อาทิตย์อัสดง
สะท้อนบนผืนน้ำ
ณ
เรือนหนิงจิ้ง ยามเหมา[1]
สำรับที่หลงเหลือจากมื้อเช้าถูกยกบ่าวไพร่ยกออกไปจากเรือนอย่างเงียบเชียบ
บุรุษในอาภรณ์สีดำบ่งบอกฐานะผู้ปกครองแห่งเกาะดอกเหมยนั่งอยู่หลังฉากกั้น
ครั้นยกหน้ากากขึ้นสวมเรียบร้อยก็สาวเท้าออกมาพบบ่าวคนสนิทซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
ซางฉือขยับกายเล็กน้อยเพื่อผ่อนคลายความอึดอัด
ถึงอย่างไรก็ต้องรายงานไปตามความเป็นจริง
“หลายวันมานี้นายหญิงไม่ยอมให้แม่นางตู้หรือแม่นางม่อเข้าพบเลยขอรับ”
ร่างสูงโปร่งยังคงรักษาความสุขุมไว้ดังเดิม
ไร้สุ่มเสียงตอบรับ จนผู้เป็นบ่าวเลือกที่จะทำลายความเงียบนี้เสียเอง
“ท่านเจ้าเกาะจะไม่ทำอันใดเลยหรือขอรับ”
เขาถามอย่างมีความหวัง รู้สึกสงสารดรุณีทั้งสองขึ้นมาจับใจ
หากท่านเจ้าเกาะออกหน้าให้พวกนาง
ไม่ว่าอย่างไรนายหญิงย่อมต้องโอนอ่อนให้อย่างแน่นอน
“ท่าทีของพวกนางเป็นเช่นไรบ้าง”
เผิงซือเยียนกลับตอบเขาด้วยคำถาม
“แม่นางม่อฉุนเฉียวดังเพชรหึง
แต่แม่นางตู้ยังนิ่งสงบอยู่ขอรับ”
เผิงซือเยียนพยักหน้าช้าๆ
แววตาใคร่ครวญพิจารณาอยู่นาน ซางฉือครุ่นคิดว่าผู้เป็นนายคงหาทางช่วยเหล่าแม่นางอยู่จึงก้มหน้าลงเล็กน้อย
รอฟังอย่างตั้งใจ
“นางถามถึงข้าบ้างหรือไม่”
คำถามที่เหนือความคาดหมายส่งผลให้ผู้รอผงกศีรษะขึ้นมาสบตาเขา
สีหน้าไม่มั่นใจคล้ายได้ยินไม่ชัดเจน “ท่านพูดว่า?”
ผู้สวมหน้ากากกระแอมไอ
“นางได้พูดหรือถามถึงข้าบ้างหรือไม่”
“เอ่อ...”
ซางฉือลากเสียงยาวขณะที่ครุ่นคิดไปด้วย
สามวันที่ผ่านมานี้เขาคอยนำทางสตรีทั้งสองไปยังเรือนเคียงวารีทุกวันในช่วงเช้าและบ่าย
หากให้นั่งนึกถึงเรื่องที่พูดคุยกันทั้งหมดก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร
ครานี้เป็นทีของเผิงซือเยียนบ้างที่ยืนนิ่ง
รอฟังคำอย่างตั้งใจ
“ไม่มีเลยขอรับ”
คำตอบที่ได้นั้นกลับทำให้ประกายคาดหวังในแววตาท่านเจ้าเกาะจางหายไปทันควัน
ชายหนุ่มหันแผ่นหลังให้กับบ่าวรับใช้ผู้มีสีหน้ามึนงง
“ท่านเจ้าเกาะ...”
ซางฉือมิอาจตามอารมณ์ของผู้เป็นนายที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ทันการณ์
ปกติแล้วเผิงซือเยียนมิใช่คนอารมณ์อ่อนไหว
แต่เดิมค่อนข้างนิ่งเฉยมินำพาต่อสิ่งใดเสียด้วยซ้ำ
เขารับใช้นายมาหลายปีก็เพิ่งจะเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ครั้งแรก
แม่นางตู้ดูจะมีอิทธิพลต่อท่านเจ้าเกาะมากขึ้นเรื่อยๆ
“หากนางไม่ได้ขอความช่วยเหลือ
ย่อมหมายความว่านางยังไหว ต่อจากนี้ให้ทำตัวเช่นที่ผ่านมา”
“ขอรับ”
ซางฉือเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้น “ท่านเจ้าเกาะ
ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแม่นางตู้เคยถามถึงคุณหนูซือซือขอรับ”
ร่างสูงโปร่งหมุนกายกลับมา
“แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
“ข้าน้อยพูดเพียงว่าคุณหนูออกเรือนแล้วขอรับ”
ท่านเจ้าเกาะพยักหน้า
ดูท่าตู้ชินอ้ายจะกระตือรือร้นในการตามหาตัว ‘พี่สาว’
เหลือเกิน
“นางไม่ถามนอกเหนือจากนี้ใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“เจ้าไปเถิด...”
ชายหนุ่มกล่าวจบก็ละสายตาจากร่างที่จากไป
เหม่อมองบานหน้าตากว้างที่เปิดกว้าง ตงเทียนยังคงดำเนินต่อไปดังเช่นที่ผ่านมา
สายลมเย็นพัดโชยส่งผลให้ม่านผ้าโปร่งโบกพลิ้ว
‘ตู้ชินอ้าย หลายวันนี้มีเพียงข้าคิดถึงเจ้าอยู่ฝ่ายเดียวหรอกหรือ...’
มิทันไรหิมะก็โปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา
ดูนิ่มนวลและหงอยเหงาราวกับสายฝนก็มิปาน
ทางด้านหนึ่งบุรุษอันดับหนึ่งแห่งเกาะดอกเหมยกำลังเฝ้าคอยในบางคน
ขณะเดียวกันสตรีสองนางซึ่งเพิ่งถูกกล่าวถึงกำลังนั่งปรึกษาหารือกันในเรือนตนเอง
ชินอ้ายกับม่อลี่นั่งหันหน้าเข้าหากันโดยมีโต๊ะกลมคั่นกลาง
กลุ่มควันล่องลอยส่งกลิ่นหอมโชยจากถ้วยเล็กดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้บรรยากาศไม่เคร่งเครียดจนเกินไปนัก
ไม่สิ...มันคงเป็นเพียงคลื่นลมสงบก่อนที่พายุจะมาต่างหาก
ปึง!!
ชินอ้ายมองน้ำชาที่กระฉอกออกมาจากถ้วยอย่างแสนเสียดาย
ก่อนจะเบือนไปยังใบหน้าของคนทำเสียงดังในจังหวะต่อมา
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
รูจมูกทั้งสองของผู้กล่าวขยายกว้างตามอารมณ์ที่คุกกรุ่น
นางหายใจฟึดฟัดราวกับตนเองเป็นพญาราชสีห์ น่าเสียดายเหลือเกินที่ในสายตาของดรุณีน้อย
ม่อลี่ก็เป็นได้เพียงลูกแมวแยกเขี้ยวที่กำลังโมโหร้ายเท่านั้น
“เสี่ยวลี่...”
“ประเดี๋ยวก็บอกว่าไม่สบาย
ประเดี๋ยวก็บอกว่าไม่สะดวก ประเดี๋ยวก็บอกว่าพักผ่อนอยู่
คนบ้าอะไรจะงานยุ่งจนไม่สบายบ่อยถึงเพียงนั้น” นางเว้นจังหวะเพื่อพักหายใจก่อนจะเริ่มบ่นต่อ
“ฮึ! ก่อนหน้านี้ยังวางท่าเชิดคอขับไล่ข้าอยู่เลย
นางทำเยี่ยงนี้เจตนากลั่นแกล้งพวกเราชัดๆ!
ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา”
“ใจเย็นก่อน”
ม่อลี่ถลึงตามอง
“ชินอ้ายตั้งแต่เกิดมาเจ้าเคยโมโหหรือโกรธใครกับเขาบ้างไหม
เหตุใดจึงยังนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนเยี่ยงนี้”
ชินอ้ายนิ่งไป
ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นคนใจเย็นดังที่อีกฝ่ายกล่าวหาหรือไม่
สำหรับนางแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง
ในเมื่อนางมั่นใจว่าจะไม่ถูกขับไล่ออกไปจากเกาะดอกเหมย
เรื่องนี้ก็ถือว่ายังอยู่ในขั้นที่ทนได้
“ฮูหยินอาจจะยุ่งจริงๆ
ก็เป็นได้ ในเมื่อท่านเจ้าเกาะเองยังต้องออกจากจวนริมผาแทบทุกวัน”
เด็กสาได้ฟังเช่นนั้นกก็หน้ามุ่ยไปพักหนึ่ง
ก่อนจะตบมือเข้าหากันเพื่อคิดอะไรดีๆ ออก “จริงสิ! ชินอ้าย
เราไปฟ้องกันท่านเจ้าเกาะกันเถิด”
“เสี่ยวลี่
เราจะไปฟ้องเขาเพื่ออะไรขึ้นมาหรือ อีกอย่าง...ข้ายังไม่โตพอเลย”
คำสุดท้ายนางกล่าวแผ่วเบาราวกับกำลังพึมพำอยู่กับตนเอง
หลายวันมานี้ชินอ้ายมักจะเผลอนึกถึงคำพูดที่ท่านเจ้าเกาะบอกกับนางอยู่บ่อยๆ
ทว่าครานี้เด็กสาวก็เลือกที่จะไม่ปรึกษากับม่อลี่ดังเช่นที่ผ่านมา
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคราก่อนยังคงเช็ดไม่หาย
ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มแผ่กลิ่นอายน่าอึดอัดดังเช่นครานั้นอีก
ไหนจะยังมีเรื่องน้องสาวของท่านเจ้าเกาะที่นางยังมิอาจหาคำตอบได้ว่าจะใช่ ‘พี่สาว’ ของนางหรือไม่
ความคิดของเด็กสาวสะดุดลงเมื่อใบหน้าของม่อลี่งอง้ำยิ่งกว่าเดิม
“ชางเลี่ยงหงไม่ยอมให้เราเข้าพบ
ไม่ยอมรับคำขอขมาก็เท่ากับประกาศตัวเป็นศัตรูกับเรา เราสองคนอยู่ที่นี่
เป็นคนต่างถิ่น ไม่มีพรรคพวก
ถ้าไม่ให้ขอความช่วยเหลือกับท่านเจ้าเกาะแล้วจะไปให้ขอผู้ใดกันเล่า”
“ในเมื่อเรายังพยายามไม่ถึงที่สุด
อดทนไม่ถึงขีดสุดก็หมายความว่าเรายังมีความหวัง” นางพูดในสิ่งที่คิด
“ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว”
ม่อลี่พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เท้าหน้าผากลงบนโต๊ะ
ท่าทีราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก
เจ้าของดวงตาหวานลอบยิ้มให้กับท่าทางของสหายคนสนิท
ก่อนที่มันจะเบือนไปยังบานหน้าต่าง
ครั้นเห็นเกล็ดหิมะบางเบาล่วงหล่นจากฟ้าก็บังเกิดความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง
สุดท้ายจึงชักชวนผู้ที่ฟุบหน้าอยู่ “เสี่ยวลี่
เราออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะกันดีหรือไม่”
ม่อลี่ผงกศีรษะขึ้นมาจากโต๊ะ
“ตุ๊กตาหิมะรึ”
ชินอ้ายพยักหน้า
พวกนางอยู่ที่เกาะดอกเหมยมาได้เก้าวันแล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกันดังปีก่อนๆ
หวังว่าเรื่องนี้จะช่วยทำให้ตนเองและสหายผ่อนคลายลงได้บ้าง
แน่นอนว่านางยังไม่ตัดใจเรื่องการไปขอขมา
แต่การพักกายและใจก็เป็นเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน...สิ่งนี้ท่านลุงลั่วเคยสอนนางไว้ในวัยเยาว์
“ก็ได้”
อีกฝ่ายตอบรับในที่สุด ที่ผ่านมามัวแต่เสียเวลาหงุดหงิดสตรีบ้าอำนาจผู้นั้น
เลยเผลอลืมไปเสียสนิทว่าตั้งแต่หายไข้ก็ยังไม่มีโอกาสออกไปเที่ยวชมทัศนียภาพด้านนอก
“เราจะไปที่ใดกันเล่า” สีหน้าของนางพลันสดใสขึ้น
“หากเราไม่อยากให้พี่ๆ
สาวใช้ติดตามไปด้วยก็ต้องไม่ออกจากจวน...คราก่อนข้าเดินผ่านเห็นสวนเล็กๆ
อยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก”
ม่อลี่พยักหน้าก่อนจะเดินไปคว้าร่มสองคันซึ่งวางพิงกำแพงอยู่ไม่ไกล
ปกติชินอ้ายมิใช่คนชอบเดินทางไกลหรือออกกำลังกายอยู่แล้ว
การที่เจ้าของใบหน้าน่ารักชักชวนนางออกไปข้างนอกก็ไม่ต่างจากการเอาใจ
ไม่ว่าจะชวนไปที่ใดนางก็ยินดีทั้งนั้น
ร่มสีแดงสดคล้ายคลึงกับดอกเหมยในป่าเหมยแดงวันนั้น
หิมะสีขาวตกลงมามิทันไรก็หยุดลงราวกับเห็นใจ
สตรีสองนางในชุดสีสดแรกเริ่มช่วยกันปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกันดี แต่ไปๆ มาๆ
เริ่มปั้นหิมะเป็นก้อนกลมแล้วปาใส่กันแทน ชินอ้ายทั้งกระโดดทั้งวิ่งหนี
ม่อลี่ปาโดนบ้างไม่โดนบ้าง พอชินอ้ายได้จังหวะก็ปาสวนกลับไปใส่หน้าสหายเข้าเต็มเปา
ผู้สำลักหิมะเข้าไปในปากรีบคายออกมา
เสียงหัวเราะสดใสที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานดังขึ้นในจวนริมผานี้
พวกนางมัวแต่เล่นกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
โดยมิทันสังเกตเลยว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนมองพวกนางมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
ชางเลี่ยงหงมองความร่าเริงแจ่มใสและไร้เดียงสาเหล่านั้นเนิ่นนาน
เด็กทั้งสองคล้ายคลึงกับผีเสื้อโบยบินอยู่ในก้อนเมฆาขาว
ความเข้มงวดอคติในดวงตาหงส์พลันอ่อนลง นานเท่าไรแล้วที่นางไม่ได้ยินเสียงหัวเราะ
คิดแล้วอดนึกถึงบุตรสาวที่เพิ่งแต่งงานออกเรือนไปไม่ได้
ในที่สุดก็กระซิบเรียกสาวใช้คนสนิทที่ช่วยพยุงมืออยู่
“เหยาเหยา”
“เจ้าค่ะ
นายหญิง” เหยาเหยาก้มหน้าลง
ไม่จำเป็นต้องสั่งให้มากความก็ย่อมเข้าใจประสงค์ของผู้เป็นนาย
นางหันหน้าไปยังเด็กสาวที่กำลังเล่นสนุกกันอยู่พร้อมกับส่งเสียงออกไป
“แม่นางตู้ แม่นางม่อนายหญิงมาพบพวกเจ้า”
มือของม่อลี่ที่กำลังจะปาก้อนหิมะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
ของในมือร่วงหล่นลงมาใส่รองเท้า ความเย็นที่ซึมผ่านเข้ามายังผิวบอบบาง
ส่งผลให้นางเด้งกระโดดถอยออกไปหลายก้าว
ชินอ้ายหันมายังกลุ่มคนผู้มาใหม่
นางเองก็ตกใจไม่น้อยแต่ก็มีอาการสงบเสงี่ยมมากกว่าอีกคน
ร่างเล็กรีบตรงไปช่วยปัดหิมะออกจากรองเท้าของสหาย
ก่อนที่ทั้งสองจะพากันมาทำความเคารพสตรีวัยกลางคน
“คารวะฮูหยิน
หลายวันนี้ข้ากับเสี่ยวลี่อยากพบท่านเพื่อขอขมา...”
“ช่างเถิด”
ร่างในอาภรณ์สีแดงเงยหน้าขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ไม่มั่นใจว่าตนเองได้ยินถูกต้องหรือไม่
“ยามนั้นเป็นเพราะข้าใจร้อนเองด้วย
แต่ก็สาเหตุก็มาจาก...” ชางเลี่ยงหงเงียบไปพร้อมกับเปรยหางตาไปยังม่อลี่
เด็กสาวคงรู้ตัวที่เสียมารยาทไปจึงได้ยิ้มแห้งๆ พร้อมกับกล่าวขอโทษอีกครั้ง
“ขออภัยจริงๆ
เจ้าค่ะ”
หากเป็นก่อนหน้านี้
ม่อลี่คงปั้นหน้าบึ่งใส่เพราะความโมโหจากการถูกกลั่นแกล้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล้ว
แต่ยามนี้หลังจากได้เล่นสนุกกับชินอ้ายก็ช่วยให้หลงลืมความหมองใจที่เคยมี
มิหนำซ้ำยังมองว่าการที่โมโหไปมันช่างสูญเปล่าสิ้นดี
ในเมื่อผู้ที่ร้อนรุ่มคือนางมิใช่ชางเลี่ยงหง
ในเมื่ออีกฝ่ายยอมลงให้แล้ว
พวกนางก็ยิ่งต้องนอบน้อมที่สุดเพื่อให้เรื่องมันจบ
เรื่องจะว่ายากมันก็ยาก
แต่บทมันจะง่ายกลับคลี่คลายได้อย่างง่ายดายยิ่ง...
พวกนางมุ่งหน้าไปยังเรือนเคียงวารีเพื่อยกน้ำชาขอขมาอย่างเป็นทางการ
ครั้นเสร็จสิ้นพิธีดังกล่าวทั้งสองก็หายใจได้โล่งขึ้น
ในที่สุดก็ได้ยกภูเขาออกจากอกเดิมทีคิดว่าหมดเรื่องแล้วก็แยกย้าย
แต่กลับกลายเป็นว่าพวกนางถูกเชิญให้ร่วมมื้อเที่ยง
เดิมทีม่อลี่รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ
แต่พอได้กินอาหารรสเลิศก็เลือกที่จะดื่มด่ำกับมันอย่างเต็มที่
จนกระทั่งเจ้าของเรือนหันไปกล่าวบางสิ่งกับร่างเล็กที่วางตะเกียบลงบนถ้วยเปล่าอย่างสงบเสงี่ยม
“ตู้ชินอ้าย
ข้าจะออกไปนอกจวนเสียหน่อย เจ้ายินดีจะไปเป็นเพื่อนข้าหรือไม่”
แน่นอนว่าดรุณีน้อยตอบรับคำเชิญในทันที
“ยินดีเจ้าค่ะ”
การชักชวนของชางเลี่ยงหงส่งผลให้นางนึกถึงยามที่ท่านเจ้าเกาะชักชวนนางไปยังหมู่บ้านใบชา
สองคนนี้สมแล้วที่ผูกพันกันทางสายเลือด นิสัยบางส่วนจึงคล้ายคลึงกันไม่น้อย
ทว่าความคิดของชินอ้ายก็เป็นอันหยุดลงเมื่อสังเกตเห็นว่าม่อลี่จ้องนางเขม็ง
ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตนเอง อ้าปากถามโดยไม่มีเสียงว่า
‘แล้วข้าล่ะ?’
ยังไม่ทันที่ชินอ้ายจะได้ตอบ
ชางเลี่ยงหงก็ออกคำสั่งอีกครา
“เหยาเหยา
บอกคนเตรียมเกี้ยวให้พร้อม”
เด็กสาวและชางเลี่ยงหงเดินทางออกจากจวนริมผาในยามสาย
คาดการณ์จากทิศทางแล้วน่าจะมุ่งไปยังทิศตะวันตก
ยิ่งไต่ระดับขึ้นสูง ลมที่โบกผ่านม่านผ้าโปร่งผืนบางก็ยิ่งรุนแรงจนผมปลิวสะบัด
ชินอ้ายตัดสินใจรวบผมทั้งหมดมาก้าวเป็นเปียยาวแล้วพาดไว้ด้านหน้าเพื่อไม่ให้สภาพของนางหลังออกจากเกี้ยวดูน่าเกลียดจนเกินไปนัก
การใช้คนแบกหามนั้นช้ากว่าม้าแต่ก็นิ่มนวลกว่ามาก
นึกไปแล้วก็เสียดายแทนเสี่ยวลี่เหลือเกิน สหายของนางพลาดการออกมาข้างนอกอีกแล้ว
มิหนำซ้ำสีหน้าของอีกฝ่ายยังดูกังวลเหลือเกิน
ในที่สุดการเคลื่อนไหวที่ดำเนินมายาวนานกว่าสองชั่วยามก็สิ้นสุดลง
นางนึกสงสารพี่ชายทั้งหลายที่แบกตนเดินทางไกลจึงขอบคุณพวกเขาอย่างนอบน้อม
ครั้นกวาดสายตามองรอบๆ
ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้คือยอดเขาแห่งหนึ่งที่พื้นดินเป็นสีเข้ม ปราศจากหิมะปกคลุม
แต่ลมที่พัดโกรกกลับรุนแรงมากกว่าที่จวนริมผาเสียอีก
ชินอ้ายกระชับเสื้อคลุมสีสดแน่นขึ้นก่อนจะเดินห่อไหล่ไปสมทบกับร่างในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ
ผิวอันเปล่งปลั่งของสตรีวัยกลางคนถูกขัดจนโดดเด่น
ชางเลี่ยงหงดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงมากทีเดียว
“ฮูหยินเจ้าคะ
ที่นี่คือ...”
“เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายวันแต่คงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นทะเลยามเย็น
ตะวันตกน้ำสิท่า” นางชี้ปลายนิ้วไปเบื้องหน้า
เด็กสาวมองตามก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ท้องฟ้ายามเย็นสีแสดถูกแต่งแต้มด้วยเมฆาสีม่วงเข้มตัดขอบด้วยสีทองดูลึกลับน่าหลงใหล
ทิพากรแดงสดสาดแสงนวลลงบนผืนน้ำ
สีครามผสมเข้ากับสีเหลืองย้อมทะเลให้กลายเป็นสีเขียวแก่ สะท้อนระยิบระยับละลานตา
ยามนี้ระยะห่างระหว่างสุริยันบนฟ้าและมหาสมุทรเบื้องล่างถูกแบ่งกั้นเพียงเส้นขอบฟ้าบาง
เยี่ยนจื่อ[2]ฝูงใหญ่โบยบินพากันกลับรังให้ความรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมไปในคราวเดียว
“น่าเสียดายที่วันนี้มีเมฆมาก”
ชินอ้ายยังคงจับจ้องวงกลมสีแดงที่กำลังจมหายไปในน้ำอย่างเชื่องช้า
“สวยงามเหลือเกินเจ้าค่ะ”
นางไม่อาจสรรหาคำพูดอื่นมาบรรยายสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้เหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพวิจิตรจนนางหลงลืมแม้กระทั่งจะหายใจ
ชาวเกาะดอกเหมยช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน สวรรค์บนดินคงเป็นเช่นนี้เอง
“ตอนอายุสิบขวบ
ซือเยียนก็ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาการค้าที่นอกเกาะ
ตอนอายุสิบสามร่ำเรียนวรยุทธ์กับอาจารย์จนหมดสิ้น
ตอนอายุสิบหกก็รับตำแหน่งจ้าวเกาะ...หลายปีมานี้เขาทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์พร้อมไร้ขอบกพร่องทุกประการ”
จู่ๆ
ผู้อาวุโสก็เล่าเรื่องของบุตรชายตนขึ้นมา ชินอ้ายพยักหน้า
“ท่านเจ้าเกาะนับเป็นบุรุษที่น่าเลื่อมใส”
“ใช่”
ชางเลี่ยงหงพยักหน้า แววตานั้นมีความภาคภูมิใจอยู่เต็มล้น ร่างเล็กยิ้มน้อยๆ
เชื่อมั่นว่าฮูหยินรักท่านเจ้าเกาะมาก
ที่ผ่านมาคงมิได้มีเจตนาทำร้ายความรู้สึกของเขา
“เพราะเขาสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้
ข้าจึงอยากให้เขามีคู่ครองที่เหมาะสม สามารถช่วยเหลือเกื้อกูล
ช่วยแบ่งเบาภาระให้เขาได้”
ครานี้ชินอ้ายนิ่งฟังโดยไม่พูดอะไร
เหยาเหยาปูผ้าให้คนทั้งสองได้นั่งพักผ่อน ส่งชาที่เพิ่งอุ่นร้อนให้กับ
นายหญิงยกมันขึ้นจิบทันทีขณะที่เด็กสาวเพียงรับมาถือไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
แม้ถ้วยน้ำชาจะช่วยให้มือของนางอุ่นขึ้น แต่หากไม่ระวังให้ดีมันอาจลวกเอาได้
“คนเป็นพ่อแม่ย่อมอยากให้ลูกได้สิ่งที่คู่ควรที่สุด...เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่หรือไม่”
แสงสุดท้ายของวันใกล้ลาลับ
ประกายแสงแม้อ่อนแรงแต่ก็ยังสร้างความระยิบระยับบนผืนน้ำ ท้องฟ้าสีเข้มยามพลบค่ำแลเห็นดวงดาวริบหรี่
แต่ไม่ว่าจะเป็นหมู่ดาวบนผืนฟ้าหรือดวงดาราบนทะเลกว้าง...นางก็มีสิทธิ์เพียงแค่เฝ้ามอง
มิอาจไขว่คว้ามาเป็นของตนเองได้ทั้งนั้น
คู่ควรหรือไม่?
ดวงตาหวานพลันหม่นหมองลง
แต่ขณะที่นางกำลังพิจารณาคำพูดของชางเลี่ยงหงอยู่นั้น เสียงของท่านเจ้าเกาะแว่วขึ้นมาในโสตประสาท
ทั้งดังและชัดเจนราวกับกำลังยืนอยู่เคียงข้าง
“ไม่เหงาแล้ว...”
“เจ้าอยู่ก่อน”
“ไม่ให้กลับ!”
มือที่วางกุมถ้วยชากระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ชินอ้ายตระหนักดีว่าตัวตนของเขาในจิตใจนางยิ่งนานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เสียงในใจก็ร้องบอกว่านางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปให้จงได้
“ขอบพระคุณฮูหยินที่ช่วยเปิดหูเปิดตา”
ที่ผ่านมานางคิดสิ่งต่างๆ อย่างเรียบง่ายเกินไป มองทุกอย่างตื้นเขินยิ่งนัก
ในที่สุดนางก็ได้เข้าใจแล้วว่านางเองก็ต้องออกแรงปกป้องจุดที่นางปรารถนาจะยืนอยู่ให้ดีที่สุด
มิใช่แค่รั้งรอให้ท่านเจ้าเกาะดูแลอยู่ฝ่ายเดียว
ชางเลี่ยงหงได้ฟังดังนั้นก็ยกยิ้มบางๆ
ที่มุมปาก “เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี”
เด็กสาวคงเข้าใจเจตนารมณ์ที่นางต้องการสื่อ
ไม่ว่าอย่างไรสตรีต่างถิ่นผู้นี้ย่อมตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะหยัดยืนอยู่เคียงข้างเผิงซือเยียนได้
สตรีวัยกลางคนยกชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ
ตู้ชินอ้ายย่อมสมัครใจจากไปเองโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาบีบคั้นให้ยุ่งยาก
คราก่อนดรุณีน้อยเคยพูดว่าจะยอมกลับเมืองหลวงมาหนหนึ่งแล้ว
ยามนี้หากนางกล่าวขึ้นมาอีกครั้งก็จะไม่มีเผิงซือเยียนมาขัดขวางได้อีก
‘พูดออกมาสิข้ารอฟังอยู่’
ร่างในอาภรณ์สีดำเร่งเร้าอยู่ในใจ
“ต่อไปนี้ข้าจะพยายามฝึกฝนตนเองให้ก้าวหน้าจนกว่าฮูหยินจะเห็นชอบว่าข้าเหมาะสมจะยืนเคียงข้างท่านเจ้าเกาะได้เจ้าค่ะ”
“แค่กๆ ๆ ”
ร่างขาวผุดผ่องที่สำลักน้ำชาส่งผลให้เหยาเหยารีบแทรกกายเข้ามา สาวใช้ลูบแผ่นหลังให้ผู้เป็นนาย
ท่าทีทั้งเป็นห่วงและกังวลเป็นอย่างยิ่ง
“นายหญิง...”
ชินอ้ายเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เสียงของดรุณีน้อยเรียกให้ดวงตาคู่งามที่แดงก่ำของชางเลี่ยงหงตวัดไปยังผู้ถาม
ทั้งโมโหและขัดใจหากก็จนด้วยคำพูด เด็กคนนี้จะเรียกว่าซื่อบื้อจนไร้ทางเยียวยา
หรือหัวรั้นดื้อดึงจนน่าปวดหัวดีเล่า
ครั้นหยุดไอแล้ว
สตรีวัยกลางคนก็สูดหายใจเข้าลึก นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเฉียบขาดเยือกเย็น
ย่อมได้...ในเมื่อตู้ชินอ้ายเอ่ยปากว่าจะพัฒนาตนเอง
นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กสาวตัวเล็กบางผู้นี้จะไปได้เสียกี่น้ำ!
กลางวันลาลับ
ผืนฟ้ายามรัตติกาลเคลื่อนคล้อยมาทดแทน พร่างพรายเปล่งประกายแห่งความหวัง
เด็กสาวยกชาในถ้วยขึ้นจิบ
ความอุ่นไหลผ่านลำคอลงไปช้าๆ
วาโยกำลังกระซิบบอกนางว่าสัญญาณแห่งการเริ่มต้นครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ความคิดเห็น |
---|