10
ไฟรักลุกพรึ่บ
ไฟรักลุกพรึ่บ
หากเป็นก่อนหน้านี้ที่พิชัยยุทธยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจับคู่มั่วซั่ว การที่วชิรวิทย์เดินทางมาพบที่บ้านแล้วเปรยเรื่องแต่งงานของพิธานและวิมพ์วิภา ตนคงจะสุขสมดีใจเหลือแสน
ทว่า...เมื่อได้รู้ความจริงในใจของลูกชาย ความเห็นเรื่องคู่ครองของลูกจากภรรยา รวมทั้งการต่อว่าของตาหนูยายหนูในฝัน ทุกอย่างมันก็ประกอบรวมกันทำให้พิชัยยุทธตัดสินใจได้เด็ดขาดว่า...จะไม่บังคับลูกอีกแล้ว
“ฉันก็เกษียณมานาน นี่ก็ชีวิตบั้นปลายแล้ว อยากให้วินนี่ได้แต่งงานสักที” วชิรวิทย์เอ่ยแสดงความต้องการ เขาคิดว่ามันถึงเวลาอันควรแล้วที่ลูกคนกลางจะเป็นฝั่งเป็นฝา ด้วยอายุอานามและหน้าที่การงานของพิธานและวิมพ์วิภานั้นกำลังพอเหมาะพอเจาะที่ควรจะได้ครองคู่กัน
เขารู้ว่าลูกมีใจให้พิธาน บวกกับอยากจะแก้ตัวที่เคยทำให้ลูกสาวคนโตชอกช้ำหัวใจ เลยอยากทำให้วิมพ์วิภาได้สมหวังกับคนที่รัก จนกล้าเดินทางมาหาเพื่อนและยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมใดๆ
“ว่าไงยุทธ เราจะให้ตาพอลกับวินนี่แต่งงานกันเมื่อไรดีล่ะ”
วชิรวิทย์ถามย้ำ สีหน้าคาดหวังรอคอยคำตอบ ทำพิชัยยุทธหน้าเจื่อน จนภารดีต้องแตะมือให้กำลังใจเขาเบาๆ
“เอ่อ...วิทย์ ฉันว่า...”
ท่าทางอึกอักของเพื่อนทำวชิรวิทย์ขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะยุทธ แกพูดมาตลอดนี่ว่าจะให้ตาพอลแต่งงานกับลูกสาวฉัน”
พิชัยยุทธถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนบอกตามตรง “วิทย์ ตาพอลเขาไม่ได้รักวินนี่ ฉันไม่อยากบังคับลูกฉัน”
วชิรวิทย์นิ่งขึง ดวงตาวาวโรจน์ขุ่นเคือง โพล่งว่าเสียงแข็ง “ฉันไม่ยอม! ลูกชายคนโตของแกทำให้ฉันอับอายเสียหน้ามาคนหนึ่งแล้วนะ”
พิชัยยุทธหน้าเสีย แต่ก็ยังไม่คล้อยตามการก่นด่า “วิทย์...เรื่องที่ตาพิชทำในอดีตมันคือความผิดของฉันเอง ฉันขอโทษ แต่จะให้ตาพอลมาแก้ตัวแทนพี่ มันก็ไม่ยุติธรรมกับลูกฉันนะ พอลเขาไม่ได้รักหนูวินนี่จริงๆ”
“ทำไม ลูกฉันมีอะไรน่ารังเกียจเหรอ!”
“ไม่มี หนูวินนี่เพียบพร้อมทุกอย่าง”
“เพียบพร้อมทุกอย่าง? แล้วทำไมแกถึงไม่ให้ลูกแกมาแต่งงานกับลูกฉันล่ะ ตาพอลก็ไม่ได้มีใครนี่ ถ้าได้แต่งกันไป อยู่ด้วยกัน เดี๋ยวก็รักกันไปเองนั่นแหละ”
ความเอาแต่ใจของวชิรวิทย์สร้างความหนักอกให้พิชัยยุทธเหลือคณานับ...เขาหน้าเผือดสีหนัก ไม่นึกเลยว่าการที่ตนคอยถือหางวิมพ์วิภา แสดงท่าทางว่าจะให้ลูกชายได้ครองคู่กับเธอมาตลอด มันจะส่งผลร้ายสะท้อนกลับมาทำให้เขาลำบากใจถึงเพียงนี้...
ช่วงก่อนโรงเรียนเลิกไม่กี่นาที...มารดาได้โทร. มาแจ้งเรื่องชวนมึนหัวที่มาจากความประสงค์ของวชิรวิทย์ให้พิธานได้รับทราบ ทว่าแทนที่จะทำให้เขาหวาดหวั่นจนความมุ่งหมายในตัวปริมาต้องสั่นสะเทือน ผลดันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เพราะยิ่งเป็นแรงกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้เขากล้าปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่แต่งงานกับวิมพ์วิภา ทั้งยังเป็นพลังสำคัญผลักให้เขาพาตัวเองมาหาเธออย่างไม่รีรออะไรอีก
ขณะที่กำลังเดินทางไปบ้านหญิงสาว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเอ่ยกับหลานชายของเธออย่างตรงไปตรงมา “ปราชญ์...ผอ. มีอะไรจะบอก ที่ ผอ. อยากไปเจอน้าปราชญ์ มันไม่ใช่แค่การรับผิดชอบเรื่องอุบัติเหตุในวันนั้น แต่ ผอ. ชอบน้าของปราชญ์”
ปราชญ์ทำหน้าเหลอ อ้าปากหวอ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ผอ. พูดจริงๆ เหรอครับ ผอ. ชอบน้าปริมจริงๆ เหรอ”
“จริง” ยืนยันแล้วพิธานก็ยิ้มขันสีหน้าของอีกฝ่าย ก่อนจะถาม “ทำไมคุณปริมเขาดูไม่อยากมีพันธะ ไม่อยากมีใคร ปราชญ์รู้ไหม”
คำถามของพิธานทำเด็กชายหน้าหมอง “รู้ครับ...เพราะพ่อของผมเอง”
“ยังไง”
“ตอนผมเด็กๆ พ่อผมเจ้าชู้ ชอบกินเหล้า พอเมาก็ตบตีแม่ แม่ผมก็อ่อนแอ ทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าสู้พ่อ เอาแต่ร้องไห้ น้าปริมต้องคอยปกป้องแม่ ปกป้องผม ต้องเป็นเสาหลักของบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย” ปราชญ์เอ่ยเสียงจ๋อย น้ำตาคลอเบ้าเมื่อนึกภาพในอดีตตามคำพูดตน “น้าปริมต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่างเพื่อผม ใช้แต่ของเก่าๆ ไม่ยอมซื้ออะไรเพื่อตัวเองเลย”
ใจของพิธานอ่อนยวบไปด้วยความสงสารและประทับใจในตัวปริมา...เข้าใจอย่างสุดซึ้งว่าทำไมเธอถึงต้องวางท่าว่าตัวเองคือสาวแกร่ง ทำไมถึงบอกว่าไม่อยากอ่อนแอ เพราะเธอคงคิดว่า หากเธอล้มไปสักคน แล้วหลานจะเป็นอย่างไร
“ผมรักน้าปริมมาก รักเหมือนแม่แท้ๆ ของผม ผอ. จะมาทำให้น้าปริมเสียใจหรือเปล่าครับ”
สิ้นคำถามของปราชญ์ รถหรูก็ติดสัญญาณไฟแดงพอดี พิธานเลยมีจังหวะได้หันไปสบตากับเด็กชาย เอ่ยบอกอย่างหนักแน่น “ผอ. จะไม่มีวันทำให้น้าปริมของปราชญ์เสียใจ ผอ. สัญญา”
ปริมาสมน้ำหน้าตัวเองนัก ไอ้ที่เคยแกล้งแช่งร้อยรักว่า ‘อิคนแบบแกนี่แหละ ระวังไว้เถอะ จะถึงคราวปุบปับได้รับผัวจากเบื้องบนมาโดยไม่ทันตั้งตัว เผลอๆ อาจจะแถมลูกน้อยมาให้เลี้ยงอีกสักคนสองคน’
ในเวลานี้ มันดูเหมือนกับว่าคำแช่งนั้นได้กลับคืนมาสนองเธอเต็มๆ
หลังจากร้อยรักกลับไป เธอก็จ้องแต่จะนึกถึงคำทำนายในรายการดูดวงนั่น และกังวลเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะเป็นความจริง ทำให้เธอตั้งแง่ต่อต้านพิธานทั้งที่เขาไม่ได้ผิดอะไรเลย พอเห็นว่าเขามาส่งหลาน เธอก็สั่งให้หลานไปเปลี่ยนชุดนักเรียน และหันไปทำตาแข็งใส่เขา
“คุณกลับไปเถอะ ไม่ต้องมาดูแลอะไรฉันหรอก แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาอีกนะ ขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายเถอะ”
พิธานนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับอะไร สองขาก้าวเดินไปนั่งเคียงกันกับเธอ เอ่ยปากอย่างเป็นห่วง “ไหน ขอดูแขนหน่อย แขนเป็นยังไงบ้างครับ”
น้ำเสียงและท่าทางอ่อนโยนของเขาทำปริมาหวั่นไหวจนใจสั่นสะท้าน ทว่าการต่อต้านก็ยังมีอำนาจเหนือกว่า เธอเชิดหน้า ไล่เขาอีก
“ไม่ต้องมายุ่งกับแขนฉันเลย บอกว่าให้กลับไปไง!”
“ผมยังไม่อยากกลับ”
พิธานทำมึนใส่พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หมายจะตรวจดูอาการของเธอ เธอเองก็เอนตัวหนี จนเสียการทรงตัว เซไปพิงพนักโซฟา
“คุณปริม เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามอย่างรู้สึกผิดที่การรุกคืบของตัวเองอาจจะทำให้เธอเจ็บตัวกว่าเดิม ขณะกำลังจะขยับไปหา จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีแรงผลักจากทางด้านหลัง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปแนบชิดเธอ จนริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอย่างแนบแน่น
“อื๊อ...”
ปริมาพยายามส่งเสียงอู้อี้ประท้วงให้เขาผละออกไป ด้วยเธอนั้นติดพนักโซฟาจนไม่สามารถถอยหนีไปไหนได้ แขนอีกข้างที่ว่างก็พยายามยันเขาด้วยแรงเท่าที่มีในตอนนี้ แต่เขาก็ยังไม่ผละออกไปเสียที จนผ่านไปครู่หนึ่งนั่นแหละ เขาถึงค่อยผละออก เธอทำตาวาว ชี้หน้าเขาอย่างโกรธจัด
“คุณ!”
“คุณปริม...ผมไม่ได้ตั้งใจจะจูบคุณนะครับ เมื่อกี้ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาผลักผมเลย”
“หาข้ออ้างได้โง่มาก” สีหน้าร้อนรนและน้ำเสียงอ่อนอ่อยที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดของเขาไม่อาจทำให้ปริมาหายโกรธได้ “ใครจะมาผลักฮะ ผีผลักเหรอ”
พิธานเตรียมจะอ้าปากแก้ต่างอีก แต่ก็มีอันต้องหยุดไว้ เพราะจู่ๆ ปริมาก็เป็นฝ่ายยื่นหน้ามาหาเขา จนปากประกบแนบชิดกันอีกรอบ
หากมองในแง่ของความเหมาะสมและความเป็นสุภาพบุรุษ เขาควรจะต้องผละออกไปเอง ทว่า...นาทีนี้พิธานขอละซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษทิ้งลงไปก่อน ด้วยอยากรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ห้าวหาญนั้นจะมีความหวานซ่านซ่อนอยู่ข้างในบ้างไหม แม้จะเสี่ยงโดนต่อยและถูกไล่ตะเพิดแบบไม่ไว้หน้า พิธานก็จะเสี่ยง
ชายหนุ่มรวบมือเธอไว้ ก่อนจะค่อยๆ ขยับปาก ขบเม้มเบาๆ ละเมียดละไมลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง จนได้คำตอบว่า...หวานเหลือเกิน แต่ถึงจะอยากชิมต่อเพียงใด เขาก็ต้องหักใจหยุดชิม ด้วยเกรงว่าปราชญ์จะมาเจอภาพที่ไม่เหมาะสมเข้า
“คุณ!”
พอพิธานปล่อยมือปริมา เธอก็เงื้อหมัดหมายจะต่อยหน้าหล่อเหลา แต่เขารับไว้ได้ทัน ทั้งยังทำเป็นหน้ามึนยิ้มบางใส่คนตาขุ่นที่กำลังส่งกระแสโกรธเกรี้ยวมาให้ตน ก่อนจะเย้า
“คราวนี้คุณยื่นหน้ามาหาผมเองนะ อยากจูบผมเหรอ”
“ฉันเปล่า!” ปริมาโวยเสียงแข็ง กลบเกลื่อนความว้าวุ่นในใจ...ด้วยเมื่อครู่เธอก็รู้สึกเหมือนโดนใครผลักให้ไปหาเขาเช่นกัน “คุณออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลย ฉันโคตรเกลียดเลยนะที่อยู่ๆ คุณก็มาทำเจ้าชู้ไก่แจ้ใส่ฉัน คุณสนุกนักเหรอ คุณเล่นบ้าอะไรของคุณ”
“ผมไม่ได้เล่นนะ ผม...”
“พอเลย คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
“แล้วเรื่องจูบล่ะครับ เราจะว่ายังไงกับเรื่องนี้”
“ช่างแม่งสิ” หญิงสาวพูดไม่เพราะใส่เขา ด้วยอยากจะให้เขาหน่ายใจ และออกไปจากบ้านตนโดยไว
“แต่ผมช่างไม่ได้ ผมจะรับผิดชอบ”
“ไม่ต้อง อย่ามาคิดโชว์แมนตอนนี้ ทีตะกี้ยังไม่เห็นจะนึกถึงความแมนห่าอะไรเลย”
ท่าทางแข็งกร้าวของเธอทำพิธานถอนใจ...เห็นทีว่าจะต้องกลับไปตั้งหลักก่อน ขืนรุกต่อ ปริมาคงจะต่อต้านเขากว่าเดิม
“จะนั่งอยู่ทำไม ออกไปจากบ้านฉันเลย ไอ้เรารึก็อุตส่าห์คิดว่าเป็นคนดี ที่ไหนได้ ก็แค่พวกผู้ชายที่ชอบหาเศษหาเลยกับผู้หญิง ขนาดขี้เหร่อย่างฉันก็ยังไม่เว้น”
โดนสาวเจ้าด่าเข้า พิธานก็นิ่งขึง แววตานิ่งเรียบ ทว่าไม่ได้โกรธเธอแม้แต่น้อย อาจเพราะลองจับวาจาในประโยคของเธอ แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วมกับคำบอกเล่าของปราชญ์ เลยทำให้เขาเข้าใจได้ว่าเธอกำลังโกรธเพราะคิดว่าเขาทำตัวเจ้าชู้เหมือนพ่อของปราชญ์
“และฉันขอบอกเลยนะว่าคุณจูบได้โคตรห่วย คิดว่าจะทำให้ฉันอ่อนระทวยได้หรือไง ผู้ชายเฮงซวย!”
“โอเค ห่วยก็ห่วย เฮงซวยก็เฮงซวย” ชายหนุ่มน้อมรับคำติ ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่งแบบผู้ใหญ่ “แต่ผมอยากให้คุณเข้าใจเสียใหม่ด้วยว่าผมไม่ได้ทำเจ้าชู้ไก่แจ้”
“เหรอ” ปริมาแบะปากใส่เขาแล้วไล่อีก “เชิญออกจากบ้านฉันไปสักที”
“โอเค วันนี้ผมกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
สุ้มเสียงอ่อนโยนแฝงความเอาแต่ใจของเขาทำเธอถอนใจ พูดเสียงแข็งใส่อีกครา “ไม่ต้องมา บอกว่าให้มาวันนี้เป็นวันสุดท้ายไง”
“ไม่ครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าจะมาหาคุณทุกวัน”
“ก็ลองมาสิ ฉันจะปิดบ้านหนีคุณ”
ท่าทางแข็งกร้าวของเธอไม่ได้ทำให้พิธานท้อถอยแต่อย่างใด เขามองเธออย่างเข้าใจ “ถ้าคุณปิด ผมก็จะเปิดเข้ามาให้ได้”
ปริมาชะงัก สบตากับเขาเพื่อค้นหาความจริง เพราะวาจาของเขาดูมีนัยมากกว่าแค่การเปิดประตู...แล้วเธอก็ได้รู้คำตอบ
สาวห้าวผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นเธอเริ่มหวาดหวั่น ยิ่งเขายื่นมือมาลูบหัวเธอเบาๆ เธอก็ยิ่งสับสนจนจะบ้าตาย
“ปริม...ต่อไปขอเรียกแบบนี้นะ ผมจะมาหา มาดูแลคุณทุกวัน ต่อให้โดนไล่อีกกี่ครั้ง ผมก็จะมา”
คนฟังเงียบ โดนความมุ่งมั่นของเขาพุ่งเข้าใส่จนสั่นสะท้านไปทั้งใจ
จากที่อยากจะด่าเขาแรงๆ เพื่อให้เขาเกลียดตน อยากจะยกมือขึ้นมาปัดป้องสัมผัสแสนละมุนออกไป เธอก็หาทำได้ไม่ ด้วยกำลังสั่นอย่างคนรับมือไม่ถูก ทั้งยังละอายใจที่ทำตัวหยาบคายไม่น่ารักกับคนสุภาพเช่นเขา
ในขณะที่เขาเป็นคนแรกที่ปฏิบัติต่อเธอ...เหมือนเธอเป็นสาวน้อยน่าทะนุถนอม หญิงสาวดูออกว่าเขาอยากปกป้องดูแลเธอจริงๆ หาใช่แค่การพูดไปเรื่อยเปื่อย
ที่สำคัญที่สุด...เขาทำให้เธอรู้ตัวด้วยว่า ต่อให้เธอทำตัวเข้มแข็งอย่างไร แท้จริงแล้วในส่วนลึกข้างในใจก็อยากจะมีใครสักคนที่เธอสามารถอ่อนแอกับเขาได้...อย่างที่ไม่เคยมีใครทำ
ออร่าแห่งรักที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมารอบๆ พ่อแม่ในอนาคตของตน สร้างความชื่นบานให้เทพธิดาน้อยที่กำลังยืนมองอยู่ แม้จะขัดใจบ้างที่แม่ปริมตั้งท่าต่อต้านพ่อพอลเกินไป แต่หนูน้อยก็เชื่อมั่นว่าพ่อพอลจะทลายความแข็งกระด้างของแม่ปริมได้
พอพ่อเดินออกจากบ้าน แล้วเห็นว่าแม่เหลือบมองตามไปอย่างหวั่นไหว หนูน้อยก็เริงร่าสมใจที่แผนการกระตุ้นไฟรักของตนกับเทวดาน้อยนั้นได้ผล
“เฮ้อ...ยายปริมเอ๊ย เจอคนจริงเสียแล้วสิ แล้วจูบเมื่อกี้นั่นมันอะไรวะ...ผีผลักจริงๆ เหรอเนี่ย”
ได้ยินแม่บ่นเข้า เทพธิดาน้อยก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดเสียงใส “ไม่ใช่ผีผลักนะคะ เทพธิดาน้อยน่ารักผลักต่างหาก”
พ.ศ. 2529...ณ โรงอาหารใต้ตึกคณะนิติศาสตร์
‘หมั่นไส้โว้ย สาวเพียบเลยนะแก ทั้งคุณหนูลูกสาวทหารใหญ่ ทั้งดาวคณะนิเทศ ดาวคณะบริหาร และอีกสารพัดดาว แกนี่คว้ามาแนบใจได้หมดเลยนะไอ้วี’
หนุ่มเนื้อหอมประจำคณะนิติศาสตร์ยืดคอรับความหมั่นไส้จากเพื่อนก๊วนเดียวกัน ก่อนจะตอบกลับ ‘ทำไงได้วะ คนมันหล่อนี่หว่า คนอย่างรวี ลองได้จีบใครแล้ว ไม่เคยไม่ติด’
ความมั่นใจของเขาที่แสดงออกทั้งทางภาษากายและวาจาเรียกเสียงโห่ฮาได้จากทุกคน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเหลือบไปเห็นสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่คนเดียว ก่อนแกล้งหรี่ตามองรวี ส่งเสียงท้าทาย
‘เหรอ แต่ฉันว่าต้องมีสักคนแหละว้า ที่แกจะจีบไม่ติด’
‘ไม่มีทางโว้ย’
‘เหรอวะ งั้นลองจีบคนนั้นซิ’
รวีหันไปมอง ‘คนนั้น’ ตามทิศทางการพยักพเยิดของเพื่อน...แล้วก็เจอเข้ากับนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรตรงกับสาวในแบบที่เขาชอบเลย
รวีชอบสาวสวยสำอาง รูปร่างหน้าตาดูดีทุกส่วน แม้เธอคนนี้จะหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มไม่หยอก แต่ภาพรวมของเธอดูไม่น่าพิสมัยสำหรับเขาสักนิด ผมเธอยาวยุ่งเหยิงจนถึงเอว สวมกำไลข้อมือข้อเท้าเสียจนรุงรัง แถมยังมีบางจุดในลำตัวที่เปื้อนสีน้ำ เลอะเทอะจนดูไม่จืด
ประหลาดแบบนี้...ใครจะจีบลงวะ
‘ว่าไงครับคุณหนุ่มหล่อ ทำไมเงียบไปล่ะ’
รวีหันไปส่งค้อนให้คนท้า ‘นี่แกแกล้งฉันเหรอวะ แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบผู้หญิงแนวนั้น’
‘อ้าว...ไหนบอกว่า คนอย่างรวี ลองได้จีบใครแล้ว ไม่เคยไม่ติดไงคร้าบ’
อีกฝ่ายส่งเสียงล้อเลียน ทำเอาคนโดนลูบคมแค้นจนอยากจะตื้บสักที และกัดฟันตอบกลับ ‘เออ แกคอยดูละกัน’
เขาเดินดุ่มๆ ไปหาสาวเจ้า ส่งเสียงกระแอมให้เธอหยุดวาดรูปและเงยหน้ามามองกัน พลันยิ้มกริ่มในแบบที่หล่อที่สุด ก่อนจะทักทาย ‘เธอ...ชื่ออะไรเหรอ มีแฟนหรือยัง จีบได้ไหม’
เธอขมวดคิ้ว ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ‘จีบเราเหรอ’
‘ใช่ จีบเธอนั่นแหละ’ ยืนยันเสียงนุ่ม คาดหวังเหลือเกินว่าจะได้เห็นสีหน้ายินดี รอยยิ้มเขินอาย จะได้เอาไปตอกกลับเพื่อนตัวดีให้หน้าหงายเลย
ทว่า...ครู่หนึ่งเข้าไปแล้ว รวีก็ยังไม่เห็นเธอมีอาการดังที่ตนมุ่งหวัง จนเขาเริ่มกระดากและหน้าม้านเสียเอง ด้วยมีตาหลายคู่ที่กำลังมองมาอย่างสงสัย
‘เอ่อ...ว่าไง จีบได้ไหม’
เธอส่ายหน้าไปมา ปากก็บอก ‘ไม่ได้หรอก เราไม่ชอบนาย’
‘อะ...อะไรนะ ไม่ชอบ!’
‘อื้ม...ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่นายมีให้เรานะ แต่เราไม่ชอบนายน่ะ’
รวีตาค้าง แทบไม่อยากจะเชื่อว่าตนโดนปฏิเสธ แม้จะมาจีบเธอตามคำท้า แต่ก็คาดหวังว่าจะจีบติด ไม่ใช่โดนปฏิเสธอย่างนี้
ยายหัวกระเซิงสุดประหลาดนี่กล้าดียังไง แปลกๆ อย่างตัวเอง มีคนหล่ออลังการอย่างเขามาจีบก็ดีนักหนาแล้ว ยังจะมาเรื่องมากอีก
‘แรม...รอนานไหม’
รวีหันไปตามเสียงอ่อนละมุนที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง แล้วเขาก็ได้พบกับ ‘รณกร’ เพื่อนชายหน้าตาจืดๆ ธรรมดาๆ ที่แทบไม่เสวนากับใคร อีกฝ่ายกำลังเดินยิ้มตรงมาหายายหัวกระเซิง รวีเลยนึกรู้โดยพลันว่ายายนี่ชื่อแรมใจ
‘กร มาพอดีเลย’
นัยน์ตาทอประกายยินดีบวกกับเสียงหวานที่ทักกลับอย่างดีใจ สร้างความขุ่นมัวให้รวีจนหน้าง้ำ ความมั่นใจที่มีอยู่เต็มอกถูกทำลายลงเพราะเธอดูสนคนที่รวีคิดว่าเทียบตนไม่ได้เลยสักกระผีก
‘อ้าว...วี มายุ่งอะไรกับแรมล่ะเนี่ย’ เอ่ยปากถามแล้ว รณกรก็เหลือบมองเพื่อนร่วมคณะอย่างสงสัย
ส่วนอีกฝ่ายก็เอาแต่เงียบ และทำท่าจะหมุนตัวเดินกลับไป คงไม่อยากตอบอะไรให้ตัวเองขายหน้า ทว่า...
‘อ๋อ...นายคนนี้มารบกวนเวลาวาดรูปของเรา มาจีบเราน่ะกร แต่เราไม่ชอบหรอก เรารักกรคนเดียว’
รณกรอ้าปากค้าง ส่วนรวีที่กำลังจะเดินหนีไปนั้นเปลี่ยนใจหันกลับมาหายายหัวกระเซิงด้วยสีหน้าขุ่นมัวสุดขีด ก่อนจะบอกความจริง
‘นี่เธอ ฉันไม่ได้ชอบเธอ ไม่ได้จะมาจีบเธอจริงๆ หรอก ฉันโดนเพื่อนท้ามา ขอโทษด้วยละกันที่รบกวนเวลาวาดรูปของเธอ’
กระแทกเสียงใส่สาวเจ้า แล้วก็หมุนตัวเดินกลับโดยไม่หันหลังไปมองให้เสียหน้าไปมากกว่านี้...ฮึ สองคนนั้นก็เหมาะกันดี ดูเพี้ยนๆ ทั้งคู่เลยนั่นละ
“คุณลุงครับ...คุณลุง ไฟเขียวแล้วครับ”
เสียงเตือนของคนข้างๆ ดึงให้รวีออกจากภวังค์ของวันวาน พลันได้สติแล้วรีบเคลื่อนรถเดินทางต่อไป
“คุณลุงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ช่วงติดไฟแดงเมื่อกี้นี้ คุณลุงดูเหม่อๆ แปลกๆ”
คนเหม่อยิ้มบาง ก่อนหันไปตอบคนหนุ่ม “เปล่า ลุงไม่ได้เป็นอะไร ลุงแค่นึกถึงอดีตตอนเจอแรมครั้งแรกน่ะ พอจะกลับมาง้อแรมแบบจริงๆ จังๆ มันเลยนึกถึงช่วงวัยตอนนั้นขึ้นมา นึกแล้วก็ขำดี ไม่นึกจริงๆ ว่าตัวเองจะหลงรักยายหัวกระเซิงคนนั้นขนาดนี้”
ฉายาของแรมใจที่ออกมาจากปากรวีทำพันรบขำร่วน ก่อนจะถาม “คุณลุงพร้อมนะครับ อย่าลืมที่เตี๊ยมกันนะ ต้องโชว์ฝีมือขอนอนห้องเดียวกับป้าแรมให้ได้เลยนะครับ”
“โอเค รอดูฝีมือฉันได้เลยไอ้หนูเจ้าเล่ห์”
รวีรับประกันอย่างมั่นใจ หัวเราะหึในลำคอราวกับผู้ร้ายเวลามีแผนชั่ว ส่วนไอ้หนูเจ้าเล่ห์ก็หัวเราะร่าที่จะได้แกล้งโง่ช่วยว่าที่พ่อตา นำมาซึ่งผลประโยชน์ทางหัวใจอันเกี่ยวกับลูกสาวแสนสวยของอีกฝ่าย
‘พี่รัก เสร็จผมแน่’
เสียงหมายมาดในใจเขาไม่เพียงแต่จะสร้างความหวานซ่านให้ตัวเองเท่านั้น แต่ยังสร้างความครื้นเครงให้เทวดาน้อยร่างจ้อยที่นั่งอยู่ทางด้านหลังด้วย
แกหัวเราะคิกคัก ออกปากเสียงใส “ป๋มก็จะช่วยให้แม่รักเสร็จพ่อรบให้ได้ฮับ เทพธิดาน้อยเขากระตุ้นไฟรักของปู่พอลกับย่าปริมแล้ว คราวนี้ตาผมบ้างละ”