3

จอมหัวแข็งทั้งสาม


3

จอมหัวแข็งทั้งสาม

 

ธุระของปริมาก็คือการมาเปิดบัญชีเพิ่มอีกหนึ่งบัญชี แล้วนำเงินออมทั้งหมดของเธอมาใส่ไว้ในบัญชีนี้ โดยมีจุดประสงค์ที่จะเก็บเงินไว้ให้หลานชายคนเดียวของเธอโดยเฉพาะ

แม้เงินเดือนจากการเป็นวิศวกรไฟฟ้าของตนจะไม่ได้มากมายเท่าไร แต่ถ้าแบ่งสันปันส่วนดีๆ ปริมาก็คิดว่าเธอกับหลานชายน่าจะอยู่กันได้อย่างไม่ลำบากเท่าไรนัก

“น้ำตาจะไหล เพื่อนฉันนี่เป็นน้าที่ดีจริงจริ๊ง”

ร้อยรักเย้า หลังจากได้ทราบความนี้ แม้จะชอบจิกกัดกัน แต่ร้อยรักก็ชื่นชมเพื่อนคนนี้เสมอ ด้วยเพื่อนต้องรับผิดชอบชีวิตหลานชายที่กำพร้าพ่อแม่มาได้หลายปีแล้ว ตัวหลานเองก็ดีแสนดี พอช่วงที่กำลังจะจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็ขยันอ่านหนังสือ มีใจที่จะแบ่งเบาภาระน้า จนสอบชิงทุนเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดังได้

“ตาปราชญ์นี่ เก่งสมกับที่ชื่อปราชญ์ สอบชิงทุนเรียนฟรีของโรงเรียนพิริยศึกษาได้ ไม่ธรรมดาเลยนะปริม”

“เออ หลานมันเก่งเหมือนน้ามันไง” ปริมาแกล้งอวดตัวเองจนร้อยรักแบะปากใส่ ก่อนจะเอ่ยต่อ “เห็นว่าเป็นทุนที่ตระกูลพิริยนารถ ตระกูลที่เป็นเจ้าของโรงเรียนนี้ตั้งใจจะให้เด็กเรียนดีแต่ฐานะไม่เอื้อให้ได้เรียน ก็นะ นี่ถ้าปราชญ์ไม่สอบชิงทุนได้ ฉันก็คงไม่มีปัญญาส่งหลานเรียนโรงเรียนนี้หรอกแก ค่าเทอมแพงฉิบ”

ร้อยรักหัวเราะคิกพลางพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่สุด ค่าเทอมของโรงเรียนพิริยศึกษานั้นแพงหูฉี่จริงๆ หญิงสาวพอจะทราบข้อมูลนี้เพราะว่าโรงเรียนสอนศิลปะที่แม่เป็นครูอยู่นั้นก็เป็นโรงเรียนที่บริหารโดยตระกูลนี้

แล้วทั้งสองสาวก็มีอันต้องหยุดคุยเรื่องโรงเรียนของปราชญ์ไว้ก่อน ด้วยพันรบกลับมาพอดี หลังจากนั้นทั้งสามก็สั่งก๋วยเตี๋ยวมารับประทานกัน

พันรบคอยดูแลจัดการทุกอย่าง นั่งฟังสองสาวเมาท์เรื่องสมัยเรียนมัธยมของพวกเธออย่างสนุกสนาน จิตใจแช่มชื่นเบิกบานจนยิ้มร่าออกมาอย่างมีความสุข โดยที่ไม่รู้เลยว่า...

ชีวิตเขากำลังจะได้พบกับความยุ่งยากซึ่งมาจาก ‘คนพวกนั้น’ ที่เขาพยายามหนีอยู่

 

อาจเพราะจิตวิญญาณของความเป็นสไตลิสต์ที่อัดแน่นอยู่ในใจ เมื่อกลับมาถึงบ้านได้ ร้อยรักเลยให้พันรบลองเสื้อผ้าที่ซื้อมาทันที

พอเขาเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับห้องครัว แล้วเดินออกมาหาร้อยรักที่นั่งอยู่บนโซฟากลางบ้าน หญิงสาวก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นลุคที่เปลี่ยนไปของคนเป็นน้อง

“โห! พอแต่งตัวแบบนี้แล้วดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันตาเลยนะเรา” เอ่ยพลางลุกเดินไปหาเขา แนะเพิ่มอีก “แต่ถ้าจะให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ รบต้องเปลี่ยนทรงผม เซตผมแบบเปิดหน้า เพราะผมปรกหน้าแบบที่เป็นอยู่มันทำให้รบดูเป็นเด็กใสซื่อ เดี๋ยวคนจะไม่เชื่อถือเอา”

“ครับ ผมตามใจพี่รัก พี่รักว่าแบบไหนดี ผมก็จะทำ” พันรบเอ่ยเสียงนุ่ม นึกเอ็นดูสาวเจ้าเหลือเกิน ดูเธอมีความสุขกับการจัดแจงเสื้อผ้าให้เขามาก จนเขาอดถามเสียไม่ได้ “ทำไมพี่รักถึงมาเป็นสไตลิสต์อิสระได้ครับ”

“พี่ชอบอะไรเทือกนี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนเลือกเรียนด้านแฟชั่น พี่ทะเลาะกับพ่อจนบ้านแทบแตกเลยละ ก่อนจะมาเป็นสไตลิสต์อิสระ พี่ก็เคยเป็นสไตลิสต์ให้นิตยสารแฟชั่นมาก่อน หาประสบการณ์จนพอใจแล้วก็ลองผันตัวมาเป็นสไตลิสต์อิสระดู จริงๆ พี่ก็เพิ่งเริ่มเป็นได้ไม่เท่าไรเองนะ เสี่ยงจะไม่มีกินอยู่เหมือนกัน”

เล่าแล้วก็หัวเราะคิกคัก ไม่เดือดร้อนอะไรเลยสักนิด ก่อนจะเล่าต่อ “พี่รู้ว่าในสายตาของพ่อมันดูไม่มั่นคงเลย แต่พี่ก็ไม่อยากคิดเยอะ อยากใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มีความสุขกับทุกวันเวลาที่มีอยู่ในตอนนี้ก็พอ”

“ผมเข้าใจครับ” พันรบยิ้มบาง ไม่แย้งอะไรเธอเลย เพราะไม่ว่าจะร้อยรักหรือรวีก็ไม่มีใครคิดผิดหรือคิดถูก ทั้งคู่เพียงแต่คิดต่างกัน ซึ่งความคิดต่างนี้ล้วนเกิดจากวัย ลักษณะนิสัย และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกันก็เท่านั้นเอง

“แล้วรบล่ะ วางแผนชีวิตยังไงบ้าง”

“ผมเหรอครับ ผมก็คงทำงานกับคุณลุงเพื่อหาประสบการณ์ และเตรียมสอบตั๋วทนายด้วยครับ”

“อ้อ อยากเป็นทนายเหมือนพ่อพี่เหรอ” เธอถามแล้วหัวเราะแหะเมื่อพันรบพยักหน้ารับ นึกเสียววาบว่าน้องจะได้ยินคราที่ตนพูดว่าแอนตี้อาชีพนี้ไหม

ยืนเก้ออยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ขอตัวไปเอาเครื่องมือทำผมที่ห้อง เพื่อมาลองเซตผมให้พันรบ ส่วนชายหนุ่มก็มองตามไปด้วยความรักใคร่...พลันจินตนาการถึงภาพอนาคตของครอบครัวตน นี่ถ้าตาหนูน้อยเกิดมาเมื่อไร คงโดนแม่รักจับแต่งตัวหล่อทุกวันเป็นแน่

 

สีหน้าเจื่อนๆ ของคนที่พิธานพบที่หน้าบ้านแต่เช้า สร้างความขบขันให้เขาพอสมควร ด้วยนึกรู้ว่าทำไมทนายความประจำตระกูลของตนถึงได้มีสีหน้าเช่นนี้

“เครียดแต่เช้าเลยนะครับคุณลุง เครียดเรื่องรบใช่ไหม”

ก่อเกียรติยิ้มเนือยๆ ให้คนร่างสูงใหญ่ที่สวมสูทผูกไทแต่งตัวเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว ก่อนจะยอมรับตามตรง “ครับ เครียดเรื่องหลานท่านรองนั่นแหละ เอ้อ ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าท่าน ผอ. ต่างหาก เป็นไงบ้างครับ ปรับตัวกับตำแหน่งใหม่ได้หรือยัง คุณท่านทิ้งภาระไว้ให้เยอะไหม”

พิธานหัวเราะ ก่อนบอก “ท่าน ผอ. คนเก่านี่เหมือนจะแกล้งลูกเลยครับ มีงานให้ผมทำเพียบเลย ว่าแต่...รบทำอะไรให้เครียดเหรอครับ”

ก่อเกียรติถอนใจรับคำถาม “คุณรบมากรุงเทพฯ น่ะครับคุณพอล แต่ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมมาพบคุณท่าน หัวแข็งจัดเลยครับ”

พิธานยิ้มบางเมื่อนึกถึงนิสัยของหลานชาย อดที่จะเอ่ยถึงพ่อของหลานไม่ได้ “เหมือนพี่พิชไม่มีผิด”

“ครับ ผมละปวดหัว”

“อย่าเพิ่งบ่นเลยครับ อีกเดี๋ยวคุณลุงก็ต้องได้ปวดหัวอีก เพราะมีคนหัวแข็งนัมเบอร์วันรออยู่ในบ้านอีกคน”

ทนายความประจำตระกูลพิริยนารถถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อนึกถึงคนหัวแข็งนัมเบอร์วัน ซึ่งเป็นต้นตำรับนิสัยนี้

คุณพระคุณเจ้าช่วย...ปู่ พ่อ หลาน สามรุ่นนี้ช่างถอดแบบกันมาเป๊ะ!

 

“ไม่ยอมมา!”

ชายสูงวัยท่าทางน่าเกรงขามโวยเสียงดังกลางห้องโถง หลังจากที่ได้ทราบความอันน่าโมโหจากทนายความประจำตระกูลว่าหลานชายคนเดียวของตนไม่ยอมมาพบกัน

“ครับคุณท่าน คุณรบไม่ยอมมา”

“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน!”

“เอ่อ...ตอนนี้คุณรบอาศัยอยู่ที่บ้านของเพื่อนคุณพรรณีครับ” ก่อเกียรติบอกสาระสำคัญ ก่อนจะรีบส่งแฟ้มประวัติของสองสาวที่ตนให้นักสืบไปสืบมาเรียบร้อยแล้วให้พิชัยยุทธได้อ่าน

“จะไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นทำไมก็ไม่รู้ บ้านตัวเองก็มี” ชายสูงวัยเข่นเขี้ยวบ่นหลานชาย ก่อนจะอ่านประวัติของสองแม่ลูกร้อยรักและแรมใจ อ่านไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดกึกกับสถานที่ทำงานของแรมใจ

“หือ...เขาเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนในเครือของตระกูลฉันนี่”

“ก็...ครับ”

“หึ!” ชายสูงวัยหัวเราะในลำคอ ก่อนจะแสยะยิ้มร้ายกาจ “รู้ใจฉันใช่ไหมก่อ ว่าฉันจะทำอะไร”

เห็นรอยยิ้มของเจ้านาย ก่อเกียรติก็ใจหายแวบ...‘งานเข้าตรูอีกแล้ว’

“อย่าเลยครับคุณท่าน เดี๋ยวคุณรบจะยิ่งแอนตี้คุณท่านนะครับ” เขาลองกล่อมพิชัยยุทธดู เผื่อว่าเจ้านายจะเปลี่ยนใจ ไม่บีบคั้นพันรบด้วยวิธีนี้

“อุวะ!” คนสูงวัยตบเข่าฉาดแสดงความขัดใจ “ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ หลานฉันมันจะมาหาฉันเหรอ!”

“โธ่ คุณท่านก็”

“ทำเดี๋ยวนี้!”

ก่อเกียรติถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปหาพันรบ พออีกฝ่ายรับสายก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่หนักใจอย่างเห็นได้ชัด

“คุณรบครับ คุณท่านฝากมาบอกว่า ถ้าคุณรบไม่มาหาคุณท่าน คุณท่านจะไล่คุณแรมใจออกจากงานครับ”

 

แรมใจออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ส่วนร้อยรักนั้นยังไม่ตื่น เลยเป็นทางสะดวกให้พันรบได้ออกจากบ้านไปยังสถานที่ซึ่งตนเกลียดมากที่สุด

บ้านพิริยนารถ!

ถ้าไม่ใช่เพราะคำขู่บ้าๆ นั่น พันรบก็ไม่มีทางไปเหยียบที่นั่นแน่

ชายหนุ่มเดินออกจากซอยบ้านของแรมใจ แล้วไปยืนโบกมือเรียกแท็กซี่อยู่ครู่หนึ่งก็ได้คันที่ว่าง พอเข้าไปนั่งและบอกจุดหมายของตนเรียบร้อยแล้ว ร้อยรักก็โทร. เข้ามา เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกดรับ

“รบ...รบอยู่ไหน พี่ตื่นมาก็ไม่เจอรบแล้ว”

น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงกันทำให้พันรบยิ้มทั้งที่ใจกำลังว้าวุ่น

“ผมออกมาทำธุระนิดหน่อยครับ ถ้าเรียบร้อยแล้วผมจะรีบกลับเลยนะ”

“ทำธุระที่ไหนล่ะเนี่ย ทำไมไม่บอกพี่ พี่จะได้พาไป เกิดหลงทางขึ้นมาจะทำยังไง”

ถ้อยคำของเธอทำพันรบทั้งชื่นใจทั้งขันเสียแทบแย่ ก็นะ...เขาคือน้องชายแสนใสซื่อในสายตาเธอนี่นา

“ขอบคุณนะครับที่พี่รักเป็นห่วงผม แต่ผมขอไปเองนะครับ” พยายามบอกให้เธอสบายใจ “แต่ถ้าผมหลง เดี๋ยวผมรีบโทร. บอกพี่รักเลยนะครับ”

“โอเค ถ้ามีปัญหาอะไรต้องรีบโทร. มาบอกพี่เลยนะ”

พันรบยิ้มบาง ก่อนจะกดวางสาย ในอกเอ่อล้นไปด้วยความประทับใจจากความห่วงใยของเธอ พร้อมกันนั้นก็สัญญากับตัวเองด้วยว่า...ไม่ว่าจะร้อยรักหรือแรมใจ ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้อง!

 

เห็นสายตาฟาดฟันที่ปู่หลานมองกัน ก่อเกียรติก็เสียวสันหลังวาบๆ พลางรำพึงกับตัวเองในใจ ‘ตรูหนอตรู เวรกรรมอะไรให้ต้องมาอยู่ในสมรภูมิสายเลือดหัวแข็งกันน้อ ซวยแท้ๆ’

“ทำไมต้องไปอยู่บ้านคนอื่น ทำไมไม่มาอยู่ที่นี่”

“ป้าแรมกับพี่รักไม่ใช่คนอื่นสำหรับผมครับ”

วาจาของพันรบทำพิชัยยุทธฉุนจัด “นี่แกจะบอกว่า ฉันต่างหากที่เป็นคนอื่นสำหรับแกอย่างนั้นเหรอ”

“ผมไม่ได้พูดนะครับ คุณพูดออกมาเอง”

“นี่แก!”

“ที่ผมมาหาคุณในวันนี้...” พันรบเอ่ยต่ออย่างไม่สนใจว่าคนสูงวัยจะโมโหขนาดไหน รีบบอกจุดประสงค์ “มันไม่ใช่ว่าผมกลัวคำขู่หรอกนะครับ ผมแค่อยากจะมาบอกคุณว่า อย่ายุ่งกับป้าแรมและพี่รัก พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับความบาดหมางของเรา และถึงคุณจะไล่ป้าแรมออก...ผมก็มั่นใจว่าป้าแรมมีดีพอที่โรงเรียนอื่นจะจ้าง แถมสามีเก่าของป้าแรมก็เป็นทนายความชื่อดัง เขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน เขาไม่มีทางปล่อยให้ป้าแรมลำบาก คุณคิดผิดแล้วที่มาขู่ผม”

ชื่อบุคคลที่สามที่ออกมาจากปากของพันรบทำพิชัยยุทธขบกรามแน่น หันมองก่อเกียรติ ส่งสายตาที่แสดงถึงคำถาม...‘แกบอกข้อมูลฉันไม่ครบเรอะ!’

ชายสูงวัยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง ก่อนจะผ่อนลมหายใจเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง ยอมละจากเรื่องงานของแรมใจ

“ได้ ฉันจะไม่ยุ่งกับป้าแรมของแกแล้วก็ได้” จากนั้นก็เอ่ยเรื่องพันรบแทน “เพิ่งเรียนจบใช่ไหม มาทำงานกับอาพอลเขาสิ มาเรียนรู้อะไรๆ จากอาเขา มาช่วยอาเขาบริหารงานบ้าง”

“ไม่ครับ ผมมีทางของผมเอง”

การปฏิเสธแทบจะทันทีของหลานชายทำพิชัยยุทธตาวาววับ โมโหจัดจนโพล่งถามออกไป “นี่กะจะไม่เกี่ยวข้องกับที่นี่เลยใช่ไหม”

“ครับ”

“อวดดี เหมือนพ่อไม่มีผิด” นัยน์ตาของชายสูงวัยไหววูบเมื่อนึกถึงลูกชายคนโต ทว่าพอเห็นท่าทางยโสโอหังของหลาน เขาก็ปรับให้แววตากลับมาแข็งกร้าวดังเดิม ปากก็ประชดไป “เฮอะ! พ่อแกน่ะ ทำเป็นหยิ่ง รักศักดิ์ศรีแบบโง่ๆ สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด ต้องซมซานกลับมาหาฉัน มาขอเงินฉัน”

“แต่คุณก็ไม่ได้ช่วยพ่อผม” พันรบตอกกลับเสียงดังอย่างไม่อาจยั้งอารมณ์ได้แล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เตรียมตัวออกไปจากที่นี่ ด้วยเสียความรู้สึกกับวาจาจากชายสูงวัยที่แสดงถึงการดูถูกพ่อตน จนไม่อาจมองหน้าอีกฝ่ายได้แล้ว

และในจังหวะที่กำลังจะก้าวขาออกจากห้องโถง ผู้เป็นย่าก็กำลังจะเดินเข้ามาพอดี สีหน้าของเธอตื่นตระหนก รีบร้องห้ามพันรบ

“รบ จะไปแล้วเหรอ อยู่กินข้าวกลางวันกับย่าก่อนได้ไหม ย่าให้คนเตรียมอาหารไว้หลายอย่างเลยนะ”

“ขอโทษนะครับ...แต่ผมคงต้องกลับแล้ว”

ท่าทางหมางเมินของพันรบทำเธอใจหาย ตัดพ้อหลานชายด้วยความน้อยใจ “เมื่อไรรบจะยอมเรียกพวกเราว่าปู่ย่า เมื่อไรจะให้อภัยปู่ย่าสักที”

พันรบแค่นยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเสียงหนัก “เข้าใจผิดแล้วครับ...ที่ผมเป็นอยู่นี่ ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ไม่ได้รู้สึกแบบเด็กๆ แต่ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณ”

“รบ...”

“ผมรับไม่ได้ที่พวกคุณรังเกียจแม่ผม รับไม่ได้ที่พวกคุณไล่พ่อผมเหมือนหมูเหมือนหมา”

นึกภาพย้อนไปตามคำพูดของหลาน ภารดีก็เสียใจจนแน่นอก พยายามแก้ต่าง “ย่ากับปู่ไม่ได้ตั้งใจ เราเองก็รอให้พ่อรบกลับมาหาเราอีกรอบเหมือนกัน แต่พ่อรบ...ก็ไม่ได้มา”

“ใช่ พ่อไม่ได้มาหาพวกคุณ เพราะพ่อผมตายเสียก่อนจะได้มา”

“รบ...”

“พวกคุณเคยคิดกันบ้างไหมว่า ถ้าพวกคุณยอมลดอีโก้ ลดทิฐิลงสักนิด ไม่เอาแต่แดกดันพ่อผม ถามพ่อผมดีๆ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พ่อผมก็จะไม่ต้องตาย”

พิชัยยุทธสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันหน้าหนีพันรบ เสมือนว่าอยากจะเมินถ้อยคำต่อว่าต่อขานของหลาน ส่วนภารดีนั้นร้องไห้น้ำตาไหลพราก แก้ต่างเสียงเครือ

“ตอนนั้นย่าไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อรบป่วย ย่าขอโทษ”

“คำขอโทษของพวกคุณในวันนี้ มันไม่มีความหมายอะไรกับผมแล้วครับ ผมรู้ว่าพวกคุณอยากจะชดเชยให้พ่อโดยการมาให้ผมแทน แต่ผมอยากจะบอกพวกคุณว่า...พวกคุณไม่จำเป็นต้องมาชดเชยให้ผม ผมไม่ต้องการ”

ภารดีอึ้งงัน ท่าทางแข็งจัดของหลานช่างเหมือนกับพิชานจนแทบจะเป็นคนเดียวกัน

“ผมอยากให้พวกคุณได้รู้ไว้ว่า ผมจะยืนหยัดด้วยตัวของผมเอง จะใช้สมองและสองมือตั้งใจทำงาน โดยไม่พึ่งบารมีของพวกคุณ ไม่พึ่งเงินของพวกคุณแม้แต่บาทเดียว!”

ประกาศก้องให้ได้รับรู้กันโดยถ้วนทั่วแล้ว พันรบก็เดินอาดๆ ออกจากห้องโถงไป โดยไม่สนใจความเจ็บปวดของภารดีเลย ส่วนภารดีก็รู้สึกผิดกับเรื่องในอดีตจนไม่กล้าเรียกร้องให้หลานอยู่ต่อ หันมองพิชัยยุทธก็เห็นว่าเขายังคงหันหน้าหนีไปอีกทาง เสมือนว่าเขาไม่สนใจว่าหลานจะอยู่หรือจะไป

ภารดีรู้...ที่จริงแล้วสามีหันไปร้องไห้ เขานั่นแหละที่เสียใจกว่าใคร

 

สีหน้าเศร้าหมองของคนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านทำร้อยรักใจหายวูบ จากที่อยากจะถามพันรบว่าไปทำธุระที่ไหนมา ก็เปลี่ยนใจทันควัน ด้วยคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ตนต้องสนใจแล้วว่าเขาหายไปไหนมา สิ่งที่ควรสนใจคือ ทำไมเขาถึงได้ดูเศร้าเสียใจขนาดนี้ต่างหาก

หญิงสาวรีบปิดหนังสือแฟชั่นที่กำลังอ่านอยู่ แล้วเอ่ยถามเขาอย่างเป็นห่วง “น้องรบ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“ผม...” พันรบอึกอัก ด้วยลังเลว่าจะขึ้นไปบนห้องแล้วปลอบใจตัวเอง หรือจะเดินไปหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาดี

“น้องรบ...มีปัญหาอะไรก็บอกพี่ได้นะ”

ทั้งถ้อยคำและแววตาแสนอ่อนโยนที่ร้อยรักมองกันสร้างความตื้นตันให้ชายหนุ่ม จนทำให้สองขาของเขาเลือกที่จะเดินไปนั่งข้างเธอ

“ผม...คิดถึงพ่อแม่น่ะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยออกไปตามตรง การไปพบกับปู่ย่าและได้ปะทะฝีปากกันในวันนี้ทำให้เขาคิดถึงบิดามารดาจนทรมานไปทั้งใจ ไม่อาจกักเก็บความเจ็บช้ำไว้ได้จริงๆ

“พี่จะไม่ถามหรอกนะว่ารบไปไหน ไปทำอะไรมา จนทำให้รบกลับมาเป็นแบบนี้ แต่พี่จะบอกให้รบรู้ว่า...รบไม่ใช่คนไม่มีใครนะ รบมีพี่ มีแม่พี่ ไหนจะลุงป้ารบที่เชียงใหม่อีก”

พันรบยิ้มทั้งน้ำตา กล้าเผยมุมอ่อนแอให้เธอได้เห็นอย่างไม่อาย ก่อนจะลองเอ่ยปากขอ “ผม...ขอกอดพี่รักได้ไหมครับ”

ร้อยรักพยักหน้ารับ นาทีนี้เธอไม่สามารถทำใจดำเมินเฉยความต้องการของพันรบได้จริงๆ แววตาของเขาเหมือนเด็กหลงทางที่กำลังว้าเหว่จนน่าสงสารเหลือเกิน

“มาสิ...มาให้พี่กอดปลอบหน่อยเร็ว” เอ่ยพลางกางแขนเตรียมรอรับร่างสูงที่ก็กำลังโผเข้ามาหา

“ขอบคุณนะครับพี่รัก” พันรบเอ่ยอู้อี้อยู่กับอกเธอ ครานี้เขาไม่ได้มีเจตนาจะหื่นอย่างที่เคยเป็น แต่ต้องการความอบอุ่นจากเธอจริงๆ

“โอ๋ๆ น้องรบของพี่ ไม่ร้องนะ”

พันรบหัวเราะ ก่อนจะเย้าเธอ “พี่รักปลอบผมเหมือนตอนนั้นเลย”

“รบก็ร้องไห้อ้อนพี่เหมือนตอนนั้นเลย” ร้อยรักเย้ากลับพลางหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงอดีต “ต่างกันตรงที่น้องรบคนนี้ตัวใหญ่กว่าพี่มาก แต่น้องรบคนนั้นตัวเล็กนิดเดียว”

พอนึกภาพตามเธอ พันรบก็ยิ้มบาง ก่อนจะบอกกึ่งตัดพ้อ “พี่รักรู้ไหมครับ...ตอนผมเด็กๆ ผมรอพี่รักมาตลอดเลย”

“หือ...รออะไรเหรอ”

“รอว่าพี่รักจะติดต่อมาหาผมบ้าง แต่พี่รักก็ไม่เคยติดต่อมา ผมเลยได้รับรู้เรื่องราวของพี่รักจากป้าแรมอย่างเดียว”

ดวงหน้าสวยจัดเจื่อนไปเมื่อได้รับรู้ถึงความผิดของตนที่ออกมาจากปากของเขา ก่อนเอ่ยอุบอิบ “พี่ขอโทษนะ ที่พี่ลืมรบไปเลย”

“แต่ผมไม่เคยลืมพี่รักเลย” เอ่ยแล้วพันรบก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม นึกอยากบอกเธอด้วยว่า นอกจากจะไม่เคยลืมเธอ และรอเธอมาตลอดแล้ว เขาก็รักเธอมาตลอดด้วยเช่นกัน

ความใจดีของพี่รักที่มีต่อน้องรบในตอนนั้น ได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของความประทับใจเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เติบโตขยายเป็นความรู้สึกลึกล้ำที่ร้อยรัดหัวใจไว้ทั้งดวงโดยไม่รู้ตัว

กระทั่งแตกเนื้อหนุ่ม พันรบถึงได้เริ่มรู้ว่าเขาไม่ได้รอคอยจดหมายจากแรมใจอย่างน้องชายที่สนใจเรื่องของพี่สาวใจดีที่ชื่อร้อยรักอีกต่อไป รู้ชัดแจ้งแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อร้อยรักหาใช่ความเคารพอย่างเคย เพราะมันได้ล่วงเลยไปจนเรียกว่าความรักเสียแล้ว

แต่ครั้นจะให้ลงมือทำอะไรเพื่อที่จะพิชิตใจเธอ ในตอนนั้นพันรบก็รู้ดีว่ามันยังไม่ถึงเวลา

ถึงจะทราบช่องทางการติดต่อเธอจากแรมใจ เขาก็ไม่ทำอะไร เพราะกลัวเธอจะคุ้นชินกับความเป็นพี่น้องกันมากเกินไป เลยทำได้เพียงแค่แอบติดตามดูความเป็นไปของเธออย่างเงียบๆ มาโดยตลอด

แม้จะหวาดหวั่นว่าเธอจะมีใครไปก่อนหรือไม่ แต่พันรบก็มีความหวังอยู่ลึกๆ ว่าเธอเป็นของเขา

ชายหนุ่มจึงรอให้ทุกอย่างพร้อมก่อน พยายามมุมานะตั้งใจเรียน ไม่เคยทำตัวเกเรเรื่อยเปื่อย ด้วยรู้ซึ้งดีว่าตัวเองมีจุดด้อยที่อายุน้อยกว่าเธอ ถ้ายังทำตัวเป็นเด็กเหลวไหล เป็นที่พึ่งให้เธอไม่ได้ ก็อย่าหมายหัวใจเธอเลยจะดีกว่า...

ครุ่นคิดถึงจุดเริ่มต้นของความรักที่มีต่อเธอพอแล้ว พันรบก็ผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่น อ้อนขออีก “พี่รัก ผมขอนอนหนุนตักพี่รักเหมือนตอนเด็กๆ ได้ไหมครับ”

“ได้สิ มามะ พี่รักจะกล่อมนอนเหมือนตอนนั้นเลยนะน้องรบ” ร้อยรักตอบรับพลางหัวเราะชอบใจ ก่อนจะขยับตัวให้ชิดริมโซฟา เพื่อที่จะให้พันรบนอนเหยียดขาได้

พอชายหนุ่มทิ้งหัวลงที่ตักนุ่มนิ่ม เธอก็ลูบหัวเขาเบาๆ ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความละมุนละไม จนเขานึกขันที่เธอออกปากบอกว่า ‘โนท้องโนลูก’ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีออร่าของความเป็นแม่มากขนาดไหน

ลุคภายนอกของเธออาจจะไม่ใช่ผู้หญิงหวานล้ำสักท่าไร แต่ข้างในของเธอนั้นอ่อนโยนเหลือเกิน...อ่อนโยนจนเขาอุ่นไปทั้งใจ และค่อยๆ หลับใหลไปพร้อมกับสัมผัสแสนละมุนของเธอ

“อ้าว เรียบร้อยซะแล้วน้องรบ”

ร้อยรักเอ่ยเสียงหวานอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้เขาอย่างแผ่วเบา หวังว่าสัมผัสนี้จะช่วยทำให้เขาคลายความทุกข์ออกไปจากใจ

แล้วเธอก็มีอันต้องยิ้มกว้าง เมื่อเห็นว่ามุมปากของเขากำลังแย้มออกเหมือนคนกำลังฝันดี

...

ผ่านไปครู่หนึ่ง...เขาก็ลืมตาตื่น ดวงหน้าละอ่อนใสดูสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“เมื่อยไหมครับพี่รัก ขอโทษนะครับ ผมดันหลับไปจริงๆ ซะได้” คนเพิ่งตื่นเอ่ยอย่างเกรงใจ ค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สบตากับเธอด้วยความขอบคุณที่ช่วยปลอบประโลมกัน

“ไม่เป็นไร พี่ไม่เมื่อยเท่าไรหรอก...ว่าแต่ ฝันดีเหรอ พี่เห็นรบยิ้ม ดูมีความสุขมากเลย”

“ครับ ฝันดีมาก ฝันถึงคนสำคัญของผมน่ะครับ” เขาบอกเธอทั้งรอยยิ้มเปี่ยมสุข

“ฮั่นแน่ คนสำคัญคนนั้นคือใครน้อ”

พันรบไม่ตอบคำถาม ด้วยไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าคนสำคัญคนนั้นคือตาหนูน้อยน่ารัก...ว่าที่ลูกของพวกเขา

แม้จะอยู่ในความฝัน แต่ความโกรธเคืองที่ตาหนูน้อยมีให้พ่อรบนั้นก็เป็นภาพชัดเจนจนทำให้เขาทั้งขำทั้งมันเขี้ยว

ดวงหน้าหล่อเหลาน่ารักนั้นงอง้ำนัก มือก็ยกนิ้วโป้งให้เขา แล้วบอกว่า ‘พ่ออะ...นอนหนุนตักแม่รักคนเดียวเลยนะฮับ ป๋มโป้งๆ พ่อแล้วนะ’

ส่วนเขาก็ได้แต่พูดไปว่า ‘ขอโทษนะลูก...ตอนนี้พ่อขอหนุนตักแม่รักคนเดียวก่อนนะ แต่พ่อสัญญาว่า อีกไม่นานตาหนูต้องได้มาหนุนตักแม่รักอีกคนแน่นอน’

ไม่รู้หรอกว่าตาหนูน้อยจะมีตัวตนจริงๆ ไหม หรือเพราะความรักที่เขามีต่อว่าที่แม่ของแก เลยทำให้เขานิมิตเป็นความฝันขึ้นมาเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไร...เขาก็จะทำตามสัจจะที่ให้ไว้ จะต้องมีคนตัวน้อยๆ เกิดมาให้ร้อยรักได้รู้ว่า...เธอเป็นแม่ได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น