5

ตอนที่ 5


ทรงพิทักษ์แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าเขาอยู่กับลูกมาได้อย่างไรเพียงสองคนตั้งนาน บ้านก็เงียบเหงา เหมือนแจกกันขาดดอกไม้… ดอกกุหลาบของชยาตา

                ตอนที่ชยาตายังอยู่ที่บ้าน เธอมักจะตัดดอกกุหลาบริวรั้วมาปักแจกกันประดับไว้รอบๆ บ้าน แต่พอเจ้าของดอกไม้ไม่อยู่ก็ไม่มีใครทำตาม รวมทั้งเขาด้วย เพราะทรงพิทักษ์รู้ตัวดีว่าไม่มีได้มีอารมณ์สุนทรีถึงขั้นจะมานั่งจัดดอกไม้ เช้าๆ อย่างนี้ควรออกไปซื้อกับข้าวจะดีกว่า ปลายรุ้งตื่นมาจะได้มีอะไรกิน

                “ทำอะไรน่ะปลายรุ้ง”

                คนเพิ่งกลับจากตลาดสดที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสองซอยถามคิ้วขมวด เพราะเดินเข้าบ้านมาเห็นลูกสาวนอนเอกเขนก วาดรูปเล่นอยู่บนโซฟาตัวกว้างในห้องนั่งเล่น แต่พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็เห็นว่าลูกเอาดอกกุหลาบริมรั้วมาปักแจกกันวางไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟา แล้วเอามันเป็นแบบวาดรูป

                “มานั่งวาดรูปทำไมแต่เช้า แล้วทำไมยังไม่แต่งตัวอีก วันนี้ต้องไปเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ”

                “เรียนตอนบ่ายค่ะ” ปลายรุ้งตอบโดยที่ไม่มองหน้าเขา “ขอนั่งเล่นก่อนแล้วกัน”

                “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกินข้าวกับพ่อ”

                “ปลายรุ้งกินขนมปังกับนมแล้วค่ะ” ลูกสาวยังไม่ยอมมองหน้าและไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาออกไปซื้อข้าวเช้ามาให้ “คุณพ่อกินไปเลย คราวหลังไม่ต้องรอก็ได้นะคะ”

                ไม่รู้ทำไมถึงขัดใจ… ทรงพิทักษ์ไม่ชอบเลยที่ปลายรุ้งไม่ได้ดังใจตัวเอง อยากให้ลูกมานั่งกินข้าวด้วยกันก็ไม่มา แล้วยังนั่งวาดรูปต่อ เอาหูฟังเพลงจากสมาร์ตโฟนเข้าเสียบหู คล้ายจะตัดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัว โดยที่ไม่สนใจเลยว่าพ่อยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน

                “พอได้แล้วปลายรุ้ง ไปอ่านหนังสือไป” ทรงพิทักษ์สั่งอย่างขัดใจ “ทำอะไรไร้สาระอยู่ได้”

                “วาดรูป ฟังเพลง มันไร้สาระตรงไหนกันคะ”

                “ก็ถ้าเอาเวลาไปอ่านหนังสือ เดี๋ยวตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จะมีคะแนนมากกว่าคนอื่น จะได้มีสิทธิ์เลือกมากกว่าใครยังไงล่ะ”

                “เรียนเอกชนก็ได้นี่คะ เขาจัดการเรียนการสอนได้ดีไม่แพ้มหาวิทยาลัยของรัฐหรอก”

                ทรงพิทักษ์พูดไม่ออกเพราะที่ปลายรุ้งพูดมาก็จริง…

แต่ถ้ามาถามความรู้สึกของเขา ก็ยังอยากให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐอยู่ดี เขาชอบมากกว่า และจะภูมิใจมากถ้าลูกสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังในคณะที่คะแนนสูงๆ ได้ เพราะสำหรับเขาแล้วมันมักจะเป็นคณะที่มีงานอันมั่นคงและรายได้สูงรองรับเสมอ

                “อ้อ! คุณพ่อคะ” ปลายรุ้งเรียกเขาอีกรอบแต่คราวนี้ยอมมองหน้า “เช้าวันเสาร์ไม่มีเรียนพิเศษ ปลายรุ้งว่าจะไปสมัครเรียนร้องเพลงเพิ่มน่ะ ขอเงินค่าเรียนด้วยนะคะ”

                “นี่เราเรียนดนตรีมากี่คอร์สแล้วปลายรุ้ง” ได้ยินอย่างนั้นคนเป็นพ่อก็ขมวดคิ้วแน่นเข้าไปใหญ่ “ปีที่แล้วก็เรียนเปียโน ปีก่อนโน้นก็เรียนไวโอลิน”

                “แต่ละคอร์สมันสอนไม่เหมือนกันนี่คะ แล้วคอร์สนี้สอนเต้นด้วยนะ คุ้มจะตาย”

                “เหตุผลเยอะจริงๆ เลยนะ” ชายหนุ่มหน้าเคร่งอย่างไม่เห็นด้วย “แต่พ่อว่าเอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่าไหม ถ้าอยากเต้นก็เต้นแอโรบิก ได้ออกกำลังกายด้วย”

                “คุณพ่อ! มันจะเหมือนกันได้ยังไง เรียนเต้นกับเต้นแอโรบิก”

                “ก็มันไม่มีประโยชน์” เขายังเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง “แล้วเรื่องดูหนังฟังเพลงก็เพลาๆ ลงบ้างเถอะ เอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่า”

                สิ้นคำตอบเขา ปลายรุ้งก็หน้างอแล้ววางสมุดวาดรูปลงทันที มองเขาตาเขม่นแล้วกัดกรามแน่น ดูก็รู้ว่าโกรธ แต่ทรงพิทักษ์ก็ไม่คิดจะยอมให้เหมือนกัน ที่เขาพูดทั้งหมดก็เพราะหวังดี แล้วถ้าลูกเถียงอีกแค่คำเดียว คงต้อทำโทษกันแล้ว

                “คุณพ่อไม่เคยฟังเพลงเสียหน่อย จะไปรู้เรื่องอะไร”

                ปลายรุ้งกระแทรกเสียงแล้วเหลือกตาใส่ แววตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ แล้วเดินกระแทรกเท้าจ้ำๆ ขึ้นบ้านอย่างไม่เหลียวหลัง ให้เขาเรียกตามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหันมา หรือว่าจะโกรธจริงๆ… แต่เขาทำผิดหรือ

                ก็แค่เพลง ต้องรู้เรื่องอะไร ฟังๆ ไปให้ผ่านหู สร้างความรื่นเริงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจไปกว่านี้เลย

                ทรงพิทักษ์คิดอย่างนี้แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกจึงไม่เห็นด้วย หรือต้องทำเป็นปึงปังเพราะแค่อาละวาดที่พ่อไม่ให้ไปเรียนเต้น ถ้าจะมาเอาแต่ใจเพราะเหตุผลนี้คงต้องอบรมสั่งสอนกันอีกยาว ก่อนที่ปลายรุ้งจะเอาแต่ใจจนเสียเด็ก

                ตุ๊ง… ตุ๊ง… ตุ๊ง…

                เสียงกริ่งที่หน้าดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดเขา ทรงพิทักษ์พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยอมปรับอารมณ์ให้เย็นลงเพราะรู้ว่ามีคนมาหา อาจจะเป็นคนงานจากบ้านคุณยายของปลายรุ้งที่มาทำความสะอาดบ้านเหมือนทุกที หรือคราวนี้อาจเป็นชลภพที่มาสืบว่าเขาอยู่กับลูกได้หรือเปล่า

                แต่เขาไม่มีทางให้คุณหญิงพรทิพย์รู้แน่ว่าตอนนี้พ่อกับลูกกำลังทะเลาะกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เรื่องมันผ่านมาตั้งสิบห้าปีแล้ว หน้าตาเธอก็เปลี่ยนไปมาก ทรงพิทักษ์จำเธอไม่ได้หรอก ก็แค่น้องรหัสที่ห่างกันตั้งหกปี ไม่เห็นมีอะไรให้จำเลย

เวียงดาวปลอบตัวเองว่าอย่างนั้นแล้วหิ้วขนมเบเกอร์รี่นานาชนิด มายืนอยู่หน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นทรงปั้นหยาหลังคาสีแดงเลือดนกตามแผนที่ซึ่งชยาตาให้มา อันที่จริงเธอได้มาอีกหลายอย่าง ทั้งเบอร์โทรศัพท์ของสองพ่อลูก ที่ทำงานของคุณหมอซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนของผู้เป็นแม่ยาย และข้อมูลทางโรงเรียนของปลายรุ้ง… แม่ที่เป็นห่วงลูกแต่ออกจากที่ซ่อนไม่ได้คงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเธอ

แต่ที่เวียงดาวตกประหม่าคือการเผชิญหน้ากับสามีของชยาตา กลัวใจหวั่นไหวของตัวเองที่ไม่ยอมลืมรักครั้งแรกครั้งยังเป็นสาวน้อยแรกรุ่น แต่ก็พยายามกดเก็บมันไว้ ปลอบตัวเองว่า ‘พี่แทน’ ไม่มีทางจำเธอได้ และที่สำคัญคือเธออยากช่วยให้ชยาตาสบายใจ อย่างน้อยก็มาได้ดูว่าสองพ่อลูกอยู่บ้านกันอย่างไรในยามไม่มีแม่อยู่ด้วย

หญิงสาวเอาความรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนรุ่นพี่เข้าข่มอาการประหม่าของตัวเอง สูดหายใจเข้าไปเต็มปอดเมื่อเห็นคนเดินออกมาจากบ้านมาเปิดประตูให้เพราะเธอกดกริ่งเรียก

ทรงพิทักษ์ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แต่เค้าโครงเดิมของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดยังอยู่ในสายตาของเธอเสมอ กาลเวลาไม่มีผลใดๆ ต่อความทรงจำของเวียงดาวเลย ทว่าไม่อาจย้อนมันกลับไปได้อีกแล้ว และเช่นกัน รักครั้งแรกที่เป็นความทรงจำก็ยังอยู่ในห้วงลึกของหัวใจ มันกลายเป็นความผูกพันที่ติดตรึงใจมากกว่าพิศวาสเสน่หา

และเธอจะไม่ปล่อยให้เป็นอะไรได้มากกว่านี้ เพราะมันหมายถึงการทำร้ายครอบครัวของชยาตา ซึ่งเวียงดาวไม่ปรารถนาเลย

“อ้าว” เจ้าของบ้านเดินมาเปิดประตูให้ก็ทักกันคิ้วขมวด “มาหาปลายรุ้งเหรอครับ”

“ค่ะ”

เวียงดาวรู้สึกเลยว่าตัวเองเสียงสั่น ตกประหม่าไปหมด หัวใจก็เต้นแรงเมื่อได้พบหน้ารุ่นพี่ที่เธอแอบรักอีกครั้ง ทว่าจะให้ทรงพิทักษ์รู้เรื่องไม่เด็ดขาด จึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนไป เข้ารีบทำธุระให้เสร็จ

“คือ… ฉันเป็นเพื่อนพี่ติ๋วน่ะค่ะ” หญิงสาวเริ่มแต่งเรื่องจริงผสมโกหกชวนเชื่อ “ฉันได้ข่าวว่าพี่ติ๋วเสียไปแล้ว มาร่วมงานไม่ทัน ก็เลยอยากมาเยี่ยมปลายรุ้ง”

“เพื่อนคุณติ๋ว” ทรงพิทักษ์ขมวดคิ้วมุ่นทันที “ไหนวันนั้นว่าเป็นแฟนคลับปลายรุ้งไง”

“ไม่ใช่ค่ะ คือวันนั้นฉันตกใจไปหน่อย เลยไม่ได้บอกปลายรุ้งไป” เธอแก้ตัวตะกุกตะกัก “คือฉันเป็นเพื่อนเรียนร่วมรุ่นของพี่ติ๋วตอนเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ”

“ชื่ออะไรนะครับ”

คำถามนี้ทำเอาเวียงดาวตาเหลือก เกิดบอกไปแล้วคนเป็นพี่รหัสจะทำเธอหรือเปล่า แต่ไม่บอกก็ไม่ได้ ทีนี้จะทำยังไงดี!

“ดาวค่ะ” หญิงสาวตัดชื่อตัวเองออกครึ่งหนึ่งให้กลายเป็นชื่อโหลที่พบเจอได้ทั่วไป “ชื่อดาว ดาวเฉยๆ”

แนะนำตัวแล้วแต่ทรงพิทักษ์ก็เงียบไป ทว่าจ้องเธออยู่ครู่ใหญ่ ไม่พูดไม่จาอะไรจนรอบตัวมันเงียบไปหมด ยิ่งเขามองหน้าเวียงดาวก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ลุ้นอีกต่างหากว่าพ่อของปลายรุ้งจะเชื่อเธอไหม จะยอมให้เข้าบ้านไปเยี่ยมลูกสาวหรือเปล่า

“เข้าบ้านก่อนสิ ปลายรุ้งอยู่ข้างใน”

เวียงดาวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตกใจหรือเปล่า แต่เธอก็เผลอเบิกตาโตเพราะคำเชื้อเชิญนั่น สงสัยว่าทรงพิทักษ์จะยอมเชื่อว่าเธอเป็นเพื่อนเก่าของชยาตาจริงๆ กระมัง

หญิงสาวบอกตัวเองว่าอย่างนั้นแล้วเดินตามทรงพิทักษ์เข้าบ้าน แอบมองแผ่นหลังกว้างที่ครั้งหนึ่งตัวเองเคยใช้หลบภัยจากกิ้งกือ แล้วความรู้สึกหลายๆ อย่างก็ตื้อตันขึ้นมาในใจ ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจก็ระบุไม่ถูก รู้แต่เพียงว่าเธอได้กลับมาพบ ‘พี่แทน’ อีกครั้ง แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว

เขากลายเป็นคนที่เธอไม่อาจเอื้อม เป็นสามีของชยาตา เป็นพ่อของปลายรุ้ง ไม่ใช่รุ่นพี่ที่เธอจะแอบรักได้อีกแล้ว

เวียงดาวเหมือนเจ็บหน่วงๆ อยู่ในอกแต่ก็กลั้นใจเดินเข้าบ้านต่อ พยายามไม่มองแผ่นหลังของชายหนุ่มอีก เบนไปชมนกชมไม้แทน ก็เห็นว่ารอบบ้านไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย แต่พื้นสนามหญ้าชุ่มน้ำเพราะเมื่อเช้ามืดนี้ฝนตกไปทั่วกรุงเทพฯ ข้างสนามหญ้าตรงริมรั้วระแนงพันเถาพวงคราม มีกุหลาบสายพันธุ์อังกฤษหลากหลายสีปลูกเป็นแถวเป็นแนว กลีบดอกฉ่ำหยดน้ำและสะท้อนแสงแดด สวยหวานละมุนตา

เมื่อก้าวขาเข้าบ้าน เวียงดาวก็ไม่พบอะไรให้น่าประหลาดใจ บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรสะดุดตาเลย ตกแต่งเรียบง่ายด้วยชมพูพีชตัดกับผนังขาวสะอาด มีสีเทาควันบุหรี่ปนมาบ้าง แต่ถ้าให้เดาคงเป็นฝีมือตกแต่งของชยาตา จึงได้เฉดสีเป็นไปในโทนเดียวกันไปหมดอย่างนี้… เรียบง่าย แต่ดูดี

“นั่งรอในห้องนั่งเล่นแล้วกันนะ จะไปตามปลายรุ้งมาให้”

พอเจ้าของบ้านบอกให้นั่งเธอก็นั่ง เวียงดาววางถุงขนมไว้บนโต๊ะของชุดโซฟารับแขก แล้วมองตามชายหนุ่มที่เดินขึ้นไปบนชั้นสอง ปล่อยเธอให้นั่งตื่นเต้นอยู่คนเดียวเพราะไม่รู้จะตีสนิทกับปลายรุ้งได้ตามที่แม่ของเด็กสาวต้องการหรือเปล่า แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอคงไม่ถอย

ปลายรุ้งลงมาแล้ว… ทำหน้าบอกบุญไม่รับนักจนเธอเองก็มองอย่างสงสัย ว่าเหตุใดของลูกสาวของชยาตาจึงหน้าบูดหน้าบึ้งเสียจริง มีเรื่องอะไรขัดใจอยู่หรือเปล่า หรือไม่พอใจที่ต้องลงมาพบเธอ

“น้าเวียงดาว… เพื่อนคุณแม่น่ะปลายรุ้ง”

เมื่อพ่อแนะนำเธอให้รู้จัก ปลายรุ้งก็ยกมือไหว้แต่ดูแข็งกระด่างไม่น่ารักเลย ทว่าเวียงดาวก็พยายามไม่ใส่ใจ อดคิดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจู่ๆ ให้มาไหว้ใครก็ไม่รู้ที่บอกว่าเป็นเพื่อนแม่ เด็กสาวอาจจะสงสัยไม่เชื่อ ก็เลยดูไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

“คุยกันไปก่อนนะ จะไปเอามาให้”

ทรงพิทักษ์บอกแค่นั้นแล้วเดินไปทางหลังบ้าน ทิ้งลูกสาวไว้กับเธอจนเวียงดาวทำได้เพียงยิ้มเก้อๆ ตอนที่เด็กสาวเดินเข้ามานั่งข้าง จึงได้แต่ทำใจดีสู้เสือ ยิ้มให้หวานที่สุด เผื่อมันจะสลายใบหน้าบู้บี้ของปลายรุ้งได้

“น้าซื้อขนมมาฝากน่ะจ๊ะ”

เวียงดาวยกถุงขนมที่ชยาตาฝากเธอซื้อมาให้ลูกสาวส่งให้แล้วชวนคุยไปด้วยเสียเลย

“เราเคยเจอกันแล้ว ปลายรุ้งจำได้ไหม”

“ที่ร้านกาแฟ” เด็กสาวตอบห้วนๆ “ว่าแต่น้าเป็นเพื่อนคุณแม่ตอนไหน ทำไมไม่เห็นรู้จักเลย… คงไม่ใช่พวกที่สร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพราะอยากเข้าใกล้ปลายรุ้งหรอกนะ”

“เป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยจ้ะ”

เห็นเด็กสาวตั้งป้อมใส่เวียงดาวก็พยายามอธิบายอย่างใจเย็นโดยไม่ถือสาเพราะสถานะ ‘เน็ตไอดอล’ ของปลายรุ้งก็ชวนให้คิดอย่างนั้นได้เหมือนกัน

“น้าชื่อเวียงดาว ศรานนท์… ถ้าปลายรุ้งเห็นรายงานกลุ่มของคุณแม่ตอนที่ท่านเรียนมหาวิทยาลัย ก็จะเห็นชื่อน้าบ่อยๆ ลองเอามาดูก็ได้นะจ๊ะ”

“แล้วทำไมไม่เห็นน้ามางานศพคุณแม่เลย”

“น้าเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดจ้ะ ก็เลยเพิ่งรู้ว่าพี่ติ๋วเสียไปแล้ว มาไม่ทัน” คราวนี้เธอโกหก “แต่น้าก็อยากมาเยี่ยมปลายรุ้งนะ”

“ขอบคุณนะคะ”

“ถ้าปลายรุ้งขาดเหลือหรือมีปัญหาอะไรก็บอกน้าได้นะ”

พอเห็นปลายรุ้งเริ่มเป็นมิตร หญิงสาวก็เกริ่นเข้าจุดประสงค์ที่มายอมมาถึงบ้านหลังนี้

“ลูกสาวเพื่อนก็เหมือนลูกเหมือนของน้า มีอะไรก็บอกกันได้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เกรงใจ”

เจอคำตอบนี้เข้าไปเวียงดาวก็หน้าหงาย เพิ่งเข้าใจที่ชยาตาบอกว่า ‘ปลายรุ้งคงไม่ดื้อกับเวียงดาวหรอก’… เพราะเธอรู้แล้วว่าเห็นคนนี้ดื้อเงียบ แถมดูจะหยิ่งมากๆ อีกต่างหาก ก็ดูแค่ท่านั่งสิ หลังตรงคอตั้ง หน้าเชิดแล้วตายังแข็งอยู่ตลอดเวลาเชียว

“ฮะแฮม!”

เวียงดาวสะดุ้งโย่งเพราะเสียงกระแอมเบาๆ นั่น แต่ก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าถ้าคนกระแอมไม่ใช่ทรงพิทักษ์ เธอจะตกใจเท่านี้ไหม เพราะไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ความประหม่ายามอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ลดทอนลงไปเลย

“ดื่มน้ำก่อนนะ”

เจ้าของบ้านยื่นแก้วน้ำส้มมาให้ เวียงดาวก็ยกขึ้นจิบอย่างว่าง่าย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนว่าทำไมเพียงแค่เขาบอกอะไรก็ทำตามไปหมด แต่ก็แอบเหลือบมองพ่อสองลูกไปด้วย อยากรู้ว่าอยู่กันอย่างไร จะได้เอาเรื่องที่ตัวเองมาสืบนี้ไปบอกชยาตา

“ทำไมหน้าบึ้งนักล่ะปลายรุ้ง เพื่อนคุณแม่อุตส่าห์มาเยี่ยมนะ” ทรงพิทักษ์เตือนลูกเสียงเย็นๆ “ดูสิ น้าเวียงดาวซื้อขนมมาฝากตั้งเยอะ”

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ ปลายรุ้งจะได้เก็บไว้กิน เพราะต่อไปนี้ปลายรุ้งคงต้องเก็บเงินเรียนร้องเพลงเอง”

“ปลายรุ้ง! พ่อบอกว่าไม่ให้เรียนแล้วไง ถ้าจะลงเรียนเพิ่มก็ต้องเรียนกวดวิชา”

“แต่ปลายรุ้งจะไปเรียนร้องเพลง!”

เด็กสาวขึ้นเสียงใส่พ่อจนตาเหลือก ทำเอาเวียงดาวแทบทำแก้วน้ำส้มหลุดมือเพราะความตกใจ ไม่คิดเลยว่าเด็กหน้าตาน่ารักอย่างปลายรุ้งจะเกรี้ยวกราดได้น่ากลัวปานนี้ แล้วทรงพิทักษ์ยอมเสียที่ไหน ทำหน้ายักษ์ใส่ลูกเหมือนกัน… น่ากลัวพอๆ กันเลย

“ปลายรุ้ง… ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะ” เวียงดาวแทรกเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ครั้งจะปล่อยไว้ไม่ยุ่งเลยก็เกรงพ่อกับลูกจะทะเลาะกัน “มีเรื่องอะไรบอกน้าได้ไหม”

“ปลายรุ้ง!” สิ้นคำถามลูก คนเป็นพ่อก็ตะคอกใส่แข็ง “อย่าไปรบกวนน้าเวียงดาว แล้วนี่มันก็เรื่องส่วนตัวในบ้านเรา จัดการกันได้ ไม่ต้องบอกคนอื่น”

“ปลายรุ้งโพตส์ลงทวิตเตอร์ไปแล้วแหละค่ะ ป่านนี้รู้กันหมดแล้ว”

“นี่มันเรื่องส่วนตัวนะปลายรุ้ง! ทำไมถึงทำอย่างนี้”

“นี่มันเรื่องของปลายรุ้งหากละคะ” เด็กสาวยังตาแข็งและเถียงทันทุกคำ “ปลายรุ้งโพสต์ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง”

“แต่ชาวบ้านก็รู้กันหมดเนี่ยนะ มันส่วนตัวไหน”

“แล้วทำไมพี่แทน… เอ้อ! คุณแทนไม่ให้น้องไปเรียนร้องเพลงละคะ” เวียงดาวแทรกขึ้นมาเพราะความอยากรู้และอยากช่วย เผื่อจะกล่อมช่วยทรงพิทักษ์ให้ใจอ่อนลงได้บ้าง “น้องก็ไม่ได้ไปทำเรื่องเหลวไหลเสียงหน่อย”

“มันไร้สาระ”

“ร้องเพลงมันไร้สาระตรงไหนคะคุณพ่อ!”

“ใช่ค่ะ” เวียงดาวเสริมทันที “ร้องเพลงไม่เห็นจะไร้สาระตรงเลย”

“อย่าให้ท้ายกันสิ!”

ทรงพิทักษ์เสียงดังจนหญิงสาวสะดุ้ง ตัวแข็งไปหมดเพราะดวงตาคมกริบนั่นเหมือนเหยี่ยวยามล่าเยื่อตวัดมองมาทันควัน เธอไม่กล้าจะพูดอะไรเพื่อนช่วยปลายรุ้งอีกแล้ว ภาวนาแต่ว่าตอนนี้จะเอาตัวเองให้รอด ไม่โดนด่าด้วยก็เป็นพอ

“มานี่เลย”

สิ้นคำสั่งเวียงดาวก็ตาค้าง ร่างอรชรของหญิงสาวแทบจะปลิวหือไปตามแรงดึง ทรงพิทักษ์กำข้อมือเธอลากให้ออกจากตัวบ้าน ดึงแรงเสียจนเวียงดาวหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม หวังว่าเขาคงไม่ทำอะไรรุนแรงกับเธอใช่ไหม ก็พี่แทนที่เธอรู้จักไม่ใช่คนที่จะทำร้ายผู้หญิงเสียหน่อย แต่กับคุณพ่อหน้ายักษ์ของปลายรุ้งนี่ จะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เธอรู้จักหรือเปล่าล่ะ!

                “ขอบคุณนะที่มาเยี่ยม แต่วันนี้กลับไปก่อนเถอะ”

ทรงพิทักษ์บอกเสียหนักและเห็นได้ชัดว่าพยายามทำใจให้เย็นเมื่อลากเธอมาถึงหน้าประตูบ้าน ทำเอาเวียงดาวหน้าชาไปหมด เพราะไม่รู้ว่าที่ไล่เธอกลับเพราะเขาจะตีลูกในโทษฐานดื้อจะไปเรียนร้องเพลงและกล้าขึ้นเสียงเถียงพ่อคอเป็นเอ็นหรือเปล่า ถึงได้บอกให้แขกกลับไปก่อนอย่างนี้

“แต่พี่แทน… เอ๊ย! คุณจะไม่ทำโทษปลายรุ้งใช่ไหมคะ” เวียงดาวถามอย่างเป็นห่วง “ค่อยๆ พูดกันนะคะ อย่าใจร้อน ฟังน้องบ้าง ปลายรุ้งแค่อยากเรียนร้องเพลง”

“แต่ปลายรุ้งเรียนดนตรีมาหลายคอร์สแล้ว” ทรงพิทักษ์เถียงเสียงเย็น “ตอนนี้มันหมดเวลาที่ปลายรุ้งจะมาทำอะไรเล่นๆ อีกแล้ว ปีหน้าก็ขึ้นม.ปลาย อีกแป๊บๆ ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้ามัวแต่เล่นอยู่อย่างนี้ คงสอบไม่ติดแน่”

                “แต่ปลายรุ้งก็เรียนกวดวิชาอยู่แล้วนี่คะ” เธอแย้งทันที “ให้น้องไปเรียนด้านสุนทรียศาสตร์บ้าง จะได้ผ่อนคลาย”

                “อยากสุนทรีย์ก็ร้องเพลงอยู่บ้าน ไม่ได้ห้ามเสียหน่อย” เธอเพิ่งรู้ว่าทรงพิทักษ์ดื้อเงียบก็ตอนนี้เอง “ก็แค่ร้องเพลง ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเรียนเข้าคอร์สเลย อยากร้องไปร้องไปสิ”

                “แล้วคุณเคยร้องเพลงหรือเปล่า”

                พอเธอถามไปอย่างนั้น คนที่ดื้อจะเอาเหตุผลของตัวเองเป็นใหญ่ก็ถึงกับเงียบไป จ้องเธอเขม่น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมและกำลังหาเหตุผลมาเถียงอยู่ และใบหน้าครุ่นคิดอย่างอย่างหนักก็ทำให้เวียงดาวรู้ว่าเขาหาไม่พบ และไม่กล้าตอบคำถามเธอ

                “ไม่เคยใช่ไหมคะ” เวียงดาวไล่ถามจี้ “คุณไม่ค่อยฟังเพลงด้วยใช่ไหม ถึงไม่รู้ว่าฟังเพลงมันดียังไง”

“พูดเหมือนกันเลยนะ” แทนที่ทรงพิทักษ์จะตอบเธอแต่เขากลับถามคืนแล้วจ้องกันตาแข็งยิ่งกว่าเดิม “ทำไมต้องเข้าข้างปลายรุ้งมากขนาดนี้ด้วย”

“ก็… ก็ฉันเป็นเพื่อนพี่ติ๋ว”

“ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นแค่เพื่อนคุณติ๋ว ก็อย่ามายุ่งเรื่องของพ่อกับลูกเลย… ขอละนะ นี่มันเรื่องในครอบครัว ถึงจะเป็นห่วงปลายรุ้ง ก็อย่าให้มันเกินขอบเขตนักเลย”

“พี่แทน…”

เวียงดาวตกใจจนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ได้แต่ยืนนิ่งแล้วมองผู้ชายตรงหน้าให้เต็มตาอีกครั้ง ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าในอดีตเธอรู้จักเขาไม่ดีพอ หรือเป็นเพราะทรงพิทักษ์เปลี่ยนไป ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้ยังเป็นคนที่เธอรู้จักเมื่อสิบห้าปีก่อนหรือเปล่า

ทำไมเขาช่างเย็นชาและเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ได้มาเพียงนี้ หรือมีอะไรทำให้เขาเปลี่ยนไป

ทรงพิทักษ์เองก็อยากรู้ว่าทำไมเวียงดาวต้องวุ่นวายกับแค่ร้องเพลงด้วย แถมนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด ตามใจปลายรุ้งอย่างไม่มีขีดจำกัดเหมือนที่ชยาตาทำ

แต่พอเขาสั่งให้อยู่ในขอบเขต คนที่มาอ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของชยากลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองกันอย่างไม่เชื่อสายตา หรือว่าเมื่อครู่เขาจะหงุดหงิดมากจนพูดแรงไปหรือเปล่า หญิงสาวถึงได้มองเขาราวกับผิดหวังเหลือเกิน แต่ว่าเวียงดาวคาดหวังอะไรกับเขาอยู่ ชายหนุ่มเดาใจเธอไม่ออกเลย

“น้าเวียงดาว”

ไม่ทันที่ใครจะอ้าปากพูดหรือทะเลาะกันต่อ ทั้งสองก็หันไปทางเดียวกันเพราะปลายรุ้งตะโกนเรียก เห็นลูกแต่งตัวเหมือนจะออกจากบ้านทรงพิทักษ์ก็ใจหาย กลัวว่าจะหนีไปไหน แต่ยังข่มหน้าให้นิ่งไว้ไม่แสดงอารมณ์ออกมา เพราะเท่าที่ถกกับเวียงดาวเมื่อครู่เขาก็รู้สึกว่าต้องเองใจร้อนเกินไปแล้ว

“จะไปไหนน่ะปลายรุ้ง” ทรงพิทักษ์ยังอดถามไม่ได้ “ทำไมต้องสะพายเป้ออกมาอย่างนี้ด้วย”

“ก็ไปเรียนกวดวิชาตามที่คุณพ่อสั่งให้เรียนไงคะ” ลูกสาวยังหน้าบึ้งแต่ก็ยอมพูดด้วย “แต่วันนี้กลับเย็นหน่อยนะ จะไปเที่ยวกับน้าเวียงดาว”

“จะไปไหนกัน!” คนเป็นพ่อร้องเสียงหลง “นี่เราเพิ่งรู้จักน้าเวียงดาวแป๊บเดียวเองนะปลายรุ้ง”

“ฉันไว้ใจได้แล้วกันค่ะ” เพื่อนของชยาตาแทรกขึ้นอย่างอย่างหน้าเง้าหน้างอ “ไปกับฉัน รับรองว่าปลายรุ้งไม่เป็นอะไรหรอก”

“นั่นสิคะ ปลายรุ้งยังไม่เห็นจะกลัวเลย น้าเวียงดาวก็น่ารักดีออก ไฟต์กับคุณพ่อได้ด้วย ปลายรุ้งชอบ”

ปลายรุ้งไม่ว่าเปล่าแต่เดินเข้าไปกอดแขนเพื่อนของแม่ด้วย ทำอย่างกับสนิทสนมกันมานาน ทั้งๆ ที่ลูกเพิ่งจะพบผู้หญิงคนนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยซ้ำ

“ไปนะคะคุณพ่อ แล้วตอนเย็นก็ไม่ไปรับหรอก ปลายรุ้งกลับเองได้”

“แต่กลับค่ำๆ คนเดียวมันอันตราย เราโตเป็นสาวแล้วนะปลายรุ้ง”

“ถ้าอย่างนั้นก็เจอกันที่ร้านเดิมค่ะ” ปลายรุ้งสรุปเองเสร็จสรรพแล้วหันไปหาเพื่อนของมารดา “ไปกันเถอะค่ะน้าเวียงดาว”

“อย่ากวนใจน้าเวียงดาวนะ”

ถึงสองคนนั้นจะไปด้วยกันแต่คนเป็นพ่อยังไม่วายสำทับไว้ ปลายรุ้งก็เอาพยักหน้าให้ เห็นอย่างนี้แล้วก็อดอบรมกันไม่ได้ แม้จะอยู่ต่อหน้าเวียงดาวก็ตาม

“แล้วก็อย่าพยักหน้าให้พ่อหรือผู้ใหญ่แบบนี้อีก” พอโดนเตือนปลายรุ้งก็ยิ่งหน้ายุ่งหน้าไปใหญ่ “ปลายรุ้ง พ่อบอก ฟังกันบ้างไหม”

“รู้แล้วเจ้าค่ะ แล้วก็ขออนุญาตออกไปกับน้าเวียงดาวเลยนะเจ้าคะ กราบสวัสดี”

“ปลายรุ้ง!”

ทรงพิทักษ์ยอมรับเลยว่าตกใจเมื่อเด็กสาวย่อตัวไว้ถอนสายบัวจนเข่าแทบติดพื้นดิน ไม่คิดว่าลูกจะประชดอย่างนี้ เรื่องโกรธนั่นเขาข่มใจได้อยู่ แต่ที่กังวลคือพฤติกรรมของลูกสาว ไม่เข้าใจเลยว่าที่ผ่านมาเขามัวแต่ไปเรียนต่อจนปล่อยให้ชยาตาเลี้ยงคนเดียวมากเกินไปหรือเปล่า ปลายรุ้งถึงไม่ฟังเขาเลย

คิดแล้วก็หนักใจจนถอนหายใจเฮือก ทว่าตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้เพราะปลายรุ้งควงแขนเพื่อนของชยาตาออกจากบ้านไปแล้ว คงไปโบกแท็กซี่กันหน้าหมู่บ้านกัน

แต่เวียงดาวจะเอาลูกสาวเขาอยู่ไหมล่ะ ก็เจ้าตัวแสบฤทธิ์มากเสียปานนั้น ขนาดคนเป็นพ่อยังปวดหัวเลย แต่ภาวนาให้รอดเถิด เวียงดาวเอ๋ย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น