2

บทที่ 2



 

บทที่2.

                คำถามจากนักข่าวยังคงไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ของมีนาคมกับกันต์ที่ถูกจับตามองมากขึ้นหลังจากละครร่วมกันปิดกล้องลงแม้ตามปกติข่าวทำนองนี้จะเป็นของพระนาง แต่กรณีของนางร้ายอย่างเธอดูจะพลิกความคาดหมายไม่น้อย

“ข่าวขึ้นคอนโดนี่มี่ตอบไปหลายครั้งแล้วนะคะ ว่ามี่กับคุณกันต์อยู่คอนโดเดียวกันจริงแต่คนละชั้นก็ไม่แปลกที่เค้าจะไปที่นั่นจริงไหมคะ” หญิงสาวสบตานักข่าวสาวซึ่งยื่นไมค์มาจ่อแบบเดียวกับคนอื่นๆ ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเรื่องแชมพูสูตรลดความมันบนหนังศีรษะกลิ่นใหม่เสียแล้ว

“แล้วเจอกันบ่อยมั้ยคะ” นักข่าวอีกคนถาม

“ก็เจอกันบ้างค่ะ”

“เจอกันบ้างนี่เป็นการนัดหรือบังเอิญคะ”

มีนาคมกะพริบตาเพราะแสงแฟลช หูยังได้ยินเสียงชัตเตอร์แม้ว่าทุกคนจะเงียบรอฟังระหว่างที่เธอนับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อระงับความไม่พอใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยก่อนจะยิ้ม

“จำไม่ได้แล้วค่ะ ส่วนใหญ่ก็เจอกันบ้างตามงาน บางทีก็นัดไปกับเพื่อนที่ถ่ายเรื่องแผนรักฉบับนักดนตรีตัวร้ายด้วยกัน” เธอเริ่มส่งสายตาหากฤตินซึ่งกำลังรอสัญญาณขอความช่วยเหลือ

“แล้วได้คุยกับจิมบ้างมั้ยคะ มีข่าวว่าเค้าเองก็เป็นห่วงคุณมีมี่เรื่องข่าวเหมือนกัน”

คำถามที่เอ่ยถึงอดีตคนรักนั้นทำให้มีนาคมยิ้มแต่ปากแล้วจ้องคนถามนิ่ง หากก่อนที่อะไรจะแย่ลงกฤตินก็แทรกเข้ามาเกาะแขนหญิงสาวเอาไว้

“ขอโทษด้วยนะจ๊ะทุกคนมี่ต้องเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนยังมีทีมงานรออยู่ พี่ขอโทษด้วยนะ”

คนรู้งานดีพูดพร้อมกับยกมือไหว้นักข่าวที่จำต้องยอมถอย มีนาคมยกมือไหว้บ้างก่อนจะปลีกตัวออกมาตามผู้จัดการส่วนตัวที่ยังเกาะแขนกันแน่นเป็นตังเม

พอถึงห้องแต่งตัวเท่านั้นถึงได้ปล่อยออก

“แกเบื่อบ้างมั้ยเนี่ยนังมี่ ฉันเบื่อแทนจะตายอยู่แล้ว” กฤตินยกมือพัดเพื่อไล่เหงื่อตามใบหน้าเร็วๆ “มันจะอะไรกันนักเชียว คนอื่นไม่ได้ตาบอดมองไม่ออกหรอกนะ แกก็ไม่ใช่สาวแรกรุ่นเพิ่งเข้าวงการด้วย บอกไปดีไม่ดีจะได้รับทรัพย์เพิ่ม เรื่องมากจริงๆ”

“นี่ เจ๊ไม่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉันนะ มีหน้าที่แค่ดูคิวก็ทำไปสิ” มีนาคมว่าขณะถอดต่างหูระย้าไปด้วย

“ถ้าอย่างนั้นจะทำอะไรก็ตามใจเถอะย่ะ”

หญิงสาวมองตามคนที่สะบัดสะบิ้งไปนั่งที่เก้าอี้อีกมุมของห้องผ่านกระจกเงา หลังจากกลับมาร่วมงานกันความสัมพันธ์ของเธอกับอีกฝ่ายก็เป็นไปอย่างดีบ้างร้ายบ้างไม่ต่างกับแผลเก่าที่ไม่หายสักที ซึ่งบางครั้งถ้าสัมผัสถูกจุดก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาง่ายๆ

เธอยังจำวันที่กฤตินมาง้อให้เธอต่อสัญญากับเขาได้ ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวสวยงามเกินบุรุษนี้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ซึ่งเคยมีกันมายาวนาน นับตั้งแต่เมื่อเขายังทำงานในโมเดลลิงและเธอเป็นเพียงเด็กสาวที่ต้องการเดินไปตามความฝัน กระทั่งเธอขอให้เขาลาออกจากที่นั่นเพื่อเป็นผู้จัดการส่วนตัวของตนเองทั้งที่ยังไม่มีอะไรเป็นหลักประกันแน่ชัด

“ช่วยรูดซิปหน่อยได้ไหม”

เธอบอกกับคนที่อายุมากขึ้นจากวันที่ยังเป็นชายหนุ่มร่างบางช่างฉอเลาะ ตอนนี้กฤตินเริ่มตัวใหญ่ขึ้นจากความสบายในจุดที่อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ได้ไป แต่งตัวดีขึ้น แม้ว่าผมจะเริ่มบางลงแต่ก็แก้ได้ด้วยคลีนิครักษาผมร่วง

ชีวิตนี้เขามีทุกอย่างแล้ว รวมกระทั่งชื่อเสียงในฐานะของผู้จัดการคนสำคัญของเธอด้วย

“ย่ะ” คนทำหน้าหงิกลุกพรวดขึ้นมาช่วยรวมทั้งส่งโทรศัพท์มือถือที่เธอฝากเอาไว้ก่อนหน้านี้คืนมาให้ “อีตากันต์มิสคอลมาสิบกว่าสายอย่างกับไฟไหม้”

“หืม ยังไม่ถึงเวลาที่นัดกันสักหน่อย” เธอต่อสายกลับเพราะปกติแล้วกันต์ไม่ใช่คนกระหน่ำโทร.ตามให้เธอสักหน่อย

“คุณมีมี่ครับ” เสียงของชายหนุ่มที่รับสายเรียกชื่อเล่นเต็มๆ ของเธอจริงจังอย่างประหลาด

“อะไรคะ โทร.มาอย่างกับมีใครตาย”

“ผมเนี่ยแหละจะตาย”

“หา เล่นมุกอะไรคะคนจะตายที่ไหนยังเสียงไม่สลดแบบนี้” เธอมุ่นคิ้วขณะกฤตินเดินเข้ามาประชิดแล้วเอาหูแนบกับโทรศัพท์อีกฝั่งด้วยความอยากรู้

“สัญญาก่อนว่าจะไม่โวยวาย” คำพูดนั้นทำให้เธอเริ่มไม่วางใจ แต่ยังต้องทำเสียงเหมือนใจเย็น

“ค่ะ บอกมาได้แล้ว”

“รถคุณถูกชนถลอกน่ะ...มีประกันใช่ไหม”

หญิงสาวอึ้งไป เมื่อคิดว่าไม่ได้หูฝาดก็เริ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ แต่ได้แค่สี่ “นี่คุณเอารถฉันไปชนเหรอ!!!”

“ไหนบอกจะไม่โวยวายไง”

“ใครมันจะไม่โวยวายได้ ถ้าคุณอยู่กับฉันคุณตายไปแล้ว”

มีนาคมสูดหายใจลึกแม้อีกฝ่ายจะหัวเราะกลบเกลื่อน เขาไม่เข้าใจหรอกว่ารถสปอร์ตคันนั้นมันไม่ใช่ของเธอ

 

มีนาคมไม่ตลกกับเขาแน่นอน กันต์ฟังออกจากน้ำเสียงที่ต่ำลงกว่าปกติทั้งที่ในจอแก้วเวลาโกรธบทของเธอจะต้องใช้เสียงสูงแล้วแผดออกมาเหมือนเสียงเป่านกหวีดยาวๆ หลายครั้ง ซึ่งหมายความว่าเธอโกรธจริงๆ

เขาตายแน่ แบบไม่ต้องฌาปนกิจเสียด้วย

กันต์เริ่มคิดถึงเสื้อผ้าสำหรับไว้ทุกข์ เขาจะกลับไปในเสื้อสีเทาหมองๆ สักอาทิตย์แล้วทำหน้าตาให้ดูเหมือนตระหนักถึงความผิดเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น แม้เธออาจกำลังวางแผนเตรียมจะฆ่าเขาด้วยอุปกรณ์ทำครัวหรือไม่ก็กดหมอนเวลาหลับเพื่อให้ขาดอากาศหายใจจริงๆ

“ซวยฉิบหาย” เขานั่งลูบบังโคลนที่ทั้งบุบถลอกออกเป็นทางยาว โชคดีที่เขาไม่ใช่ฝ่ายผิดเพราะรถยนต์คันที่ขับตามมานั้นเกิดเร่งแซงมาแต่ไม่พ้น ไม่อย่างนั้นคงจะต้องถูกมีนาคมต่อว่าจนหูชาแน่

แต่นักศึกษาสาวเจ้าของรถญี่ปุ่นที่ยืนนิ่งกำลังตัวสั่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือเพราะหนาวจากกระโปรงสอบที่สั้นสูงเหนือเข่าเกือบฝ่ามือ

กันต์รีบลุกขึ้นยืนเท้าเอว เพราะเขาหาจุดโฟกัสเวลาคุยนอกจากขาได้ลำบากเหลือเกิน

คู่กรณีของเขาเองก็ดูกังวลไม่น้อย “นี่พี่มีธุระรีบไปไหนรึเปล่าคะ”

“มีสิ แต่จะทำไงได้” กันต์มองนาฬิกาข้อมือสายหนังหน้าปัดสีดำที่ได้มาเป็นของขวัญจากมีนาคม แค่เห็นของตัวแทนเขาก็รู้สึกผิดอีก

“ถ้าพี่รีบงั้นไปทำธุระก่อนก็ได้นะคะ หนูไม่หนีหรอก เราแลกเบอร์กันแล้วค่อยนัดกันอีกทีดีไหมคะ”

“แลกเบอร์?” เขาเลิกคิ้ว “ไม่ต้องหรอก ยังไงก็โทร.ตามประกันแล้วด้วยของเราประกันที่ไหน”

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน รถพ่ออะค่ะ”

ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนหันไปถอนใจอีกทาง เพราะคนที่ผ่านไปมาเริ่มยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพไม่ต่างกับนักข่าวแล้ว

“พี่เป็นดาราใช่ป่ะ หนูคุ้นหน้าอยู่นะ ที่เล่นซิทคอมตอนเย็นๆ กับลินิน ใช่ไหม”

กันต์หรี่ตามองหน้าคู่สนทนาที่กะพริบตาถี่ใส่ราวกับยิงลำแสง รอยยิ้มประหลาดที่ชัดเจนขึ้นทีละนิดทำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่หญิงสาวทำกังวลนั้นเพราะพยายามจะเก็บอาการตื่นเต้น

“ไม่ใช่ จำผิดคนแล้ว”

“อ้าวเหรอ” อีกฝ่ายเก้อไป “แล้วพี่เป็นใครคะ”

เกิดความเงียบขึ้นเนิ่นนานจนชายหนุ่มอยากจะข้ามช่วงเวลานี้ไปจนถึงตอนที่ถูกมีนาคมสำเร็จโทษเมื่อพบกัน...บางทีช่วงเวลานั้นอาจจะดีกว่านี้ก็ได้

และสวรรค์คงเมตตาถึงส่งเจ้าหน้าที่ประกันภัยให้มาถึงทันใจด้วยรถยนต์ราคาแพงที่ทำให้เขาขมวดคิ้วว่าเดี๋ยวนี้พาหนะของเจ้าหน้าที่ประกันภัยต่างจากที่คิดไว้ทั้งที่ควรจะเป็นมอเตอร์ไซค์เพื่อความคล่องตัวในการเดินทางมากกว่า

ผู้ชายวัยกลางคนน่าจะอายุประมาณสี่สิบสวมสูทแบรนด์เนมนั้นเดินตรงมาดูที่รถของมีนาคมก่อนเป็นอย่างแรกก่อนจะจ้องหน้าของเขานิ่ง

“คุณขับ?” เขาถามห้วนขณะที่กันต์กำลังประเมินในใจว่าอีกฝ่ายดูไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ประกันภัยเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นเจ้าของบริษัทอาจจะพอเข้าเค้ามากกว่า

แต่ก็ไม่แน่ อาจเป็นภาพลักษณ์ใหม่ขององค์กร

“ครับ”

“รถคันนี้เป็นประกันแบบระบุผู้ขับขี่คือคุณมีนาคม”

“แล้ว?” กันต์ขมวดคิ้ว “ระบุชื่อก็ใช่แต่ผมไม่ได้ผิดนะ ประกันต้องไปไล่เบี้ยกับอีกฝ่ายสิที่คุณต้องทำคือคุยกับน้องคนนั้นกับตัวแทนของเธอต่างหาก” ชายหนุ่มบุ้ยปากไปทางหญิงสาวที่ตอนนี้หันไปคุยกับชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งถอดหมวกกันน็อคออกมา ผมสั้นเปียกติดศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อราวกับวิ่งฝ่าการจราจรมาไม่ใช่ขับมอเตอร์ไซค์

...หากนั่นเป็นเจ้าหน้าที่ประกันภัย

“ขอโทษนะ ผมไม่ใช่ตัวแทนประกัน” เสียงของคนพูดแข็งขึ้น “ผมเป็นตัวแทนของเจ้าของรถจริงๆ ต่างหาก และเราก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกันด้วย”

กันต์จับกระแสความไม่พอใจได้ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า แม้กระทั่งการหายใจฮึดฮัดของอีกฝ่ายในขณะเดียวกับที่ตัวเขาเองก็เริ่มจะเป็นขึ้นมาบ้างเมื่อกำลังคิดว่ารถสปอร์ตของมีนาคมที่จริงไม่ใช่ของเธอ

แต่เป็นของใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก

 

เครื่องปรับอากาศของร้านอาหารตามสั่งที่ใกล้ที่สุดเหมือนจะทำงานไม่เต็มประสิทธิ์ภาพ หรือไม่กันต์ก็ร้อนใจเกินกว่าจะรับรู้ถึงความเย็นจนทำให้เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากหน้าผาก เขากำลังอยู่ในภาวะกดดันแน่ร่างกายถึงกระตุ้นการเผาผลาญมากกว่าปกติ

หรือไม่ก็ขาดน้ำอย่างแรง เพราะหัวที่ร้อนขึ้นมา

“ตกลง รถนั่นเป็นของพ่อมี่ ซื้อไว้ให้ลูกสาวขับ”

“ใช่”

ทักษ์แนะนำตัวว่าเป็นคนของบิดาของมีนาคมซึ่งกันต์ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่เขารู้คือตนเองเห็นภาพของอีกฝ่ายติดลบไปตั้งแต่ก่อนจะเห็นหน้าด้วยซ้ำ เพราะเท่าที่เคยได้ยินเวลาติดต่อกับบิดาหญิงสาวมักจะพึ่งคนกลางเสมอด้วยไม่อยากจะทะเลาะกับอีกฝ่ายทุกครั้งไป

"แล้วปัญหาคืออะไร เพราะผมไปชน ดังนั้นคุณน้าเลยต้องมาเคลียร์ให้เรียบร้อยโดยไม่ให้พ่อของมี่รู้อย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ แต่อย่าเรียกว่าน้าได้ไหม”

"ขอโทษครับ" กันต์ขมวดคิ้ว “แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอครับพี่”

"เราไม่ได้เป็นญาติกันนะ"

"ครับคุณ"

“ผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นมี่ต่างหาก” ทักษ์ยักไหล่ คงพอใจแล้วกับสรรพนามจึงไม่ค้านอีก

"โอเค ผมผิดก็ได้ที่เอารถไปถูกเฉี่ยว แต่ส่งไปซ่อมก็น่าจะพอแล้วนี่"

คราวนี้คนฟังกลับเป็นผู้ถอนใจใส่เขาสายตาคู่นั้นยังคงให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตร การจะสื่อสารกับคนคนนี้รู้เรื่องเขาอาจจะต้องมีจิตสัมผัสอ่านใจ หรือไม่การโทรศัพท์หามีนาคมอาจจะง่ายกว่า

"ผมแนะนำว่าอย่าโทร.ไปหามี่ดีกว่า รายนั้นน่ะโกรธจนควันออกหูอยู่"

กันต์วางโทรศัพท์ในมือลง สงสัยว่าคนกลางที่มีนาคมหมายถึงนั้นอาจเป็นพวกสื่อกลางทางจิตวิญญาณจริงๆ ก็เป็นได้...

"ถ้าอย่างนั้น ช่วยสื่อสารอะไรก็ได้ให้ผมเข้าใจทีว่าเราจะมานั่งตรงนี้กันทำไม หรือจะบอกว่ามี่ไม่อยากให้พ่อรู้เรื่องที่ผมเอารถมาชน เพราะเขายังไม่รู้ว่าเรากำลังคบกับอยู่แบบนั้นเหรอครับ"

"มันเข้าใจยากขนาดนั้นเลยหรือไง"

“อ้าว ถามดีๆ อย่ากวนสิคุณ”

“ถ้าจะพูดอย่างนั้นไม่ต้องเรียกคุณก็ได้มั้ง”

“เอ้า” กันต์กอดอก เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ “แล้วพ่อของมี่จะมาหวงลูกสาวอะไรเวลานี้ ผมไม่ใช่แฟนคนแรก อายุเธอก็ไม่ได้น้อยแล้วด้วย”

เรื่องน่าพอใจคือมีนาคมกับเขาอายุเข้าสู่เลขสามตอนต้นแล้วทั้งคู่อย่างมีสุขภาพสมวัย ว่ากันว่าในวัยนี้เองจะเป็นช่วงของชีวิตอย่างแท้จริง ข้ามพ้นจากการลองผิดลองถูกมาสู่การมองหาจุดหมายใหม่ในชีวิต อย่างแรงผลักดันนอกเหนือจากงาน รวมไปถึงการวางแผนอนาคตร่วมกัน

แต่เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเขาจึงรู้เรื่องครอบครัวของเธอน้อยนิดพอกับที่เธอรู้เรื่องของเขา

มีนาคมเล่าว่าบิดาติดต่อมาหาตอนที่เริ่มเข้าวงการหลังจากทิ้งให้มารดาของเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาตลอดหลายปี เธอเกลียดเขาจริงแต่ก็ยอมรับความช่วยเหลือเรื่องการเงินเพราะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ตัวเองสมควรจะได้รับ

นับเป็นความสัมพันธ์ที่กันต์ไม่อาจตัดสินถูกผิด เพราะตัวเขากับพ่อเองก็ไม่ได้ไปกันได้ราบรื่นนัก ดังนั้นเรื่องของครอบครัวจึงมักใช้คุยกันในเวลาที่เกิดเรื่องแย่ๆ เสมอ ให้เห็นว่าอย่างน้อยเรื่องที่พบเจอก็ยังไม่แย่เท่าปัญหาที่แก้ให้หายไม่ได้

บทสนทนามักจบลงด้วยการถอนใจทุกครั้ง แม้แต่ชื่อของบิดาเธอยังไม่อยากจะเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ

"ถ้าไม่สบายใจเรื่องที่เราคบกัน ผมจะเข้าไปแนะนำตัวกับพ่อของเธอเอง"

"คุณรู้เหรอว่าจะไปแนะนำตัวกับใคร" ทักษ์ยิ้มหยัน "คุณเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แต่ละคนที่มี่เคยคบมาเธอไม่ได้บอกเรื่องนี้มาก่อน ตัวคุณสำคัญพอที่จะรู้เรื่องนี้รึเปล่า ไม่สิถ้าสำคัญคุณจำเป็นต้องมาถามผมเหรอ ทำไมมี่ไม่บอกคุณเองแล้วล่ะ”

คนกลางคนนี้กำลังทำให้เขากำลังหัวเสีย ไม่ใช่เพราะคำพูดแต่เพราะสิ่งที่พูกออกมานั้นมีส่วนถูกไม่น้อย

"ถ้าคุณไม่ใช่ผู้ชายที่ดี ก็อย่าทำให้มี่ต้องเดือดร้อนอีกแค่มาเกาะเธอก็มากเกินพอแล้ว นี่ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ"


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น