๑
แสนศรันย์
มินนภัสเดินลงบันไดมาในสภาพสะโหลสะเหล เมื่อคืนหลังจากสะดุ้งตื่นก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกเลย เช้านี้จึงไม่พร้อมที่จะออกไปทำงานนัก แต่เนื่องจากสรวิศแอบอู้งานหนีหายไปเมื่อหลายวันก่อน เธอซึ่งเป็นเลขาฯ จึงไม่อาจหลบเลี่ยง มิเช่นนั้นบริษัทคงโกลาหลแน่
“มิน! ทำไมขอบตาดำคล้ำอย่างนั้นล่ะลูก”
เสียงร้องทักของมารดาทำให้คนที่เดินมานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามปรือตาขึ้นมอง
“สภาพมินแย่มากเลยเหรอคะ”
“เหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน”
เมื่อโดนมิ่งกมลผู้เป็นมารดาย้ำจนเห็นภาพ มินนภัสจึงได้แต่ถอนหายใจ
“ก็เมื่อคืนมินฝัน…” คำอธิบายหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมารดาไม่เคยรับรู้ เพราะเธอขอร้องให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างแสนศรันย์ช่วยเก็บเป็นความลับ
“คือมินฝันว่าพี่เสือใช้ให้ไปรับหน้าบรรดาสาวๆ น่ะค่ะ เสียงแต่ละคนวี้ดว้ายมากมินเลยสะดุ้งตื่นแล้วก็นอนไม่หลับอีกเลย” คนโกหกคำโตหลบตา ก้มหน้าไปสนใจข้าวต้มกุ้งที่แม่บ้านเพิ่งนำเสิร์ฟให้เมื่อครู่
“ตาเสือยังไม่เลิกยุ่งกับแม่สาวๆ พวกนั้นอีกเหรอ สงสัยแม่ต้องไปคุยกับแม่ดาให้รู้เรื่องละ ไหนว่าอยากดองกัน” มิ่งกมลบ่นอุบ ด้วยจุดประสงค์หลักที่ยอมให้ลูกสาวไปทำงานบริษัทเลนส์ออฟติกคือการเกี่ยวดอง แต่ถ้าฝ่ายนั้นยังลอยไปลอยมาเช่นนี้คงไม่มีทางลงเอยกันได้แน่ๆ
“เลิกยุ่งอะไรกันล่ะคะ นี่ก็หายไปสองสามวันแล้ว สงสัยไปอยู่กับสาวชัวร์”
“ฮ้า!”
“ไม่ฮ้าแล้วค่ะ มินว่าคุณแม่เลิกคิดที่จะจับคู่มินกับพี่เสือดีกว่าเพราะไม่มีทางเป็นไปได้หรอก พี่เสือไม่ใช่สเปกมินเลยสักนิด”
มิ่งกมลทำเสียงจึ๊กจั๊กด้วยความขัดใจเมื่อโดนบุตรสาวดับความหวัง
“แล้วสเปกมินเป็นแบบไหนล่ะลูก ถ้าไม่ใช่พี่เสือ งั้นพี่ภพไหม ลูกชายคุณธนา หรือพี่เจมส์ ลูกชายคุณพิพัฒน์ก็น่าสนใจ หรือจะเป็น…”
สมองมินนภัสได้ยินแค่ประโยคแรกของมารดาเท่านั้น พอพูดถึงเรื่องสเปกใบหน้าของใครบางคนที่ฝันถึงเมื่อคืนก็ลอยมา คนที่หน้าตาเหมือนสรวิศทุกกระเบียดนิ้วแต่นิสัยใจคอช่างแตกต่าง คนที่เคยน่ารัก อ่อนโยน จิตใจดี เป็นคนเดียวที่เธอพึ่งพาได้ และก็เป็นคนเดียวที่ทำให้เธอเจ็บช้ำจนไม่กล้ารักใครอีก
“มิน! ได้ยินแม่ไหมลูก”
“คะ?” คนตกในภวังค์สะดุ้ง เงยมองมารดาหน้าเหลอหลา “คุณแม่ว่าไงนะคะ”
“แม่บอกว่าถ้าลูกถูกใจคนไหนก็บอกได้เลย ที่เหลือแม่จัดการเอง”
“คุณแม่คะ” มินนภัสถอนหายใจเฮือก เธอเพิ่งจะอายุย่างยี่สิบห้า ยังไม่คิดเรื่องคู่ครองหรืออะไรทั้งนั้น “เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะค่ะ มินยังไม่อยากมีใคร มินอยากทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จก่อน”
“แต่แม่อยากอุ้มหลานแล้วนี่นา ลูกเพื่อนแม่หลายคนที่อายุเท่ามินก็แต่งงานแต่งการกันไปเกือบหมดแล้ว”
“งั้นคุณแม่ก็เซ็นอนุมัติงบให้มินไปทำทุนก่อนดีไหมคะ ไม่แน่น้า ถ้าบริษัทของมินไปได้สวย มินอาจจะอยากแต่งงานเร็วขึ้นก็ได้” มินนภัสไม่พูดเปล่า ยังแบมือยื่นไปด้านหน้ามารดา ทำตาปริบๆ เพื่อเรียกคะแนนความเห็นใจ
อันที่จริงมินนภัสไม่อยากทำงานที่บริษัทเลนส์ออฟติกเลยสักนิด เธออยากเปิดบริษัทนำเข้าสินค้า ทว่ามารดาไม่สนับสนุนเพราะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างเยอะจึงสร้างเงื่อนไขว่า ต้องทดลองงานที่บริษัทเลนส์ออฟติกก่อนหนึ่งปี หากผลงานเป็นที่พอใจค่อยมาคุยเรื่องเงินทุนกันใหม่ ใครเลยจะไม่รู้ว่านั่นเป็นแค่กลอุบาย มารดาต้องการให้เธอได้ใกล้ชิดกับเสือหรือ สรวิศ ศิลป์ศุภา ลูกชายของดารินผู้เป็นเพื่อนสนิท เผื่อเกิดปิ๊งปั๊งกันขึ้นมาจะได้เป็นไปตามความต้องการของคุณแม่ทั้งสอง
แต่ฝันไปเถอะ! นอกจากจะมีใจให้กันยากแล้ว เธอยังรู้สึกเข็ดขยาดผู้ชายมากกว่าเดิมเสียอีก
มิ่งกมลยื่นมือไปตบแปะบนมือบุตรสาวหนึ่งครั้งพร้อมทั้งส่งยิ้มละไม
“ทุกอย่างตามเงื่อนไขเดิมจ้ะ”
“คุณแม่…”
“อืม เนียม ข้าวต้มวันนี้ใช้ได้เลย”
คำพูดตัดบทของมารดาทำให้คนโดนปฏิเสธเบ้ปากอย่างแง่งอน จำยอมทำตามเงื่อนไขต่อไปเผื่อว่าสักวันความฝันของตนจะมีโอกาสเป็นจริงขึ้นมาบ้าง
เมื่อจัดการมื้อเช้าเสร็จมินนภัสก็ออกเดินทางไปยังบริษัทเลนส์ออฟติกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก และด้วยความที่ยังคงง่วงเหงาหาวนอนจึงรบกวนให้ลุงชมซึ่งเป็นคนขับรถของมารดามาส่ง เธอขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นสามด้วยหัวสมองที่ยังเบลอๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะฝากกล่องข้าวไว้ที่ห้องครัวขนาดย่อมก่อนเข้าไปในห้องทำงาน
“ป้าจิตแบ่งชิฟฟอนไปทานได้เลยนะคะ เอาไว้ให้มินนิดหน่อยก็พอ มินทานเยอะไม่ได้ค่ะเริ่มอ้วนแล้ว” มินนภัสยื่นทั้งกับข้าวทั้งขนมให้ป้าจิตราแม่บ้านประจำชั้น ซึ่งคนที่แพ็กอาหารมาให้ก็คือป้าเนียม แม่ครัวที่บ้านซึ่งกลัวเหลือเกินว่าเธอจะอดอยากจึงแพ็กมาเสียห่อใหญ่
“เอาตรงไหนมาอ้วนคะคุณมิน ผอมจนจะปลิวลมอยู่แล้ว” หญิงวัยกลางคนมองคนตรงหน้าอย่างเอื้อเอ็นดู มินนภัสเป็นเด็กมารยาทดี มีสัมมาคารวะ แม้จะเป็นถึงเลขาฯ เอ็มดี แถมมารดายังมีหุ้นอยู่ในบริษัทและสนิทกับเจ้าของบริษัทมาก แต่ก็ปฏิบัติตัวและใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หยิ่ง ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง พูดคุยหยอกล้อกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง“อ้วนสิคะ ดูพุงมินสิ” เจ้าตัวแอ่นพุงเต็มที่ แต่ดูยังไงก็ราบเรียบไม่มีส่วนเกินใดโผล่มาแม้แต่น้อย
จิตราส่ายหน้าน้อยๆ รู้อยู่เหมือนกันว่าเทรนด์ผู้หญิงสมัยนี้คือต้องผอม ซึ่งแตกต่างจากสมัยเธอมากนัก
“เอาเถอะค่ะ อ้วนก็อ้วน แล้วนี่เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือไงคะ ตาเป็นหมีแพนดามาเชียว”
คนโดนทักยกมือขึ้นจับใต้ตาโดยอัตโนมัติ
“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
มีใบหน้าที่พยักขึ้นลงแทนคำตอบ มินนภัสจึงหยิบกระจกขึ้นมาส่องอีกหน “นี่มินลงคอนซีลเลอร์ไปตั้งเยอะแล้วนะคะเนี่ย”
“สงสัยจะลงบางไป ต้องลงหนาๆ แบบป้าเนี่ย เนียนกริบ” คนโอ้อวดยกมือชี้หน้าตนเอง
มินนภัสได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะความหนาของรองพื้นบวกคอนซีลเลอร์ทำให้หน้าดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไร
“ป้าแนะนำเครื่องสำอางให้ไหมคะ นี่ป้าก็ขายอยู่…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า มินสายแล้ว ขอแค่กาแฟแก้วหนึ่งก็พอค่ะ” มินนภัสบอกปัดอย่างมีมารยาท พร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดู
“ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวป้าจัดกาแฟดำไปให้เลยนะคะ”
“อี๋! ไม่เอาค่ะ มันขม มินขอสูตรเดิมดีกว่าค่ะ”
“ไหนว่ากลัวอ้วนไงคะ”
มินนภัสสีหน้าเหยเกด้วยไม่ไหวจริงๆ กับกาแฟดำสูตรจิตรา คนที่กินได้เห็นจะมีแค่สรวิศเท่านั้น
“งั้นมินขอแบบเดิม แต่ลดน้ำตาลลงครึ่งหนึ่งก็ได้ค่ะ”
คนสูงวัยหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ สุดท้ายความตั้งใจก็จบลงที่กาแฟถ้วยโปรด
“ได้ค่ะ ป้าจะชงให้พิเศษเลย คุณมินไปรอด้านในเถอะนะคะ เดี๋ยวป้าเข้าไปเสิร์ฟพร้อมกาแฟของคุณเสือ”
ประโยคดังกล่าวทำให้มินนภัสเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ เพราะสรวิศหายไปหลายวัน เธอพยายามติดต่อไปหาก็ไม่ค่อยรับสาย
“พี่เสือมาแล้วเหรอคะ”
“ค่ะ ป้ามาก็เห็นนั่งทำงานอยู่แล้ว”
มินนภัสหันมองไปทางห้องทำงานแล้วกระชับกระเป๋าสะพาย เดินตรงดิ่งเข้าไปด้านในเพื่อเอาเรื่องคนที่ทิ้งให้เธอหัวหมุนเสียหลายวัน
“พี่เสือ!” มินนภัสไม่เคาะประตูก่อนเหมือนที่เคยทำ ก้าวฉับๆ ไปยืนเท้ามือบนโต๊ะทำงาน “หายไปไหนมาคะ รู้ไหมว่ามินเครียดขนาดไหน โทร. ไปก็ไม่รับ ถามป้าดาก็บอกว่าพี่เสือไปจัดการธุระส่วนตัว พอถามว่ากลับเมื่อไหร่ก็บอกไม่รู้”
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานผงะเล็กน้อย คงเพราะไม่ชินที่เธอแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด
“แล้วนี่นึกยังไงเอาแว่นมาใส่คะ ไหนบอกทำเลสิกแล้วไง” โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้อธิบาย มินนภัสก็เอ่ยถึงบางอย่างที่สะดุดตา
“พี่ไม่ได้ทำ”
เสียงสรวิศแปร่งไปจากเดิมเล็กน้อย แต่เธอไม่ทันได้สังเกต เพราะยังโมโหและสงสัยเรื่องแว่นตาอยู่
“ก็พี่เสือบอกเองว่าทำเลสิกตั้งแต่เรียนจบ จะมีก็แต่…” คำพูดของมินนภัสหยุดอยู่แค่นั้น แผ่นหลังค่อยๆ เหยียดตรงพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆ กว้างขึ้น
คนที่นั่งนิ่งอยู่ตั้งแต่แรกยันตัวลุกขึ้น สายตาจ้องประสานกับคนที่น่าจะรู้แล้วว่าเขาคือใคร
สีหน้ามินนภัสซีดลง สองขาขยับถอยหลังไปทีละก้าวๆ และก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไรเธอก็กลับหลังหันแล้ววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
‘ไม่ใช่! ไม่จริง! ต้องไม่ใช่เขา! เขาไม่ได้อยู่ที่นี่’
การปรากฏตัวแบบไม่คาดฝันของแสนศรันย์ทำให้มินนภัสสติแตก มือเล็กทั้งสองข้างสั่นจนต้องกำแน่น ใบหน้าซีดคล้ายไม่มีสีเลือดอยู่เลย เหตุการณ์ที่แม้จะผ่านไปหลายปีฉายซ้ำวนไปเวียนมาอยู่ในหัว
‘มิน เราขอโทษนะ แต่พี่แสนบอกว่ารักเราจริงๆ’
ประโยคที่เพื่อนรักเพียงคนเดียวบอกเมื่อหลายปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในหัว วันนั้น ‘น้ำหนึ่ง’ เดินจูงมือมากับแสนศรันย์เพื่อบอกถึงความสัมพันธ์ที่เธอแทบไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ ตอนนั้นเธอไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนสนิทจึงหันไปทางผู้ชายตัวสูงอย่างคาดหวังในคำตอบ อยากรู้เหลือเกินว่าทั้งสองคนไปรักกันตอนไหน
‘อย่าโกรธเราสองคนเลยนะ’
มินนภัสรู้ตอนนั้นเองว่าหัวใจแหลกสลายเป็นเช่นไร เธอขยับถอยหลังเมื่อน้ำหนึ่งเดินเข้ามาหา สายตายังคงจับจ้องรอคำตอบจากเขา ‘คนที่เธอฝากหัวใจเอาไว้’ แต่นอกจากจะไม่มีคำอธิบายใดๆ แล้วเขายังเข้ามาจูงมือน้ำหนึ่งออกไป แล้วทิ้งเธอไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง!
ตั้งแต่วันนั้นมินนภัสก็ไม่ได้เจอทั้งสองคนอีก มีเพียงข่าวว่าพวกเขาบินไปเรียนต่อด้วยกัน ในห้วงเวลาของความเจ็บปวดเธอพยายามทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับเขา ทำไมผู้ชายที่เคยแสนดีถึงได้เปลี่ยนไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้ สุดท้ายก็เหลือเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น คือ ‘เขา’ รับไม่ได้ที่เธอเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ
มินนภัสยิ้มเยาะตัวเองในวันนั้น ไม่แปลกใจเลย เพราะขนาดเธอก็ยังรังเกียจตัวเอง!
เหตุการณ์นั้นยังคงเฝ้าหลอกหลอนเธอมาตลอดหลายปี แม้จะไม่มีใครล่วงรู้นอกจากเธอ แสนศรันย์ และคนสารเลวที่ก่อเรื่อง แต่เธอก็คล้ายคนมีบาดแผล ทุกครั้งที่เห็นข่าวทำนองนี้จะรู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่น ไม่สามารถอยู่ในความมืดได้จนต้องเปิดไฟนอนทุกคืน จนกระทั่งมารดากับป้าดารินจับความผิดปกตินี้ได้จึงพยายามถามไถ่ แถมทั้งสองยังล่วงรู้ถึงความห่วงเหินระหว่างเธอกับแสนศรันย์ด้วย ซึ่งเธอก็จะบอกแค่ว่า ‘ไม่มีอะไร’ เป็นเพราะโตขึ้นจึงไม่กล้าทำตัวสนิทสนมกันเหมือนดั่งก่อนเท่านั้น
“คุณมิน! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงเคาะประตูห้องน้ำที่ดังระรัวทำให้มินนภัสสะดุ้งเฮือก “ตายจริง ทำไมเงียบอย่างนี้ คุณมินได้ยินป้าไหม!”
มือบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา แข็งใจทำเสียงให้เป็นปกติเพื่อขานรับคนที่อยู่หน้าห้อง
“ค่ะป้าจิต มินไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“แน่ใจนะคะ ป้าเห็นหน้าคุณซีดมากเลยตอนวิ่งออกมาจากห้องคุณเสือ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ มิน…เอ่อ ปวดท้องนิดหน่อย” มินนภัสยอมมุสา เนื่องจากสภาพจิตใจตอนนี้ยังไม่พร้อมออกไปเผชิญหน้าใคร
“ให้ป้าโทร. บอกคุณมิ่งไหมคะ”
“ไม่ต้องค่ะป้า ขอบคุณนะคะ” เธอตัดบทกลายๆ พร้อมทั้งหยิบสายมาฉีดน้ำกลบเสียงเป็นเชิงว่าไม่อยากสนทนาต่อ รอฟังจนเสียงฝีเท้าของป้าสูงวัยห่างออกไปจึงกลับมาตกอยู่ในภวังค์ความรู้สึกของตนเองอีกครั้ง
เธอจะทำยังไงดี เธอยังไม่พร้อมเจอหน้าคนใจร้ายคนนั้น
มินนภัสนั่งทำใจอยู่ในห้องน้ำร่วมชั่วโมงก่อนจะรวบรวมกำลังใจเดินออกมา เวลาค่อนข้างสายทำให้บริเวณทางเดินค่อนข้างไร้ผู้คน เธอตรงดิ่งไปที่โต๊ะทำงาน หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาเพื่อเตรียมหนีกลับบ้าน ทว่าจังหวะนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะกลับส่งเสียงดังลั่น
เธอไม่กล้ารับในทันทีเพราะกลัวเป็นสายจากคนในห้องโทร. มาตาม แต่เสียงที่ดังต่อเนื่องแบบไม่หยุดทำให้จำใจต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมา ยังไม่ทันขานรับก็ได้ยินเสียงสนทนาดังอยู่ในสายแล้ว
“ทุกคนมาครบแล้วค่ะ เชิญที่ห้องแอลโอสามทับสามนะคะ”
“ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
มินนภัสไม่ทันวางสาย อึดใจต่อมาประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกอึดใจต่อมา พร้อมกับการปรากฏตัวของคนร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีกรมท่า เขาดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอ
“ถ้าจะหนีกลับบ้านก็ช่วยเข้าประชุมก่อน ผมยังไม่ค่อยรู้จักใคร”
เขากล่าวเท่านั้นก็เดินนำออกไป ทิ้งให้มินนภัสยืนแบลงก์อยู่ครู่ก่อนจะเหลียวขวับไปทางคนที่เห็นเพียงแผ่นหลังไวๆ
จากความกลัว ความโกรธ กลายเป็นความโมโห มินนภัสวางกระเป๋าที่คล้องอยู่ที่ไหล่ลงบนโต๊ะดังโครม ก่อนจะหยิบแฟ้มแล้วเดินตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
‘ทำไมเธอต้องถูกสอนให้เป็นคนมีความรับผิดชอบก็ไม่รู้’
ที่นั่งในห้องประชุมเกือบเต็มแล้วเมื่อมินนภัสไปถึง เหลือเพียงด้านหน้าข้างแสนศรันย์กับด้านหลังอีกสองที่ เธอจึงแทบไม่เสียเวลาคิดรีบตรงดิ่งไปยึดพื้นที่ทางด้านหลังทั้งๆ ที่ปกติถ้าเข้าประชุมกับสรวิศจะต้องนั่งประกบอยู่ข้างๆ เพื่อคอยช่วยเหลือในทุกกรณี แต่…ไม่ใช่กับคนคนนี้แน่นอน
มินนภัสทำไม่รู้ไม่ชี้เมื่อรับรู้ถึงสายตาของแสนศรันย์ที่มองมา เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติแล้วโฟกัสกับหน้าที่ของตน เริ่มตั้งแต่เงยหน้าสำรวจผู้เข้าประชุมคนอื่นๆ ซึ่งส่วนมากเป็นผู้จัดการระดับต่างๆ ซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดี
“คุณมินไม่ไปนั่งข้างหน้าเหรอครับ”
ประโยคคำถามมาจากคุณเป็ด ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประจำบริษัทซึ่งเดินมานั่งข้างๆ คุณเป็ดเป็นผู้ชายนิสัยดีและค่อนข้างเฟรนด์ลี อายุอานามประมาณสามสิบปลายๆ สถานะ ‘โสด’
“ไม่ดีกว่าค่ะ ตรงนี้สะดวกกว่า” มินนภัสหันไปยิ้มอย่างรักษามารยาท
“แต่ผมว่าคุณเสือ เอ่อ! ไม่ใช่สิ คุณแสนอยากให้คุณไปนั่งข้างหน้ามากกว่านะครับ”
มินนภัสหันมองไปตามสายตาคนพูดจึงเห็นว่าเขายังไม่ละสายตาไปไหน แต่เธอก็แค่หันไปส่งยิ้มกับคุณเป็ดและไม่ตอบอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ให้เสร็จเพื่อจะได้กลับบ้านอย่างที่ตั้งใจ
เอกสารการประชุมถูกวางลงตรงหน้าโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล มินนภัสหยิบขึ้นมาอ่านคร่าวๆ ซึ่งสาระสำคัญคือการแนะนำตัวแสนศรันย์
“ดีนะครับที่คุณเสือเมลแจ้งก่อน ไม่งั้นพวกเราไม่รู้แน่ๆ ว่าเป็นคุณแสน คงคิดว่าคุณเสือกลับมาแล้ว”
“นั่นน่ะสิคะ เคยเห็นตั้งแต่สมัยเด็กๆ ยิ่งโตยิ่งแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร”
ประโยคสนทนาของผู้เข้าร่วมประชุมทำให้มินนภัสหูกระดิก รีบหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเช็กอีเมล แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าไม่มีเมลฉบับดังกล่าวผ่านตาแน่ๆ ลองตรวจสอบย้อนหลังไปเป็นเดือนพร้อมกับกดดูในโฟลเดอร์ send and receive อีกหลายรอบก็ไม่พบเมลฉบับดังกล่าว คิ้วบางจึงกระตุกขึ้นมาทันที รับรู้แล้วว่าใครเป็นตัวการ
“พี่เสือนะพี่เสือ ตัวไม่อยู่ยังสร้างความเดือดร้อนอีก” คนโดนหักหลังบ่นอุบ นึกอยากวิ่งไปทุบเจ้านายคนเก่าให้หายเจ็บใจสักทีสองที
“ผมว่าเรามาเริ่มประชุมกันดีกว่าครับ”
น้ำเสียงเย็นชาที่เอ่ยตัดบททำให้มินนภัสหันขวับ พร้อมๆ กับเสียงที่ดังเซ็งแซ่เมื่อครู่ก็พลอยเงียบกริบตามไปด้วย
“แต่…ยังมาไม่ครบเลยนะคะ” คนค้านคือผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่นั่งขนาบอยู่ทางซ้ายมือของแสนศรันย์
คนโดนท้วงไม่เอ่ยอะไร ทำเพียงยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วกล่าวแนะนำตัวเอง
“ผมแสนศรันย์ ศิลป์ศุภา ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านครับ”
ผู้ร่วมประชุมหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อรูปแบบการประชุมแตกต่างจากที่เคยเป็นมา แถมการแนะนำยังแสนสั้น
ภายในห้องเกิดเดดแอร์อยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ผู้บริหารท่านอื่นๆ จะทยอยแนะนำตัวกันคร่าวๆ จนครบ ไม่มีคำพูดหยอกล้อเหมือนตอนสรวิศอยู่ ไม่มีการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบใดๆ ทั้งนั้น
“เรื่องอนุมัติงบประมาณด้านต่างๆ ผมขออ่านรายละเอียดก่อนนะครับ คงต้องใช้เวลาสักหน่อย แล้วก็เรื่องโพรเจกต์เลนส์ตัวใหม่ท่านไหนพอจะให้รายละเอียดผมได้บ้าง”
“คุณเสือมีเอกสารเรื่องนี้ครบนะครับ ไม่ทราบว่าคุณแสนเห็นหรือยัง” คุณเป็ดผู้เป็นโต้โผใหญ่ของเรื่องนี้แสดงตัว “คือพวกเราจะรู้แค่ในส่วนที่รับผิดชอบนะครับ ภาพรวมและรายละเอียดสำคัญต่างๆ อยู่กับคุณเสือทั้งหมด”
แล้วทุกสายตาก็หันไปทางมินนภัสเป็นตาเดียว ในเมื่อสรวิศไม่อยู่คนที่น่าจะรู้ดีที่สุดก็คือเลขาฯ ส่วนตัว
“คะ? อ๋อ มีค่ะ สักครู่นะคะ”
มินนภัสเปิดแฟ้มงานแล้วลุกเดินเอาไปวางตรงหน้าคนนั่งหัวโต๊ะ พอจะหมุนตัวกลับก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ลอดไรฟันออกมา
“มานั่งตรงนี้” แสนศรันย์ตวัดสายตาไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านขวาเป็นเชิงบังคับกลายๆ
“ฉันนั่งข้างหลังได้ค่ะ”
“ผมยังต้องการความช่วยเหลือ คุณจะเดินไปเดินมาได้ยังไง หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง”
คำพูดตำหนิตรงๆ ทำให้มินนภัสหน้าชา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยความโกรธขึ้ง
“ค่ะ!” เธอทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวดังกล่าว แล้วเมินหน้าหนีคนหัวโต๊ะ พุ่งความสนใจไปยังผู้ร่วมประชุมท่านอื่นๆ จนกระทั่งจบการประชุม
มินนภัสปล่อยให้แสนศรันย์เดินกลับไปที่ห้องก่อน แล้วเธอจึงค่อยหอบแฟ้มเอกสารต่างๆ ตามไปทีหลังด้วยไม่อยากเผชิญหน้า แต่เขาก็ยืนรอเธอที่โต๊ะทำงานอยู่ดี
มินนภัสไม่มองหน้า ทำเพียงเดินอ้อมไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง
“ผมต้องการแฟ้มเอกสารงบประมาณที่ต้องอนุมัติ”
“ค่ะ” มินนภัสรับคำพร้อมกับหันไปหยิบแฟ้มเอกสารมาวางไว้ให้
“รายละเอียดผลประกอบการของไตรมาสนี้”
“ค่ะ”
“ขอตัวเลขแผนการผลิตของเดือนหน้าด้วย”
“ค่ะ” มินนภัสยื่นทุกแฟ้มที่เขาต้องการ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ถ้าต้องการเอกสารอะไรอีกก็อยู่ในตู้ภายในห้องทำงานของคุณนะคะ แล้วบ่ายนี้ฉันขอลา ขอบคุณค่ะ”
เธอไม่รอฟังว่าเขาอนุญาตหรือไม่ รีบคว้ากระเป๋าแล้วจ้ำอ้าวออกมาทันที
การพบเจอหลังจากผ่านไปห้าปีกว่าไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของเธอดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเลย แถมการทำงานด้วยกันในวันแรกยังไม่น่าประทับใจอีก มินนภัสบอกตัวเองว่าต้องไปเจรจากับมารดาโดยเร็วที่สุด
เธอทนทำงานกับเขาไม่ได้แน่นอน!
ความคิดเห็น |
---|