4

บทที่ 4


 

บทที่4.

กันต์ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองต่อบริษัทชุดชั้นในตั้งแต่วันนั้น หรือคือต่อระบบเศรษฐกิจแบบเงินมาผ้าหลุดอันชั่วร้าย แต่อย่างไรก็ตามการจะหาจุดพึงพอใจสูงสุดร่วมกันนั้นอยู่ตรงที่มีนาคมจะไปทำงานของเธอ ส่วนเขาก็จะตามไปสมทบหลังจากเสร็จธุระของตัวเองแล้วใช้เวลาหลังจากนั้นเพื่อรับค่าทำขวัญ เป็นที่พักติดทะเลบรรยากาศเหมาะแก่การฟังเสียงคลื่นแล้วกอดใครสักคน

มีนาคมเดินทางไปกับกฤตินก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เธอยังถ่ายภาพทะเลกับโรงแรมมาให้เขาดูเป็นระยะระหว่างที่กำลังจัดกระเป๋าตามไปในไฟลท์ดึกของวันนี้

กันต์เริ่มเก็บเสื้อผ้าของตัวเองลงกระเป๋าเป้สีดำพาดบ่า เขารู้ว่าไม่มีงานอะไรรัดตัวนอกจากเตรียมอัลบั้มที่อีกนานแสนนานกว่าจะทำได้ครบ เขาม้วนเสื้อยืดตัวโปรด จัดสรรทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยนับชุดให้พอแค่สำหรับสองคืน เพราะหลังจากนั้นหญิงสาวจะต้องกลับมาเพื่อถ่ายละครเรื่องใหม่อีกสี่วันต่อสัปดาห์

ชายหนุ่มยกมือดันคางตัวเองเมื่อไม่แน่ใจว่ายังลืมอะไรหรือไม่ ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีแจ็คเก็ตหนังตัวเก่งที่ยังอยู่ห้องของหญิงสาวชั้นบน หากจำไม่ผิดเขาน่าจะพาดมันเอาไว้ที่โซฟาแต่มีนาคมอาจจะจับมันใส่ไม้แขวนเสื้อแล้วแขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้าของเธอ ทว่าไม่มีทางรวมมันเข้าไปเป็นหนึ่งในพรรคพวกในตู้

หญิงสาวเป็นคนมีระเบียบในบางเรื่องอย่างน่าตกใจ เขานึกถึงครั้งแรกที่เห็นตู้เก็บรองเท้าติดหลอดไฟกับกระจกเงาบานใหญ่ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในร้านรองเท้า รวมไปถึงตู้เสื้อผ้าขนาดยักษ์ที่จัดเสื้อผ้าไล่สีเป็นหมวดหมู่จากอ่อนไปเข้ม ทุกตัวจะต้องแขวนไม้แขวนให้ตรงกับรอยตะเข็บที่บ่าไม่อย่างนั้นหากมันเป็นรอยจากไม้แขวนเธอจะแยกออกมารีดใหม่ด้วยเตารีดไอน้ำแบบพกพา

นับว่าเขายังโชคดีที่ยังเก็บห้องของตัวเองไว้ไม่ตัดใจขายไปเสียก่อน อย่างน้อยก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวโดยกรรมสิทธิ์ของตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะวางของระเกะระกะอย่างไรมีนาคมก็ทำได้แค่บ่นเท่านั้น

มีเวลาสามชั่วโมงเผื่อสำหรับเดินทางซึ่งน่าจะถึงก่อนเวลาเรียกขึ้นเครื่องสบายๆ เขาเข้าไปที่ห้องชุดของมีนาคมอย่างไม่รีบร้อนห้องนอนของเธอมีแจ็คเก็ตของเขาแขวนเอาไว้อยู่จริงๆ และก็ต้องไม่ลืมลิปสติกที่เธอไหว้วานให้เขาหยิบติดไปด้วย

สีโปรดของเธอคือสีแดง แต่การให้เลือกแดงจากบรรดาคลังแสงบนโต๊ะเครื่องแป้งที่วางเรียงเหมือนเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทำให้เขาคิดหนัก มันเป็นเรื่องยากที่จะให้แยกระหว่างสีแดงสิบสองเฉดออกจากกัน ดังนั้นการถ่ายภาพแล้วส่งไปให้เธอบอกตำแหน่งกลับมาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

หากเสียงดังด้านนอกของห้องกลับเรียกความสนใจของกันต์ได้มากกว่าเสียงข้อความตอบกลับของมีนาคม

เขานึกถึงแม่บ้านที่หญิงสาวจะจ้างมาให้ทำความสะอาดห้องชุดของตนเองสัปดาห์ละครั้ง แต่หญิงวัยกลางคนนั้นก็ไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่อย่างคนที่กำลังหันหลังสนใจอยู่ที่ชั้นหนังสือ

"คุณเข้ามาได้ยังไง"

คนคนนั้นเป็นผู้ชายแน่นอนจากรูปร่างสูงสง่า แม้ผมยาวที่ไม่ได้ดำสม่ำเสมอนั้นจะถูกรวบไว้ต่ำที่ท้ายทอย เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีครีม กางเกงสีเทาเข้มทรงตกยุค และการถอดรองเท้าหนังไว้ที่หน้าประตูแล้วสวมรองเท้าผ้าพื้นเตี้ยที่ไว้ใส่ในบ้านนั้นแสดงว่าต้องเห็นรองเท้าผ้าใบของเขาที่ถอดวางไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว

“หนังสือพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าจะมีในชั้นหนังสือของลูกสาวฉันหรอกจริงไหม” ผู้พูดไม่ตอบคำถามแรก แต่ปิดหนังสือรวมคดีประหลาดทั่วโลกกลับเข้าไปที่ชั้น “ถ้าเป็นพวกนิยายรักก็ว่าไปอย่าง”

กันต์มองอีกฝ่ายตาค้าง ในมือของเขายังกำโทรศัพท์มือถือแต่ในหัวไม่ได้กำคำพูดอะไรเอาไว้

“ฉันว่าฉันเคยเห็นหน้าเธอมาก่อนนะ เธอเล่นซิทคอมตอนเย็นกับลินินใช่ไหม”

หัวใจที่พองโตขึ้นมาในประโยคแรกของกันต์แฟบลง

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นนักดนตรีแค่เคยมีละครเรื่องนึง แล้วก็โฆษณาบ้าง” เขามองคนที่เดินมานั่งโซฟาสบายๆ ราวกับเป็นห้องตัวเอง แม้ห้องชุดนี้เป็นของอีกฝ่ายที่ซื้อไว้ให้มีนาคมซึ่งเธอมองว่าเป็นหนึ่งในค่าชดเชยอันควรจะได้รับก็ตาม

“อยู่เมืองไทยก็แบบนี้ สมัยนี้ต้องเป็นให้ได้ทุกอย่างถึงจะอยู่ได้ จะเป็นแบบเมืองนอกที่เป็นนักร้องหรือนักดนตรีอย่างเดียวก็คงจะไม่นิยมเท่า”

กันต์ก้าวมานั่งยังโซฟาเดี่ยวซึ่งอยู่ห่างจากคู่สนทนาไม่มากโดยไม่รอให้เชิญ

“เหมือนคุณเหรอครับ คุณพลศรุต”

ความรู้สึกของชายหนุ่มค่อนข้างขัดแย้งระหว่างบวกและลบแต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่มีนาคมเคยเล่าไว้ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจออีก

ผู้ชายที่เขาเอ่ยชื่ออกไปหลายครั้งทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไร

“มี่รู้รึเปล่าว่าคุณจะมาที่นี่”

พลศรุตสูดหายใจลึกก่อนที่จะถอนใจออกมา “ไม่ แล้วทำไมละ”

“ผมคิดว่ามี่คงไม่แฮปปี้เท่าไหร่ถ้ารู้ว่าคุณจะมาที่นี่ตอนที่เธอไม่อยู่”

“ฉันขอความเห็นของเธอหรือไง” สีหน้าของคนพูดดูพอใจไม่น้อยที่ได้ยอกย้อน และใช้อายุกับฐานะที่สูงกว่าข่มให้คนฟังต้องสุภาพ

“เปล่าครับ”

“แล้วนี่อยู่ด้วยกันนานแค่ไหนแล้ว”

“ก็ซักพักแล้วครับ” กันต์กำลังคิดหาคำตอบที่ดูดี แต่ข้าวของของเขาในห้องทำให้โกหกไม่ได้มากนัก “ผมเองก็อยู่คอนโดนี้แต่คนละชั้น เราเจอกันตอนถ่ายละครเรื่องก่อนก็เลยเริ่มคุยกัน เป็นเพื่อนกันมาก่อนจะตัดสินใจลองคบกัน”

เขาบิดเบือนความจริงเล็กน้อย แม้คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะทราบจากทักษ์แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เลือกมาเพื่อพบเขาตามลำพังในสถานการณ์น่าอึดอัดอย่างนี้

“แล้วเป็นนักดนตรีนี่มันมีเงินพอกินพอใช้เหรอ”

“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะครับ”

“ไม่ได้เรียนสูงหรือไง ทำไมไม่ทำงานอื่น”

“ผมจบกฎหมายแต่ไม่ได้ทำงานด้านที่เรียน” เขารู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกซักประวัติ “ที่บ้านพ่อเป็นทนาย แม่เป็นแม่บ้าน ผมเป็นลูกคนเดียวก็เลยถูกเลี้ยงมาอย่างคาดหวังว่าจะให้เป็นทนายเหมือนกันแต่สุดท้ายผมเลือกที่จะทำงานที่ตัวเองอยากทำแทน”

“อย่างนี้เอง” พลศรุตกอดอก ขณะเสียงโทรศัพท์ของกันต์ขัดจังหวะเสียขึ้นมา

ปลายสายเป็นมีนาคมที่เขาไม่สามารถละเลยได้ เธอทวงถามถึงข้อความที่ยังไม่ได้ตอบแต่เขาก็มีข้ออ้างที่ต้องใช้เพื่อปิดบังว่ากำลังอยู่กับใคร

“พอดีผมมีธุระที่สตูดิโอด่วนน่ะ คงจะไปไฟล์ทนั้นไม่ทันแล้วแต่ว่าผมจะไปพรุ่งนี้เช้านะ” เขาโกหกเสร็จสรรพ ขณะหญิงสาวที่ยังไม่รู้อะไรตัดพ้อกลับมาเป็นชุด “ผมก็คิดถึงคุณ ดูแลตัวเองดีๆ ให้เจ๊ตีนอยู่เป็นเพื่อนนะ”

กันต์หลุดปากพูดชื่อของกฤตินผิดทั้งที่รู้ว่ามีคนนั่งฟังอยู่ สีหน้าของพลศรุตดูจะขบขันก็ไม่เชิงเมื่อวางสาย

“ดีนะ ฉันยังไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวจะไปไหน ต้องคอยถามเอาจากผู้จัดการส่วนตัว บางครั้งถูกโกหกมาก็มี” ไหล่ของคนพูดไหวลง แม้สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป

ชายหนุ่มรู้สึกถูกบีบอัดด้วยความหนาแน่นในอากาศ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เขาอยากจะถอนใจออกมา เขาลุกจากโซฟา มือสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

"คุณดื่มไหมครับ" กันต์พยักเพยิดไปทางตู้เย็น "มีไวน์"

"จะมอมกันหรือไง"

"เปล่า คุยกันอย่างนี้มันน่าอึดอัด แล้วผมก็หิวด้วย" เขายักไหล่เมื่ออีกฝ่ายขมวดคิ้ว "ก็ตั้งใจว่าจะไปกินที่สนามบิน แต่คงไม่ทันแล้ว ตอนนี้มีพวกเนื้อสำหรับทำสเต็กอยู่ คุณสนใจไหมครับ”

“ก็ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำไปสิ” พลศรุตลุกขึ้นบ้าง เดินตามเขาไปในครัว สายตาจับสังเกตตอนที่เขาหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมแล้วผูกปมด้านหลัง ถกแขนเสื้อมาไว้ที่ข้อศอก รวบผมด้วยหนังยางธรรมดาแล้วหันไปล้างมือก่อนจะเปิดตู้เย็น รินไวน์ที่ค้างอยู่ใส่แก้วส่งไปให้

ไวน์คงเสียรสชาติไปมากแล้ว แต่คนดื่มดูจะไม่ได้สนใจมากไปกว่าการเปลี่ยนที่คุยและจิบแอลกอฮอล์เพื่อละลายพฤติกรรม

“ติดการพนันรึเปล่า” พลศรุตถามระหว่างที่เขาเริ่มโรยเกลือและพริกไทยลงบนเนื้อที่หยิบออกมาอย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มเงยหน้ามองเพียงนิดแล้วก่อนจะก้มหน้าต่อ

“ไม่ครับ”

“ติดเหล้า สูบบุหรี่ไหม”

“ครับ ทั้งสองอย่างแต่ไม่ได้ทำให้เสียงาน”

“ไปเลิกซะ สุขภาพทรุดโทรมเปล่าๆ” คนพูดส่ายหน้า “แล้วมีปัญหาเรื่องผู้หญิงด้วยไหม”

เขายิ้ม “คิดว่าไม่นะครับ”

กระทะสำหรับย่างส่งเสียงดังซู่เมื่อเนื้อสัมผัสกับผิวหน้าที่ร้อนได้ที่ มือของพลศรุตยังถือแก้วไวน์อยู่ตอนที่เนื้อเปลี่ยนจากสีแดงเป็นซีดโดยไล่จากขอบนอกเข้ามาด้านใน บทสนทนาหายไปอย่างลึกลับระหว่างนั้น มันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอม เสียงของมีดที่แทรกผ่านผักแล้วกระทบกับเขียงไม่เป็นจังหวะ

กันต์กลับเนื้อเมื่อคิดว่าได้ที่ดีแล้ว มีเวลารินไวน์ให้อีกฝ่ายเพิ่ม

"คุณยังไม่ตอบคำถามเลยว่าเข้ามาได้ยังไง"

พลศรุตหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแทนคำตอบ

"คุณซื้อให้เธออยู่ ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าออกตามใจชอบได้นะครับ"

"ฉันดูเหมือนสตอล์คเกอร์หรือไง"

กันต์ขมวดคิ้ว อยากถามกลับเหลือเกินว่าถ้าไม่เป็นเช่นนั้นคนพูดจะอยู่ในห้องตรงนี้กับเขาได้อย่างไร

"ไหม้แล้วรึเปล่า" พลศรุตขัดจังหวะขึ้นด้วยการชี้นิ้วไปที่กระทะ เนื้อซึ่งควรจะสุกแต่พอดีกำลังแห้งติดกระทะ ควันสีเทาชัดเจนขึ้น

สุดท้ายกันต์ต้องคีบมันขึ้นมา หั่นผิวที่ไหม้ทิ้งไปแล้วจัดใส่จาน น้ำจิ้มแจ่วผสมมายองเนสถูกทำเป็นอย่างสุดท้ายขณะที่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญจับปกเสื้อของตนเองขึ้นดมแล้วย่นจมูก กลิ่นภายในห้องนี้จางหายไปแล้ว แต่กับเสื้อผ้าน่าจะยังติดไปอีกสักพัก

ชายหนุ่มส่งส้อมให้ตอนที่พ่อของมีนาคมยังดูวางมาดกับสเต็กแสนยั่วยวนตรงหน้าแต่ถึงอย่างนั้นพลศรุตก็รอให้เขาชิมก่อนราวกับกลัวว่าจะถูกวางยาเข้าจริงๆ

"ดูสบายใจจริงนะ"

"ไม่มีอะไรต้องกังวลนี่ครับ"เขากินอีกคำ

"ดูเธอไม่ประหลาดใจอะไรเลย" พลศรุตขมวดคิ้ว ไม่รู้เพราะท่าทางของเขาหรือรสชาติอาหารกันแน่

"ประหลาดใจสิ ผมเป็นแฟนหนังคุณนะยังไงก็ต้องเซอร์ไพร์สอยู่แล้ว" กันต์พูดแล้วก็ปล่อยให้บทสนทนาจางหาย  นานจนพลศรุตวางส้อมลงหลังจากกินไปได้อีกไม่กี่คำ

"ถ้าสีหน้าประหลาดใจเธอเป็นอย่างนี้ ฉันไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเธอได้เล่นละครแค่เรื่องเดียว"

ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บในจี๊ดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาหน้าเป็น

"ทำไมคุณไม่บอกละครับว่าต้องการอะไรจากผม ในเมื่อคุณเองก็เพิ่งเคยเข้ามาที่นี่ครั้งแรก และคงไม่ดีนักถ้าผมจะโทร.ไปบอกมี่ว่าคุณเข้ามาในที่ของเธอ"

เขาไม่ละสายตาจากคู่สนทนาเลย การพูดเรื่องหนังสือเริ่มแรกนั้นเป็นเรื่องชวนคุยไร้สาระก็จริง แต่การที่พลศรุตสอดส่องสายตามองหาเก้าอี้ที่จะยกมานั่งอยู่พักใหญ่ทำให้เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เป็นครั้งแรก

"คุณทักษ์บอกคุณเหรอครับ"

"ไม่ต้องให้ใครบอกมันก็เข้าหู ทำไมฉันจะแยกข่าวจริงกับข่าวลือไม่ออก" คนพูดจิบไวน์อีก "แต่ฉันก็ไม่เคยได้ถามอะไรจากปากเจ้าตัวสักครั้ง เราพูดกันได้ไม่เกินสามคำก็ทะเลาะกันแล้ว"

"วันนี้คุณโชคดี" กันต์ชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้องรับแขก "มี่ติดวงจรปิดเอาไว้ จะเปิดเฉพาะช่วงวันที่ให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด ซึ่งคือวันนี้แต่เรานัดกันว่าจะไปเที่ยวกันต่อ ดังนั้นก็เลยยกเลิกนัดแม่บ้านไป"

ไม่อย่างนั้น ภาพนี้จะถูกบันทึกและส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอผ่านแอพพลิเคชันแน่

พลศรุตยักไหล่ "ทำไมเราไม่คุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องลูกสาวของฉัน เช่นเรื่องของเธอ"

"ผม?" กันต์ชี้ตัวเอง "คุณหาประวัติจากข่าวกับกูเกิ้ลก็ได้นี่ครับ"

คนอายุมากกว่าหัวเราะเบาๆ ตีความหมายได้ว่าเรื่องพวกนั้นถูกทำไปแล้วต่างหาก

"แน่นอนว่าฉันต้องอยากรู้จักเธออย่างที่ไม่ได้รู้จากข่าว เพราะถ้าเธอทั้งคู่จะจริงจังกันจริงๆ หมายความว่าฉันก็จะกลายเป็นพ่อของเธอด้วย" พลศรุตวางแก้วลงกับพื้นโต๊ะ หมุนฐานของมันช้าๆ ด้วยปลายนิ้ว "แต่ฉันไม่คิดว่าจะรับใครมาเป็นลูกอีกคนได้หรอกนะ"

ไวน์แดงในแก้วขยับไหวเหมือนคลื่นน้ำ ปริมาณที่พอเหมาะของมันยังไม่ทำให้กระเด็นล้นออกมาตอนที่อีกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวเพราะกันต์ยิ้มออกมา

"อะไร"

"ผมก็คิดอย่างนั้น เพราะกับลูกคนเดียวคุณเองก็ไม่ได้ยอมรับเท่าไหร่นี่ครับ"

 

                หากพลศรุตเป็นคนอารมณ์ร้อนสักหน่อยกันต์อาจจะถูกชกไปแล้วก็ได้ แต่อาจเพราะอีกฝ่ายผ่านการใช้ชีวิตมายาวนาน ผู้สูงวัยกว่าถึงเพียงแค่สูดหายใจลึกอยู่เป็นนาน ใบหน้าแดงขึ้นแต่ยังไม่ขยับมือนอกจากเพื่อกระดกไวน์เข้าปากเท่านั้น

"ฉันล่ะสงสัยนักว่าเธอมีชีวิตรอดมาจนทุกวันนี้ได้ยังไงโดยไม่ถูกกระทืบน่ะ"

"อ้อ ถ้าคุณชินกับทางในผับที่ไปประจำแล้ววิ่งเร็วพอก็พอรอดได้" กันต์ยักไหล่ "แต่ถูกของคุณ ผมยังไม่เคยถูกกระทืบสักที"

ถือว่าโชคดี...สายตาพลศรุตบอกมาเช่นนั้น

"คุณเป็นพ่อผมไม่ได้หรอก พ่อเธอก็ด้วย มี่ไม่ใช่คนที่จะฟังใครที่มาชี้นิ้วสั่งเธอว่าต้องทำอะไร ใช้ชีวิตยังไง ผมก็เหมือนกันเราถึงทะเลาะกันทุกที"

"ทั้งที่อยู่ด้วยกัน?"

"มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ มีคนที่ไม่เคยทะเลาะกันด้วยหรือไง"

"แล้วทำไมไม่แต่งงานก่อนถึงค่อยอยู่ด้วยกัน" คนอายุมากกว่าตั้งคำถาม "ลูกสาวของฉันจะได้ไม่เสียชื่อด้วย ไม่ใช่เรื่องหัวโบราณอะไรนะ แต่จะได้ไม่ต้องหลบซ่อนอย่างนี้"

"คุณพูดเหมือนไม่เคยทำงานวงการนี้" ชายหนุ่มรินไวน์ให้อีกฝ่ายเพิ่มพร้อมขมวดคิ้วไปด้วย

"มี่ไม่อยากแต่งกับเธอสินะ"

"เรายังไม่พร้อมครับ" เขาแก้ "สักวันที่พร้อมวันนั้นคงมาถึง ที่อยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่างเท่าไหร่"

"เป็นผู้ชายก็พูดได้นี่"

"เธอบอกเองต่างหากครับ นี่ยังเพิ่งไปรับงานชุดว่ายน้ำมา ละครมีคิวยาวไปถึงปีหน้า ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว"

กันต์พูดเรื่อยๆ แต่สีหน้าของพลศรุตกลับอ่านยาก คนสูงวัยกว่าถอนใจเมื่อเขาปูดเรื่องของมีนาคมออกไป หากมองในมุมกลับตัวเขาเห็นเธอถ่ายชุดว่ายน้ำยังรู้สึกเซ็ง คนเป็นพ่อจะไม่เซ็งยิ่งกว่าหรือ

"แล้วทำไมคุณไม่แต่งงานกับแม่ของมี่ละครับ" เขาถามก่อนจะหันไปเปิดตู้เย็น "เปิดไวน์อีกขวดนะครับ"

"ฉันแต่งไม่ได้"

กันต์รอฟัง แต่ทิ้งความตั้งใจจะเถียงกลับในตรรกะเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้ถามว่าทำไมเขาถึงไม่แต่งงานกับมีนาคม

ชายหนุ่มเปิดขวดไวน์ รู้สึกพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงขึ้นแล้วปลดกระดุมข้อมือของเสื้อ

"ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูก กับแม่ของมี่เราจากกันไม่ดีสักเท่าไหร่"

แน่สิ เธอถูกตั้งชื่อว่ามีนาคม เพราะเป็นเดือนที่แม่ของเธอถูกทิ้ง แค่นี้ก็บอกแล้วว่าจบกันเลวร้ายขนาดไหน

"แล้วคุณทำอะไรหลังจากนั้น ผมหมายถึงคุณรับงานแสดงพักนึงแล้วอยู่ๆ ก็หายจากวงการไปเลย"

"เรื่องมันยาวน่ะ"

"เรามีเวลานี่ นอกเหนือจากแฟนลูกสาว ผมเป็นแฟนคุณนะ" กันต์ยกแก้วในมือเพื่อให้อีกฝ่ายยกมาชน พลศรุตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชนแก้วด้วย

                ผ่านไปเกือบชั่วโมงชายวัย 62 ปีตามบัตรประชาชนที่ชายหนุ่มหยิบออกมาจากกระเป๋าสตางค์นั้นกำลังพลิกตัวช้าๆ ก่อนจะหลับต่อบนโซฟา  กันต์ค่อยๆ เก็บบัตรที่เลื่อนออกมาดูไว้ในช่องเดิมซึ่งอยู่ใกล้กับรูปถ่ายหน้าตรงของมีนาคมตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายของเอกชน ถักเปียสองข้าง ดูเค้าหน้าออกว่าสวยตั้งแต่เด็กแม้จะทำหน้าหน่ายก็ตาม

กันต์พับกระเป๋าสตางค์หนังสีดำของพลศรุตแล้วหย่อนลงไปตรงช่องว่างระหว่างแผ่นหลังและพนักของโซฟา เขาหยิบแก้วที่วางบนทิ้งไว้บนโต๊ะไปเก็บรวมทั้งหนีบขวดไวน์ที่เปิดเพิ่มมาอีกสองขวดซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าไปแล้วไว้กับตัว

ชายหนุ่มคิดว่าพลศรุตยังคงประคองสติได้ดีถึงพยายามไม่คุยเรื่องมีนาคม ทำให้เขาต้องสนทนาไปตามน้ำแล้วรินไวน์ให้อีกฝ่ายไม่ต่างกับบริกร จุดอ่อนสำคัญของเขาคือเกิดชอบเรื่องที่อีกฝ่ายคุยถึงตัวเองในสมัยยังหนุ่ม การเข้าวงการที่ไม่ต่างกับการผจญภัย ได้เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในฐานะนักแสดง ทั้งหมดนั้นละเอียดและลึกซึ้งยิ่งกว่าข้อมูลในเว็บไซต์ที่เขาเคยอ่านหรือรายการไหนที่เคยสัมภาษณ์

พลศรุตยังคงเป็นหนุ่มเสมอ ประกายแรงกล้าของดวงตาคู่นั้นบอกชัดแม้ใบหน้าอาจจะดูอ่อนวัยเพราะโบท็อกซ์ หากสิ่งสำคัญที่กันต์ไม่ลืมคืออีกฝ่ายมีความเป็นนักแสดงเข้าสายเลือดซึ่งมีนาคมก็ยังเทียบไม่ติด สำหรับเธอเขายังจับได้บ้างในบางครั้งที่ทำตัวแสนงอนแต่กับบิดาของเธอมันแนบเนียนจนน่าสงสัย

ใครต่างก็รู้ว่าการสร้างความประทับใจแรกที่ดีเป็นใบเบิกทางของความสัมพันธ์ที่ราบรื่นทั้งนั้นแต่เรื่องครอบครัวที่ควรจะพูดถึงกลับถูกฝังเอาไว้ใต้รอยยิ้มซึ่งไม่ว่าจะลองแง้มเท่าไหร่ก็ไม่มีหลุดพูดถึงสักคำ

เสียงโทรศัพท์ของพลศรุตดังขึ้นตอนที่กันต์กำลังล้างจานด้วยน้ำเอื่อยๆ เพราะไม่อยากส่งเสียงดังให้อีกฝ่ายตื่น หากเขากลับพบว่าคนที่หยุดเสียงนั้นด้วยการรับสายกำลังนั่งกุมศีรษะอยู่ กระเป๋าสตางค์ก็ถูกเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้วอย่างไม่น่าติดใจสงสัยอะไร

“คุณคงขับรถไม่ไหวยังไง ให้ผมไปส่ง หรือจะค้างที่นี่ก็ได้นะครับ” เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนไปด้วยระหว่างที่พูดแต่คนฟังส่ายหน้า

“เดี๋ยวมีคนมารับ”

กันต์พยักหน้าเข้าใจ “น้ำสักแก้วไหมครับ”

“ก็ดี แต่ปกติฉันไม่ได้ดื่มมากอะไรขนาดนี้”

“นี่คงไม่ใช่สถานการณ์ปกติมั้งครับ” เขายิ้ม รินน้ำจากเหยือกในตู้เย็นใส่แก้วแต่ยังถือทั้งสองอย่างมาด้วยกันที่โต๊ะข้างโซฟา "ถ้าอยากปรับความเข้าใจผมว่าอย่างแรกที่คุณต้องทำคือเลิกคิดว่าตัวเองเป็นพ่อของเธอเสียก่อน"

"ฉันรู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่มีนาคมเป็นลูกสาวของฉันเสมอ แม้เธอจะไม่ต้องการก็ตาม"

กันต์คิดว่าตัวเองอาจกำลังเริ่มเมา เขาเริ่มสงสารผู้ชายสูงอายุที่แฟนสาวไม่ชอบเพราะทิ้งเธอให้ลำบากเสียแล้ว

"บางทีผมคิดว่าอาจจะพอทำอะไรได้นิดหน่อย แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องร่วมมือด้วยนะ"

 

สัญชาติญาณของมีนาคมบอกว่ามีบางอย่างกำลังผิดปกติเกิดขึ้น ทั้งที่กันต์ขี้งกเกินกว่าจะทิ้งตั๋วเครื่องบินไปง่ายๆ... บางทีกันต์อาจจะกำลังปกปิดอะไรจากเธออยู่โดยแกล้งทำเป็นเรื่องงานขึ้นมาอ้าง หรือไม่เขาอาจกำลังซ่อนใครไว้ก่อนหน้านี้โดยที่เธอไม่ทันระแคะระคายก็เป็นได้

มีนาคมเริ่มคิดถึงรายชื่อของผู้หญิงที่มีในโทรศัพท์ของเขา บางคนเธอนึกหน้าออกบางคนก็ไม่รู้จัก แต่เกือบทุกคนเคยส่งข้อความมาหาเขา และก็อาจจะส่งอยู่ทุกวันนี้เพราะเขายังเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ติดตัวไม่ต่างกับส่วนหนึ่งของร่างกาย

ไหนจะเคยมีผู้หวังดีส่งรูปผู้ชายที่ดูเหมือนเขากับผู้หญิงอื่นให้ดูอีก

หญิงสาวกดวีดีโอคอลไปหาชายหนุ่มทันที หากคราวนี้เขาไม่รับสายของเธอแสดงว่ามีพิรุธแต่เมื่อภาพบนหน้าจอเปลี่ยนจากภาพถ่ายของชายหนุ่มกับกีตาร์เป็นวีดีโอ ความคิดจับผิดทุกอย่างของเธอสลายออกไป

“ไง” เขาทักโดยที่ยังทำหน้างงๆ ผนังด้านหลังทำให้เธอมองออกว่าเขาอยู่ที่ห้องของเขาเอง “มีอะไรเหรอ”

มีนาคมหรี่ตา ก่อนจะบุ้ยปาก “ฉันก็แค่อยากเห็นหน้าคุณ”

“จะจับผิดล่ะสิ รู้หรอกนะ”

“นี่! ก็แล้วทำไมต้องอธิบายแปลกๆ ทำเหมือนรีบวางสายแล้วก็ติดต่อไม่ได้ล่ะ” สุดท้ายแล้วเธอก็ยอมรับออกไปโดยดีจนได้ “แล้วตกลงพรุ่งนี้จะมาถึงกี่โมง”

“ตอนนั้นผมติดธุระด่วนจริงๆ แต่พรุ่งนี้ไปถึงเช้าก่อนคุณจะตื่นแน่เชื่อสิ”

กันต์ยังตอบคำถามได้ครบถ้วน ไม่สนใจเสียงที่สูงปรี๊ดบอกอารมณ์ของเธอ เขาเป็นอย่างนี้เสมอทำเหมือนผู้ใหญ่ประเภทที่ทำเมินเด็กที่กำลังร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง” เขาถามทำให้เธอต้องเริ่มเล่าว่าเมื่อเดินทางมาถึงก็ต้องเตรียมงานกันตั้งแต่ช่วงเช้า กว่าจะถ่ายงานจนจบก็ตอนที่หมดแสงพอดี หลังจากนั้นเธอก็ไปทานอาหารกับทีมงาน เดินเที่ยวกับกฤตินในบริเวณใกล้ๆ ที่นี่ไม่ได้มีคนมากนัก มีแค่ไม่กี่คนที่จำเธอได้แล้วก็พูดคุยกันเล็กน้อยเท่านั้น

“ตอนนี้เจ๊ตินหลับเป็นตายไปแล้ว” เธอหันหน้าจอโทรศัพท์ให้กล้องจับภาพไปยังกฤตินที่นอนคลุมโปงอยู่ ร่างกายขยับตามจังหวะการหายใจเหมือนหมีตัวใหญ่ที่กำลังจำศีล เธอไว้ใจอีกฝ่ายมากพอให้นอนร่วมห้องกันเพียงแต่แยกเตียงกันเท่านั้น

“ตอนนี้คุณก็กำลังจะนอนแล้ว?”

“ใช่ แต่ฉันยังนอนไม่ได้จนกว่าจะเห็นคุณเสียก่อน”

“แม่คนขี้หึง” กันต์พูดเล่นมากกว่าจะว่าเธอจริงๆ “ออกไปคุยข้างนอกไหม ระเบียงก็ได้เดี๋ยวจะรบกวนคนอื่น”

“ไม่ละ ฉันจะนอนพรุ่งนี้จะได้ตื่นมารอจับผิดคุณต่อ”

“ตลกจัง” เขาทำหน้าตาย

“ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ นะๆ” เธอทำเสียงให้เบาลงเหมือนกระซิบ ส่งสายตาผ่านกล้องหน้าของโทรศัพท์มือถือจนอีกฝ่ายยอมวางโทรศัพท์ของตัวเองหันไปทางโซฟาในห้อง เขาหายไปจากจอเพื่อหยิบกีตาร์ส่วนเธอก็ไต่ขึ้นไปบนเตียงของโรงแรมหามุมวางโทรศัพท์ของตัวเองบนโต๊ะใกล้ๆ สวมหูฟังแล้วนอนตะแคงหนุนหมอนรอ

“เห็นว่าเป็นคนกันเองหรอกนะ ปกติร้องเพลงผมต้องได้เงินรู้ไหม” เขาเชิดหน้า แต่ก็นั่งลงที่โซฟาหลังจากกะระยะแล้วว่าจะให้เห็นตัวเองประมาณครึ่งตัวพอดี “คุณกะจะนอนหลับไปเลยใช่ไหม”

“ใช่สิ” มีนาคมยกไมโครโฟนที่ติดหูฟังขึ้นมาตอบเบาๆ “เพลงอะไรก็ได้ที่จะทำให้ฉันอารมณ์ดี”

กันต์ยิ้มก่อนจะจับคอร์ดด้วยนิ้วมือที่เรียวกว่าผู้ชายปกติ เธอสังเกตมาตั้งแต่เริ่มคบกันว่านิ้วมือของเขาค่อนข้างยาวปลายนิ้วของเธอไม่สามารถแตะไปถึงปลายนิ้วของชายหนุ่มได้เมื่อลองทาบกัน แต่พอสัมผัสก็รู้ว่าปลายนิ้วของเขาด้านจากการเล่นกีตาร์ บางครั้งมันก็ลอกเป็นแผลน่ารำคาญแต่เขากลับไม่เคยบ่นสักคำ

ชายหนุ่มเริ่มดีดกีตาร์ เป็นทำนองที่ทำให้เธอเริ่มระแวง

“ไปๆ ...ไปลงนรกเสียเธอที่รักฉันจะลงโทษเธอ...”

“อยากให้ฉันลงนรกมากใช่ไหม” เธอถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่แลบลิ้นใส่ก่อนจะเริ่มใหม่ คราวนี้เป็นทำนองของเพลงที่เธอจำได้ว่าเขาเคยเล่นให้ฟัง ถึงไม่ใช่เพลงของตัวเองแต่เธอก็ชอบที่เขาร้องให้เหมือนกับที่เคยร้องให้ฟัง

*Beautiful girls all over the world

I could be chasing but my time would be wasted

            They got nothin' on you baby

            Nothin' on you baby...

มีนาคมยิ้มกับอารมณ์ขันของเขา เธอปรือตามองชายหนุ่มที่ยังคงดีดกีตาร์ร้องเพลงวนไปราวกับกำลังจะสะกดจิตเธอให้ตกไปอยู่ในห้วงเสียงของเขา

                ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่มีเสียงเพราะที่สุดแต่เธอก็รักเสียงของเขามากกว่าใคร

                หญิงสาวไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีโทรศัพท์ของเธอก็ถูกคว่ำหน้าจอไว้ หูฟังถูกม้วนเก็บเรียบร้อยข้างๆ กัน ส่วนกฤตินหายตัวไปทิ้งไว้แต่เตียงเปล่าแถมพับผ้าห่มเรียบร้อย

                มีนาคมใช้เวลาแต่งตัวไม่นานก็ลงมาสั่งมื้อเกือบเที่ยงจากห้องอาหารของโรงแรม คาดคะเนว่ากฤตินอาจจะไปที่ชายหาดแต่ดูจากแสงแดดที่ไม่เหมาะกับคนไม่ทนร้อนกฤตินคงจะไม่ได้อยู่ที่นั่นแน่

                เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโดยที่ยังกินข้าวผัดปูไปแค่ไม่กี่คำ ไม่ทันได้โทร.หาอีกฝ่ายเพราะสายตามองไปเห็นว่าผู้จัดการส่วนตัวของตนเองกำลังเดินควงแขนมากับชายหนุ่มซึ่งสวมแจ๊กเก็ตหนังสีดำกับแว่นกันแดดสะพายกระเป๋าเป้เข้ามา

                “เจ๊ตีน” มีนาคมผุดลุกขึ้น กฤตินหันมาตามเสียงรีบปล่อยแขนของกันต์

                “ว้าย ชู่ว” กฤตินทำท่าจุ๊ปากให้เธอเงียบก่อนจะรีบเดินมาหา ทิ้งให้ชายหนุ่มเช็คอินกับโรงแรมก่อนจะเดินตามมาทีหลัง “จะเสียงดังทำไม”

                “เมื่อกี้ทำอะไร เห็นนะว่าซบกันเดี๋ยวเถอะ”

“โอย นี่ไปรับฮีมานะต้องได้ค่าแรงบ้างสิ” คนพูดทำสะดีดสะดิ้งตามประสาแต่เหงื่อผุดออกมาตามหน้าผาก

“แล้วไม่เรียกฉันไปด้วยล่ะ” มีนาคมห่อปากแต่คู่สนทนาส่ายหน้าพลางหยิบทิชชูบนโต๊ะมาซับเหงื่อ

“ผมบอกแล้วว่ามาถึงก่อนคุณตื่นแน่” กันต์เดินมานั่งเก้าอี้ที่ยังว่าง ยื่นมือมาจับศีรษะของเธอ “เมื่อวานก็หลับไปคาหูฟังโทรศัพท์เลยนะ”

“อย่ามาทำเลี่ยนแถวนี้นะ” กฤตินแทรกขึ้นมาทำให้ชายหนุ่มเก็บมือของตัวเองไว้บนตักเริ่มคุยเรื่องอื่นระหว่างรอที่จะเอากระเป๋าไปเก็บ หากมีนาคมรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนนั้นดูมีลับลมคมนัยประหลาดจากสายตา

“เดี๋ยวเจ๊ไปเป็นเพื่อนตากันต์ดูห้องก่อนนะ อยากเข้าห้องน้ำด้วย แกกินข้าวก่อนเสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยตามขึ้นไปนะ”

หญิงสาวยิ้มแต่กำส้อมแล้วแทงลงไปในมะเขือเทศผ่าซีกเมื่อมองดูกันต์กับกฤตินเดินไปด้วยกันแล้วพูดคุยต่อกระซิบกระซาบ

มีพิรุธจริงๆ ด้วย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น