8

ห่วงกับหวงมีแค่เส้นบางๆ กั้นอยู่


ห่วงกับหวงมีแค่เส้นบางๆ กั้นอยู่

 

การเดินทางมาคอนโดของพิมพ์พิชใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงจากพิษของการจราจร มินนภัสรับช่วงต่อจากธนวัฒน์เมื่อทั้งหมดขึ้นมาถึงห้องขนาดหนึ่งร้อยยี่สิบหกตารางเมตรของพิมพ์พิชด้วยความช่วยเหลือจากกรชวัลที่โทร. ทางไกลมารับรองกับทางทีมรักษาความปลอดภัยของคอนโดว่าทั้งสามคนไม่ใช่มิจฉาชีพแน่นอน

สิ่งแรกที่มินนภัสต้องทำก็คือการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนที่เมาจนหลับไปตั้งแต่อยู่บนรถ แสนศรันย์กับธนวัฒน์จึงถอยมานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่นั่งไม่เป็นสุขเท่าไหร่เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ผสมกับอาเจียนของพิมพ์พิชที่ปล่อยออกมาหลายครั้ง

“ฉันว่านายไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนดีไหม”

ขนาดคนที่ไม่ค่อยพูดอย่างแสนศรันย์ยังทำหน้าพะอืดพะอมแถมยังออกปากไล่ให้ธนวัฒน์ไปจัดการตัวเอง ก็ไม่ต้องเดาแล้วว่ากลิ่นจะเหลือทนขนาดไหน

“ก็อยากอยู่ แต่ในรถไม่มีชุดสำรองเลย” ธนวัฒน์ทำหน้าเมื่อย ด้วยอาชีพหมอแถมยังพ่วงตำแหน่งรองผู้บริหารของโรงพยาบาลเตโชดมทำให้ต้องออกงานและเดินทางบ่อยครั้ง จึงหยิบชุดสำรองในรถใช้จนหมดแถม เมื่อเช้าก็เพิ่งให้แม่บ้านนำออกไปทำความสะอาดแล้วลืมหยิบชุดใหม่ๆ กลับเข้ามาสำรองไว้ดังเดิม

“ของนายมีไหม” คุณหมอหนุ่มเงยหน้าถาม เพราะความสูงและขนาดตัวไม่ต่างกันมากไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องไซซ์

“ไม่มี”

คำสั้นๆ ทำให้ธนวัฒน์ได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อไม่มีทางออกอื่นจึงได้แต่ทนนั่งอยู่ในสภาพนี้ต่อไป

“นายจะกลับเลยก็ได้นะ” แสนศรันย์เสนออีกหนึ่งหนทาง

“ไล่เหรอวะ”

“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากนั่งดมกลิ่นที่มาจากตัวนาย”

ธนวัฒน์ทำหน้าอีหลักอีเหลื่อ บอกตรงๆ ว่าไม่กล้ายกเสื้อขึ้นมาดมเหมือนกัน นี่ขนาดเข้าไปล้างเอาเศษอาเจียนออกแล้วแต่กลิ่นก็ไม่ลดน้อยไปเลย

“แล้วนายจะนอนที่นี่?”

“ดูมินก่อน”

คำพูดสั้นๆ แต่ความหมายช่างชัดเจน ถ้ามินนภัสกลับเขาก็กลับ แต่ถ้าไม่กลับก็พร้อมที่จะค้างด้วย

“นายเป็นพี่ชายที่ดีจริงๆ” ธนวัฒน์ชมเปาะ คิดหวังฝากเนื้อฝากตัวกับว่าที่พี่เขย แต่คนที่โดนมอบตำแหน่งพี่ชายนั้นกลับขบกรามแน่น

“ว่าก็ว่าเถอะ นายไปทำอะไรให้น้องมินโกรธอยู่หรือเปล่าถึงได้บอกว่าไม่สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

คนฟังเลิกคิ้วสูง เพราะเรื่องที่มินนภัสหายเข้าไปโรงพยาบาลเตโชดมพักใหญ่ยังคงติดค้างในใจเช่นกัน

“ทำไมถามแบบนั้น”

“เอ่อ…ที่จริงก็เป็นเรื่องที่หมออย่างฉันก็ไม่ควรพูด” พอโดนคาดคั้นถามธนวัฒน์ก็ลังเลที่จะเล่าเสียอย่างนั้น

“จะไม่เล่า?”

“คืองี้…”

คนรอฟังปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ธนวัฒน์ยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน หากคะยั้นคะยอมากจะไม่พูด แต่ถ้าเฉยเสียก็จะรู้ทุกอย่างเอง ทว่าแสนศรันย์ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เพราะเพื่อนปากเปราะ แต่เพราะเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเขาซึ่งเดาได้เลยว่าคนที่ได้ประโยชน์ก็ไม่พ้นมินนภัสแน่นอน

ธนวัฒน์เล่าถึงอาการที่มินนภัสเผชิญโดยย่อ ละเว้นศัพท์สแลงทางการแพทย์ที่เข้าใจยากไปเสีย

“แต่น้องมินยังไม่พร้อมเล่าถึงสาเหตุของอาการ ซึ่งฉันก็ไม่ได้เร่งเร้า ไว้น้องพร้อมคงเล่าเอง” พูดแล้วจิตแพทย์หนุ่มก็ถอนหายใจ รู้สึกเป็นห่วงอาการของมินนภัสเหมือนกันเพราะถ้าไม่รู้ปมของสาเหตุก็คงรักษาไม่หาย

“นายพอจะรู้หรือเปล่า” ธนวัฒน์หันไปทางคนนั่งฟัง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะจิตใจล่องลอยไปแล้ว

“นายแสน!”

“ว่าไงนะ”

“ใจลอยไปไหนเนี่ย ตกลงได้ฟังที่ฉันเล่าหรือเปล่า”

แสนศรันย์ยกมือลูบหน้า พอได้ฟังอาการของน้องน้อยแล้วก็รู้สึกว่าหนักหนากว่าที่คิดไว้มากนัก อดรู้สึกผิดไม่ได้จริงๆ ที่ปล่อยให้ต้องเผชิญเรื่องราวดังกล่าวเพียงลำพัง

แค่คิดความโกรธก็ปรากฏบนใบหน้าเป็นริ้วๆ เพราะคนคนนั้นคนเดียว!

“นายโอเคไหมเนี่ย”

“อืม” แสนศรันย์ตอบสั้นๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ในเมื่อกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ก็มีแค่อนาคตที่เขาจะเป็นคนกำหนดเอง และก็จะไม่มีวันปล่อยให้คนพวกนั้นลอยนวลไปง่ายๆ ด้วย

“สั้นๆ เลยนะ แล้วตกลงยังไงรู้หรือไม่รู้”

“ไม่รู้” แสนศรันย์ยินยอมมุสา เขาไม่มีวันเอ่ยถึงเหตุการณ์นั้นกับใครอยู่แล้ว แม้กระทั่งสรวิศ

“แล้วเกี่ยวอะไรกับที่นายบอกว่าน้องมินโกรธฉัน”

“อ๋อ! ก็ตอนน้องมินบอกว่านายเป็นคนเข้าไปช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อากัปกิริยาดูผ่อนคลายขึ้น สีหน้าแววตาต่างกับตอนที่เล่าว่าติดอยู่ในคลังเลย”

“แค่นั้น?”

“ก็เออดิวะ นายรู้ไหมแค่นั้นก็เป็นหนทางรักษาได้แล้ว ฉันก็เลยบอกว่าให้น้องมินอยู่ใกล้ๆ นายไว้จะได้รู้สึกสบายใจและปลอดภัย”

“แล้ว…” แสนศรันย์พลอยลุ้น

“น้องมินก็บอกว่าไม่ได้สนิทกัน”

คนฟังเลิกคิ้วสูง แม้จะรู้ตัวว่าโดนดันออกไปนอกวงโคจรของมินนภัสมานาน แต่พอได้ฟังก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี

“นายก็อย่าใช้งานน้องมินหนักมากดิวะ จะไฟแรงไปไหน”

“ก็ไม่ได้หนักอะไรนี่” แสนศรันย์เอนหลังพิงพนัก ดูท่าน้องน้อยจะยังไม่ยอมเปิดใจง่ายๆ แต่มีหรือเขาจะยอมแพ้

“นายก็คอยดูน้องหน่อยก็แล้วกัน อะไรที่เสี่ยงทำให้อาการกำเริบ พวกที่มืด ที่แคบก็เลี่ยงๆ หน่อย”

“อืม ถึงนายไม่บอกฉันก็ดูแลมินอย่างดีอยู่แล้ว”

ธนวัฒน์รู้สึกแปลกๆ กับประโยคดังกล่าวอยู่ครามครัน แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะไต่ถาม ด้วยคิดว่าทั้งสองสนิทกันในฐานะพี่น้องมาแต่ไหนแต่ไร

“ก็ดี…” คุณหมอหนุ่มเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเลียริมฝีปากอย่างประหม่า “ว่าแต่…น้องมินยังโสดอยู่ใช่ไหม”

“ถามทำไม” น้ำเสียงของแสนศรันย์เย็นลงหนึ่งระดับ โน้มตัวลงมาตั้งศอกทั้งสองข้างไว้ที่เข่าแล้วจ้องคนถามเขม็ง “ก็…ถ้านายไม่ว่าอะไร ฉันจะขอ…”

“มินมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

คำพูดตัดบททำให้ธนวัฒน์ห่อเหี่ยว อันที่จริงสรวิศก็ตอกย้ำอยู่บ่อยๆ ว่ามินนภัสมีคนในใจแล้ว แต่เพราะเขาไม่เคยเห็น แถมมินนภัสก็ดูไม่เหมือนคนที่คบใครอยู่จึงคิดว่าสรวิศแค่อำเล่น

“ใครวะ”

‘ฉันเอง’ แสนศรันย์แอบมีคำตอบในใจ แต่คำที่เอ่ยออกมากลับเป็นอีกแบบ “ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ามินพร้อมคงเปิดตัวเองแหละ”

“งั้นก็อาจไม่มีก็ได้” คนอกหักไปแล้วสามสิบเปอร์เซ็นต์ยังเถียง

“นายเห็นมินคบใครบ้างหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ชอบใครอยู่เป็นไปได้เหรอที่จะไม่ให้โอกาสใครเลย”

สิ่งที่แสนศรันย์พูดก็มีความเป็นไปได้สูง แม้จะหมดกำลังใจไปบ้างแต่ตราบใดที่มินนภัสยังไม่เปิดตัวเขาก็ยังมีโอกาส

“ฉันจะลองสู้ดูสักตั้ง”

แสนศรันย์มองคู่แข่งที่ประกาศตัวว่าจะก้าวลงสู่สนามรักเดียวกับตนด้วยแววตาวาววับ

‘จะสู้ก็ได้ เพราะยังไงเขาก็ไม่แพ้แน่นอน’

เสียงประตูห้องนอนดังขึ้นหลังจากนั้น ทั้งสองหนุ่มจึงหันไปมองคนที่เดินออกมาเป็นตาเดียว

“คุณพิชเป็นยังไงบ้างคะ” ธนวัฒน์เอ่ยถาม นี่ถ้าไม่ติดว่าตนเองเป็นผู้ชายคงเข้าไปช่วยด้วย เพราะการเช็ดเนื้อเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าคนเมาไม่ได้สติไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“หลับสบายไปแล้วละค่ะ” มินนภัสยิ้มเจื่อน “ต้องขอโทษหมอแทนด้วยนะคะที่ทำให้เดือดร้อน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง” ธนวัฒน์ยิ่งกว่าเต็มใจช่วยเหลือ “แต่รอบหน้าขอเบาๆ กว่านี้จะดีกว่านะคะ”

มินนภัสหัวเราะ ก่อนจะพูดแทนรุ่นพี่ที่รู้จักนิสัยกันดี

“คงไม่มีรอบหน้าแล้วละค่ะ นี่ถ้าพี่พิชรู้ว่าอ้วกใส่หมอแทนคงอายน่าดู”

‘ก็น่าอายอยู่หรอก’ ธนวัฒน์แอบคิดในใจ เพราะเขากับเธอไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก เจอกันก็แค่ไม่กี่หน แต่เจ้าหล่อนดันอาเจียนฝากรักแถมยังออดอ้อนง้อขอคืนดีด้วยคิดว่าเขาเป็นคนรักที่ชื่อพี

“แล้ว…นั่งคุยกันในชุดนี้ไม่เหม็นกันเหรอคะ” มินนภัสอดถามไม่ได้ เพราะแค่เดินออกมากลิ่นก็ชวนให้วิงเวียนศีรษะแล้ว

“คือพี่ไม่มีชุดสำรองค่ะ ของนายแสนก็ไม่มี” ธนวัฒน์กล่าวเขินๆ ใช่ว่าเขาจะชอบอยู่ในสภาพนี้เสียเมื่อไหร่

มินนภัสเหลือบมองคนที่ถูกอ้างถึงแวบหนึ่ง เห็นเขานั่งนิ่งไม่พูดไม่จาก็พลอยไม่สนใจไปด้วย

“งั้นเดี๋ยวมินลองไปหาในสตูของพี่พิชให้นะคะ” เธอชี้ไปยังประตูที่ปิดอยู่ซึ่งพิมพ์พิชดัดแปลงเป็นสตูเล็กๆ สำหรับคิดงานและออกแบบเสื้อผ้า “มินว่าน่าจะพอมีชุดผู้ชายอยู่บ้าง หมอแทนขับรถกลับบ้านทั้งแบบนี้คงไม่ไหวแน่”

“พี่ก็ว่าแบบนั้นค่ะ”

เมื่อเห็นพ้องต้องกันมินนภัสก็ถือวิสาสะเข้าไปค้นหาสิ่งที่ต้องการอ พักใหญ่ก็กลับออกมาพร้อมกับเสื้อเชิ้ตซีทรูสีดำ

“เอ่อ คือมินหาเจอแต่แบบนี้อะค่ะ” เธอชูขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ขัดเขินเล็กน้อย

ธนวัฒน์ถึงกับพูดไม่ออก เขาจะใส่ไปได้อย่างไรในเมื่อเห็นทะลุปรุโปร่งขนาดนั้น

“พอไหวไหมคะ”

จะปฏิเสธก็กลัวจะเสียน้ำใจคนไปหามาให้ ธนวัฒน์จึงผงกศีรษะรับ ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

มินนภัสรู้สึกไม่ค่อยดี เธอพยายามหาทุกซอกทุกมุมแล้วแต่ก็ไม่พบตัวใดที่สภาพปกติเท่าตัวนี้เลย เพราะที่เหลือล้วนเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง

“ฮึๆ”

เสียงที่ดังมาจากอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่ทำให้มินนภัสหันไปมอง แล้วก็พบว่าแสนศรันย์กำลังกลั้นขำอยู่

“อยากใส่บ้างเหรอคะ” เธอกอดอกมองคนกวนประสาทอย่างเอาเรื่อง

แสนศรันย์ยักไหล่ บอกตรงๆ ว่าเขายอมทนเหม็นดีกว่าใส่เสื้อตัวนั้น

“แล้วนี่ทำไมยังไม่กลับบ้านคะ” เมื่อไม่สบอารมณ์เรื่องแรก จึงพาลหาเรื่องต่อ

“ผมรอคุณ”

คนได้ฟังชะงักไปอึดใจ แล้วจู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนเห่อ

“ฉันไม่กลับค่ะ จะค้างกับพี่พิช ฉันโทร. บอกคุณแม่แล้ว” เธอกล่าวรวดเดียวจบ เพื่อขัดจังหวะคนที่กำลังอ้าปากจะแทรก

“งั้นผมก็ค้างด้วย”

“คะ?”

แสนศรันย์ไม่กล่าวอะไรต่อ มีเพียงสายตามองกลับไปเชิงถามว่า ‘ไม่เข้าใจเหรอ’

“แต่ที่นี่มัน…”

ครืด!

ถ้อยคำของมินนภัสถูกแทรกด้วยเสียงเปิดประตูห้องน้ำของธนวัฒน์ พอเดินออกมาคนที่กำลังปะทะคารมกันก็เปลี่ยนอารมณ์กลายเป็นกลั้นขำแทบจะทันที

“อย่าทำหน้าแบบนั้นกันสิ” ธนวัฒน์รู้สึกอยากกลับเข้าไปใส่เสื้อตัวเดิมให้รู้แล้วรู้รอด

“ก็ดูเข้ากับนายดีนะ”

“นายแสน!” จิตแพทย์หนุ่มเเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูเหมือนวันนี้อะไรๆ ก็ไม่เข้าข้างเขาเลย ทั้งอดกินมื้อค่ำกับมินนภัส เจอพิมพ์พิชอ้วกใส่ แถมยังต้องมาใส่เสื้อซีทรูที่แทบไม่ปิดอะไรนี่อีก

“พี่ว่าพี่กลับเลยดีกว่า” จะว่าเขินก็ยอมรับ แต่ธนวัฒน์ไม่อาจทนอยู่ในสภาพนี้ต่อหน้าหญิงสาวที่แอบชอบได้จริงๆ

“นายจะกลับพร้อมกันเลยไหม” เขาหันไปถามแสนศรันย์

“ไม่ละ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนมิน”

ธนวัฒน์พยักหน้าโดยไม่ติดใจอะไร

“งั้นฉันกลับก่อนนะ พี่กลับก่อนนะคะน้องมิน”

มินนภัสมัวแต่คิดเรื่องที่แสนศรันย์จะค้างด้วย พอธนวัฒน์หันมาหาจึงสะดุ้ง

“อ๋อค่ะ เดี๋ยวมินเดินไปส่งนะคะ”

“ส่งแค่หน้าประตูก็พอครับ พี่ลงไปเองได้” ถ้าเป็นเวลาอื่นคงไม่ปฏิเสธน้ำใจ แต่ยามนี้เขาไม่อยากใช้เวลาร่วมกับมินนภัสนานเพราะกลัวภาพเสื้อเชิ้ตซีทรูสีดำจะติดตาเธอ

“ได้ยังไงกันคะ มินว่า…”

“งั้นหน้าลิฟต์โอเคไหมครับ”

“ก็ได้ค่ะ” มินนภัสจำยอม ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ

ทั้งสองหายออกไปด้วยกันเกือบห้านาที พอมินนภัสเดินเข้ามาก็พบว่าแสนศรันย์นั่งกอดอกรออยู่

“ทำไมนาน”

มินนภัสไม่ตอบ กลับเดินไปนั่งยังโซฟาเดย์เบดตัวข้างๆ

“คุณแสนกลับไปได้แล้วค่ะ”

“ไม่กลับ”

“แต่ที่นี่ห้องพี่พิชนะคะ คุณแสนไม่ควรอยู่แล้วก็…”

“คุณอยู่ไหนผมก็อยู่นั่น”

เป็นอีกครั้งที่มินนภัสได้แต่อ้าปากค้าง อยากจะเถียงแต่ต่อก็คิดอะไรไม่ออกคล้ายสมองว่างเปล่าไปหมด

“รู้เรื่องนะ เพราะฉะนั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว จะได้นอนสักที”

คนได้รับคำสั่งยังกะพริบตาปริบๆ

“จะใส่ซีทรูออกมาเหมือนนายแทนพี่ก็ไม่ว่า”

จู่ๆ เลือดในกายก็ไปขึ้นไปรวมกันอยู่บนใบหน้าจนรู้สึกร้อนเห่อไปหมด ไม่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น แววตาของเขายังทอประกายแปลกๆ

เธอคุ้นแววตาแบบนี้…

นั่งตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ๆ จู่ๆ คนตัวเล็กก็ผุดลุกขึ้น สมัยก่อนตอนคบหากันเขาก็เคยมองเธอแบบนี้ หลังจากนั้นก็ดึงมือพาไปในมุมลับตาแล้ว…

มินนภัสไม่พูดไม่จา หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องสตูของพิมพ์พิช ไม่รู้ทำไมวันสองวันนี้ถึงรู้สึกเพลี่ยงพล้ำไปหมด จะพูดจะทำอะไรก็เหมือนโดนต้อนจนคล้ายกับเดินวนอยู่กับที่

แสนศรันย์มองคนลนลานหนีไปพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ไม่โดนด่าก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีมากแล้ว พอแน่ใจว่ามินนภัสจะใช้เวลาในห้องนั้นนานพอสมควรเขาจึงลุกออกไปที่ระเบียงเพื่อโทร. หาใครบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่มาตลอดทั้งวัน

“นายกลับไปพักได้เลย ส่วนกุญแจรถก็ฝากไว้ที่ประชาสัมพันธ์ก็ได้”

ปลายสายรับคำสั่งแล้วถามต่อว่าพรุ่งนี้เขายังต้องทำหน้าที่หรือไม่

“ไม่ต้องหรอก ฉันคงอยู่กับมินทั้งวัน ส่วนเรื่องที่คุยกันไว้ก็ดำเนินการได้เลย” ปลายสายรับคำแล้วสัญญาณก็ถูกตัดไปทันที แสนศรันย์มองไกลไปยังวิวด้านนอก เมืองหลวงแสนซิวิไลซ์แห่งนี้ใครเลยจะรู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ และเพราะเหตุการณ์เกินมือเมื่อเกือบหกปีก่อน ตอนนี้เขาจึงต้องทำทุกอย่างให้รัดกุมเพื่อเตรียมรับมือกับคนบางคนที่สายรายงานว่ากลับมาถึงเมืองไทยแล้ว

คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง เพราะคนคนนั้นคนเดียว

 

หลังจากสงบจิตสงบใจจนกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ มินนภัสก็หาชุดที่พอจะใส่ได้ออกมาหนึ่งตัวเป็นเดรสชีฟองแขนตุ๊กตาผ้าซีทรู ซึ่งดูปกติสุดนอกนั้นเป็นแนวแฟชั่นจ๋าหรือไม่ก็สำหรับออกงานสังคมเต็มรูปแบบ

เมื่อออกมาก็แปลกใจเพราะคนที่ควรนั่งอยู่บนโซฟาไม่อยู่แล้ว จึงเดินไปดูทั้งห้องครัว ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งห้องของพิมพ์พิชแต่ก็ไม่มีแม้เงา

“ไปไหนนะ” อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะหนีกลับบ้านไปแล้ว พอสมองแง่ร้ายทำงานเธอจึงรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

“หาผมอยู่หรือเปล่า”

มินนภัสสะดุ้ง พอหันกลับไปก็พบว่าแสนศรันย์ยืนพิงประตูบานเลื่อนที่เปิดไปยังระเบียงด้านนอกอยู่

“เปล่าสักหน่อย” คนปากแข็งเชิดหน้า เรื่องอะไรจะยอมรับว่าเธอสนใจเขาด้วย

“แต่ผมเห็นใครก็ไม่รู้เดินวนไปวนมาตั้งหลายรอบ”

แสนศรันย์ไม่พูดเปล่ายังย่างกรายเข้ามาหา จนมินนภัสต้องก้าวถอยหลังไปทีละก้าว

“ก็บอกว่าเปล่าไง ฉะ…ฉันแค่ เอ่อ หาห้องน้ำ ฉันหาห้องน้ำไม่เจอ”

“เหรอ”

“ใช่ค่ะ ฉัน…ไปใช้ในห้องของพี่พิชก็ได้”

คนที่บอกว่าหาห้องน้ำไม่เจอวิ่งฉิวเข้าไปในห้องที่พิมพ์พิชนอนอยู่ ท่าทีตื่นๆ บวกกับสีหน้าแววตาตอนเดินตามหาเขาทำให้แสนศรันย์ใจกระตุก แม้มินนภัสจะปากแข็งและเย็นชาใส่ขนาดไหนแต่เขาก็เชื่อเสมอว่าเธอไม่เคยลืมเขาและไม่มีทางลืม เหมือนกับเขาที่ยังเฝ้ารอวันที่จะได้กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

 

มินนภัสนอนกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ พิมพ์พิช หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็ไม่ได้ออกไปด้านนอกอีกด้วยไม่อยากปะทะคารมกับคนที่ทำให้ใจกระตุกบ่อยๆ แต่เอาเข้าจริงความมืดภายในห้องก็ทำให้สะดุ้งทุกครั้งที่หลับตา

เธอไม่ชินกับการนอนปิดไฟ

ร่างเล็กลุกขึ้นนั่ง หันไปทางคนข้างๆ พร้อมกับถอนหายใจ ตอนแรกคิดว่าพิมพ์พิชคงหลับลึกเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เลยแอบไปเปิดไฟ แต่ปรากฏว่ารุ่นพี่สาวลุกขึ้นมาบ่นอย่างไม่ได้สติว่านอนไม่ได้จึงจำต้องปิดไฟอีกรอบ

พิมพ์พิชนอนไม่ได้ถ้าเปิดไฟ ส่วนเธอนอนไม่ได้ถ้าปิดไฟ ด้วยความแตกต่างนี้ทำให้ไม่ได้ค้างด้วยกันบ่อยนัก แต่หากมีครั้งไหนที่จำเป็นต้องนอนด้วยกันจริงๆ ก็เป็นเธอที่จะแอบหนีออกไปนอนห้องนั่งเล่นทุกครั้ง

ทว่าครั้งนี้คงไม่ได้เพราะมีคนจับจองไปแล้ว แต่จะให้นั่งอยู่ในความมืดตลอดทั้งคืนแบบนี้ก็ไม่ไหวอยู่ดี มินนภัสจึงคว้าหมอนข้างติดมือไปหนึ่งใบ เธอเปิดประตูอย่างเบามือ พอออกมาเจอแสงไฟที่ยังสว่างจ้าด้านนอกก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น

ร่างสูงใหญ่ของแสนศรันย์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเดย์เบด มินนภัสจึงค่อยๆ ย่องไปนั่งบนโซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่ข้างกัน

“ค่อยสบายหน่อย”

มินนภัสอมยิ้มพร้อมกับเหลือบไปมองแสนศรันย์ เห็นเขายังนิ่งไม่ไหวติงก็คิดว่าคงหลับลึกไปแล้ว เธอจึงหลับตาลงบ้างและด้วยกิจกรรมที่แน่นเอี้ยดมาตั้งแต่เช้าก็ทำให้เข้าสู่ห้วงนิทราไปโดยเร็ว

เมื่อไม่มีเสียงขยับกายและเสียงลมหายใจของคนที่แอบมานอนตรงโซฟาด้านข้าง แสนศรันย์จึงลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งมองใบหน้าไร้พิษภัยยามหลับของน้องน้อยอย่างเพลินตา

ตั้งแต่กลับมานอกจากเรื่องงานแล้วมินนภัสแทบไม่เคยพูดดีด้วย สายตาที่มองมาแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความมึนตึง ซึ่งก็ไม่แปลกที่เป็นแบบนั้นเพราะเขาทำผิดต่อเธอมากจริงๆ

ผิด…แม้จะทำเพื่อปกป้องเธอ

จู่ๆ คนที่เฝ้ามองก็ผวาเฮือก แสนศรันย์จึงลุกเดินไปดูใกล้ๆ พบว่าเปลือกตาขยับไปมา คิ้วขมวดเข้าหากันแถมยังมีเหงื่อซึมบริเวณไรผมคล้ายกับกำลังฝันร้าย เขาจึงจับมือเธอเขย่าเบาๆ

“น้องมินครับ”

“ช่วยด้วย ช่วยมินด้วย” คำร้องขอความช่วยเหลือหลุดออกจากปากเบาๆ พร้อมกับมือของเขาที่ถูกเธอกอดไว้แน่น

แสนศรันย์มองด้วยความสงสารจับใจ เพราะเรื่องในคืนนั้นทีเดียวที่ทำให้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขาต้องจมอยู่กับฝันร้ายมาอย่างยาวนาน

“พี่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครทำอะไรมินได้ทั้งนั้น” เขาโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู แล้วจุมพิตที่หน้าผากชื้นเหงื่อ

มินนภัสปรือตาขึ้นมา

“พี่แสน”

“ครับ พี่เอง”

“มินกลัว”

เธอหลับตาลง แต่ยังคงพึมพำโต้ตอบกับเขา

“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พี่อยู่ตรงนี้”

ใบหน้านวลพยักขึ้นลง “อย่าทิ้งมินไปอีกนะคะ”

“ครับ พี่จะไม่ทิ้งมินไปไหนอีกแล้ว ต่อให้มินไล่…พี่ก็ไม่ไป” แสนศรันย์ไม่แน่ใจว่าคนหลับจะได้ยินเขาหรือไม่ เพราะเธอนิ่งเงียบไปหลังจากนั้น แต่เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้แก่เธออย่างแน่นอน

 

พิมพ์พิชตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ อาการเมาค้างทำให้รู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งจนต้องเดินออกไปด้านนอกเพื่อหาน้ำดื่ม

“เฮ้อ ค่อยดีขึ้นหน่อย” น้ำเย็นๆ หนึ่งแก้วที่ไหลลงคอพอทำให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง ระหว่างที่หมุนตัวเพื่อกลับเข้าไปนอนต่อพลันตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติในห้องนั่งเล่นของตัวเอง

“ขา…ใคร” เธอพึมพำพร้อมกับเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอเห็นชัดๆ ความง่วงงุนก็เลือนหายเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก

“มิน! คุณแสน!” พิมพ์พิชอุทานเสียงดัง

ภาพที่เห็นคือมินนภัสนอนอิงแอบแสนศรันย์อยู่บนโซฟาเดย์เบดของเธอ ซึ่งคำอุทานก็ดังพอที่จะทำให้มินนภัสสะดุ้ง พลิกตัวกลับมาอีกด้านแล้วปรือตาขึ้นมอง

“พี่พิช…ตื่นแล้วเหรอคะ” เธออ้าปากหาว ก่อนจะหลับตาแล้วซุกหน้าลงกับความอบอุ่นที่โอบรอบตัวมาตลอดทั้งคืน

“มิน! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” พิมพ์พิชถามอย่างใจดีสู้แสน เอ๊ย สู้เสือ พยายามขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อเรียกรุ่นน้องให้ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ ไม่ใช่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในอ้อมกอดของแสนศรันย์อย่างนั้น

“พี่กรโทร. ตามมินมาค่ะ”

“กรเหรอ” พิมพ์พิชทวนชื่อเพื่อนรัก แล้วก็จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

เธอถูกผู้ชายที่คบกันมากว่าห้าปีบอกเลิกด้วยเหตุผลว่า ‘เขารักคนอื่นแล้ว’ ความจริงที่เข้ามากระแทกใจทำให้พิมพ์พิชหดหู่ไปชั่วขณะ ทว่าพอเหลือบไปเห็นว่ามินนภัสทำท่าจะหลับลงอีกรอบก็ไม่อาจนิ่งเฉย

“มิน คือว่า…”

“คะ” คนสะลึมสะลือลากเสียงยานขานรับ ยังคงกระชับสิ่งที่คิดว่าเป็นหมอนข้างแน่น

“พี่ว่ามินลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีกว่าไหม คือ…”

“ขออีกสิบนาทีได้ไหมคะพี่พิช มินยังง่วงอยู่เลย” กว่าจะได้นอนก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว เด็กอนามัยที่ต้องนอนแปดชั่วโมงจึงยังไม่อยากตื่นนัก

“ไม่ดีมั้ง คือ…เอ่อ คุณแสนน่าจะเมื่อยแล้ว”

“เกี่ยวอะไรกับเขาล่ะคะ มินแค่จะนอนต่อเอง ดูสิหมอนข้างบ้านพี่พิชอุ๊นอุ่น” คนยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือยิ้มหวาน แถมไม่พูดเปล่ายังถูใบหน้ากับสิ่งที่คิดว่าเป็นหมอนข้างอย่างออดอ้อน

“พี่ว่า ...หมอนข้างมันตกอยู่ที่พื้นนะ”

“ตกที่ไหนกันคะ ก็นี่…” มินนภัสยืนยันด้วยการยกสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นหมอนข้างขึ้น ก่อนจะตะลึงพรึงเพริดเพราะนั่นมันมือคนชัดๆ เธอจึงพลิกตัวกลับไปมองแล้วก็ต้องตกใจกว่าเดิมเมื่อคนที่นอนแนบชิดนั่นคือ ‘แสนศรันย์’ ด้วยความตระหนกจึงขยับหนีจนตกลงไปบนพื้น

ตุ้บ!

เจ็บก็เจ็บ จุกก็จุก ตกใจก็ตกใจ สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันทำให้มินนภัสได้แต่นั่งมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเดย์เบดตาค้าง

ทำไมเธอถึงมานอนกับเขาได้ ในเมื่อ…เมื่อคืนเธอจำได้ว่านอนอยู่ที่โซฟาตัวข้างๆ

“ผมเปล่าทำอะไร คุณเดินละเมอมานอนกับผมเอง” แสนศรันย์ยันตัวขึ้นนั่งแล้วหันไปคว้าแว่นมาใส่ด้วยกิริยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่จริง! มินนภัสโต้แย้งเสียงดังในหัว แต่กลับไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปาก

“ไม่เชื่อเหรอครับ” แสนศรันย์มองคนนั่งบนพื้นด้วยแววตาละมุน จนแม้แต่พิมพ์พิชที่ยืนอยู่ห่างๆ ยังสังเกตได้

“คิดว่าผมอุ้มคุณมานอนด้วยเหรอครับ”

แม้คำพูดนั้นจะตรงกับที่ใจคิด แต่มินนภัสก็พูดอะไรไม่ออกอยู่ดีเพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน ในเมื่อเธอจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลย พอหาที่เหมาะๆ สำหรับตัวเองได้เธอก็หลับเป็นตาย หลับสนิทแบบผิดปกติเกินไปด้วยซ้ำ

พิมพ์พิชเห็นการปะทะคารมของคนทั้งสองแล้วก็รีบเข้ามาประคองรุ่นน้อง เห็นอยู่ว่ายังไงก็ตกเป็นรอง

มินนภัสลุกขึ้นแต่โดยดีทว่าสีหน้ากลับบึ้งตึง คอระหงตั้งตรง ริมฝีปากเม้มแน่น จ้องคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

“มีอะไรค่อยมาคุยกันดีกว่าเนาะ เราไปอาบน้ำกันเถอะ” พิมพ์พิชพยายามสงบศึก แม้จะเป็นงงว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นในห้องตัวเองกันแน่ เพราะเท่าที่จำได้คือเธอเสียใจมากจึงนัดเพื่อนออกไปกินเหล้า อยากเมาเพื่อลืมให้หมด พอไม่มีใครว่างจึงฉายเดี่ยว แต่ทำไมพอตื่นขึ้นมากลับอยู่ที่คอนโดตนเองแถมยังมีมินนภัสกับแสนศรันย์อยู่ด้วยอีก

หลับไปแค่หนึ่งคืนทำไมมีอะไรเกิดขึ้นตั้งเยอะแยะ

มินนภัสยังจ้องแสนศรันย์นิ่ง จนพิมพ์พิชต้องรั้งแขนให้เดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ด้วยกัน ก่อนปิดประตูพิมพ์พิชไม่ลืมที่จะหันมองแสนศรันย์ก็พบว่า เขายังมองพวกเธออยู่แถมสายตายังบ่งบอกว่าเปี่ยมสุขจนน่าหมั่นไส้ จึงปักใจเชื่อทันทีว่าการที่มินนภัสไปนอนในอ้อมกอดเขาไม่ใช่เพราะละเมอแน่ๆ

พออยู่ลำพังมินนภัสก็หันกลับไปคว้ามือพิมพ์พิช

“พี่พิชคะ มินไม่ได้…”

“พี่เชื่อจ้ะ” พิมพ์พิชขานรับ แถมยังพยักหน้ายืนยันว่าเชื่อจริง ไม่ได้พูดเพื่อให้ผ่านๆ ไป

เห็นแบบนั้นมินนภัสก็สบายใจขึ้นเพราะกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจนมองว่าพฤติกรรมของเธอไม่เหมาะสม

“ไม่ต้องคิดมากนะ”

“ค่ะ มินเกลียดจริงๆ เลยคนฉวยโอกาส” มินนภัสบ่นอุบ นึกแล้วก็ทั้งโกรธทั้งเขิน นี่แสดงว่าที่เธอหลับสนิทตลอดทั้งคืนเพราะนอนในอ้อมกอดเขางั้นเหรอ ‘รู้ถึงไหน อายถึงนั่น’

“คุณแสนแคร์มินดีนะ เขาคงรักมินมาก”

“พี่พิชอย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ รักเริกอะไรกัน” มินนภัสปฏิเสธเสียงหลง หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงดีใจและยิ้มรับโดยง่าย แต่เวลานี้ประสบการณ์ได้สอนแล้วว่า…อย่าไว้ใจเขาเป็นอันขาด

“จริงๆ นะ แล้วลองคุยกันเรื่องเก่าๆ หรือยัง”

มินนภัสนิ่งไป เพราะแสนศรันย์เคยหลุดปากออกมาว่าไม่ได้รักน้ำหนึ่ง แต่พอเธอถามเหตุผลกลับไม่มีคำตอบ

“เปล่าค่ะ” คนมุสาเมินหน้าหนี ไม่อยากพูดเรื่องเกี่ยวกับเขาอีก

“มีอะไรก็คุยกันดีๆ นะมิน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป…แบบพี่”

น้ำเสียงเจือสะอื้นทำให้มินนภัสเลิกสนใจเรื่องของตนเอง พอเห็นพิมพ์พิชตาแดงจึงนั่งลงข้างๆ แล้วยื่นมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้

“พี่พิชใจเย็นๆ นะคะ บางทีพี่พีเขาอาจเหนื่อยกับงานก็เลยหลุดปาก”

พิมพ์พิชส่ายหน้า พร้อมกับน้ำตาที่หยดแหมะ

“พี่รู้จักพี่พีดี เขาบอกเลิกพี่มาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ เขาบอกแค่ว่าอยากมีอิสระ เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ยอมรับตรงๆ ว่ารักคนอื่นแล้ว”

พิมพ์พิชกักเก็บอารมณ์ไม่ได้หลังจากนั้น มินนภัสจึงได้แต่กอดปลอบเงียบๆ ด้วยรู้ดีว่าพิมพ์พิชไม่ได้ต้องการคำปลอบใจแต่ต้องการแค่ใครสักคนอยู่ใกล้ๆ ก็พอ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น