2
น้องน้ำผึ้ง (หวานๆ)
“ทำอะไรกันครับ”
เพราะมหรรณพสูงกว่าภุมรินมากเลยสะดวกที่จะมองข้ามศีรษะเธอไปมองหน้ามาโนช น้องชายที่อ่อนวัยกว่าสามปี ทว่าหน้าตาห่างจากเขาเกือบสิบปี
ถ้าจะมีใครควรใช้คำนิยามว่า ‘หน้าคิตตี้ บอดีมาร์เวล’ ก็ควรจะเป็นมาโนชนี่เอง เขาสูงล่ำกล้ามใหญ่ได้กรรมพันธุ์พ่อมาแบบเดียวกับพี่ แต่ดันขาวตี๋ หน้าหวานเหมือนแม่ หนำซ้ำยังชอบยิ้มหวานละมุนเหมือนเด็กหนุ่มวัยใส ทว่าใบหน้าหวานๆ ตอนนี้มีคำว่ากังขาแปะอยู่เต็มไปหมด
“ไม่มีอะไร! พี่จะอาบน้ำ แต่สบู่ไม่มี น้ำผึ้งเอาขวดใหม่มาให้ พี่ถอดเสื้อผ้าไปแล้ว เลยต้องออกมาแบบนี้ แล้วก็น้ำผึ้งเห็นแขนพี่เปื้อน นึกว่าพี่บาดเจ็บ ไม่ได้มีอะไรเลย”
มาโนชแค่ถามประโยคเดียว แต่มหรรณพตอบยาวเหยียด แถมขึ้นต้นด้วยเสียงสูง มันใกล้เคียงกับอาการร้อนตัวเสียจนพูดจบแล้วเขาเองยังรู้สึกเลยว่าทำเหมือนวัวสันหลังหวะ แล้วต่อจากนั้นสองพี่น้องยังยืนเอ่อ...อ่าใส่กันอีก ยังดีที่คนเป็นพี่ตั้งสติได้ก่อน
“โน้ตมาก็ดี เห็นน้ำผึ้งมีปัญหาเรื่องที่ฝึกงาน เรียนสายเดียวกันคุยกันเยอะๆ นะ” แล้วมหรรณพก็คว้าขวดสบู่จากมือภุมริน พุ่งเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว แถมปิดประตูตามหลังเสียงดัง และล็อกกลอนอย่างร้อนรนประหนึ่งกลัวจะมีคนตามเข้ามา
ชายตัวโตรีบเข้าห้องน้ำราวหนีตายได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้รีบอาบน้ำ มือหนึ่งยังถือขวดสบู่เหลวคิตตี้ อีกมือวางลงไปที่รอยเปื้อนบนต้นแขน เขาไม่ได้จะเช็ดมันออก แต่ทบทวนความรู้สึกที่โดนมือน้อยข้างหนึ่งแตะต้อง
“อย่าไปยุ่งกับเด็ก” มหรรณพกระซิบเตือนตัวเองเสียงเครียด และเขามีเหตุผลมากมายที่จะใช้สนับสนุน
ข้อแรก เขาอายุมากกว่าเธอสิบห้าปี อาจไม่ถึงขั้นลุงตามคำเรียก แต่เป็นพ่อได้สบาย
ข้อสอง เขาเป็นผู้ชายมีตำหนิ เคยแต่งงานและหย่าร้างมาแล้ว แสดงถึงความสามารถในการสร้างครอบครัวต่ำ ถ้าเป็นสินค้าก็ประเภทเกรดตก ควรคัดทิ้ง
ข้อสาม เขาเป็นเพียงเจ้าของอู่ซ่อมรถ ท่าทางหยาบกระด้าง เธอควรหาผู้ชายดีๆ มาเป็นสามี คนที่อ่อนโยนนุ่มนวล นิสัยเข้ากันกับเธอ
“ใกล้ฝึกงานแล้วเหรอ อาอยากได้คนไปอยู่ที่ร้านพอดี ไปช่วยอาหน่อยได้ไหม” เสียงมาโนชลอดผ่านประตูเข้ามา ก่อนจะรู้ตัว หูของมหรรณพก็ไปแนบติดชิดบานประตูเพื่อแอบฟังแล้ว
“กะ...ก็ดีค่ะ” เสียงภุมรินดูอึกอัก
ทำไมต้องพูดตะกุกตะกักด้วย มหรรณพจำได้ว่าที่ผ่านมาภุมรินสนิทกับเขามากกว่ามาโนช แต่ก็ถือว่าสนิทกับมาโนชพอสมควร แล้วทำไมอยู่ๆ เธอถึงไม่พูดฉะฉานตามปกติ
หรือว่าเธอหลงรักน้องชายของเขา
เหมือนจู่ๆ สายฟ้าก็ฟาดลงมาฆ่าหมีตายทั้งเป็น มหรรณพไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกชาวาบตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างไรให้ดีกว่านี้ เพราะเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็ชาไปทั้งตัว รู้สึกตื้อๆ ในอก แต่ไตร่ตรองโดยละเอียดแล้วก็พบความเหมาะสมกันดีระหว่างมาโนชกับภุมริน อายุห่างกันสิบสองปีก็ยังดีกว่าสิบห้าปี แล้วยังมีความชอบแบบเดียวกันอีก
น้องชายของมหรรณพชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก อายุสิบห้าแทนที่จะสมัครเข้าเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพช่างยนต์ในวิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ ซึ่งมีเขาและพ่อเป็นรุ่นพี่ มาโนชกลับมาขอร้องให้มหรรณพช่วยปิดบังพ่อ แล้วแอบไปสมัครเรียนสาขาคหกรรมในวิทยาลัยเดียวกันแทน
พ่อมาจับได้ว่าสองพี่น้องช่วยกันปลอมลายเซ็นผู้ปกครองก่อนวันส่งตัวนักศึกษา ผลคือมหรรณพโดนพ่ออัดยับจนจมูกหัก แต่ยังดีที่ทำให้น้องได้เข้าเรียนสมใจ หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวผูกคอตาย เขาเลยลาออกจากการเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เพื่อส่งน้องเรียนจนจบคหกรรม ทั้งประกาศวิชาชีพเบื้องต้นและวิชาชีพชั้นสูง ตามด้วยไปเรียนต่อปริญญาตรีหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาศิลปะการประกอบอาหารอย่างมืออาชีพ
น่าเสียดายที่มาโนชค้นพบตอนหลังว่าชอบทำขนมมากกว่าทำอาหาร เลยเบนเข็มไปเรียนเฉพาะทางด้านผู้เชี่ยวชาญขนมหวานและกาแฟ ซึ่งมหรรณพไม่คัดค้านสักคำ เพราะน้องชายทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเชฟบนเรือสำราญ ไปจนถึงมีกิจการของตนเอง วันนี้มาโนชหาเงินจากการเปิดร้านกาแฟได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้พี่ชายสบายใจหมดห่วง
มหรรณพไม่เคยมีปัญหากับเส้นทางอาชีพของน้องชายเลย จนนาทีที่เขาระลึกได้ว่าเส้นทางการเรียนของภุมรินแทบจะก๊อบปี้มาโนชออกมาเป๊ะๆ ‘เนื้อคู่’ เขาว่ามีความชอบเหมือนๆ กัน มหรรณพมโนไปถึงวันที่หลานไม่แท้กับน้องชายแท้ๆ จูงมือกันเข้าพิธีวิวาห์ ร่วมมือกันสร้างธุรกิจขนมหวานของครอบครัว แล้วก็ได้แต่ยิ้มขื่นให้ชายหน้าโหดที่เขาเห็นอยู่ในกระจก
คงจะดีที่ทั้งคู่มีความสุข มหรรณพคิดด้วยอารมณ์หงอยๆ แล้วพยายามอาบน้ำให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผื่อภุมรินจะเปลี่ยนใจไม่กินข้าวเย็นพร้อมกัน เขาจะได้ไม่ต้องเห็นเธอเอาคำพูดเกี้ยวพาที่มาซ้อมพูดกับเขาไปใช้กับมาโนช
ตรงข้ามประตูห้องน้ำที่มีหมีหงอยยืนอยู่กำลังมีหมีตื่นกลัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตุ๊กตาปีศาจที่โกรธจัดเสียจนพูดออกมาไม่เป็นคำ
“กะ...ก็ดีค่ะ” เสียงลอดออกมาจากฟันที่กำลังบดดังกรอดของภุมริน
ถ้าได้ยินแค่เสียงอาจจะคิดว่าภุมรินพูดอึกอักเพราะความเขินอาย แต่ถ้ามองตาที่ถลึงใส่คล้ายจะกระโดดกัดคอคนที่มาขัดจังหวะ ต่อให้มีความกล้ามากกว่านี้ ยังไงก็ต้องทำแบบเดียวกับมาโนช ถอยหนี!
“อาทำอะไรผิดเหรอ” ถ้าใช้กำลังสู้กัน มาโนชคงบี้ภุมรินติดผนังได้ด้วยมือข้างเดียว แต่เธอมีท่าไม้ตายที่ต่อให้เขาอยากสู้ก็สู้ไม่ได้
หน้าบึ้ง เบาะปาก ร้องไห้ สามท่าไม้ตายที่ปีศาจน้อยข้างบ้านใช้กำราบคุณอาหมี สมัยก่อนมาโนชไม่เคยเลี้ยงเด็ก ไม่รู้จะรับมือกับภุมรินอย่างไร ได้แต่ตามใจเวลาเธองอแง กลายเป็นปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติ แค่เธอทำหน้าบึ้ง เขาก็รีบเสียงอ่อนเพราะกลัวเธอร้องไห้
“น้ำผึ้งอยากได้อะไรไหม หรือจะให้อาพาไปเที่ยวไหน” มาโนชพยายามถามเอาใจ แต่ฟังคล้ายทั้งสองมีสัมพันธ์พิเศษ
ภุมรินอยากจะต่อยมาโนชสักที แต่เธอมีภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาไว้ให้มหรรณพดู จึงเดินออกห่างจากหน้าประตูห้องน้ำ แล้วกวักมือให้เขาตามมา
“มาทำไมคะ” เธอย่อมไม่ได้หมายถึงการที่เขาเดินตามเธอมาในตอนนี้
“เอ่อ...อาก็ควรกลับมาบ้านตัวเองบ้างไม่ใช่เหรอ” เขาแค่ซื้อคอนโดเอาไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่เธอทำท่าเหมือนว่าเขาไม่ควรกลับบ้านมาพบหน้าพี่ชายอีกตลอดกาล
“แต่อาโน้ตก็ไม่ควรจะมาขัดจังหวะน้ำผึ้งกับลุงน้ำ” ภุมรินบอกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เธอโมโห ส่งผลต่ออาการอ้าปากค้างของมาโนช
ตั้งแต่ภุมรินตัวเท่าลูกแมว เธอก็มีอาการติดหมี แล้วไม่ใช่หมีตัวไหนก็ได้ ต้องเป็นหมีที่ชื่อมหรรณพ แรกๆ ก็ดูน่ารักดี แต่พอเธออายุได้สิบสามสิบสี่ พวกเขาก็มองว่าไม่เหมาะสม แล้วพยายามแยกทั้งคู่ออกจากกัน โดยเฉพาะลุงน้ำของน้ำผึ้งที่พยายามสอนหลานนอกไส้ตัวน้อยถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง เธอควรระมัดระวังตัว แล้วก็อยู่ให้ห่างๆ เขามากกว่านี้ สาวน้อยรับปากว่าจะทำตาม แต่ไหงผ่านมาเจ็ดปี เธอกลับคำเสียแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย” มาโนชถามสิ่งที่คิดออกมา เขาไม่เชื่อว่าพี่ชายของเขาจะกินเด็ก แต่สงสัยว่าเด็กไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า ถึงทำท่าจะกินพี่เขาให้ได้
“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอกค่ะ ถ้าจะมีก็แค่น้ำผึ้งจะอายุยี่สิบปีแล้ว ใกล้จะบรรลุนิติภาวะ ตัดสินใจเองได้ตามกฎหมาย”
เธอประสบความสำเร็จในการทำให้เขาอ้าปากค้างขึ้นได้อีกระดับ มาโนชมองยังไงคนตรงหน้าก็เด็ก ภุมรินอายุใกล้ยี่สิบ แต่รูปร่างเหมือนเด็กอายุสิบห้า ไม่ใช่แค่ใบหน้า หุ่นก็ด้วย น่ารักก็จริง แต่ยังไงก็เด็ก แล้วเท่าที่รู้พี่เขานิยมคิตตี้ แต่ไม่ได้นิยมโลลิต้า
แต่ตีเขาให้ตาย มาโนชก็ไม่กล้าบอกตรงๆ ให้ภุมรินตัดใจ เพราะเขาจำได้ว่าเคยยืนตรงนี้เมื่อสิบสามปีก่อน เผชิญหน้ากับเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบที่มีความคิดแผลงๆ ขอแกมสั่งให้เขาเปลี่ยนมาเรียกเธอว่า ‘พี่สะใภ้’ น้ำตาคลอๆในดวงตาสีน้ำตาลคู่โตเกือบทำให้เขาตอบรับไปแล้ว ถ้าพี่ชายไม่เดินมาเจอแล้วดุจนปีศาจน้อยเปลี่ยนใจ
“เอ่อ...น้ำผึ้งรู้ใช่ไหมว่าสเปกของพี่น้ำเป็นยังไง” ใช้วิธีตรงไปตรงมาไม่ได้ มาโนชก็ใช้แบบอ้อมๆ เพราะมหรรณพเป็นเครื่องมือชั้นดีในการกำราบแผนการร้ายใดๆ ก็ตามของภุมริน
ใบหน้าเล็กที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาบึ้งตึงขึ้นไปอีกระดับ ทำไมภุมรินจะไม่รู้รสนิยมทางด้านสาวๆ ของมหรรณพ ตั้งแต่อายุสิบขวบที่เธอต้องร้องไห้ในงานแต่งงานของเขา เธอก็ได้ความรู้มาอย่างหนึ่งว่าการชอบพอของชายหญิงมีการแต่งงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และสเปกภรรยาของเขาไม่ใช่แบบเธอ
รสนิยมของมหรรณพก็ไม่แตกต่างจากผู้ชายส่วนใหญ่ ด้วยความที่เขาตัวโต แฟนสาวจนไปถึงภรรยาเลยมีรูปร่างสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทย อก เอว สะโพกค่อนไปทางสาวยุโรป คัปซีคือเล็กสุดที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตวัยหนุ่มของเขา คิดถึงใบหน้าแบบเด็กประถม หุ่นมัธยมต้น หน่มน้มที่ไม่ใช่เด็กมหา’ลัยของตนแล้วภุมรินก็อยากจะร้องไห้ แม่ของเธออกโต พ่อของเธอก็ตัวใหญ่ ทำไมไม่มีใครแบ่งปันอะไรดีๆ มาให้เธอบ้างเลย
“ผู้หญิงอกโตไม่เห็นจะดีเลย ตัวเล็กสิน่ารัก” ภุมรินแสดงอาการเดียดฉันท์พวกได้เปรียบทางสรีระ ก่อนมาโนชจะแย้งข้อดีของสาวหุ่นเซ็กซี่ เธอก็ใส่เป็นชุด
“สเปกของลุงน้ำน่ะไม่ได้เรื่อง จะแต่งงานก็ต้องเลือกภรรยาเป็นแม่บ้านแม่เรือนสิ ต้องทำกับข้าวเก่ง ดูแลบ้านได้ แล้วก็เอาใจใส่เขาด้วย คราวก่อนถึงได้มีปัญหา” หญิงสาวเชิดคางใส่ แสดงความมั่นใจว่าเธอทำให้พี่ชายของเขามีชีวิตแต่งงานที่ดีกว่าครั้งแรกได้
“แต่ตอนนั้นที่พี่น้ำรีบแต่งงานก็เพราะน้ำผึ้งนะ” มาโนชหลุดปากเถียงไปแล้วก็ต้องรีบก้าวถอยหลังไปสองก้าว เพราะเกรงว่าจะโดนภุมรินต่อย
“ลุงน้ำไม่ควรรีบแต่งงานเพราะจะหาใครมาดูแลน้ำผึ้ง”
“ก็พี่น้ำจับได้ใบแดง เขาก็กลัวว่าถ้าเขาไปเกณฑ์ทหารแล้วน้ำผึ้งจะไม่มีคนคอยดูแล เขาไม่ไว้ใจพ่อแม่ของน้ำผึ้งนี่นา เลยรีบแต่งงานกับพี่ริน”
สายตาของภุมรินแทนคำตำหนิมาโนชว่าอย่าได้มาโทษเธอ ถ้าเขาดูพึ่งพาได้มากกว่านี้ มหรรณพคงไม่คิดมาก แล้วรีบร้อนแต่งภรรยาเข้าบ้านเพียงเพราะอยากให้มีใครสักคนมาดูแลเด็กข้างบ้าน แต่ถึงสายตากล่าวหาเขาได้ ทว่าเธอหลอกตัวเองไม่ได้
ริน หรือ ลดาริน ชื่อนี้จะเป็นตราบาปฝังใจเธอไปจนตาย
สิบปีก่อน
งานประจำของเด็กหญิงภุมรินคือตื่นนอนตอนเช้าแล้วไปอยู่บ้านมหรรณพ เพราะลุงหมีจะดูแลตั้งแต่หาข้าวให้กิน ไปจนถึงเอาใจให้เธอมีความสุข ส่วนงานอดิเรกของเด็กหญิงคือแอบเข้าไปสร้างความประหลาดใจให้ลุงเงียบๆ ด้วยการกระโดดกอด แต่ต้องรีบทำก่อนแปดโมงเช้า เพราะเปิดอู่ซ่อมรถแล้วลุงหมีจะไม่ยอมให้เธอซุกซน สั่งให้อยู่แต่ในออฟฟิศที่เขาปรับปรุงใหม่ให้แยกจากห้องเครื่องมือ ชุดเธอจะได้ไม่เลอะน้ำมัน มีสถานที่ให้อ่านหนังสือ นอนกลางวัน ที่สำคัญจะได้ไม่เป็นอันตราย เช้านี้ไม่รู้เพราะเธอย่องเงียบเกินไปหรือเขากำลังคุยเรื่องเครียดกับน้องชายจึงไม่รู้ว่าเธอย่องมาจะถึงตัวแล้ว
“จะรีบแต่งงานก่อนเข้ากรมทหาร พี่น้ำไม่รีบร้อนไปหน่อยเหรอครับ” มาโนชถามในเรื่องที่ทำให้ภุมรินหูผึ่ง
ไปเป็นทหาร แต่งงาน นับเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียวสำหรับเด็กหญิงสิบขวบที่ไม่ค่อยไร้เดียงสาเท่าไร เพราะคนที่จะไปเป็นทหารและจะแต่งงานคือลุงน้ำของเธอ
“ยังไงฉันก็จะแต่งอยู่แล้ว แต่งก่อนไปเข้าฝึกทหาร จะได้มีคนดูแลแกกับน้ำผึ้ง” เสียงมหรรณพหนักแน่นจริงจัง ชนิดที่ภุมรินไม่เห็นหน้ายังรู้เลยว่าลุงน้ำจะไม่เปลี่ยนใจ
“พี่น้ำครับ ผมไม่ใช่เด็ก ผมยี่สิบสองแล้วนะครับ ส่วนน้ำผึ้งให้พ่อแม่เขาดูแลบ้างเถอะ นอกจากย้ายจากบ้านนั้นมานอนบ้านนี้ น้ำผึ้งแทบจะเป็นลูกสาวพี่ไปแล้วนะ แล้วนี่พี่ยังจะหาแม่ให้แกก่อนไปเป็นทหารอีกเหรอ”
“น้ำผึ้งไม่เอาแม่! น้ำผึ้งจะอยู่กับลุงน้ำ”
ภุมรินสร้างความตกตะลึงให้สองหนุ่มร่างใหญ่ด้วยการกระโจนไปกลางวงสนทนาแล้วประกาศก้องด้วยใบหน้าคล้ายเมฆตั้งเค้า หากทั้งสองคนยังไม่ยอมทำตามความต้องการของเธอ พายุน้ำตาจะเข้าท่วมพื้นที่ในเร็วๆ นี้
“มาหาลุงน้ำมา” สีหน้ามหรรณพทั้งสงสารทั้งจนใจ เขาย้ายตัวเองจากเก้าอี้มานั่งยองๆ กับพื้น กางแขนออกแล้วภุมรินก็กระโจนใส่อ้อมกอดของเขาทันที แทบจะฝังตัวลงไปในอกของเขาแล้วซุกซบออดอ้อน
“ลุงน้ำไม่ต้องไปเป็นทหารไม่ได้เหรอคะ” เธอถามซ้ำๆ คำถามเดิมมาหลายทีแล้ว แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม
“ไม่ได้ มันผิดกฎหมาย ลุงจับได้ใบแดงต้องไปเป็นทหาร” เขาผ่อนผันมาตลอดหลายปี แล้วเลือกพึ่งดวง ซึ่งตามหลักสถิติเขามักจะได้รับในสิ่งที่เขาไม่อยากได้เสมอ
“ก็น้ำผึ้งไม่อยากให้ลุงน้ำไป ตั้งสองปี น้ำผึ้งจะอยู่กับใคร” ถึงภุมรินจะอายุสิบขวบ แต่ยามงอแงเธอลดอายุเหลือเพียงห้าขวบได้เสมอ
“ก็เพราะน้ำผึ้งงอแงอย่างนี้ไง พี่น้ำถึงจะแต่งงาน”
มาโนชไม่เพียงแค่ทำเสียงระอา ยังกลอกตาด้วยความอ่อนใจ ไม่เชื่อข้ออ้างที่ว่ามหรรณพอยากแต่งงานเพื่อหาคนมาดูแลเขาด้วย แต่สาเหตุที่พี่ต้องไปเข้ากรมสองปีนั้นเขาโทษตัวเองเต็มๆ ที่เป็นภาระให้พี่ไม่ได้เรียน รด. หรือรักษาดินแดน ที่สำคัญไม่ได้เรียนจนจบระดับปริญญาตรี เพราะต้องลาออกมาทำงานหาเงินใช้หนี้แทนพ่อของทั้งคู่
ชายไทยทุกคนต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารกองเกินเมื่ออายุครบยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ โดยมีการลดหย่อนแบบลำดับขั้น แต่มหรรณพลาออกจากวิทยาลัยเทคนิคกลางคัน ต่อมาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเปิด ทว่าจนอายุครบยี่สิบห้าปีก็ยังไม่จบระดับปริญญาตรีเนื่องจากภาระหลายอย่าง เมื่อไม่ร้องขอสมัครเป็นทหารด้วยตนเอง แต่เลือกจับฉลาก ด้วยวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพซึ่งเทียบเท่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทำให้เขาต้องเข้ารับการฝึกและทำหน้าที่ในกรมทหารเป็นเวลาสองปี
“อย่าพูดอย่างนี้สิ”
มหรรณพดุน้องชายแล้วพยายามปลอบโยนภุมรินที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดไม่เป็นภาษาว่าไม่ยอมให้ลุงน้ำไปเป็นทหาร และไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับใครเด็ดขาด
“ลุงน้ำอย่าไปเลยนะคะ น้ำผึ้งจะเป็นเด็กดี อย่าไปเป็นทหาร แล้วก็อย่าแต่งงานด้วย”
“ไม่เกี่ยวกับน้ำผึ้งซะหน่อย อย่าร้องไห้เลย” ปลอบหลานเสร็จก็หันมาบอกน้องชายต่อ “แกก็เลิกบ่นได้แล้ว ลูกผู้ชายมีสองอย่างที่ต้องทำ บวช กับเป็นทหาร”
“แต่ถ้าบริษัทประกันนั่นติดต่อมาเร็วกว่านี้ พี่น้ำก็ไม่ต้องไปเป็นทหารถึงสองปีหรอก” ไม่ว่าจะยังไงมาโนชก็ห้ามอารมณ์หงุดหงิดของตนไม่ได้
ตอนพ่อของสองหนุ่มเสียชีวิต บุคคลแรกๆ ที่ติดต่อเข้ามาก่อนก็คือเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะจากการกู้ยืมเงินนอกระบบ รวมไปถึงการใช้บัตรเครดิตติดค้างค่าอะไหล่รถยนต์จากร้านต่างๆ พวกหลังยังมีความเมตตาปรานีให้พี่น้องกำพร้าบ้าง แต่พวกเจ้าหนี้นอกระบบไม่ได้ใจดีเช่นนั้น และเพื่อป้องกันไม่ให้น้องชายตัวเองเดือดร้อน มหรรณพจึงลาออกจากวิทยาลัยมาหาเงินเข้าบ้าน จ่ายหนี้สินทั้งหมดที่พ่อทิ้งเอาไว้
ผ่านไปเกือบหนึ่งปีพวกเขาค่อยได้รับจดหมายเรียกเก็บค่าประกันชีวิตหลายฉบับจากหลายกรมธรรม์ที่พ่อได้ทำเอาไว้ พวกเขาถึงรู้ว่าพ่อไม่ได้ทิ้งภาระให้อย่างเดียว แต่ทิ้งทางรอดเอาไว้ให้ด้วย เพราะเงื่อนไขหลักในการรับเงินประกันก็คือผู้ทำประกันห้ามฆ่าตัวตายภายในหนึ่งปีหลังจากทำสัญญา พ่อของพวกเขารอชำระเบี้ยประกันงวดที่สองก่อนค่อยฆ่าตัวตาย มันเป็นการขี้โกงโดยเอาชีวิตของตนมาแลกเงิน แต่คนตายไปแล้ว จะตำหนิใครได้
มหรรณพไม่เคยเสียน้ำตาไม่ว่าจากการหนีไปของแม่ การตายของพ่อ หรือภาระต่างๆ ที่พ่อทิ้งเอาไว้ และปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามาบนบ่าเด็กหนุ่มอายุสิบเก้า แต่หลังจากรู้ความจริง เขาก็ปิดประตูห้องขังตัวเองหนึ่งวันเต็มๆ แล้วยอมเปิดออกมาพร้อมดวงตาแดงก่ำเมื่อต้องไปจัดการธุรกรรมต่างๆ
หลังจากจัดการหนี้สินหมดแล้ว สองพี่น้องยังเหลือเงินก้อนใหญ่ แต่มหรรณพที่เห็นตัวอย่างมาจากพ่อไม่ยอมประมาทใช้เงินก้อนนั้นเพื่อการเรียนของตน ไหนๆ เขาก็ลาออกมาแล้ว แทนจะกลับไปเรียนใหม่ เอาเวลามาทำงานหาเงินส่งเสียน้องชายและขยายกิจการอู่รถยนต์เพิ่มรายได้ดีกว่า
เขาไม่เพียงบริหารงานอย่างมั่นคง ยังปรับปรุงขนานใหญ่ รับซ่อมและปรับปรุงรถโบราณให้กลับมามีสภาพดีเหมือนใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับสูง พัฒนางานเข้าสู่โซเชียลก่อนอู่รถยนต์ทั่วไป ใช้เวลาไม่กี่ปีสร้างชื่อในตลาดคนรักรถคลาสสิกและสร้างรายได้ก้อนใหญ่ให้ตนเอง
ไม่มีใครมีสิทธิ์ตัดสินว่าการกระทำของมหรรณพผิดพลาด โดยเฉพาะมาโนชที่ได้รับบุญคุณจากพี่ที่เป็นยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ แต่เขาโกรธพ่อที่จากไปโดยไม่บอกรายละเอียด โกรธบริษัทประกันชีวิตที่ติดต่อมาช้า ที่สำคัญเขาโกรธตัวเองที่ไม่อาจแบ่งเบาภาระจากพี่ชายได้มากกว่านี้
“ถ้าพี่น้ำจะแต่งเพราะห่วงผมกับน้ำผึ้ง ผมขอบอกว่าพี่น้ำคิดผิด ผมดูแลตัวเองได้ แล้วก็จะดูแลน้ำผึ้งเอง”
เด็กหญิงที่เขาประกาศจะดูแลหันไปกอดคอพี่ชายของเขาแน่น แล้วแย้งเสียงดัง “ไม่เอา! น้ำผึ้งไม่อยู่กับอาโน้ต น้ำผึ้งจะอยู่กับลุงน้ำ”
ความต้องการของภุมรินเป็นไปไม่ได้ ส่วนความพยายามในการโต้แย้งของมาโนชไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อมหรรณพตัดสินใจไปแล้ว ก็เหมือนหินยักษ์กลิ้งลงภูเขา เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการทำเพื่อคนที่เขาห่วงใย
“ยังไงฉันก็จะแต่งงานกับริน เขาเป็นคนดี เขาจะคอยดูแลบ้านนี้ตอนฉันไม่อยู่”
ลดารินเป็นคนดีมีความรับผิดชอบตามที่มหรรณพเอ่ยปาก แต่เธอก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง การแต่งงานกับผู้ชายที่อีกไม่นานต้องเข้าฝึกอบรมทหารเกณฑ์เป็นเรื่องน่าลำบากใจพออยู่แล้ว แต่สองปีที่เห็นหน้าสามีเป็นพักๆ แล้วยังต้องรับผิดชอบภาระซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับตนเอง เช่น เด็กหญิงข้างบ้านสามี มันเกินกว่าเธอจะรับไหว ดังนั้นสองปีต่อมาเมื่อเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับภุมริน ต่อให้ไม่ใช่ความผิดของเธอโดยตรง แต่คำบางคำที่ออกมาจากปากเพราะอารมณ์โกรธของมหรรณพก็สร้างรอยร้าวที่ยากเกินสมาน ตามด้วยการเลิกรา ซึ่งทำให้มหรรณพคิดเสมอว่าเขาทำผิดพลาด
มหรรณพไม่คิดว่าตนเป็นตัวเลือกที่ดีในตำแหน่งสามี เขาเป็นผู้ชายเกรดบี รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่จบ หนำซ้ำผ่านการหย่าร้างมาแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีวันเชื่อว่าเด็กสาวที่เพิ่งพ้นวัยรุ่นหน้าตาน่ารักเหมือนนักแสดงญี่ปุ่น จะสนใจเขามากกว่าน้องชายของเขาที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระเอกเกาหลี
สมัยเรียนมาโนชได้รับเลือกเป็นพรีเซนเตอร์ทั้งในวิทยาลัยเทคนิคและวิทยาลัยสอนทำอาหาร หลังจากเปิดร้านทำขนม เขาตัดสินใจสลัดคราบลุงๆ ที่ไว้ผมปรกหน้าปรกตาพร้อมด้วยหนวดเคราโหดๆ ที่ใช้ปกปิดใบหน้าหวานเกินชายที่เขาอายเกินจะเปิดเผยออกไป ผลก็คือเขาเป็นหนึ่งในเจ้าของแฮชแท็ก #เจ้าของร้านหล่อบอกต่อด้วย ตามด้วยเจ้าของแฟนเพจร้านกาแฟที่มีแฟนคลับติดตามเพราะหน้าตาเจ้าของร้านกว่าแสนคน
คนหล่อย่อมเข้ากับคนน่ารัก ภุมรินได้รับการแต่งตั้งเป็นพรีเซนเตอร์ของสถานศึกษาเช่นกัน พร้อมกันนั้นยังได้รับการทาบทามจากเอเจนซีหลายแห่งให้เป็นนักแสดงหน้าใหม่ เสียดายที่ความสูงของเธอจำกัด หนำซ้ำเธอจะไม่รับงานใดๆ ก็ตามที่มหรรณพไม่เห็นด้วย หรือต่อให้เขาเห็นด้วย อยากให้เธอมีประสบการณ์ เด็กสาวก็อ้างสารพัด เธอเลยกลายเป็นคนนอกวงการบันเทิงไปโดยปริยาย
“น้ำผึ้งจะเริ่มงานกับโน้ตวันไหนเหรอ”
ในฐานะพี่ชายแท้ๆ และลุงต่างสายเลือด มหรรณพคิดว่าตนควรเอาใจใส่ความสัมพันธ์ระหว่างมาโนชกับภุมริน แม้ว่าจะทำให้หัวใจของเขาเต้นในจังหวะแปลกๆ คล้ายมันอึดอัดเพราะถูกบีบจากสสารไร้รูปลักษณ์ก็ตาม แค่เฉพาะวันนี้เขาก็รู้สึกผิดนิดๆ ที่โล่งใจกับการมาให้เห็นหน้าเพียงแวบเดียวของมาโนช ก่อนจะกลับไปอย่างรวดเร็วโดยบอกสั้นๆ ว่าต้องไปทำธุระให้เพื่อน
“เอาไว้ก่อนเถอะค่ะ น้ำผึ้งอาจจะฝึกงานที่มหาวิทยาลัยก็ได้” ภุมรินดูจะใส่ใจกับการตักกับข้าวใส่จานของมหรรณพยิ่งกว่าอนาคตของตนเอง
อาหารบนโต๊ะชวนให้เลิกสนใจหัวข้อสนทนาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายสอดไส้ไข่เค็ม ผัดผักรวมหมูกรอบ แกงจืดตำลึงหมูสับ ทำไมภุมรินถึงทำกับข้าวของโปรดมหรรณพได้อร่อยกว่าทุกคนได้ก็ไม่รู้ เขารู้แค่ว่าทุกครั้งที่นั่งกินข้าวกับเธอมันจะอร่อยกว่าปกติสองเท่า
“ที่จริงไม่ต้องรอฝึกงานก็ได้ ไปทำงานที่ร้านของโน้ตได้ทั้งประสบการณ์และเงินเดือน” มหรรณพพยายามแจกแจงข้อดี ยกเว้นเรื่องที่ทั้งคู่จะมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะขึ้น
“น้ำผึ้งไม่อยากอยู่กับอาโน้ตตลอดทั้งวันหรอกค่ะ” สิ่งที่ภุมรินเอ่ยออกมาตรงกับใจมหรรณพพอดี แล้วยังเป็นเรื่องที่เขาประหลาดใจเมื่อได้ยินด้วย
“ทำไมล่ะ ปกติน้ำผึ้งก็ชอบโน้ตไม่ใช่เหรอ”
มหรรณพไม่เข้าใจจิตใจของเด็กสาวสักนิด ในเมื่อชอบจนตามไปเรียนคณะเดียวกัน ทำไมถึงไม่อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เขายังชอบอยู่กับภุมรินเลย อะแฮ่ม...เขาชอบที่จะอยู่กับหลานสาวน่ารักๆ คนนี้โดยไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝง
“พรุ่งนี้น้ำผึ้งว่าจะทำผัดผักบุ้งไฟแดง แล้วก็แกงเทโพใส่ผักบุ้งเยอะๆ อาจจะทำยำผักบุ้งทอดกรอบด้วย”
“ทำไมเมนูผักบุ้งเยอะแยะเลยล่ะ” เขาตามการสนทนาที่เปลี่ยนกะทันหันไม่ทัน
“เพราะมันบำรุงสายตาดีค่ะ”
“...” นี่เขาโดนเหน็บแนมว่าสายตาไม่ดีใช่ไหม มหรรณพผู้ไม่เข้าใจอะไรเลยอยากถาม แต่ไม่แน่ใจว่าอยากรู้คำตอบหรือเปล่า
อยู่ๆ บรรยากาศในวงข้าวแสนชื่นมื่นก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน มหรรณพผู้ยังไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดและสายตาไม่ดีตรงไหน รีบก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างตั้งใจ ตบท้ายด้วยการกินทาร์ตผลไม้แสนอร่อยฝีมือภุมรินคนเดียวหมดกล่องใหญ่ แล้วลูบพุงด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ก่อนจะคอตกเพราะตลอดเวลาเธอไม่เงยหน้าจากจานข้าวมาคุยกับเขาอีก ชายหนุ่มรีบตามเธอเข้าไปในครัว ซึ่งเธอไม่ให้เขาช่วยเก็บล้างอะไรทั้งนั้น แล้วหาทางง้องอนด้วยการชวนเธอคุย
“ใกล้วันเกิดน้ำผึ้งแล้ว อายุครบยี่สิบอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม”
มหรรณพอยากเซอร์ไพรส์ภุมริน แต่อยากให้เธอได้ของขวัญถูกใจ เพราะไม่ใช่ทุกวันที่คนเราจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ตอนเขาอายุครบยี่สิบปี เขาไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ตัวเองมากพอจะซื้อเค้ก แต่ได้ขนมที่เด็กห้าขวบข้างบ้านเอามาให้แทนเค้กวันเกิด
“ถ้าบอกว่าอยากแต่งงาน ลุงน้ำจะว่ายังไงคะ”
คำตอบของภุมรินเกือบทำให้มหรรณพที่ยืนเอาไหล่พิงกรอบประตูครัวเซหัวทิ่มพื้น
“ตะ...แต่งงานเหรอ” ถึงจะทำใจไว้แล้ว มหรรณพก็ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดีหากภุมรินพูดต่อว่าเธออยากจะแต่งงานกับมาโนช
เด็กสาวที่สร้างความปั่นป่วนราวกับเอาสมองของเขาเข้าเครื่องปั่นหยุดล้างจาน แล้วเอี้ยวคอมามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่รู้เลยว่าเขาลุ้นแทบตายว่าเธอจะพูดอะไรต่อ
“น้ำผึ้งเคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าน้ำผึ้งอยากแต่งงานกับใคร”
หัวใจชายวัยสามสิบห้าเต้นผิดจังหวะทันที ก่อนจะถูกเจ้าของเตือนให้มันทำงานตามปกติ พร้อมย้ำชัดๆ ว่าอย่าไปคิดถึงเรื่องที่เธอประกาศตอนอายุถึงเกณฑ์แต่งงานได้ถ้าพ่อแม่อนุญาตตอนอายุสิบหก บอกอีกทีตอนอายุสิบเจ็ด แล้วก็อายุสิบแปด เอาเป็นว่าเธอบอกเช่นนี้ทุกปีจนเขาคิดว่ามันเป็นคำพูดล้อเล่น
ก็เธออายุยังไม่ถึงยี่สิบ ในสายตาเขาเธอดูเหมือนเด็กอายุสิบห้าด้วยซ้ำ เขาไม่ได้อยากพรากผู้เยาว์
“ถ้าน้ำผึ้งบรรลุนิติภาวะก็ตัดสินใจเองได้ทุกอย่างใช่ไหมคะ” อยู่ๆ ภุมรินก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบเลี้ยวหักศอก แต่มหรรณพยินดีตอบเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว น้ำผึ้งมีสิทธิ์ตัดสินใจเองตามกฎหมายได้ทุกอย่าง”
แต่เขาหวังว่าเธอจะมาปรึกษาทุกเรื่องกับเขาเหมือนตอนยังเด็ก ความรู้สึกของเขาคงแย่ถ้าเธอไม่มาคอยถามความเห็นจากเขาเหมือนเคย
“อย่างเช่นเปลี่ยนชื่อก็ได้ใช่ไหมคะ”
อีกครั้งที่เธอกระโดดข้ามไปสนทนายังเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ มหรรณพจำได้ว่าไม่กี่นาทีก่อนเขาแค่ถามถึงของขวัญที่ภุมรินอยากได้
“ลุงน้ำคะ น้ำผึ้งจะไปเปลี่ยนชื่อเป็นปลา”
“ทำไมอยู่ๆ อยากเปลี่ยนชื่อล่ะ” เขาจำได้ว่าตอนเธอยังเด็กชอบยิ้มกว้างแล้วบอกว่าชื่อของทั้งสองคล้ายกัน เขาเป็นลุงน้ำของน้องน้ำผึ้ง
“ก็นกยังคู่กับฟ้า ปลาจะได้คู่กับน้ำยังไงล่ะคะ”
มหรรณพถึงขั้นหมดคำพูด เขาอายุสามสิบห้ายังพูดจาไม่น้ำเน่าเท่าภุมรินที่เพิ่งจะพ้นวัยรุ่นได้ไม่นาน แล้วยังสายตาเหมือนลุงจอมหื่นที่จ้องจะจับเขาปล้ำอีก นี่มันไม่สลับบทบาทกันเกินไปหน่อยเหรอ
“ลุงว่าน้ำผึ้งกลับไปเป็นเหมือนตอนเด็กๆ ดีกว่านะ” เขาชอบเวลาที่เธอเรียกเขาว่าลุงแล้วอ้อนให้อุ้ม ซึ่งดีกว่าอ้อนให้ทำอย่างอื่น
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปน้ำผึ้งจะเรียกลุงหมีแบบเมื่อก่อนนะคะ” เธอตอบรับอย่างว่าง่าย จนเขาเกือบหลงเชื่อว่าเธอยังเป็นเด็กใสซื่อ ก่อนจะชะงักหัวแทบทิ่มเพราะประโยคต่อมา
“แล้วเมื่อไหร่ลุงหมีจะกินน้ำผึ้งคะ”
ปฏิกิริยาตอบรับของลุงร่างหมีคือรีบวิ่งหนีโดยไว เขาชอบสาวน้อยตัวเล็กขี้อ้อน แต่เขาไม่ชอบไปนอนคุก ไม่ว่าภุมรินจะล้อเล่นหรือเอาจริง มหรรณพก็คิดว่าตนเองควรไปตั้งหลักไกลๆ จากน้องน้ำผึ้งหวานๆ ที่ล่อตาล่อใจเหลือเกิน
ความคิดเห็น |
---|