7

บทที่ 7


บทที่7

นัดรับประทานอาหารและเที่ยวชมบ้านของพลศรุตเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล มีนาคมรู้ดีว่าบิดาของเธอไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าข่าวลือของเธอกับกันต์เป็นเรื่องจริง และการทำเป็นตีสนิทนั้นก็อาจจะเพื่ออยากทดสอบชายหนุ่มก็เป็นได้

เธอถอนใจยาวออกมาจนช่างทำผมขมวดคิ้ว ใช้เครื่องหนีบผมม้วนเป็นลอนเบามือลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะคิดว่าเธอกำลังชักสีหน้าใส่ แต่จะแก้ความเข้าใจผิดก็ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายเดินไปหยิบสเปรย์ฉีดผมจังหวะเดียวกับที่กฤตินเงยหน้าจากโทรศัพท์

“จบงานนี้เรามีเวลาเดินทางสี่สิบนาทีไปอีกงานนึงนะ จำไว้ว่าเราจะไม่ให้สัมภาษณ์แล้วค่อยไปให้นักข่าวสัมภาษณ์ที่งานสุดท้ายเรามีเวลาตอบคำถามได้ตามสบาย เจ้าของงานอยากให้นักข่าวไปรวมกันงานนั้น”

มีนาคมจำเรื่องที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้วได้ขึ้นใจ เธอรอจนช่างทำผมไปหานักแสดงคนอื่นจึงจับมือของกฤตินเป็นเชิงบอกให้รู้ว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจดีถึงยอมเก็บโทรศัพท์แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้

เธอใช้เสียงเบาไม่ต่างกับกระซิบพูดเรื่องที่กันต์รู้จักกับพลศรุตแล้วแต่ยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วคนคนนั้นเป็นใคร รวมทั้งมีนัดที่จะเจอกันอีกเพื่อสานความสัมพันธ์ฉันท์มิตรอย่างที่ชายหนุ่มชอบทำเวลาอยากจะเป็นเพื่อนกับใครก็ตาม

คนฟังถอนใจยาวออกมา

“เจ๊ก็ไม่ได้ติดต่อคุณเค้านานแล้วตั้งแต่ตอนที่มี่บอกว่าไม่ให้ยุ่งน่ะ” กฤตินย้ำ ไม่หลบตาเธอ “ถ้ากลัวว่าเค้าจะทำอะไร หรือพูดอะไรแกก็ไปกับตานั่นสิ อย่างน้อยจะได้รู้เห็นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เค้าคงไม่พูดอะไรทั้งที่แกยังนั่งหัวโด่อยู่ด้วยหรอก”

“เจ๊ก็รู้นี่ว่าฉันไม่อยากจะเจอเค้า” เธอพึมพำเบากว่าเดิม

“หรือไม่ก็ไปพูดให้ฮี อย่าไปเจอแต่จะมีเหตุผลอะไร นอกเสียจากจะบอกไปตามตรงแต่อาจจะได้คนมาไกล่เกลี่ยเพิ่มนะ”

จริงของกฤติน ด้วยนิสัยของกันต์แล้วเขาจะพยายามหาทางเป็นคนกลางของเรื่องนี้แม้ว่าจะเธอจะห้ามเพราะไม่ต้องการ ชายหนุ่มอาจจะรับปากให้เห็นแต่สุดท้ายก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาจะรักษาสัญญานั้นได้จริงๆ

“สมมติว่าถ้าลองพูดว่าอยากจะไปด้วยฮีก็คงจะไม่ขัด แต่คงจะบอกกับเจ้าบ้านก่อนไป คราวนี้เค้าก็จะรู้ว่าแกรู้แล้วก็จะต้องวางตัวกับฮีระวังขึ้น คงไม่พูดเรื่องนั้นออกมา แบบนี้จะดีมั้ย”

“จะให้ฉันแสดงละครต่อหน้ากันต์ ยิ้มหน้าระรื่นกับเค้าเหมือนกับว่าเป็นคนไม่รู้จักกันมาก่อนเหรอ ทำไม่ได้หรอก”

“แต่แกเป็นนักแสดงไม่ใช่เหรอ”

กฤตินจ้องเธอ แต่ไม่ได้ใช้สายตาคาดคั้นอะไร

“การแสดงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือฉันไม่อยากเจอ”

“งั้นก็ลืมเรื่องที่เจ๊พูดไปซะ แล้วก็อยู่แบบระแวงหลังไปแล้วกัน” กฤตินส่ายหน้าแล้วเล่นโทรศัพท์ต่อ ทิ้งทุ่นระเบิดค้างคาในใจของเธอให้มันนับถอยหลังช้าๆ

เธอคิดถึงเรื่องนี้ตลอดจนเรื่องที่ถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับเสื้อกล้ามเจ้าปัญหาจากนักข่าวในงานอีเวนท์สุดท้ายของวันนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก เธอยังคงตอบคำถามคลุมเครือเช่นเดิม บอกเพียงว่านั่นเป็นความบังเอิญและตัวเองก็เป็นแฟนคลับของวงดนตรีนั้นคนหนึ่งส่วนกันต์ก็เป็นเพื่อนรู้จักที่สนิทหลังจากเคยร่วมงานกันมา

มีนาคมรู้ว่าจะถูกค่อนแคะหลังจากนี้ แต่เธอจะยืนกระต่ายขาเดียวต่อไปให้มั่นคงที่สุด การวางใจให้นิ่งเฉยจากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นปราการอย่างดีที่ทำให้เธอไม่คิดมากจนเป็นบ้าไปเสียก่อน ที่สำคัญคงจะเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ว่าจะมีอะไรเลวร้ายสุดท้ายเมื่อกลับไปถึงยังห้องของคอนโดมิเนียมนั้นเขาจะทำให้มันกลายเป็นบ้านจริงๆ ของเธอได้

“กำลังอยู่ในรถแล้วคุณถึงรึยัง วันนี้ฉันเหนื่อยมากเลยรู้มั้ย แถมหิวมากด้วย” หญิงสาวเหลือบมองผู้จัดการส่วนตัวที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินทั้งที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถตู้ เพราะเธออยากอ้อนเขาหากอีกฝ่ายกลับเพียงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่ายังติดธุระอยู่ที่ทำงานของตัวเอง วันนี้มีอัดเสียงพิเศษเลยยังกลับไม่ได้ ดับฝันที่เธออยากจะขอให้เขาทำอาหารง่ายๆ ให้กินสักอย่าง

“แต่ถ้าคุณรอได้ แล้วให้วันนี้เป็น cheat dayเราจะได้ไปกินบุฟเฟต์ข้ามคืนกัน”

“ไม่ไหวหรอก” เธอไม่ได้เป็นมนุษย์กระเพาะเหล็กเหมือนเขา แม้คำบรรยายสรรพคุณของร้านบุฟเฟต์เปิดใหม่เกรดพรีเมียมจะยั่วยวนใจก็ตาม สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่อาหารเลิศรสในเวลาที่เหนื่อยแต่เป็นอะไรก็ได้ที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมในใจต่างหาก “กินแบบนั้นที่ลดน้ำหนักมาก็แย่น่ะสิ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ผมจะกินมาเผื่อก็แล้วกันนะ”

หญิงสาวรู้แล้วว่าไม่ควรคาดหวังคำตอบเอาอกเอาใจจากเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากใส่โทรศัพท์มือถือ เธอกลับเข้าห้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวเมื่อแยกกับกฤติน ได้แต่ดูรูปอาหารที่ชายหนุ่มส่งมาให้ดูว่าเป็นรายการที่เขาจะกินเผื่อเธอหากในเงาสะท้อนของช้อนเธอกลับเห็นเงาของคนที่นั่งข้างๆ ชายหนุ่ม

มีนาคมขยายรูปที่เขาส่งมาให้ใหญ่ขึ้น ภาพนั้นเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่ก็มองออกว่าเป็นผู้หญิง

 

mimi march : ไปกับใคร?

ข้อความจากโปรแกรมสนทนาของกันต์แจ้งเตือนขึ้นมาเมื่อเขาเริ่มจะรู้สึกว่าอาหารที่กินเข้าไปจุกมาถึงลิ้นปี่ แต่กว่าจะได้ตอบข้อความเขาก็กำลังจะกลับพอดีเพราะมัวแต่ติดพันคนอื่น

GGun : กับเพื่อนที่ทำงานสิ

GGun : แต่กำลังจะกลับแล้ว

เขาพิมพ์ตอบเมื่อตอนกำลังจะออกจากร้าน วันนี้สิทธาโทรศัพท์ตามให้เขาเข้าไปที่บริษัทเป็นการพิเศษ เนื่องจากอยากให้ลองมาบันทึกเสียงเพื่อจะส่งตัวอย่างไปให้ทางสตูดิโอซึ่งเป็นตัวแทนนำเข้าภาพยนตร์จากค่ายยักษ์ใหญ่ ทางฝ่ายนั้นต้องการให้ดารานักแสดงที่เป็นที่รู้จักมาพากย์เสียงเป็นตัวละครหลักเพื่อง่ายต่อการโปรโมต

เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้ลงทดสอบพูดบทเดิมซ้ำๆ ในหลายอารมณ์เพื่อให้บริษัทตัวแทนต้นสังกัดพิจารณาก่อนรอบแรก ก่อนที่จะตัดสินใจให้ไปลองทดสอบกับบทจริงบางส่วนเพื่อที่จะส่งไปให้บริษัทที่ต่างประเทศตัดสินใจ เขาจึงยังไม่ได้ตั้งความหวังมากเท่าไหร่แต่ก็ทำอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้คนที่แนะนำต้องผิดหวัง

“แล้วจะกลับยังไงน่ะเรา” เขาหันไปหาคีตกัญซึ่งนั่งข้างตนเองตลอดเวลาในร้าน แต่หญิงสาวพูดน้อยมากนอกจากเรื่องงานที่อธิบายให้เขาฟังก็แทบจะไม่พูดเรื่องอื่นเลย

“ก็คงขึ้นแท็กซี่ค่ะ” หญิงสาวตอบง่ายๆ แต่ยังไม่ทันจะได้คุยต่อกันต์ก็ถูกเพื่อนร่วมงานสาวที่มากินอาหารด้วยกันเกาะแขนขอให้ช่วยขับรถแวะไปส่งขากลับให้ด้วยอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ เขานับจำนวนคนซึ่งไปมามีผู้ชายมารวมด้วยได้สี่คนซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นทางผ่าน

“โป้ก็ไปด้วยกันสิ ยังไงก็ผ่านผู้หญิงนั่งด้วยกันสี่คนข้างหลังน่ะไหว ให้พี่องอาจนั่งหน้าไปแล้วกัน” คนเกาะแขนซึ่งอายุมากกว่าเขาจัดแจงออกคำสั่ง ทำให้คีตกัญต้องนั่งเบียดรวมไปกับเบาะหลังในสุดและเขาก็เพิ่งเริ่มมองเจตนาของคนชักชวนออกซึ่งพยายามชวนหญิงสาวคุยเป็นกรณีพิเศษ

“รู้มั้ยพี่กันต์เป็นชื่อย่อนะ มาจาก ‘กันเอง’มีอะไรก็เรียกไหว้วานได้เลย ขาดเหลืออะไรก็บอกได้”

“คนนะครับ ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อ” กันต์ตอบไปพร้อมหัวเราะเบาๆ หยุดจอดรถกระบะสี่ประตูของตัวเองเพื่อให้ผู้โดยสารสองคนแรกลงไปก่อน เพราะทั้งคู่อยู่อพาร์ทเมนต์เดียวกัน เหลือแค่องอาจซึ่งนั่งข้างหน้าเพราะเป็นผู้ชาย คีตกัญนั่งริมในสุดของเบาะหลังและจีรภาที่ยังพูดไม่หยุด

“โป้น่ะ เลิกเรียกคุณกันต์ๆ ได้แล้วไม่ต้องให้เกียรติมันขนาดนั้นรู้เปล่า”

“โห อะไรเนี่ยพี่จี” คนขับรถมองกระจกหลังไปทางสาวรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าตัวเองไม่กี่ปี จีรภาเป็นสาวสวยผมบ็อบเทหุ่นนาฬิกาทราย ทำหน้าที่เป็นพีอาร์ของบริษัทอัธยาศัยดีจนค่อนไปทางคำว่าหว่านเสน่ห์ "แล้วพี่มาจากอะไร จีวร?"

“ตาบ้า!”จีรภาตีไหล่ของเขาแล้วลูบซ้ำ กันต์แกล้งหมุนพวงมาลัยแฉลบว่าเจ็บจนเสียหลักให้หญิงสาวกรี๊ดออกมาก่อนจะด่าซ้ำสอง มิหนำซ้ำองอาจยังร่วมด่าเขาอีกคนเพราะเผลอกรี๊ดเสียงห้าวออกมาส่วนคีตกัญยังเงียบเหมือนเดิมเพียงแค่ทำตาโตขึ้นค้างไว้เท่านั้น

“เรียกพี่ได้ไหม แล้วพี่จะให้กินขนมหมื่นห้า” เขาฮัมเพลงค้านเสียงบ่นของผู้โดยสาร แวะจอดให้จีรภาลงไปหลังจากนั้น ตามด้วยองอาจซึ่งกำชับว่าให้เขาส่งคีตกัญให้ปลอดภัยและให้เธอส่งข้อความมาหาเขาเมื่อถึงบ้านเรียบร้อยด้วย

หญิงสาวนั่งเกร็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ตามลำพัง เขาไม่ได้บอกให้เธอมานั่งข้างหน้าเพราะไม่ได้ถือสาอะไรที่จะอยู่เหมือนตำแหน่งคนขับรถแท็กซี่ แต่มันเงียบเกินไปจนต้องเอื้อมมือไปเปิดวิทยุให้มีเสียงอะไรบ้าง

“บอกทางด้วยนะ เดี๋ยวเลี้ยวผิดต้องเสียเวลาอีก”

คีตกัญดูสนใจทางมากขึ้นเมื่อเขาเตือน หญิงสาวบอกเส้นทางกำชับอีกครั้งก่อนที่จะนั่งนิ่งเหมือนเดิมทำให้ชายหนุ่มคิดว่าต้องหาเรื่องคุยบ้าง

“เออ ได้ยินว่าเราเป็นคนบอกให้พี่สิทธาให้พี่มาบันทึกเสียงด้วยอีกคน ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว”

“ทำไมเลือกมาอะ ไม่ได้อยู่ในรายชื่อทีแรกไม่ใช่เหรอ” เขาสงสัย

“ก็...อยากให้ลองดูค่ะ” คนพูดดูลำบากใจจะตอบ “เสียงมีไดนามิคคล้ายกับนักแสดงของหนังค่ะ จังหวะเวลาพูดคล้ายมากกว่าของคนอื่น แล้วก็มีเสน่ห์กว่าถ้าให้ทางบริษัทไปคัดเลือกอีกทีอยู่แล้วให้ลองก็ไม่เสียหายอะไร”

“แหม ไม่เคยรู้ตัวเลยนะเนี่ย” เรื่องที่เธอบอกนั้นเขาสังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อตอนที่ลองทดสอบแล้ว เพียงแต่ชายหนุ่มคิดว่าไม่ได้มีเขาคนเดียวที่เข้าข่ายเหมาะสมอาจขึ้นอยู่กับว่าจะได้รับโอกาสหรือไม่

“ก็ไม่ได้มีเสน่ห์ขนาดนั้นหรอกค่ะ”

กันต์ขำเมื่อหญิงสาวไม่รู้ว่าเขาแกล้งชมตัวเอง เธอทำหน้าตายแล้วกอดอก สายตามองตรงไปแต่ถนนก่อนจะไหวไปเมื่อเขาเปลี่ยนเป็นเปิดเพลงจากซีดีที่มีอยู่แทน

“จำได้ว่าเคยได้ยินว่าเห็นสีเวลาฟังเพลงนี่แล้วเพลงนี้เห็นสีอะไร”

“เห็นเป็นเรื่องตลกเหรอคะ” คีตกัญดูเหมือนจะหน้าแดงขึ้นในแสงรำไรที่สาดมาจากเสาไฟข้างทางระหว่างรถเคลื่อนไป

“เปล่า ถามเพราะอยากรู้จริงๆ” ชายหนุ่มสบตาเธอผ่านกระจกมองหลัง “โลกที่เราเห็น มันน่าจะเจ๋งนะ”

ปัญหาหลักของหญิงสาวคือการมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับเพื่อนร่วมงาน อาจเพราะเรื่องอาการนี้ที่ควรจะเป็นความลับระหว่างเธอกับสิทธา แต่เจ้าตัวกลับเอามาบอกทุกคนให้รู้ แม้จะไม่มีใครพูดต่อหน้าแต่ก็คุยกันลับหลังด้วยความสงสัยว่าสิ่งที่คีตกัญบอกนั้นเป็นจริงหรือไม่ คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะไม่พอใจนักเมื่อมีใครทำท่าว่าจะพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา

“น้ำเงิน เหลือง ขาว ผสมกันไปน่ะค่ะ” คีตกัญตอบเบาๆ “บอกไปคงไม่เห็นภาพหรอก”

“น่าจะลองวาดรูปดูนะ” กันต์หรี่เสียงของเพลงแจ๊ซลง ปกติเขาก็ฟังดนตรีหลายแนวเพียงแต่แผ่นนี้พิเศษตรงที่ได้รับมาจากเจ้าของเพลงซึ่งเป็นนักดนตรีโดยตรง ทั้งเพลงจึงมีไม่มีเนื้อร้อง เหมาะกับการเปิดเวลาขับรถว่างๆ โดยไม่ต้องคิดอะไร

“มันเรียกว่าอะไรนะ”

“ซินเนสทีเซียค่ะ”

“เหมือนกันทุกคนไหม แบบต้องได้ยินเสียงถึงเห็นสี หรือเป็นแค่มีประสาทสัมผัสสองอย่างเฉยๆ”

“ไม่ค่ะ แต่คิดว่าคงเป็นพันธุกรรมเพราะแม่ก็เป็น” คีตกัญตอบ

“ดีจัง” เขาบอกเท่านั้น ตั้งใจว่าจะไปค้นหาข้อมูลเพิ่มจากอินเตอร์เน็ตหลังจากนี้โดยไม่ได้สนใจมองสีหน้าของเธออีก

ชายหนุ่มส่งหญิงสาวลงหน้าบ้านซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นก่อนจะวนรถกลับไปยังคอนโดมิเนียม มีนาคมนอนเล่นโทรศัพท์รออยู่บนโซฟา เหลือบมองเขาด้วยหางตาแล้วก็ทำเฉยอยู่อย่างนั้น

จากการคาดการณ์ เธออาจเห็นรูปถ่ายรวมซึ่งสิทธาอาจจะโพสขึ้นไปโซเชียลแล้ว

“ตกลงกินอะไรรึยัง”

“ยัง” คนตอบเสียงแข็ง “ก็มันไม่มีอะไรให้กิน”

“ร้านสะดวกซื้อข้างล่างไง”

คราวนี้หญิงสาวกลับทำหน้าบึ้งอาจเพราะโมโหหิว แต่เขาไม่ควรลืมว่าเธอเป็นคนขี้เกียจออกจากห้องขนาดไหนหากได้กลับมา รวมทั้งเมื่อลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้าไปแล้วด้วย

“คุณทำอะไรน่ะ” คนถามลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ไร้พนักตรงเคาน์เตอร์บาร์ของครัวแทนเมื่อเขาหยิบไข่สามฟองออกมาจากตู้เย็น

เขาไม่ตอบแต่หยิบกระทะไฟฟ้าออกมาเสียบปลั๊ก ตอกไข่ใส่ชาม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วเล็กน้อยแล้วเทลงไปโดยไม่ใส่น้ำมัน มองหญิงสาวที่นั่งเท้าคางรอราวกับรู้ว่าตัวเองจะได้รับประโยชน์จากการจ้องมองเขาใช้ทัพพีไม้คนไม่ให้ไข่ที่เริ่มสุกกลายเป็นแผ่น

“น่าจะมีพวกแฮม หรือไส้กรอกด้วยนะ”

“ก็ทำไมไม่ซื้อให้มีติดตู้เย็นไว้ล่ะ ผมเป็นคนซื้อมาทุกที” เขาเคาะทัพพีกับขอบกระทะไฟฟ้าเมื่อไข่สุก กดปิดมันแล้วหันไปหยิบพริกไทยขวดมาโรยก่อนจะตักไข่คนใส่จานขณะที่คนนั่งเฉยๆ เลื่อนจานไปตรงหน้าหยิบช้อนส้อมมาถือในมือแล้วกินไปเป่าไปต่อหน้าต่อตา

“นี่ ไม่ได้พูดสักคำว่าทำให้กิน”

มีนาคมกลอกตาใส่เขาแทนคำตอบว่าไม่สนใจ “เทน้ำมาด้วยสิ”

กันต์ยกกระทะไฟฟ้าส่วนที่ต้องล้างไปวางยังอ่างล้างจาน เทน้ำส้มแบบกล่องจากตู้เย็นมาใส่แก้วเสิร์ฟให้กับหญิงสาวที่ดูอารมณ์ดีขึ้นสองระดับเมื่อกินไข่คนในจานไปหนึ่งในสาม เขาเท้าแขนจ้องเธอที่ดูเหมือนเปลี่ยนจากเสือกลายเป็นแมวได้แค่การให้อาหาร

“อย่าลืมไปซิทอัพละ ไข่ตั้งสามฟองน่ะ”เขาเหน็บแนมหากคนฟังยังนั่งกินต่อไม่พูดไม่จา ผ่านไปอีกหลายนาทีกว่าที่เธอจะเริ่มสนใจเขาบ้างเมื่อจานว่างเปล่า “หงุดหงิดบ่อยมันไม่ดีรู้ไหม”

“แล้วทำไมไม่บอกว่ายายพีอาร์คนนั้นไปด้วย” เธอหมายถึงจีรภาซึ่งเคยมีช่วงหนึ่งที่เขาต้องคุยธุระติดต่อกับอีกฝ่าย แต่ด้วยนิสัยชอบส่งข้อความคุยเล่นนั่นเองที่ทำให้มีปัญหา

“บอกแล้วเดี๋ยวก็ทะเลาะกันแต่มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่ ผมยังไม่เห็นถามถึงผู้ชายคนอื่นที่คุณทำงานด้วยเลย เพื่อนร่วมงานก็ส่วนเพื่อนร่วมงานสิ”

มีนาคมเม้มปากประสานมือไว้ไม่ต่างกับท่าสวดภาวนา “โอเคในข้อแม้ว่าคุณไม่ผิดคำพูดนะ ถ้าคุณร้ายกับฉันเมื่อไหร่คุณตายแน่”

"หูยกลัวจัง"

"ฉันพูดจริงนะ คุณตายแน่"

“แต่ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปีเชียวนะ”

“ถ้าบอกว่าบันดาลโทสะจะลดโทษได้ใช่มั้ยคะ ฉันอาจทำไปโดยประมาทก็ได้”เธอเลิกคิ้ว

“ต้องให้แน่ใจว่าไม่มีการไตร่ตรองมาก่อนน่ะนะ” เขาแกล้งทำหน้าสลด “แล้วถ้าผมไม่ตายนี่ คุณก็ยังต้องผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ดี เพราะอย่างนั้นอย่าทำเลยดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นให้เป็นอุบัติเหตุก็ได้น่ะสิ”

“งั้นก็ไปวางแผนมาดีๆ แล้วกัน”

มีนาคมหัวเราะออกมาในท้ายที่สุดขณะที่ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าตอนนี้เธอกลับมาอยู่ในหมวดอารมณ์ปกติแล้ว“ปลายอาทิตย์นี้เราไปหาที่เที่ยวใกล้ๆ กันดีไหม ครึ่งวันก็ได้”

“อาทิตย์นี้ผมมีนัดแล้วนะ กับคุณพลศรุตไง” เขาทวนความจำ

“แต่ฉันว่างวันนั้นแค่วันเดียวนะ” เสียงของเธออ่อนลง สายตาตัดพ้อ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันสิ คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรนะแล้วขากลับเราก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันต่อ”

“จะดีเหรอคะ ฉันไม่ได้รู้จักเค้าเสียหน่อย”

กันต์ยิ้มค้างเมื่อพิจารณาสีหน้าของหญิงสาว เขาต้องไม่ลืมด้วยว่าเธอเป็นนักแสดงมากฝีมือ แต่เขาเองก็พัฒนาไปมากแล้วเช่นกัน

“ดีสิ ไม่เคยรู้จักเดี๋ยวก็รู้จักกันเอง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น