3

ตอนที่ 3


 

บทที่ 3

 

 

                ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไม่สงสารลูก แต่ถ้าเขาใจแข็งไม่พอ บอกปลายรุ้งไปว่าแม่ยังไม่ตายก็กลัวเด็กน้อยจะงอแงคิดถึงแม่จนความแตก ชยาตาก็อาจถูกปลิดชีวิตขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

                ทรงพิทักษ์ถอนหายใจเฮือกแล้วเลี้ยวรถเข้าซอยบ้านของตัวเอง โชคดีว่าวันนี้การผ่านตัดของผู้ป่วยไม่ยุ่งยาก เขาจึงได้กลับบ้านเร็ว คิดว่าจะกลับมาเก็บกวดบ้านนิดหน่อย แล้วตอนห้าโมงเย็นจะออกไปรับปลายรุ้งเพราะลูกมีเรียนพิเศษต่อตอนเย็น จากนั้นจะพาไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันสักมื้อ จะได้ไม่ต้องเกี่ยงกันเรื่องล้างจาน

                ทว่าความคิดมากมายของทรงพิทักษ์หายไปฉับพลัน เพราะที่รั้วระแนงพันเถาพวงครามบ้านมีผู้ชายผิวแทนร่างสูงมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่ เห็นแล้วคิ้วของชายหนุ่มก็ขมวดมุ่น ไม่ได้กลัวว่ามีใครมาขโมยยกเค้าบ้าน… แต่มีอะไรที่น่ากลัวกว่านั้น

                “สวัสดีครับคุณตั้ม” ทรงพิทักษ์ถือคติว่าบุกก่อนได้เปรียบจึงลงรถมาทัก “จะมาหา ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนละครับ”

                “อ้อ! ว่าจะมาเซอร์ไพสร์หลานน่ะครับ”

                ทรงพิทักษ์ไม่ตอบอะไรแต่มองอย่างคุมเชิง แล้วสำรวจดูชายผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจ้องจับผิด หลังจากที่ภรรยาให้ปล่อยข่าวว่าเสียชีวิต เขาก็ไม่อยากไว้ใจน้องชายของชยาตาเลยแม้แต่นิดเดียว

                ชลภพยั้งยิ้มแย้มจนเขาเองก็หนักใจ น้องชายของภรรยาคนนี้ อะไรๆ ก็ดี ไม่เคยมีเรื่องเคืองใจกันสักครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ออกจะเป็นมิตรกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ที่น่ากลัวคือลูกชายคนเล็กช่างตามใจแม่ จนไม่รู้เลยว่าการที่น้าบอกว่าจะมาเซอร์ไพรสหลานนั้น จริงๆ แล้วตั้งใจมาจ้องจับผิดอะไรกันหรือเปล่า

                ผู้เป็นยายอาจส่งคนมาสืบ ว่าเขาเลี้ยงลูกได้ดีหรือไม่ในวันที่ไม่มีแม่ หากปลายรุ้งมีปัญญาในการอยู่กับพ่อ คุณหญิงพรทิพย์คงได้เป็นข้ออ้างเอาตัวหลานไป ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มีช่างโว่นั้นเป็นอันขาด โดยเฉพาะกับแม่ยายที่ตั้งป้อมรังเกียจลูกเขยที่ท่านก็ไม่ได้อยากให้แต่งงานกันตั้งแต่แรก แต่จำใจยอมเพราะพ่อตาเข้าข้าง

แต่พอสิ้นบุญมารุตพ่อของชยาตาไป พรทิพย์ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบเขา ที่ผ่านมาก็มีชยาตาคอยประนีประนอมกล่อมเป็นกันชนให้ ทว่าตอนนี้ภรรยาของเขาคงไม่อาจออกมาช่วยไม่ได้ แล้วเขาจะต่อสู่กับคนพวกนี้ด้วยวิธีไหน บัวจึงจะไม่ช้ำและน้ำจะไม่ขุ่น

                “แล้วนี่ปลายรุ้งไม่อยู่เหรอครับ” ชลภพดึงเขากลับมาจากความคิดมากมายในหัวแล้วเรียกให้มองหน้ากัน “เย็นป่านนี้ โรงเรียนยังไม่เลิกอีกเหรอ”

                “วันนี้มีเรียนพิเศษครับ” คนรู้สึกว่าโดนจ้องจับผิดตอบอย่างระวังตัว “ตอนเย็นผมถึงจะออกไปรับ”

                “ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตตั้งโต๊ะอาหารเย็นรอหลานได้ไหมครับ… คุณแม่ฝากของกินมาให้ปลายรุ้งตั้งเยอะแน่ะ” 

                “ฝากขอบคุณคุณหญิงด้วยนะครับ แต่คุณตั้มอย่าลำบากเลย เกรงใจน่ะ”

ทรงพิทักษ์ยังไม่ยอมคล้อยตามง่ายๆ เพราะกลัวจะเป็นชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านเสียเปล่าๆ เกิดชลภพมาจับผิดอะไรก็อาจหาว่าเขาเลี้ยงลูกไม่ได้ หรือดีไม่ดี เกิดตาไวไปเห็นอะไรให้ผิดสังเกตว่าชยาตายังไม่ตายตามที่จัดฉากหลอกนั้น เรื่องมันยิ่งจะบานปลายไปกันใหญ่

“อีกอย่างผมสัญญากับลูกไว้ว่าจะพาแกไปกินข้าวนอกบ้านด้วย ไม่อยากผิดคำพูดกับแก เดี๋ยวจะน้อยใจไปเสียเปล่าๆ” คนระแวงรีบอุปโลกน์สัญญาขึ้นมาทันทีและก็ต้องรักษาน้ำใจน้าของปลายรุ้งไว้ “ไว้คราวหน้าถ้าคุณตั้มจะมาก็บอกก่อนแล้วกันนะ”

“ครับ เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน” น้องชายของชยาตาคงเห็นเขาตาแข็งใส่จึงไม่เซ้าซี้ขอเข้าบ้านอีก “แต่ถ้าวันไหนหมอแทนติดงาน ก็โทรบอกผมแล้วกันนะครับ จะรับปลายรุ้งไปที่บ้านคุณยายบ้าง หลานจะได้ไม่ต้องอยู่บ้านคนเดียว”

“ขอบคุณครับ”

                ชลภพคงรู้ตัวแล้วว่าต้องถอย แต่ดูเหมือนไม่ยอมสิ้นหวังง่ายๆ ที่เห็นยอมขึ้นรถแล้วขับออกไปนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกวันไหน แต่มีสิ่งเดียวที่เขารู้ คือต่อไปนี้คงต้องดูแลปลายรุ้งให้มากขึ้น พยายามให้ลูกอยู่ในสายตลอดเวลา และไม่ยอมให้ใครมาพรากลูกออกจากอกเด็ดขาด

                แม้คนคนนั้นจะเป็นยายแท้ๆ ของปลายรุ้งก็ตาม

 

            ‘คุณพ่อมาตามแผนที่ที่ปลายรุ้งส่งไลน์ให้นั่นแหละคะ หาไม่ยากหรอก’

                ข้อความในแอพพลิเคชั่นไลน์ทำให้ทรงพิทักษ์หงุดหงิดอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าลูกสาวจะโทรบอกไม่ได้หรือว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำไมต้องแชร์โลเคชั่นมาด้วย จะรู้บ้างไหมว่าพ่อไม่ถนัดกับเทคโนโลยีพวกนี้เสียเท่าไหร่ แต่เพราะลูกสาวยึดเอาโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นใหญ่ เขาก็ต้องยอมหัดใช้มัน เพื่อจะได้ใกล้ชิดลูกให้มากขึ้น… และได้ผลเสียด้วย

                ปกติปลายรุ้งไม่ค่อยส่งข้อความหาเขาเสียเท่าไหร่ แต่เพราะตอนนี้แม่ไม่อยู่ ทรงพิทักษ์จึงต้องรับหน้าที่ทั้งหมดมาไว้คนเดียว ภาวนาแต่ว่าเรื่องวุ่นวายของชยาตาจะจบลงในเร็ววัน ปลายรุ้งจะได้กลับมามีพ่อกับแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนเดิม

                ชายหนุ่มวนหาที่จอดรถอยู่นานเพราะร้านที่ลูกสาวบอกว่านั่งอ่านหนังสือรอพ่ออยู่นั้นค่อนข้างอยู่กลางแหล่งการค้าทำให้รอบๆ แออัดไปหมด ที่นี่เต็มไปด้วยโรงเรียนกวดวิชาและสถาบันสอนเรื่องอะไรต่อมิต่ออะไร ทั้งเรียนเต้น ดนตรี กีฬา โยคะ ฟิตเนตหรือแม้ทั้งสอนทำอาหาร จัดดอกไม้ หรืออาชีพอื่น ทุกอย่างแทบจะมากระจุกอยู่ที่จุดเดียว

                ส่วนร้านกาแฟที่ปลายรุ้งบอกว่ามานั่งอ่านหนังสือรอพ่อก็นับว่าคนเยอะ เห็นราคาเครื่องดื่มและอาหารเขาก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมขายได้ แต่คิดไปคิดมา คนที่เข้ามาใช้บริการคงอยากเช่าที่นั่งมากกว่าดื่มกินอะไรเสียมากกว่า

และมองปราดเดียวเขาก็เห็นเด็กสาวในชุดนักเรียนของโรงเรียนนานาชาตินั่งอยู่ที่มุมติดกระจกของร้าน สวมหูฟังเล็กๆ แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือ คงเป็นการตัดเสียงรบกวนในร้าน สงสัยเขาจะเรียกอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องสะกิดด้วย

“ไปกันหรือยังลูก”

เด็กสาวเงยหน้ามองเมื่อเขาเรียก ในวินาทีแรกที่เห็นหน้า ทรงพิทักษ์ก็รู้สึกว่าในอกเหมือนมีอะไรวูบหาย คล้ายจ้องหน้าชยาตาอีกครั้ง จนเผลอสูดหายใจลึกเข้าไปเพื่อไล่ความเจ็บจุกนั่นออกจากอก แล้วยิ้มกลบเกลื่อนแทน

“แป๊บหนึ่งนะคะ ขออัปโหลดรูปก่อน” 

ปลายรุ้งบอกจบก็คว้าสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายรูป เหมือนชวนให้เขาแอบดูว่าลูกทำอะไร ก็เห็นเด็กสาวถ่ายรูปหนังสือที่ตัวเองอ่าน ล้อมๆ จัดวางด้วยเครื่องเขียนน่ารักมากมาย แล้วเสยมุมกล้องไปให้เห็นแก้วกาแฟพร้อมโลโก้ของร้าน เลือกฟิวเตอร์ปรับแสงอยู่นานกว่าจะลงรูป

                ทรงพิทักษ์มองพฤติกรรมของลูกสาวด้วยความประหลาดใจ เพราะยุคที่เขายังเป็นวัยรุ่นไม่เคยกิจกรรมอย่างนี้ให้ทำ จึงไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดต้องลงรูปถ่ายอยู่ตลอดเวลา เหมือนตั้งใจจะบอกใครต่อใครว่าชีวิตตัวเองทำอะไร อยู่ที่ไหน… มันเป็นกิจกรรมที่เขารู้สึกว่ามันไร้สาระเหลือเกิน

ทว่าเขาไม่พูดอะไรเพราะอยากตามใจลูก จึงแกล้งมองไปทางอื่นตัดรำคาน แต่พอเห็นแก้วกาแฟของปลายรุ้งเต็มตา เขาก็ยิ่งคิ้วขมวด เพราะมันเป็นสิ่งที่สะดุดตาตั้งแต่แรกตอนเดินเข้ามาในร้านนี้แล้ว

                “ดื่มกาแฟแก้วล่ะสองร้อยกว่าบาทเลยเหรอลูก!”

                “ก็มีเงินจ่ายนี่คะ” ปลายรุ้งตอบกลับอย่างไม่เข้าใจว่าเขาจะตกใจไปทำไม “ปลายรุ้งก็กินอย่างนี้ประจำ”

                “ทำอย่างนี้ประจำเหรอ” คนเป็นพ่ออึ้งไปเมื่อถูกทักว่าไม่เคยสังเกตลูกแต่เห็นราคาแล้วก็ยังอดบ่นไม่ได้ “แต่พ่อว่ามันแพงไปหน่อยนะสำหรับหนู”

                “ไม่แพงหรอกค่ะ เรื่องปกติน่ะ เวลาถ่ายรูปลงอินสตราแกรมใครๆ เขาก็มากดไลค์กันเต็ม แล้วคุณแม่ยังไม่เคยว่าเลยสักที”

ลูกติดแม่บอกเต็มปากแต่หน้ามุ่ยใส่พ่อแทน

“ถ้าคุณพ่อไม่อยากจ่ายค่ากาแฟให้ปลายรุ้ง ปลายรุ้งไปขอคุณยายก็ได้ค่ะ”

                “พ่อหมายถึงไม่อยากให้ปลายรุ้งใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นน่ะ” เห็นลูกสาวเริ่มงอนเขาก็หยุดต่อว่าแต่ยังดักคอไว้ “แล้วก็อย่าไปขอเงินคุณยายเพิ่มเด็ดขาด ถ้าจะรับก็รับก็แค่ค่าขนมที่ท่านให้เป็นครั้งคราวก็พอ เข้าใจไหม”

                “ค่ะ” 

                “ไปหาข้าวกินกันดีกว่าไป”

                เห็นลูกสาวหน้าจ๋อยทรงพิทักษ์ก็ลูบหัวเบาๆ แล้วช่วยเก็บหนังสือลงกระเป๋า ตั้งใจแล้วว่าจะดูแลปลายรุ้งให้มากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะเท่าที่ถูกทักว่าไม่เคยสังเกตลูกจนไม่รู้ว่าปลายรุ้งกินอะไรเป็นประจำเขาก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว

                สองพ่อลูกเดินโอบเอวกันออกจากร้านกาแฟ รู้สึกเหมือนกันว่าปลายรุ้งสูงขึ้นจนเสมอไหล่ของเขาแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่กอดกัน เด็กหญิงยังสูงเพียงหน้าอกพ่อเท่านั้นเอง… ไม่รู้ว่าลูกโตเร็ว หรือเขาไม่ค่อยได้กอดลูกกันแน่ ทรงพิทักษ์ก็ไม่กล้าตอบให้ตัวเองรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลย

                “นี่! หยุดเดี๋ยวนะ ไอ้เฒ่าหัวงู! จะล่อลวงเด็กไปไหน”

                ทรงพิทักษ์ถึงกับหันขวับ อยากรู้ว่าร้านกาแฟนี้มีเฒ่าหัวงูที่ไหน ด้วยความระแวงก็รีบเอาลูกไปซุกไว้ข้างหลัง กลัวปลายรุ้งเป็นอันตราย แต่พอสอดส่ายระหวังภัย ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวเลย… นอกจากผู้หญิงที่ยืนมองเขาตาขวงอยู่ตรงนี้

                หญิงสาวมองเขาอย่างเอาเรื่อง นัยน์ตากลมหวานๆ นั่นจ้องกันเขม่นแต่ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ รู้แต่เป็นสาวผมยาวสลวย ร่างเล็กแต่ดูอ้อนแอ้น หน้ารูปไข่เรียวเล็กรับกับเครื่องหน้าพริ้มเพรา คิ้วเรียวบางกับจมูกปลายเชิดขึ้นนั่นยิ่งทำให้เธอดูเป็นคนมุ่งมั่น ริมฝีปากเล็กๆ หยักได้รูป อิ่มสวยได้อย่างสะดุดตา

เธอคงรู้ตัวว่าใบหน้าที่ตัวเองมีชวนมองอย่าพอเหมาะพอเจาะแล้ว จึงแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยแต่ดูผุดผาดมีน้ำมีนวล และแม้จะสวมเสื้อแขนยาวคอบัวและกระโป่งซุ่มยาวค้อมข้อราวกับหลุดออกมาจากยุคปี พ.ศ.2500 แต่ก็สวยเก๋ดูร่วมสมัย

แต่อะไรๆ ก็คงดี ถ้าดวงตากลมคู่สวยไม่มองเขาตาเหลือก ทำหน้าอย่างกับเจอผีไม่มีผิดเลย

                “ผมเหรอครับ”

                ทรงพิทักษ์ถามอย่างงุนงง เพราะเขามั่นใจแน่ว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่ตะโกนด่าว่า ‘ไอ้เฒ่าหัวงู’ แล้วมายืนตาเหลือกอยู่ตรงนี้ จะเข้าใจเป็นอะไรไปได้อีก… เข้าใจผิดน่ะสิ

                “แล้ว… จะพาเด็กผู้หญิงคนนั้นไปไหนคะ” หญิงสาวดูตะกุตะกักไม่ปากกล้าเมื่อตอนแรก “พรากผู้เยาว์นะ น้องเขายังเด็กอยู่เลย”

                “หืม?”

                เขาครางอยู่ในลำคอ มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างงุนงง เธอเองก็ดูหน้าหลาแต่พยายามส่งสายตาไปหาเด็กสาวที่เขาซ่อนไว้ข้างหลัง… เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมีคนมาด่าว่าเป็นเฒ่าหัวงูได้ 

                “ลูกสาวผมเองครับ” ทรงพิทักษ์ดึงปลายรุ้งออกมาให้ผู้หวังดีได้เห็นหน้าเต็มๆ “ผมมีลูกตอนอายุยังไม่มากน่ะ ถ้าคุณจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลกหรอก”

พอเขาบอกอบอย่างนั้น พลเมืองดีที่เข้ามาช่วยก็ยิ่งทำหน้าอึ้งมากกว่าเดิม ปากก็อ้าค้าง คงพูดอะไรไม่ออกแล้วกระมัง เขาจึงถือโอกาสเตือนด้วยความเป็นห่วงด้วยเสียเลย

“เป็นคนดี ช่วยเหลือคนอื่นก็ดีนะคุณ แต่ดูตาม้าตาเรือด้วย ไม่อย่างนั้นจะเดือดร้อนตัวเองนะ”

“พี่แทน…”

“ครับ?”

มีคนมาเรียกชื่อเล่นทรงพิทักษ์ก็ขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งจ้องหน้าผู้หญิงคนนี้มากขึ้นทุกที นึกแล้วนึกอีกว่าเคยไปรู้จักมักจี่กันที่ไหน ทำไมเธอถึงเรียกเขาได้สนิทปากนัก

“รู้จักกันด้วยเหรอคะคุณพ่อ”

“ปลายรุ้ง!”

ความสนใจในตัวเขาของหญิงสาวคงหายไปแล้ว เพราะเพียงแต่ปลายรุ้งถามขึ้นมา หญิงสาวแปลกหน้าก็ร้องเสียงหลง ทำอย่างกับเจอผี จ้องลูกสาวของเขาจนตาถลน

“เรารู้จักกันด้วยเหรอ” ปลายรุ้งก็ดูงุนงงไม่ต่างกัน “อ้อ! หรือว่าเป็นแฟนคลับของปลายรุ้ง”

“ปะ…”

“อยากถ่ายรูปกับปลายรุ้งเหรอ ถึงได้วิ่งมาดักอย่างนี้” เด็กสาวเข้าใจไปเองหรือเปล่าทรงพิทักษ์ก็ไม่แน่ใจแต่ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจลูก “งั้นมาถ่ายรูปกัน”

ปลายรุ้งสรุปเองเสร็จสรรพ แล้วก็ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปกับ ‘แฟนคลับ’… แต่ดูผู้หญิงคนนั้นช็อกไปแล้ว สงสัยจะดีใจที่ได้เจอ ‘เน็ตไอดอล’ อย่างลูกสาวของเขา ไม่รู้ดีใจมากแค่ไหน ถึงได้ยืนนิ่งจนพูดไม่ออกสักคำ

“เอาโทรศัพท์พี่มาสิคะ ปลายรุ้งจะส่งรูปให้”

ลูกสาวของเขาทำทุกอย่างคล่องแคล่วราวกับทำเป็นประจำ แต่คนได้รูปถ่ายนี่สิยังดูอึ้งไม่หายเลย ถึงจะส่งโทรศัพท์ให้ แต่เธอมองหน้าเขาแทน… ทว่ายังไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เอาแต่อ้าปากค้างอย่างเดียว

“เสร็จแล้ว ปลายรุ้งขอตัวเลยนะ”

ปลายรุ้งยิ้มหวานแล้วหันเดินจากผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ไป ดึงแขนเขาไปด้วย ขาของชายหนุ่มก้าวไปตามใจลูก ทว่าสายตายังมองกลับหาผู้หญิงคนนั้นอย่างค้างคาใจ และเธอยังยืนมองเขาด้วยอาการนิ่งค้าง ดวงตาว่างเปล่านั้นชวนให้ค้นหาคำตอบเหลือเกิน

‘พี่แทน… พี่แทน… ตอนนี้จะมีเหลือสักกี่คนกัน ที่เรียกเขาว่า พี่แทน’

 

เวียงดาวรู้สึกเหมือนน้ำในหูไม่เท่ากัน เดินโซซัดโซเซกลับอะพาร์ตเมนต์กลางเมืองใหญ่ของตัวเองด้วยอาการมึนงง ยังตกตะลึงไม่หาย ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง… ในสภาวะอย่างนี้

                ‘พ่อของปลายรุ้ง’

คำนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนใจอกมันเจ็บแปลบๆ อยู่ในอก หน่วงอยู่ในใจ ความรู้สึกมากมายวนตีกันอยู่ในอกไปหมด จะว่าดีใจที่ได้เจอเขาก็ใช่ แต่ทำไมต้องมาเจอกันในฐานะนี้ แต่ต่อไปเธอจะมองหน้าเขาได้อย่างสนิทใจอีกไหม ในเมื่อคิดไม่ซื่อกับผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

                “เวียงดาว!”

                คนใจลอยถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้เสียงดังระยะประชิด พลันไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็ถูกฉุดเข้าห้องตรงข้าม ไม่เข้าใจเลยว่าฟ้าจะกลั้นแกล้งเธอไปถึงไหน ถึงได้ย้ำแล้วย้ำอีกใจปวดใจซ้ำๆ อยู่ไม่หยุดอย่างนี้

                “ไปไหนมา พี่รอตั้งนาน”

ฉุดเธอเข้าห้องได้ชยาตาก็ยิงคำถามทันทีแบบไม่ดูหน้ามุ่ยๆ ของกันเลยสักนิด แต่คนถามดูตื่นเต้นจนตาวาวไปหมด สงสัยวันทั้งวันนี้จะไม่มีใครคุยด้วยกระมัง แต่ก็แน่ละ คนที่หนีตายอย่างนี้ จะออกไปพบปะผู้คนที่รู้จักได้อย่างไร ดีไม่ดีต้องคลุกอยู่แต่ในห้องทั้งวันเสียด้วยซ้ำ

“ขอโทษค่ะ พอดีเวียงดาวแวะไปคุยงานกับลูกค้าที่ร้านกาแฟน่ะ เลยกลับช้าไปหน่อย” เวียงดาวตอบอย่างไม่กล้าสบตา “ว่าแต่พี่ติ๋วรอเวียงดาวกินข้าวเหรอ”

“ก็ใช่นะ” คนที่ต้องหลบอยู่แต่ในห้องบอกพร้อมอมยิ้ม “แต่วันหยุดนี้ว่างไหม ไปเยี่ยมลูกสาวพี่ที่บ้านได้ไหม”

“หา!” หญิงสาวถึงร้องเสียงหลง  “เวียงดาวต้องไปบ้านพี่ด้วยเหรอ”

“อ้าว… ก็ไหนเราคุยกันไว้แล้ว ว่าเวียงดาวจะไปเยี่ยมปลายรุ้งในฐานะเพื่อนของพี่”

คนที่เธอเคยให้สัญญาไว้ว่าจะช่วยยังมองกันตาใส จนเวียงดาวรู้สึกได้ถึงว่ากลืนไม่เข้าคายไปออก ก็จริงที่ว่าเธอรับปากเพื่อนรุ่นพี่ไปแล้ว แต่นั่นมันก่อนจะรู้ว่าสามีของชยาตาเป็นใคร

“เวียงดาว…” แปลกที่เสียงสั่นๆ ปนผิดหวังของชยาตาทำให้เธอรู้สึกผิดอย่างสะบัดไม่ออก เหมือนตัวเองไปทำผิดไว้อย่างนั้นแหละ “ไม่อยากไปเยี่ยมปลายรุ้งแล้วเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”

หญิงสาวตอบอย่างไม่ปิดบังแต่ก็เห็นว่าชยาตาคล้ายจะไม่สบายใจ กลัวเธอจะไม่ทำตามสัญญาจนต้องปลอบ

“วันนี้เวียงดาวเจอปลายรุ้งแล้วด้วย ที่ร้านกาแฟน่ะ”

“จริงเหรอ! แล้วลูกสาวพี่เป็นยังไงบ้าง”

“ดูสบายดีค่ะ แต่ยังไม่ได้คุยกันเลยค่ะ” เธอก็ยังไม่โกหกเลยสักนิด “ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยด้วยซ้ำ ปลายรุ้งก็ไปกับพ่อเสียก่อน”

“เวียงดาวเจอสามีพี่แล้วเหรอ”

‘สามีพี่’

คำนี้เหมือนหอกแหลมที่แทงเข้ายอดอกของเวียงดาว ทั้งเจ็บทั้งจุกไปหมด แต่ก็ทำได้เพียงกลั้นเก็บความรู้สึกไว้ ไม่ให้น้ำตามันคลอขึ้นมา ทว่าปากเจ้ากรรมมันยังตอกย้ำแผลเก่าของตัวเอง

“พี่ติ๋ว… เป็นภรรยาพี่แทนเหรอคะ”

“จ้ะ” คำตอบของชยาตาเหมือนกรีดแผลเธอซ้ำ “แต่ว่าเวียงดาวรู้จักสามีพี่ด้วยเหรอ”

“เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันน่ะ”

                เวียงดาวตอบแค่นั้นแต่ตัวลีบเล็กลง ในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดประเดประดัง เหมือนรู้ตัวว่ากำลังทำผิดต่อครอบครัวนี้ แม้เป็นแค่เพียงความคิด แต่เธอก็ไม่สบายใจเลย ทว่าชยาตายังคะยั้นคะยอถามว่าเธอจะไปเยี่ยมปลายรุ้งได้เมื่อไหร่ แม่ที่ห่วงลูกคงอยากรู้สารทุกข์สุกดิบของลูกสาว ความเป็นห่วงนั้นทำให้เวียงดาวยอมตอบตกลงว่าจะไป ทั้งที่เริ่มจะกลัวใจตัวเอง

 

 สุดท้ายหญิงสาวรับปากชยาตาไป ทว่าในอกได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องไปเยี่ยมปลายรุ้งที่บ้านจริงๆ หรือ แล้วยังนึกเรื่องในอดีตขึ้นมาจับใจ แต่ไม่ยอมปริปากบอกใครสักคำ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น