10

บทที่ 10


อาทิตย์อัสดง สะท้อนบนผืนน้ำ

 

ณ เรือนหนิงจิ้ง ยามเหมา[1]

สำรับที่หลงเหลือจากมื้อเช้าถูกยกบ่าวไพร่ยกออกไปจากเรือนอย่างเงียบเชียบ บุรุษในอาภรณ์สีดำบ่งบอกฐานะผู้ปกครองแห่งเกาะดอกเหมยนั่งอยู่หลังฉากกั้น ครั้นยกหน้ากากขึ้นสวมเรียบร้อยก็สาวเท้าออกมาพบบ่าวคนสนิทซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”

ซางฉือขยับกายเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายความอึดอัด ถึงอย่างไรก็ต้องรายงานไปตามความเป็นจริง “หลายวันมานี้นายหญิงไม่ยอมให้แม่นางตู้หรือแม่นางม่อเข้าพบเลยขอรับ”

ร่างสูงโปร่งยังคงรักษาความสุขุมไว้ดังเดิม ไร้สุ่มเสียงตอบรับ จนผู้เป็นบ่าวเลือกที่จะทำลายความเงียบนี้เสียเอง

“ท่านเจ้าเกาะจะไม่ทำอันใดเลยหรือขอรับ” เขาถามอย่างมีความหวัง รู้สึกสงสารดรุณีทั้งสองขึ้นมาจับใจ หากท่านเจ้าเกาะออกหน้าให้พวกนาง ไม่ว่าอย่างไรนายหญิงย่อมต้องโอนอ่อนให้อย่างแน่นอน

“ท่าทีของพวกนางเป็นเช่นไรบ้าง” เผิงซือเยียนกลับตอบเขาด้วยคำถาม

“แม่นางม่อฉุนเฉียวดังเพชรหึง แต่แม่นางตู้ยังนิ่งสงบอยู่ขอรับ”

เผิงซือเยียนพยักหน้าช้าๆ แววตาใคร่ครวญพิจารณาอยู่นาน ซางฉือครุ่นคิดว่าผู้เป็นนายคงหาทางช่วยเหล่าแม่นางอยู่จึงก้มหน้าลงเล็กน้อย รอฟังอย่างตั้งใจ

“นางถามถึงข้าบ้างหรือไม่”

คำถามที่เหนือความคาดหมายส่งผลให้ผู้รอผงกศีรษะขึ้นมาสบตาเขา สีหน้าไม่มั่นใจคล้ายได้ยินไม่ชัดเจน “ท่านพูดว่า?”

ผู้สวมหน้ากากกระแอมไอ “นางได้พูดหรือถามถึงข้าบ้างหรือไม่”

“เอ่อ...” ซางฉือลากเสียงยาวขณะที่ครุ่นคิดไปด้วย สามวันที่ผ่านมานี้เขาคอยนำทางสตรีทั้งสองไปยังเรือนเคียงวารีทุกวันในช่วงเช้าและบ่าย หากให้นั่งนึกถึงเรื่องที่พูดคุยกันทั้งหมดก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร

ครานี้เป็นทีของเผิงซือเยียนบ้างที่ยืนนิ่ง รอฟังคำอย่างตั้งใจ

“ไม่มีเลยขอรับ”

คำตอบที่ได้นั้นกลับทำให้ประกายคาดหวังในแววตาท่านเจ้าเกาะจางหายไปทันควัน ชายหนุ่มหันแผ่นหลังให้กับบ่าวรับใช้ผู้มีสีหน้ามึนงง

 “ท่านเจ้าเกาะ...” ซางฉือมิอาจตามอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ทันการณ์

ปกติแล้วเผิงซือเยียนมิใช่คนอารมณ์อ่อนไหว แต่เดิมค่อนข้างนิ่งเฉยมินำพาต่อสิ่งใดเสียด้วยซ้ำ เขารับใช้นายมาหลายปีก็เพิ่งจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ครั้งแรก แม่นางตู้ดูจะมีอิทธิพลต่อท่านเจ้าเกาะมากขึ้นเรื่อยๆ

“หากนางไม่ได้ขอความช่วยเหลือ ย่อมหมายความว่านางยังไหว ต่อจากนี้ให้ทำตัวเช่นที่ผ่านมา”

“ขอรับ” ซางฉือเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้น “ท่านเจ้าเกาะ ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแม่นางตู้เคยถามถึงคุณหนูซือซือขอรับ”

ร่างสูงโปร่งหมุนกายกลับมา “แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร”

“ข้าน้อยพูดเพียงว่าคุณหนูออกเรือนแล้วขอรับ”

ท่านเจ้าเกาะพยักหน้า ดูท่าตู้ชินอ้ายจะกระตือรือร้นในการตามหาตัว พี่สาว เหลือเกิน

“นางไม่ถามนอกเหนือจากนี้ใช่หรือไม่”

“ขอรับ”

“เจ้าไปเถิด...

ชายหนุ่มกล่าวจบก็ละสายตาจากร่างที่จากไป เหม่อมองบานหน้าตากว้างที่เปิดกว้าง ตงเทียนยังคงดำเนินต่อไปดังเช่นที่ผ่านมา สายลมเย็นพัดโชยส่งผลให้ม่านผ้าโปร่งโบกพลิ้ว

ตู้ชินอ้าย หลายวันนี้มีเพียงข้าคิดถึงเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวหรอกหรือ...’

มิทันไรหิมะก็โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา ดูนิ่มนวลและหงอยเหงาราวกับสายฝนก็มิปาน

 

ทางด้านหนึ่งบุรุษอันดับหนึ่งแห่งเกาะดอกเหมยกำลังเฝ้าคอยในบางคน ขณะเดียวกันสตรีสองนางซึ่งเพิ่งถูกกล่าวถึงกำลังนั่งปรึกษาหารือกันในเรือนตนเอง

ชินอ้ายกับม่อลี่นั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีโต๊ะกลมคั่นกลาง กลุ่มควันล่องลอยส่งกลิ่นหอมโชยจากถ้วยเล็กดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้บรรยากาศไม่เคร่งเครียดจนเกินไปนัก

ไม่สิ...มันคงเป็นเพียงคลื่นลมสงบก่อนที่พายุจะมาต่างหาก

ปึง!!

ชินอ้ายมองน้ำชาที่กระฉอกออกมาจากถ้วยอย่างแสนเสียดาย ก่อนจะเบือนไปยังใบหน้าของคนทำเสียงดังในจังหวะต่อมา

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” รูจมูกทั้งสองของผู้กล่าวขยายกว้างตามอารมณ์ที่คุกกรุ่น นางหายใจฟึดฟัดราวกับตนเองเป็นพญาราชสีห์ น่าเสียดายเหลือเกินที่ในสายตาของดรุณีน้อย ม่อลี่ก็เป็นได้เพียงลูกแมวแยกเขี้ยวที่กำลังโมโหร้ายเท่านั้น

“เสี่ยวลี่...

“ประเดี๋ยวก็บอกว่าไม่สบาย ประเดี๋ยวก็บอกว่าไม่สะดวก ประเดี๋ยวก็บอกว่าพักผ่อนอยู่ คนบ้าอะไรจะงานยุ่งจนไม่สบายบ่อยถึงเพียงนั้น” นางเว้นจังหวะเพื่อพักหายใจก่อนจะเริ่มบ่นต่อ “ฮึ! ก่อนหน้านี้ยังวางท่าเชิดคอขับไล่ข้าอยู่เลย นางทำเยี่ยงนี้เจตนากลั่นแกล้งพวกเราชัดๆ! ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา”

“ใจเย็นก่อน”

ม่อลี่ถลึงตามอง “ชินอ้ายตั้งแต่เกิดมาเจ้าเคยโมโหหรือโกรธใครกับเขาบ้างไหม เหตุใดจึงยังนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนเยี่ยงนี้”

ชินอ้ายนิ่งไป ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นคนใจเย็นดังที่อีกฝ่ายกล่าวหาหรือไม่ สำหรับนางแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง ในเมื่อนางมั่นใจว่าจะไม่ถูกขับไล่ออกไปจากเกาะดอกเหมย เรื่องนี้ก็ถือว่ายังอยู่ในขั้นที่ทนได้

“ฮูหยินอาจจะยุ่งจริงๆ ก็เป็นได้ ในเมื่อท่านเจ้าเกาะเองยังต้องออกจากจวนริมผาแทบทุกวัน”

เด็กสาได้ฟังเช่นนั้นกก็หน้ามุ่ยไปพักหนึ่ง ก่อนจะตบมือเข้าหากันเพื่อคิดอะไรดีๆ ออก “จริงสิ! ชินอ้าย เราไปฟ้องกันท่านเจ้าเกาะกันเถิด”

“เสี่ยวลี่ เราจะไปฟ้องเขาเพื่ออะไรขึ้นมาหรือ อีกอย่าง...ข้ายังไม่โตพอเลย” คำสุดท้ายนางกล่าวแผ่วเบาราวกับกำลังพึมพำอยู่กับตนเอง

หลายวันมานี้ชินอ้ายมักจะเผลอนึกถึงคำพูดที่ท่านเจ้าเกาะบอกกับนางอยู่บ่อยๆ ทว่าครานี้เด็กสาวก็เลือกที่จะไม่ปรึกษากับม่อลี่ดังเช่นที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคราก่อนยังคงเช็ดไม่หาย ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มแผ่กลิ่นอายน่าอึดอัดดังเช่นครานั้นอีก ไหนจะยังมีเรื่องน้องสาวของท่านเจ้าเกาะที่นางยังมิอาจหาคำตอบได้ว่าจะใช่ พี่สาว ของนางหรือไม่

ความคิดของเด็กสาวสะดุดลงเมื่อใบหน้าของม่อลี่งอง้ำยิ่งกว่าเดิม “ชางเลี่ยงหงไม่ยอมให้เราเข้าพบ ไม่ยอมรับคำขอขมาก็เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับเรา เราสองคนอยู่ที่นี่ เป็นคนต่างถิ่น ไม่มีพรรคพวก ถ้าไม่ให้ขอความช่วยเหลือกับท่านเจ้าเกาะแล้วจะไปให้ขอผู้ใดกันเล่า” 

“ในเมื่อเรายังพยายามไม่ถึงที่สุด อดทนไม่ถึงขีดสุดก็หมายความว่าเรายังมีความหวัง” นางพูดในสิ่งที่คิด

“ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว” ม่อลี่พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เท้าหน้าผากลงบนโต๊ะ ท่าทีราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก

เจ้าของดวงตาหวานลอบยิ้มให้กับท่าทางของสหายคนสนิท ก่อนที่มันจะเบือนไปยังบานหน้าต่าง ครั้นเห็นเกล็ดหิมะบางเบาล่วงหล่นจากฟ้าก็บังเกิดความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง สุดท้ายจึงชักชวนผู้ที่ฟุบหน้าอยู่ “เสี่ยวลี่ เราออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะกันดีหรือไม่”

ม่อลี่ผงกศีรษะขึ้นมาจากโต๊ะ “ตุ๊กตาหิมะรึ”

ชินอ้ายพยักหน้า พวกนางอยู่ที่เกาะดอกเหมยมาได้เก้าวันแล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกันดังปีก่อนๆ หวังว่าเรื่องนี้จะช่วยทำให้ตนเองและสหายผ่อนคลายลงได้บ้าง

แน่นอนว่านางยังไม่ตัดใจเรื่องการไปขอขมา แต่การพักกายและใจก็เป็นเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน...สิ่งนี้ท่านลุงลั่วเคยสอนนางไว้ในวัยเยาว์

“ก็ได้” อีกฝ่ายตอบรับในที่สุด ที่ผ่านมามัวแต่เสียเวลาหงุดหงิดสตรีบ้าอำนาจผู้นั้น เลยเผลอลืมไปเสียสนิทว่าตั้งแต่หายไข้ก็ยังไม่มีโอกาสออกไปเที่ยวชมทัศนียภาพด้านนอก “เราจะไปที่ใดกันเล่า” สีหน้าของนางพลันสดใสขึ้น

“หากเราไม่อยากให้พี่ๆ สาวใช้ติดตามไปด้วยก็ต้องไม่ออกจากจวน...คราก่อนข้าเดินผ่านเห็นสวนเล็กๆ อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก”

ม่อลี่พยักหน้าก่อนจะเดินไปคว้าร่มสองคันซึ่งวางพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล ปกติชินอ้ายมิใช่คนชอบเดินทางไกลหรือออกกำลังกายอยู่แล้ว การที่เจ้าของใบหน้าน่ารักชักชวนนางออกไปข้างนอกก็ไม่ต่างจากการเอาใจ ไม่ว่าจะชวนไปที่ใดนางก็ยินดีทั้งนั้น

ร่มสีแดงสดคล้ายคลึงกับดอกเหมยในป่าเหมยแดงวันนั้น หิมะสีขาวตกลงมามิทันไรก็หยุดลงราวกับเห็นใจ สตรีสองนางในชุดสีสดแรกเริ่มช่วยกันปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกันดี แต่ไปๆ มาๆ เริ่มปั้นหิมะเป็นก้อนกลมแล้วปาใส่กันแทน ชินอ้ายทั้งกระโดดทั้งวิ่งหนี ม่อลี่ปาโดนบ้างไม่โดนบ้าง พอชินอ้ายได้จังหวะก็ปาสวนกลับไปใส่หน้าสหายเข้าเต็มเปา ผู้สำลักหิมะเข้าไปในปากรีบคายออกมา เสียงหัวเราะสดใสที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานดังขึ้นในจวนริมผานี้

พวกนางมัวแต่เล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยมิทันสังเกตเลยว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนมองพวกนางมาได้สักพักหนึ่งแล้ว

ชางเลี่ยงหงมองความร่าเริงแจ่มใสและไร้เดียงสาเหล่านั้นเนิ่นนาน เด็กทั้งสองคล้ายคลึงกับผีเสื้อโบยบินอยู่ในก้อนเมฆาขาว ความเข้มงวดอคติในดวงตาหงส์พลันอ่อนลง นานเท่าไรแล้วที่นางไม่ได้ยินเสียงหัวเราะ คิดแล้วอดนึกถึงบุตรสาวที่เพิ่งแต่งงานออกเรือนไปไม่ได้ ในที่สุดก็กระซิบเรียกสาวใช้คนสนิทที่ช่วยพยุงมืออยู่

“เหยาเหยา”

“เจ้าค่ะ นายหญิง” เหยาเหยาก้มหน้าลง ไม่จำเป็นต้องสั่งให้มากความก็ย่อมเข้าใจประสงค์ของผู้เป็นนาย

นางหันหน้าไปยังเด็กสาวที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่พร้อมกับส่งเสียงออกไป “แม่นางตู้ แม่นางม่อนายหญิงมาพบพวกเจ้า”

มือของม่อลี่ที่กำลังจะปาก้อนหิมะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ของในมือร่วงหล่นลงมาใส่รองเท้า ความเย็นที่ซึมผ่านเข้ามายังผิวบอบบาง ส่งผลให้นางเด้งกระโดดถอยออกไปหลายก้าว

ชินอ้ายหันมายังกลุ่มคนผู้มาใหม่ นางเองก็ตกใจไม่น้อยแต่ก็มีอาการสงบเสงี่ยมมากกว่าอีกคน ร่างเล็กรีบตรงไปช่วยปัดหิมะออกจากรองเท้าของสหาย ก่อนที่ทั้งสองจะพากันมาทำความเคารพสตรีวัยกลางคน

“คารวะฮูหยิน หลายวันนี้ข้ากับเสี่ยวลี่อยากพบท่านเพื่อขอขมา...

“ช่างเถิด”

ร่างในอาภรณ์สีแดงเงยหน้าขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มั่นใจว่าตนเองได้ยินถูกต้องหรือไม่

“ยามนั้นเป็นเพราะข้าใจร้อนเองด้วย แต่ก็สาเหตุก็มาจาก...” ชางเลี่ยงหงเงียบไปพร้อมกับเปรยหางตาไปยังม่อลี่ เด็กสาวคงรู้ตัวที่เสียมารยาทไปจึงได้ยิ้มแห้งๆ พร้อมกับกล่าวขอโทษอีกครั้ง

“ขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ”

หากเป็นก่อนหน้านี้ ม่อลี่คงปั้นหน้าบึ่งใส่เพราะความโมโหจากการถูกกลั่นแกล้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล้ว แต่ยามนี้หลังจากได้เล่นสนุกกับชินอ้ายก็ช่วยให้หลงลืมความหมองใจที่เคยมี มิหนำซ้ำยังมองว่าการที่โมโหไปมันช่างสูญเปล่าสิ้นดี ในเมื่อผู้ที่ร้อนรุ่มคือนางมิใช่ชางเลี่ยงหง

ในเมื่ออีกฝ่ายยอมลงให้แล้ว พวกนางก็ยิ่งต้องนอบน้อมที่สุดเพื่อให้เรื่องมันจบ

เรื่องจะว่ายากมันก็ยาก แต่บทมันจะง่ายกลับคลี่คลายได้อย่างง่ายดายยิ่ง...

พวกนางมุ่งหน้าไปยังเรือนเคียงวารีเพื่อยกน้ำชาขอขมาอย่างเป็นทางการ ครั้นเสร็จสิ้นพิธีดังกล่าวทั้งสองก็หายใจได้โล่งขึ้น ในที่สุดก็ได้ยกภูเขาออกจากอกเดิมทีคิดว่าหมดเรื่องแล้วก็แยกย้าย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกนางถูกเชิญให้ร่วมมื้อเที่ยง

เดิมทีม่อลี่รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่พอได้กินอาหารรสเลิศก็เลือกที่จะดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเจ้าของเรือนหันไปกล่าวบางสิ่งกับร่างเล็กที่วางตะเกียบลงบนถ้วยเปล่าอย่างสงบเสงี่ยม

“ตู้ชินอ้าย ข้าจะออกไปนอกจวนเสียหน่อย เจ้ายินดีจะไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่”

แน่นอนว่าดรุณีน้อยตอบรับคำเชิญในทันที “ยินดีเจ้าค่ะ”

การชักชวนของชางเลี่ยงหงส่งผลให้นางนึกถึงยามที่ท่านเจ้าเกาะชักชวนนางไปยังหมู่บ้านใบชา สองคนนี้สมแล้วที่ผูกพันกันทางสายเลือด นิสัยบางส่วนจึงคล้ายคลึงกันไม่น้อย

ทว่าความคิดของชินอ้ายก็เป็นอันหยุดลงเมื่อสังเกตเห็นว่าม่อลี่จ้องนางเขม็ง ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตนเอง อ้าปากถามโดยไม่มีเสียงว่า

แล้วข้าล่ะ?

ยังไม่ทันที่ชินอ้ายจะได้ตอบ ชางเลี่ยงหงก็ออกคำสั่งอีกครา

“เหยาเหยา บอกคนเตรียมเกี้ยวให้พร้อม”

 

เด็กสาวและชางเลี่ยงหงเดินทางออกจากจวนริมผาในยามสาย คาดการณ์จากทิศทางแล้วน่าจะมุ่งไปยังทิศตะวันตก ยิ่งไต่ระดับขึ้นสูง ลมที่โบกผ่านม่านผ้าโปร่งผืนบางก็ยิ่งรุนแรงจนผมปลิวสะบัด ชินอ้ายตัดสินใจรวบผมทั้งหมดมาก้าวเป็นเปียยาวแล้วพาดไว้ด้านหน้าเพื่อไม่ให้สภาพของนางหลังออกจากเกี้ยวดูน่าเกลียดจนเกินไปนัก

การใช้คนแบกหามนั้นช้ากว่าม้าแต่ก็นิ่มนวลกว่ามาก นึกไปแล้วก็เสียดายแทนเสี่ยวลี่เหลือเกิน สหายของนางพลาดการออกมาข้างนอกอีกแล้ว มิหนำซ้ำสีหน้าของอีกฝ่ายยังดูกังวลเหลือเกิน

ในที่สุดการเคลื่อนไหวที่ดำเนินมายาวนานกว่าสองชั่วยามก็สิ้นสุดลง นางนึกสงสารพี่ชายทั้งหลายที่แบกตนเดินทางไกลจึงขอบคุณพวกเขาอย่างนอบน้อม ครั้นกวาดสายตามองรอบๆ ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้คือยอดเขาแห่งหนึ่งที่พื้นดินเป็นสีเข้ม ปราศจากหิมะปกคลุม แต่ลมที่พัดโกรกกลับรุนแรงมากกว่าที่จวนริมผาเสียอีก

ชินอ้ายกระชับเสื้อคลุมสีสดแน่นขึ้นก่อนจะเดินห่อไหล่ไปสมทบกับร่างในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ผิวอันเปล่งปลั่งของสตรีวัยกลางคนถูกขัดจนโดดเด่น ชางเลี่ยงหงดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงมากทีเดียว

“ฮูหยินเจ้าคะ ที่นี่คือ...

“เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายวันแต่คงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นทะเลยามเย็น ตะวันตกน้ำสิท่า” นางชี้ปลายนิ้วไปเบื้องหน้า เด็กสาวมองตามก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ท้องฟ้ายามเย็นสีแสดถูกแต่งแต้มด้วยเมฆาสีม่วงเข้มตัดขอบด้วยสีทองดูลึกลับน่าหลงใหล ทิพากรแดงสดสาดแสงนวลลงบนผืนน้ำ สีครามผสมเข้ากับสีเหลืองย้อมทะเลให้กลายเป็นสีเขียวแก่ สะท้อนระยิบระยับละลานตา ยามนี้ระยะห่างระหว่างสุริยันบนฟ้าและมหาสมุทรเบื้องล่างถูกแบ่งกั้นเพียงเส้นขอบฟ้าบาง เยี่ยนจื่อ[2]ฝูงใหญ่โบยบินพากันกลับรังให้ความรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมไปในคราวเดียว

“น่าเสียดายที่วันนี้มีเมฆมาก”

ชินอ้ายยังคงจับจ้องวงกลมสีแดงที่กำลังจมหายไปในน้ำอย่างเชื่องช้า “สวยงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” นางไม่อาจสรรหาคำพูดอื่นมาบรรยายสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพวิจิตรจนนางหลงลืมแม้กระทั่งจะหายใจ ชาวเกาะดอกเหมยช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน สวรรค์บนดินคงเป็นเช่นนี้เอง

“ตอนอายุสิบขวบ ซือเยียนก็ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาการค้าที่นอกเกาะ ตอนอายุสิบสามร่ำเรียนวรยุทธ์กับอาจารย์จนหมดสิ้น ตอนอายุสิบหกก็รับตำแหน่งจ้าวเกาะ...หลายปีมานี้เขาทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์พร้อมไร้ขอบกพร่องทุกประการ”

จู่ๆ ผู้อาวุโสก็เล่าเรื่องของบุตรชายตนขึ้นมา ชินอ้ายพยักหน้า

“ท่านเจ้าเกาะนับเป็นบุรุษที่น่าเลื่อมใส”

“ใช่” ชางเลี่ยงหงพยักหน้า แววตานั้นมีความภาคภูมิใจอยู่เต็มล้น ร่างเล็กยิ้มน้อยๆ เชื่อมั่นว่าฮูหยินรักท่านเจ้าเกาะมาก ที่ผ่านมาคงมิได้มีเจตนาทำร้ายความรู้สึกของเขา

“เพราะเขาสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ ข้าจึงอยากให้เขามีคู่ครองที่เหมาะสม สามารถช่วยเหลือเกื้อกูล ช่วยแบ่งเบาภาระให้เขาได้”

ครานี้ชินอ้ายนิ่งฟังโดยไม่พูดอะไร เหยาเหยาปูผ้าให้คนทั้งสองได้นั่งพักผ่อน ส่งชาที่เพิ่งอุ่นร้อนให้กับ นายหญิงยกมันขึ้นจิบทันทีขณะที่เด็กสาวเพียงรับมาถือไว้ในมืออย่างระมัดระวัง แม้ถ้วยน้ำชาจะช่วยให้มือของนางอุ่นขึ้น แต่หากไม่ระวังให้ดีมันอาจลวกเอาได้

“คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกได้สิ่งที่คู่ควรที่สุด...เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่”

แสงสุดท้ายของวันใกล้ลาลับ ประกายแสงแม้อ่อนแรงแต่ก็ยังสร้างความระยิบระยับบนผืนน้ำ ท้องฟ้าสีเข้มยามพลบค่ำแลเห็นดวงดาวริบหรี่

แต่ไม่ว่าจะเป็นหมู่ดาวบนผืนฟ้าหรือดวงดาราบนทะเลกว้าง...นางก็มีสิทธิ์เพียงแค่เฝ้ามอง มิอาจไขว่คว้ามาเป็นของตนเองได้ทั้งนั้น

คู่ควรหรือไม่?

ดวงตาหวานพลันหม่นหมองลง แต่ขณะที่นางกำลังพิจารณาคำพูดของชางเลี่ยงหงอยู่นั้น เสียงของท่านเจ้าเกาะแว่วขึ้นมาในโสตประสาท ทั้งดังและชัดเจนราวกับกำลังยืนอยู่เคียงข้าง

“ไม่เหงาแล้ว...

“เจ้าอยู่ก่อน”

“ไม่ให้กลับ!

มือที่วางกุมถ้วยชากระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ชินอ้ายตระหนักดีว่าตัวตนของเขาในจิตใจนางยิ่งนานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เสียงในใจก็ร้องบอกว่านางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปให้จงได้

“ขอบพระคุณฮูหยินที่ช่วยเปิดหูเปิดตา” ที่ผ่านมานางคิดสิ่งต่างๆ อย่างเรียบง่ายเกินไป มองทุกอย่างตื้นเขินยิ่งนัก ในที่สุดนางก็ได้เข้าใจแล้วว่านางเองก็ต้องออกแรงปกป้องจุดที่นางปรารถนาจะยืนอยู่ให้ดีที่สุด มิใช่แค่รั้งรอให้ท่านเจ้าเกาะดูแลอยู่ฝ่ายเดียว

ชางเลี่ยงหงได้ฟังดังนั้นก็ยกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก “เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี”

เด็กสาวคงเข้าใจเจตนารมณ์ที่นางต้องการสื่อ ไม่ว่าอย่างไรสตรีต่างถิ่นผู้นี้ย่อมตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะหยัดยืนอยู่เคียงข้างเผิงซือเยียนได้

สตรีวัยกลางคนยกชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ ตู้ชินอ้ายย่อมสมัครใจจากไปเองโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาบีบคั้นให้ยุ่งยาก คราก่อนดรุณีน้อยเคยพูดว่าจะยอมกลับเมืองหลวงมาหนหนึ่งแล้ว ยามนี้หากนางกล่าวขึ้นมาอีกครั้งก็จะไม่มีเผิงซือเยียนมาขัดขวางได้อีก

พูดออกมาสิข้ารอฟังอยู่ ร่างในอาภรณ์สีดำเร่งเร้าอยู่ในใจ

          “ต่อไปนี้ข้าจะพยายามฝึกฝนตนเองให้ก้าวหน้าจนกว่าฮูหยินจะเห็นชอบว่าข้าเหมาะสมจะยืนเคียงข้างท่านเจ้าเกาะได้เจ้าค่ะ”

          “แค่กๆ ๆ ” ร่างขาวผุดผ่องที่สำลักน้ำชาส่งผลให้เหยาเหยารีบแทรกกายเข้ามา สาวใช้ลูบแผ่นหลังให้ผู้เป็นนาย ท่าทีทั้งเป็นห่วงและกังวลเป็นอย่างยิ่ง

          “นายหญิง...

          ชินอ้ายเองก็ตกใจไม่แพ้กัน “ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

เสียงของดรุณีน้อยเรียกให้ดวงตาคู่งามที่แดงก่ำของชางเลี่ยงหงตวัดไปยังผู้ถาม ทั้งโมโหและขัดใจหากก็จนด้วยคำพูด เด็กคนนี้จะเรียกว่าซื่อบื้อจนไร้ทางเยียวยา หรือหัวรั้นดื้อดึงจนน่าปวดหัวดีเล่า

ครั้นหยุดไอแล้ว สตรีวัยกลางคนก็สูดหายใจเข้าลึก นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเฉียบขาดเยือกเย็น

ย่อมได้...ในเมื่อตู้ชินอ้ายเอ่ยปากว่าจะพัฒนาตนเอง นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กสาวตัวเล็กบางผู้นี้จะไปได้เสียกี่น้ำ!

กลางวันลาลับ ผืนฟ้ายามรัตติกาลเคลื่อนคล้อยมาทดแทน พร่างพรายเปล่งประกายแห่งความหวัง

เด็กสาวยกชาในถ้วยขึ้นจิบ ความอุ่นไหลผ่านลำคอลงไปช้าๆ วาโยกำลังกระซิบบอกนางว่าสัญญาณแห่งการเริ่มต้นครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 



[1]ยามเหมา คือ เวลาตั้งแต่ 05.00 – 06.59 .

[2]เยี่ยนจื่อ (燕子) หมายถึง นกนางแอ่น
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น