8

ตอนที่ 8


 

“ว่ายังไงก็ว่ากัน พี่เชื่อใจเวียงดาวนะ” 

บทที่ 8

                เวียงดาวรออยู่หน้าผับอย่างอยู่ไม่สุข แต่อุ่นใจอยู่นิดหน่อยตรงที่ดรัณย์บอกว่าจะเข้าไปดูเด็กๆ ให้ เผื่อว่าปลายรุ้งย้ายโต๊ะหรือออกจากที่นี่ไปจะได้รู้ทัน

                เธอไม่รู้ว่าทรงพิทักษ์ถูกหลอกได้อย่างไรลูกสาวจึงออกมาเที่ยวได้ แต่รู้แน่ว่าโมโหมากตอนที่โทรบอกและรีบออกจากที่ทำงานมา จนเวียงดาวอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้จะเป็นฉนวนให้สองพ่อลูกทะเลาะกันอีกหรือไม่ แต่จะให้ละเลยไม่ยอมบอกก็ทำไม่ได้ เพราะปลายรุ้งทำกำลังทำผิดกฎหมาย อย่างไรเสียก็ต้องบอกผู้ปกครอง ต่อไปจะได้หาวิธีแก้ไขป้องกันไปด้วยกัน

                “เวียงดาว!” ยืนรออยู่ราวครึ่งชั่วโมงทรงพิทักษ์ก็เดินมาเข้ามาเธอด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ “ปลายรุ้งอยู่ที่ไหน”

                “ข้างในค่ะ น้องชายของเวียงดาวช่วยดูให้อยู่”

                “ขอบคุณนะ” คนหน้าตึงบอกเสียงหนัก “แต่เราอยู่ข้างนอกนี่แหละ ไม่ต้องเข้าไปหรอก ถ้าปลายรุ้งรู้ว่าเราเป็นคนบอกพี่ อาจจะโกรธเวียงดาวไปด้วยอีกคนก็ได้”

                “แต่พี่แทนก็ใจเย็นๆ นะคะ” เวียงดาวยังอดห่วงไม่ได้ “ค่อยๆ พูดกัน ถามเหตุผลของปลายรุ้งก่อนนะ”

“จะมีอะไรได้อีกนอกจากโกหกว่านอนอยู่บ้านแล้วหนีออกมาเที่ยว”

พ่อของปลายรุ้งคงตัดสินโทษลูกไว้ในใจแล้วแต่ไม่ยอมบอกเธอซ้ำยังเปลี่ยนเรื่องหนี

“ขอโทษนะที่เราต้องรบกวน แต่คุณติ๋วออกมาไม่ได้ แล้วพี่มันไม่มีเวลาจะดูแลปลายรุ้งให้เต็มที่อย่างที่แม่เขาว่าจริงๆ”

“แล้วพี่แทนจะทำยังไงต่อคะ” เธอยังห่วงปลายรุ้งจนแทบจะไม่ได้ฟังที่ทรงพิทักษ์ว่า “คงไม่ได้ตีปลายรุ้งหรอกนะ”

“ไม่ตีหรอก” น้ำเสียงนิ่งๆ ของทรงพิทักษ์เต็มไปด้วยการกลั้นเก็บอารมณ์โมโห “แต่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ แล้วริจะเที่ยวกลางคืนอย่างนี้ พี่ก็จะพาไปอยู่บนดอย”

“พี่แทน!”

ทรงพิทักษ์ไม่ฟังเธออีกแล้ว เดินพรวดๆ เข้าไปในร้านแต่เห็นได้ชัดว่ากำลังกลั้นอารมณ์โกรธอยู่ ทว่าเวียงดาวกลับมองว่ามันเป็นเหมือนลูกระเบิดที่ไม่รู้ว่าจะปะทุขึ้นตอนไหน แล้วปลายรุ้งจะเป็นอะไรมากไหมหากพ่อไม่ยอมฟังอะไรเลยแล้วเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่อยู่อย่างนี้

หญิงสาววิ่งตามด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่ทันคนตัวใหญ่ที่มุ่งหน้าก้าวเข้าผับไปด้วยความโมโห เธอไม่รู้ว่าทรงพิทักษ์มีญาณวิเศษอะไรจึงทำให้มองเห็นปลายรุ้งได้ง่ายดายหนัก หรืออาจเพราะสัมผัสของความเป็นพ่อ ทำให้เข้าไปถึงโต๊ะของลูกสาวอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนไม่มีใครหนีทัน

“หยุดเดี๋ยวนี้นะเวียงดาว!”

ไม่ทันที่เธอได้ก้าวเข้าไปหาสองพ่อลูกที่ทำท่าจะทะเลาะกัน เวียงดาวก็ถูกน้องชายคว้าแขนรั้งตัวไว้ไม่ให้เธอเข้าไปหาอย่างใจที่เป็นห่วง

“นั่นพ่อของเด็กคนนั้นใช่ไหม”

ดรัณย์หันไปมองผู้ชายร่างใหญ่ที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามาผ่าวงโต๊ะของกลุ่มเด็กสาวที่นั่งอยู่เกือบกลางร้าน และเธอก็พยักหน้าแทนคำตอบ

“ปล่อยพี่ก่อนน่าดรัณย์” หญิงสาวสั่งอย่างร้อนใจเป็นห่วงปลายรุ้ง “พี่ขอเข้าไปดูหน่อย พ่อเขายิ่งดุๆ อยู่ด้วย เกิดทะเลาะกันแล้วปลายรุ้งจะแย่เอา”

“แต่นั่นมันเป็นเรื่องครอบครัวเขานะเวียงดาว เราเข้าไปยุ่งไม่ได้”

“แต่ถ้าเรานิ่งดูดาย เด็กอาจจะมีปัญหาก็ได้นะ”

ดรัณย์ยอมแพ้และไม่เถียงอะไรกับเธออีก ปล่อยให้เดินเข้าหากลุ่มเด็กๆ ที่ทรงพิทักษ์ยืนนิ่งอยู่ หน้าดุเหมือนยักษ์ไม่มีผิด ยังไม่ได้พูดอะไร แต่เธอก็เห็นว่าปลายรุ้งตัวสั่นงันงก หนีไปไหนไม่ได้เพราะถูกพ่อกำแขนเอาไว้แน่น และคงกลัวพ่อเหลือเกินแล้ว

“น้าเวียงดาว…”

ปลายรุ้งเรียกเธอเสียงสั่นเมื่อเดินเข้าหา ในขณะที่เพื่อนๆ ของเด็กสาวฉวยโอกาสนี้วิ่งหนีออกไปหมด ทิ้งปลายรุ้งให้อยู่รับโทษกับพ่อเพียงผู้เดียว

“ช่วยปลายรุ้งด้วย” เด็กสาวมองเธออย่างมีความหวัง “ช่วยพูดกับคุณพ่อให้ทีนะคะ”

“ไม่ต้องไปขอให้คนอื่นช่วยเลยนะปลายรุ้ง!” คนเป็นพ่อดุเสียงแข็งจนสะเทือนมาถึงเธอ “เราโกหกพ่อแล้วหนีออกมาเที่ยว ไม่สำนึกผิดอะไรเลยใช่ไหม”

“ปลายรุ้งแค่มาฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”

“แต่นี่มันผิดกฎหมายนะน้อง” ดรัณย์แทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจนัก “เป็นเด็กเป็นเล็ก อายุยังไม่ถึงเลย มาเที่ยวผับได้ยังไง ถ้าจะฉลองสอบเสร็จจริงก็ไปที่อื่นที่เขาไม่ห้ามเด็กเข้าสิ”

“ก็เพื่อนมาพา”

“แล้วถ้าเขาพาไปลงนรกที่ไหน จะไปกับเขาไหมปลายรุ้ง!”

ทรงพิทักษ์ดุเสียงดังแล้วถลึงตามองจนทุกคนเงียบไปหมด แม้จะอยากช่วยปลายรุ้งพูดแค่ไหนแต่เวียงดาวก็พูดไม่ออก ทำได้เพียงยืนนิ่งแล้วหัวใจเต้นสั่นอย่างหวาดกลัว ไม่อยากนึกเลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

“ปลายรุ้งแค่ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว” เด็กสาวตอบเสียงสั่นเพราะความกลัว ทว่ายังจ้องหน้าพ่ออย่างน้อยใจ “คุณพ่อไม่รู้หรอกว่าอยู่บ้านคนเดียวมันเหงาแค่ไหน”

“เหงาก็ทำอย่างอื่นแก้เหงาไปสิ” ทรงพิทักษ์ไม่ยอมฟังเหตุผลนี้และยังเสียงแข็งไม่แพ้กัน “แล้วนี่คบเพื่อนประเภทไหน ทำไมพากันทำตัวเหลวไหลอย่างนี้”

“คุณพ่ออย่ามาว่าเพื่อนของปลายรุ้งนะ!”

“นี่พ่อเป็นพ่อเรานะปลายรุ้ง!”

ต่างคนต่างขึ้นเสียงใส่กันจนตึงเครียดไปหมดอย่างไม่มีใครยอมใคร และเวียงดาวก็ไม่กล้าพูดแทรกอะไรอีกเลย ตอนนี้ทำได้เพียงยืนลุ้นว่าจะไม่มีอะไรแตกหัก ไม่พ่อก็ลูกยอมใจเย็นลงกันคนก่อน ฟังกันให้มากกว่านี้ เผื่อความเข้าใจจะทำให้ความโกรธหายใจ

“แล้วถ้าอยู่กรุงเทพฯ มันมีปัญหานัก ก็ไปอยู่ต่างจังหวัดแล้วกัน”

“ปลายรุ้งไม่ไปนะคะ!”

“อย่าเถียงพ่อ” เขาสั่งเสียงแข็งจนปลายรุ้งไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย “กลับบ้านเดี๋ยวนี้”

ทรงพิทักษ์ไม่ฟังใครอีกแล้ว กระชากแขนลูกสาวออกจากร้านไปอย่างที่ใครก็ห้ามไม่ทัน… สิ่งเดียวที่เวียงดาวเห็นคือน้ำตาของเด็กสาวที่คลอขึ้นมาเต็มดวงตา และไม่อาจเดาต่อได้เลยว่าต่อจากนี้ปลายรุ้งจะเป็นอย่างไร

 

ตอนนั้นเธออย่างวิ่งตามเข้าไปห้ามแต่ดรัณย์ดึงแขนไว้ สั่งห้ามและเตือนว่าอย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งกับสองพ่อลูกมากไปกว่านี้เลย

เหตุผลของน้องชายทำให้เวียงดาวพอจะใจเย็นลงบ้าง เธอเชื่อที่น้องบอกว่าทรงพิทักษ์จะไม่มีทางตีลูก และเด็กทำผิดก็ต้องถูกทำโทษบ้าง เข็ดหลาบให้วันนี้ดีกว่าให้เสียคนในวันหน้า ปลายรุ้งทำผิดจริงก็ต้องรู้จักรับผิดให้สำนึก แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรง

แต่เธอก็ห่วงอยู่ดี

เวียงดาวยังหดหู่อยู่แม้จะกลับถึงห้องพักแล้ว คราวนี้ไม่มีใครคอยห้ามอะไรอีกเพราะดรัณย์ไปเที่ยวต่อกับพี่ท็อป ให้พี่ส้มมาส่งเธอที่อะพาร์ตเมนต์แต่ก็ไม่ได้เชิญเข้าห้องเพราะดึกมากแล้ว แต่อย่างนี้ก็ดีเพราะเธอปั้นหน้ายิ้มไม่ไหวอีกต่อไป ห่วงปลายรุ้งเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าชยาตาจะรู้เรื่องนี้หรือยัง

“อ้าวเวียงดาว ทำไมวันนี้กลับดึกจัง”

ชยาตาเปิดประตูห้องพักได้ก็ทักเธอแล้วยิ้มหวานหลังจากที่เธอยืนเคาะอยู่พักหนึ่ง ทำให้เวียงดาวเดาได้ไม่ยากว่ายังไม่รู้เรื่องว่าตอนนี้ลูกกับสามีอาจจะกำลังทะเลาะกันอยู่

“วันนี้พี่ติ๋วได้คุยกับพี่แทนหรือยังไงคะ”

พอเธอถามอย่างนั้นคนที่หนีมาซ่อนตัวก็ส่ายหน้าอย่างงุนงง

“แล้วยังไม่รู้ด้วยใช่ไหมว่าวันนี้ปลายรุ้งหนีเที่ยวกลางคืน”

“อะไรนะ!”

“ได้ยินว่าพี่แทนเลิกงานดึกน่ะค่ะ ปลายรุ้งก็เลยไปเที่ยวกับเพื่อนๆ” เวียงดาวเล่าอย่างเหนื่อยใจพลางเดินเข้ามาในห้องพักของชยาตา “นี่เวียงดาวไปเที่ยวนั่นพอดีก็เลยโทรบอก แต่เห็นพี่แทนโกรธมากเลยนะคะ”

“แล้วปลายรุ้งเป็นยังไงบ้าง!” คนเป็นแม่ร้องเสียงแหลมจนหน้าซีดไปหมด “แทนคงไม่ได้ทำโทษอะไรใช่ไหม”

“พี่แทนบอกว่าจะไม่ตีนะคะ” คนได้ยินมาอย่างนั้นถอนหายใจยาว “แต่ไม่รู้จะทำโทษอย่างอื่นไหม นี่ได้ยินพูดๆ อยู่เหมือนกันว่าจะพาปลายรุ้งไปอยู่บนดอย”

“ไม่ได้นะ!” ชยาตายังร้องเสียงแหลมจนหน้าซีดไปหมด “ถ้าไปก็เท่ากับให้ปลายรุ้งหยุดเรียนดนตรีทุกอย่างเลยนะสิ ทำอย่างนั้นลูกสาวพี่แย่แน่”

“เวียงดาวก็ว่าอย่างนั้นแหละคะ” เธอเห็นด้วยกับชยาตาแต่ด้วยคนละเหตุผลกัน “ถ้าทำอย่างนั้นพี่แทนก็แก้ปัญหาไม่ถูกจุด แล้วถ้าไปจริงอาจจะทะเลาะกันหนักกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้นะคะ”

“ขอพี่คุยกับแทนก่อนนะ ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้เอาลูกไปหรอก”

ชยาตาดูหัวเสียเหมือนกัน แล้วคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปคุยกับทรงพิทักษ์ที่นอกระเบียง คงไม่อยากให้เธอฟังด้วยเสียเท่าไหร่แต่เวียงดาวก็อดอยากรู้ไม่ได้ แม้จะรู้ว่านี่เป็นเรื่องภายในครัวไม่ควรจะสอดรู้สอดเห็นให้มากเกินไปก็ตาม

ที่เป็นห่วงคงเพราะเธอมายืนในจุดที่เป็นคนดูแลปลายรุ้งแล้ว เวียงดาวก็วิตกกังวลไปหมด อยากรู้เหลือเกินว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร… ทรงพิทักษ์จะยอมทำตามที่ภรรยาขอร้องหรือเปล่า

“ไม่ยอมฟังเลยเวียงดาว เอาแต่จะไปท่าเดียว”

ชยาตาบ่นกะฟัดกะเพียดหลังจากกลับเข้ามาในห้องพักอีกรอบและวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว

“นี่ยังให้พี่เตรียมตัวอีก บอกว่าจะไปทำงานที่โน้นแล้วให้ย้ายไปด้วยกันทั้งสามคน แต่จะไปได้ยังไงล่ะ พี่ไม่อยากย้ายที่อยู่เสียหน่อย โอ๊ย! พี่ปวดหัวจริงๆ”

“แล้วพี่ติ๋วจะไปกับเขาไหมคะ” เห็นชยาตาบ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงเธอก็ไม่ค่อยจะกล้าถามนักแต่อยากรู้อยู่ดี “ถ้าไปจริงๆ จะไปอยู่ไหนกัน”

“บนดอย!” สงสัยทรงพิทักษ์จะบอกภรรยาเหมือนที่บอกเธอในผับ “แทนนะแทน ทำไมไม่รู้จักฟังคนอื่นบ้างนะ ชักจะทำตัวเผด็จการมากขึ้นทุกวัน”

“แล้ว… เมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้เหรอคะ”

พออยู่กับคนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของพี่แทนมาตลอดเวลาที่เธอไม่เห็น เวียงดาวก็อดถามไม่ได้ ทว่ามาเห็นชยาตาถอนหายใจเฮือก เธอก็ใจหายไปเหมือนกัน

“ตอนเรียนแพทย์เขาค่อนข้างเครียดน่ะ ต้องคอยตัดสินใจตลอดเวลาว่าจะรักษาคนไข้ยังไง แล้วบางทีก็ต้องตัดสินใจในสถานการณ์คับขัน แทนก็คงอยู่ในอารมณ์กดดันตลอด…”

 “แล้วพี่แทนก็ตัดสินใจไม่ค่อยพลาดด้วยใช่ไหมคะ” คำตอบของคนที่อยู่กับทรงพิทักษ์มาตลอดสิบห้าปีทำให้เวียงดาวพอจะเข้าใจเขามากขึ้น “มิน่าถึงได้เชื่อมั่นในตัวเองนักจนไม่ยอมฟังใครเลย”

“ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้แทนพาปลายรุ้งไปอยู่ต่างจังหวัดหรอกนะ” ชยาตายังมุ่งมั่นกับเรื่องนี้ “แต่จะทำยังไงดีล่ะเวียงดาว เมื่อกี้คุยกันก็ไม่ยอมท่าเดียว… คนดื้อเงียบอย่างแทน ไม่เห็นโรงศพไม่หลังน้ำตาหรอก”

บ่นจบแล้วชยาตาก็ถอนหายใจยาวแต่ดูหนักใจพอๆ กับจนปัญญา เห็นอย่างนั้นเวียงดาวก็เป็นห่วง อยากช่วยหาทางออกให้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรคนที่เชื่อมั่นในความคิดตัวเองสูงอย่างทรงพิทักษ์จะยอมฟังคนอื่นบ้าง

‘ไม่เห็นโรงศพ ไม่หลั่งน้ำตา’

จู่ๆ คำที่ชยาตาบ่นเมื่อครู่ก็แล่นเข้าในหัว… เป็นคำที่ทำให้เวียงดาวรู้แล้วว่าทรงพิทักษ์เป็นพวกดื้อเงียบ หัวรั้นไม่ฟังใคร และเธอต้องรับมือด้วยการชี้แจงด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงอย่างใจเย็นที่สุด

“พี่ติ๋ว เวียงดาวรู้แล้วค่ะว่าทำยังไงพี่แทนถึงจะยอมฟังเราบ้าง”

“มีแผนแล้วใช่ไหม!” ชยาตาถามอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความหวัง “ว่ามาเลยเวียงดาว ต้องทำยังไงบ้าง”

“พี่ติ๋วโทรบอกพี่แทนใหม่นะคะ ว่าพรุ่งนี้เวียงดาวจะพาปลายรุ้งไปเที่ยวต่างจังหวัด”

“หืม? ทั้งที่แทนเขากำลังจะพาปลายรุ้งไปอยู่ต่างจังหวัดเนี่ยนะ” ชยาตาถามอย่างไม่เข้าใจ “อย่างนี้ไม่เท่ากับเข้าทางแทนเหรอ เกิดเขาไปชอบต่างจังหวัดขึ้น บังคับให้ปลายรุ้งไปอยู่ที่นั่น ลูกสาวพี่จะอยู่ในที่ที่ไม่อยากอยู่ได้ยังไง”

“ก็คงมีทั้งคนชอบและไม่ชอบนั่นล่ะคะพี่ติ๋ว แต่เวียงดาวสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น