงๆ วันนี้พี่ตั้งใจจะพาเพิร์ลมากินข้าวอยู่แล้ว ร้านนี้จองยากมากนะ กว่าจะจองได้ต้องรอตั้งหกเดือน ร้านพิเศษแบบนี้ก็ต้องมากินกับคนพิเศษเท่านั้น”
“ร้านที่ไม่พิเศษก็ไปกินกับคนอื่นใช่ไหมคะ” พิชชาภาเอ่ยยิ้มๆ แต่ทำให้อีกฝ่ายหน้าเสีย
“ปกติเพิร์ลไม่ใช่คนคิดมากนี่นา อย่างอนพี่สิ กินอาหารอร่อยๆ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีเอง”
อาหารที่ธัชนันท์บอกว่าอร่อยนั้นไม่เกินจริงกว่าที่เขาโฆษณาไว้ว่าต้องจองล่วงหน้าหลายเดือน อาหารทุกจานนอกจากจะรสชาติดีแล้วยังมีการนำเสนอที่น่าสนใจ จนทำให้หล่อนชักจะลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจที่คิดจะเคลียร์กับคนรัก จนกระทั่งเริ่มอิ่มนี่แหละ พิชชาภาถึงเริ่มพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
“พี่เท็ดไม่คิดจะถามเพิร์ลเรื่องงานบ้างเลยเหรอคะ”
“ที่พี่ไม่ถามเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอยู่แล้ว คุณปู่ของเพิร์ลท่านน่าจะหาทีมเก่งๆ มาช่วยงานเพิร์ล เพิร์ลก็แค่สั่งงานเท่านั้น”
พิชชาภาฟังแล้วเม้มปากแน่น เขาพูดแบบนี้เท่ากับดูถูกหล่อนชัดๆ
“ถ้ามันง่ายสบายๆ อย่างที่พี่เท็ดพูดก็ดีน่ะสิคะ แต่มันไม่ใช่เลย เพิร์ลทำงานเหนื่อยมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล”
“ทำไมเพิร์ลถึงไม่โทร. มาหาพี่ล่ะ คุณปู่ใช้งานเพิร์ลหนักเกินไปแล้ว” ธัชนันท์ทำหน้าตกใจ
“แล้วพี่ว่างให้เพิร์ลโทร. หาไหมล่ะคะ โทร. ไปกี่ครั้งพี่ก็บอกว่างานยุ่ง ถามจริงๆ เถอะค่ะว่าตอนนี้พี่คบคนอื่นอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อยากคบกันแล้ว บอกเพิร์ลตรงๆ ก็ได้นะคะ” พิชชาภาเอ่ยเสียงราบเรียบไม่ได้ใส่อารมณ์ แต่คนที่โวยวายคือธัชนันท์
“สงสัยหงุดหงิดเรื่องงานจริงๆ แหละถึงได้มาพาลกับพี่ พี่คงต้องไปพบคุณปู่ ขอให้เพิร์ลเลิกทำงานนี้”
“ถ้าพี่ให้เพิร์ลเลิกทำงาน คุณปู่ก็คงผิดหวังมาก แล้วพวกญาติๆ ก็คงดูถูกเพิร์ลว่าไร้สมอง ดีแต่ใช้เงิน เพิร์ลไม่อยากถูกมองแบบนี้อีกแล้ว”
“งั้นปัญหาในการทำงานของเพิร์ลคืออะไรก็เล่ามาสิ เผื่อพี่จะช่วยเพิร์ลได้”
ธัชนันท์ทำหน้าตั้งใจฟังเป็นครั้งแรก พิชชาภาจึงเล่าปัญหาการซื้อที่ดินให้เขาฟัง อย่างน้อยเขาก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คงจะพอให้คำแนะนำหล่อนได้ ส่วนเรื่องปัญหาระหว่างหล่อนกับเขาไว้ค่อยสะสางกันทีหลัง
“พี่ว่าเพิร์ลไม่เห็นจำเป็นต้องทนทำอะไรแบบนี้เลย เสียเวลาแล้วก็ไร้สาระ พี่จัดการเรื่องนี้ให้ได้นะ รับรองว่าเพิร์ลจะได้ที่ดินผืนนี้มาโดยไม่ต้องเหนื่อยเลย”
“พี่เท็ดจะทำยังไงคะ เสนอเงินให้เขามากกว่าเดิมงั้นเหรอคะ คนอย่างคุณพฤกษ์เขาไม่ยอมรับเงินง่ายๆ หรอกค่ะ เพิร์ลลองมาหมดแล้ว”
“เรื่องอะไรพี่ต้องจ่ายเงินให้หมอนั่นด้วยล่ะ ซ่านักก็จ้างนักเลงไปซ้อมก็หมดเรื่อง คนพวกนี้เก่งแต่ปาก”
“อย่านะคะพี่เท็ด เพิร์ลไม่ชอบการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง” พิชชาภาติงเบาๆ หล่อนออกจะตกใจหน่อยๆ ไม่คิดว่าธัชนันท์จะมีมุมมืดแบบนี้ด้วย
“ถ้าพี่จะทำอะไร พี่ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องสาวถึงตัวหรอก อย่าทำหน้าตกใจแบบนี้สิ คนที่ทำธุรกิจใหญ่ๆ ไม่มีใครทำอะไรโปร่งใสตรงไปตรงมาทุกเรื่องหรอก แม้แต่คุณปู่ของเพิร์ลก็เถอะ”
“พี่เท็ดอย่ามาพาดพิงคุณปู่ของเพิร์ลนะคะ คุณปู่ของเพิร์ลไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ แบบนี้แน่นอน” พิชชาภาตอบกลับอย่างโกรธจัด ใครจะว่าอะไรหล่อนก็ได้ แต่ห้ามพาดพิงถึงคุณปู่ที่หล่อนเคารพรัก
“เถียงไปก็หงุดหงิดกันเปล่าๆ เพิร์ลเพิ่งทำงาน อาจยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ แต่ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกพี่แล้วกัน พี่พร้อมช่วยเหลือเพิร์ลทุกอย่าง”
พิชชาภาเพียงแต่ยิ้มรับเท่านั้น การได้พบปะปรับทุกข์กับคนรักควรจะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น อาหารรสเลิศและบรรยากาศหรูหราควรทำให้หัวใจพองฟูและเป็นสุข แต่คนตรงหน้ากลับไม่ได้ทำให้พิชชาภารู้สึกแบบนั้นเลย ถ้าคราวนี้เขาเงียบหายไปอีก หล่อนคงต้องทบทวนเรื่องความสัมพันธ์กับเขาอย่างจริงจัง
“ผู้หญิงอะไรน่าเบื่อชิบ ไม่รู้ว่าคุณภิมุขโง่หรือบ้ากันแน่ถึงได้ให้เพิร์ลมาช่วยงานโพรเจกต์ห้างใหม่ นี่ผมรีบกินเร็วที่สุดแล้วนะ แต่ยายนี่ยังมางอนบ้าๆ อะไรก็ไม่รู้” ธัชนันท์หันมาบ่นกับหญิงสาวใบหน้างามที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ เธอมารอรับเขาเพื่อกลับไปดื่มและสนุกกันต่อที่คอนโด
“คนที่คุณเท็ดกำลังว่านี่คือแฟนคุณนะคะ แล้วเธอก็เป็นเซเลบตัวทอปของวงการไฮโซด้วย” ฐิติกาเอ่ยยิ้มๆ
“ผมต้องทนคบกับยายไฮโซสมองกลวงก็เพราะแม่ขอ จริงๆ เราไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย อยู่กับเพิร์ลแล้วมันจืดชืดน่าเบื่อ”
“คุณก็พูดเข้า เจนว่าเพิร์ลเขาสวยออกนะคะ ก็แค่เอาแต่ใจตัวเองบ้างตามประสาคุณหนู แล้ววันนี้เธอทำอะไรให้คุณไม่พอใจล่ะคะ”
“เพิร์ลมาเหวี่ยง หาว่าผมหายไปไม่ติดต่อเธอ เอาจริงๆ นะ ยายนี่ควรจะรู้ตัวได้แล้วว่าผู้ชายเบื่อ น่าจะบอกเลิกผม จะได้ไม่ต้องทนกันอีก”
“ถ้าคุณเบื่อเพิร์ล ทำไมคุณไม่บอกเลิกเธอไปเลยล่ะคะ”
“ขืนผมทำอย่างนั้น แม่ผมได้เอาผมตายน่ะสิ...เรื่องของเพิร์ลไว้ก่อนเถอะ คิดแล้วก็ปวดหัว มาคุยเรื่องของเราดีกว่า ตกลงคุณจะย้ายมาอยู่ที่คอนโดผมวันไหน”
นัยน์ตาของธัชนันท์เป็นประกายวาววับท่ามกลางความมืด ฐิติกาแค่ยิ้มมุมปาก
“เจนยังไม่ได้ตัดสินใจเลยค่ะ จริงๆ เราเจอกันแบบนี้ก็โอเคนะคะ ถ้าวันไหนคุณเบื่อเจน คุณจะได้ไม่อึดอัดจนต้องหายหน้าไป”
“ผมไม่ทำแบบนั้นกับเจนหรอกน่า”
“ไม่รู้สิคะ ขนาดเพิร์ล คุณยังเบื่อเธอเลย”
“มันเหมือนกันที่ไหน เจนเป็นเมียผม แต่เพิร์ลเป็นแค่ผู้หญิงที่ผมควงออกสังคมเท่านั้น”
“พูดอีกอย่างก็คือเจนไม่มีวันได้เป็นเมียที่ออกหน้าออกตาใช่ไหมคะ”
“เรื่องนั้นเราคุยกันได้นะ” ธัชนันท์พยายามอ้อนและเอื้อมมือมาวางที่ตักของฐิติกาพลางลูบไล้ต้นขาเนียน
“อย่าทำแบบนี้ค่ะ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก”
“งั้นก็หยุดรถก่อนสิ”
ฐิติกาเพียงถอนใจหายใจเบาๆ แต่ก็เบี่ยงรถขับเข้าไปในซอยที่ค่อนข้างลึกและเงียบ พอรถจอดสนิทธัชนันท์ก็โผเข้าหาฐิติกาด้วยแรงปรารถนา ซึ่งหญิงสาวก็ตอบสนองอย่างผู้ที่เจนจัดประสบการณ์จนเขาได้ระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เครียดและอัดแน่นในใจออกไป
แม้ฐิติกาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีโพรไฟล์ดีเทียบเท่าพิชชาภา แต่เธอก็มีอะไรหลายอย่างที่ผู้หญิงอย่างพิชชาภาไม่มีวันให้ความสุขแก่เขาได้ รวมทั้งเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ที่ถึงอกถึงใจเขานัก
“ผมคงขาดคุณไม่ได้จริงๆ แล้วละเจน”
“งั้นคุณก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณเลือกเจนจริงๆ”
“การที่ผมทิ้งเพิร์ลมาอยู่กับคุณตอนนี้ก็ถือว่าผมเลือกคุณแล้วนะ”
“สำหรับฉันยังไม่ใช่ ฉันต้องการแต่งงานกับคุณและจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“ผมว่าคุณเรียกร้องมากเกินไป”
“ไม่หรอกค่ะ ที่ทุกวันนี้เจนยอมให้คุณทุกอย่างก็ขาดทุนมากพอแล้ว เอาเป็นว่าคุณลองเก็บไปคิดดูนะคะ เจนให้เวลาคุณถึงสิ้นเดือนนี้ ถ้าคุณไม่แต่งงานกับเจน เราก็เลิกกันค่ะ”
ฐิติกาเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางเอาจริงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หากถามว่าหญิงสาวมีคุณสมบัติเป็นภรรยาที่ดีไหม เขาก็คิดว่าใช่ แต่ติดอยู่ตรงที่เธอไม่ได้เป็นลูกหลานนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศซึ่งมารดาของเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
ธัชนันท์ประหลาดใจที่วันนี้ห้องนั่งเล่นยังเปิดไฟสว่าง และมารดายังนั่งรอเขาอยู่ทั้งที่ตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้ว สีหน้าของท่านบ่งบอกว่าจะไม่นอนแน่ แต่สิ่งที่เขาตอบกลับไม่ใช่สิ่งที่ท่านอยากได้ยิน
“ไปเจอนังดาราคนนั้นมาอีกละสิ”
ธัชนันท์ถอนใจ นั่นไง เขาเดาผิดเสียที่ไหน มารดารู้ความเคลื่อนไหวของเขาทุกอย่างจริงๆ
“ผมถามจริงๆ เถอะ คุณแม่จ้างนักสืบสะกดรอยตามผมเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ นี่เท็ดกำลังทำให้แม่กับพ่อเครียดหนักรู้ไหม นังฐิติกามีอะไรดี ทำไมเท็ดถึงเลิกกับมันไม่ได้ซะที”
“ก็มีอะไรดีๆ ที่คุณหนูเพิร์ลของคุณแม่ไม่มีก็แล้วกันครับ ผมรู้น่าว่ายังไงเมียที่ออกหน้าออกตาของผมก็ต้องเป็นเพิร์ลอยู่ดี”
“รู้แบบนี้ก็ดี วันนี้คุณพรรณีมาคุยกับแม่เรื่องการแต่งงานของเท็ดกับเพิร์ล คุณพรรณีพูดทำนองว่าถ้าภายในเดือนสองเดือนนี้เท็ดไม่ขอเพิร์ลแต่งงาน เขาจะถอนหุ้นจากบริษัทของเรา เท็ดรู้ใช่ไหมว่าควรทำยังไง”
“น้าณีกลัวลูกขายไม่ออกขนาดนี้เลยเหรอครับ ที่จริงถ้าน้าณีอยากถอนหุ้นก็ให้ถอนไปเลยก็ได้นี่ครับ เราขายที่ดินบางแปลงก็น่าพอมีเงินสดหมุนเวียน”
“ที่ดินผืนใหญ่ๆ แม่เอาไปจำนองกับแบงก์แล้ว ตอนนี้เงินทุนเดียวที่เรามีอยู่คือคุณพรรณี แม่ว่าเท็ดรีบแต่งงานกับเพิร์ลเถอะ อย่าลืมสิว่าเพิร์ลเป็นหลานคนโปรดของคุณภิมุข ถ้าแต่งงานด้วย ครอบครัวของเราก็จะหมดปัญหาเรื่องเงิน”
“ไอ้แก่นั่นมันเกลียดผมยังกะอะไรดี ถ้าจะให้ไปหา ผมรอไปงานศพดีกว่า” ธัชนันท์เกลียดภิมุข เพราะชายชราผู้นี้มองเขาด้วยสายตาของผู้ที่อ่านคนขาด จึงน่าพอจะรู้ว่าเขาเข้าหาพิชชาภาด้วยจุดประสงค์ใด
“เท็ดจะเกลียดคุณภิมุขยังไงก็เป็นเรื่องของเท็ด แต่พรุ่งนี้เท็ดต้องไปพบคุณภิมุขกับแม่ เอาของขวัญวันเกิดไปให้แล้วเกริ่นเรื่องแต่งงานเลย”
“ผมว่าไอ้แก่มันไม่ยกเพิร์ลให้ผมง่ายๆ หรอกครับ ผมถามจริงๆ เถอะ นอกจากน้าณี คุณแม่ไม่มีแหล่งเงินดีๆ อีกแล้วเหรอครับ”
“ก็ไม่มีน่ะสิ ถ้าเท็ดไม่อยากให้แม่พึ่งน้าณี เท็ดหาเงินมาช่วยบริษัทเราได้ไหมล่ะ หรือว่าจะลองไปขอเงินจากฐิติกา แม่ว่าถ้ายายนี่รู้ว่าครอบครัวเรามีแต่เปลือกคงจะทิ้งลูกแน่”
“เจนเขารักผม ทุกวันนี้เขาก็ช่วยเรื่องเงินผมอยู่”
“อย่าหลอกตัวเองเลยเท็ด ลูกก็รู้ว่าผู้หญิงแบบฐิติกาเป็นยังไง ก่อนที่เราจะตกต่ำ เราก็ต้องกอบกู้ฐานะให้ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นลูกจะเลิกกับเพิร์ลมาแต่งงานกับฐิติกาก็ตามใจ”
“คุณแม่พูดจริงๆ เหรอครับ” ธัชนันท์อดประหลาดใจไม่ได้ที่ครั้งนี้แม่ยอมอ่อนลงให้เขา ถ้าเขาคุยกับฐิติกาดีๆ ก็คงมีโอกาสที่เขาจะได้แต่งงานกับเธอภายหลัง
“แม่เคยพูดเล่นเหรอ เท็ดทำเพื่อครอบครัวเราได้ไหม”
“ได้สิครับ งั้นพรุ่งนี้เราไปพบคุณภิมุขกันเลย”
“ต้องให้ได้แบบนี้สิเท็ด”
นึกแล้วก็เวทนาพิชชาภาที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใคร ธัชนันท์รู้ว่าสิ่งที่เขาและครอบครัวทำไม่ถูกนัก แต่ทุกคนก็ทำเพื่อตัวเองไม่ใช่หรือ พิชชาภาเป็นคนโชคดีที่มีพร้อมทุกอย่างโดยเฉพาะทรัพย์สินเงินทองที่มีเหลือกินเหลือใช้ แค่แบ่งให้ครอบครัวเขาบ้างคงไม่ถึงกับกระทบกระเทือนความสมบูรณ์พูนสุขของตระกูลวรกิจไพศาล แต่ดูเหมือนตอนนี้พิชชาภาชักจะเริ่มไม่ไว้ใจเขาแล้ว ธัชนันท์คงต้องกลับมากระชับความสัมพันธ์กับคนรักให้แน่นแฟ้นดังเดิม ก่อนที่ผู้ชายคนอื่นจะตัดหน้าคว้าบ่อเงินบ่อทองของเขาไป
ความคิดเห็น |
---|