7

บทที่ 7


 

ร้อนหนาวปะทะ ยากจะคาดเดา

 

ช่วงกลางวันแห่งเหมันต์ฤดูนั้นแสนสั้นนัก เข้าสู่ยามอิ่ว[1] ท้องฟ้าก็มืดสลัว ก้อนเมฆาหนาปกปิดแสงชุติแลดูคล้ายม่านฟ้าที่แปรสภาพกลายเป็นควันลมเย็นพัดโชยรุนแรงกว่าช่วงทิวาพาให้กายสั่นสะท้าน

นางกับเผิงซือเยียนแยกย้ายกันไปยังส่วนต่างๆ ของหมู่บ้านตั้งแต่ช่วงบ่าย ความเหน็ดเหนื่อยพานางกลับมายังที่พัก แล้วรอชายหนุ่มอยู่ที่ห้องรับแขกในเรือนหัวหน้าหมู่บ้านจนผล็อยหลับไป ครั้นตื่นมาก็พบว่าชาวบ้านเก็บสำรับอาหารของท่านเจ้าเกาะเดินผ่านมา

“ท่านเจ้าเกาะกินมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ” คำบอกกล่าวของเขาส่งผลให้ผู้ฟังเกิดคำถามขึ้นมาในใจ

‘ปกติเขากินข้าวตามลำพังเสมอเลยหรือ...’

ชินอ้ายซึ่งนั่งเท้าคางหลับอยู่บนตั่งครุ่นคิดอยู่ในใจ กระทั่งมีเงาร่างสีดำเคลื่อนกายบดบังแสงเทียนวูบไหวจึงได้รู้สึกตัว

“คืนนี้จะมีพายุหิมะ เราคงต้องพักแรมกันที่นี่”

“ค้างแรม...หรือเจ้าคะ” ชินอ้ายถามย้ำด้วยเสียงที่สูงกว่าปกติ เริ่มเป็นห่วงสหายขึ้นมาจับใจ

“ใช่ เดิมทีมิได้แจ้งทางหมู่บ้านไว้ก่อน ที่นี่มีแต่บุรุษ...ข้าติดต่อเรือนของฮูหยินเกาไว้ให้แล้ว เรือนของนางอยู่ถัดจากที่นี่ อีกประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไป” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องที่จวนริมผา ซางฉือเดินทางกลับไปเมื่อชั่วยามก่อน ป่านนี้คงใกล้ถึงแล้ว”

คำพูดของท่านเจ้าเกาะเสมือนเป็นการบอกนางให้วางใจอยู่กลายๆ ม่อลี่จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอย่างสมฐานะแขกของจวนริมผา

“ทุกคนดีกับเจ้าหรือไม่” ชายหนุ่มหย่อนกายนั่งลงบนตั่งเดียวกัน ชิดกายไปอีกฝั่งหนึ่ง ลอบมองดวงหน้ารูปหัวใจที่ซีดกว่าปกติ ขณะที่ได้กลิ่นหอมจางๆ จากผู้ที่อาบน้ำจนสะอาด เขาอดกังวลไม่ได้ว่าชุดที่นางยืมจากชาวบ้านจะบางเกินไป

“ดีมากเจ้าค่ะ” ชินอ้ายตอบทันทีโดยปราศจากซึ่งความลังเลใดๆ แม้ใบหน้ายังคงเหลือเค้าความอ่อนล้าแต่หาได้มีเค้าความลำบากใจสอดแทรกอยู่ไม่

ในทีแรกชาวบ้านยังละเว้นระยะห่างกับนางอยู่พอสมควร แต่เมื่อได้เห็นฝีมือการชงชาของนาง พวกเขาก็เข้ามาถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลั่วสื่อด้วยความใคร่รู้ ครั้นทราบว่านางเติบโตขึ้นมาใน ‘เซียนดื่มชา’ ก็เข้ามาพูดคุยถามไถ่อย่างเป็นมิตร ตลอดทั้งวันนางได้รับการเชิญไปดูเรือนบ่มชาและโรงเก็บชา ความตื่นตาตื่นใจส่งผลให้นางหลงลืมความหนาวเย็นของอากาศไปเสียสิ้น

พวกเขาเล่าว่า ท่านลุงลั่วเดิมทีเป็นคนจากหมู่บ้านใบชาแต่ได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าเกาะคนก่อนให้ไปเปิดโรงน้ำชาที่เมืองหลวง ถือว่าเป็นเรื่องราวใหม่ที่นางไม่เคยรับรู้มาก่อน

ชินอ้ายขบคิดอย่างเพลิดเพลิน ฝ่ายเผิงซือเยียนเห็นดังนั้นก็เก็บสายตากลับ มือใหญ่ปลดเสื้อคลุมขนแกะออกจากร่างแล้วยื่นส่งให้นาง

เดิมทีเขาอยากเป็นฝ่ายคลุมให้ แต่จากตำแหน่งที่นางนั่งพิงตั่งอยู่คงเป็นเรื่องยาก ครั้นชินอ้ายรับเสื้อคลุมไปห่มก็รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น ขณะที่ท่านเจ้าเกาะกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความรู้สึกผิดอยู่ในที “ขออภัยด้วยที่ทำให้เจ้าต้องคอย”

เขาคิดว่าการซ่อมรูรั่วซึ่งเป็นเหตุให้ความชื่นซึมเข้ามาในโรงเก็บชาจะใช้เวลาเพียงไม่นานแต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีรูรั่วอยู่หลายจุด ทั้งยังมีส่วนที่หิมะทะลักเข้ามาแล้วละลายกลายเป็นน้ำขังเพิ่มขึ้นมาอีก กว่าจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยดีก็ใช้เวลาไปหลายชั่วยาม

เดิมทีอยากจะพานางไปชมภาพทะเลกลืนตะวันบนยอดเขา น่าเสียดายยิ่งนักที่วันนี้หมดโอกาสเสียแล้ว

“ท่านเจ้าเกาะมิเห็นต้องขอโทษข้าเลยเจ้าค่ะ” รอยยิ้มบางเบาปรากฎบนใบหน้าผู้พูด “แล้วท่านเหนื่อยบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

เสียงเล็กดึงดูดให้ความสนใจของเผิงซือเยียนกลับมาที่นางอีกครั้ง ผู้สวมหน้ากากสีทมิฬสบตานางพลางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าชินแล้ว”

ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในเรือนเล็ก เกิดเป็นเสียงเสียดสีของแผ่นไม้ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสงบ การสนทนาในครานี้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่ผ่านมา บางทีอาจเป็นเพราะนางกับเขาไม่ได้อยู่ในจวนริมผา หรืออาจเป็นเพราะพวกนางได้ใช้เวลาร่วมกันมาทั้งวันก็เป็นได้

“ท่านลำบากบ้างหรือไม่” นางถามต่อ

“ชินแล้ว” คำตอบของเขายังคงเป็นเช่นเดิม

สีหน้าของชินอ้ายดูกลัดกลุ้มยิ่งขึ้น นางไม่สบายใจกับคำตอบของชายหนุ่มเอาเสียเลย

ผู้อื่นอาจใช้เวลานานเป็นเดือนเป็นปีเพื่อทำความรู้จักและสนิทสนม ทว่าระหว่างนางกับเผิงซือเยียนนั้นแสนประหลาด ความรู้สึกนี้คล้ายคลึงกับมิตรสหายที่ต่อให้ไม่พบหน้ากันมาเนิ่นนานก็ยังคงผูกพัน ครั้นกลับมาเจออีกครั้งก็ยังหลงเหลือความคุ้นเคย ยากนักจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

“แล้วท่าน...เหงาหรือไม่เจ้าคะ”

“ข้า...” เขานิ่งไป

ร่างเล็กหมุนกายหันหน้าเข้าหาร่างสูงโปร่ง มีสีหน้าจริงจังยิ่งขึ้น “คนเราชินกับความเหนื่อยได้ ชินกับความลำบากได้ แต่จะชินกับความเหงามิได้นะเจ้าคะ”

ชินอ้ายไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาคู่งามละจากดวงหน้ารูปหัวใจไปยังดอกเหมยแดงที่ยังคงทัดอยู่บนใบหูเล็ก เด็กสาวเทียวไปเทียวมาอยู่ในหมู่บ้านตลอดทั้งวัน แต่ถึงกระนั้นดอกไม้ก็ยังคงถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี

ริมฝีปากที่ซุกซ่อนอยู่หลังหน้ากากลอบยิ้มบาง เชื่อมั่นว่าหากต่อไปนี้มีนางอยู่ด้วย เขาก็คง...

“ไม่เหงาแล้ว...”

สิ้นคำพูดนั้น สายลมหวนพัดผ่านร่างทั้งสอง ชินอ้ายยกมือขึ้นมาจับปอยผมที่พัดปรกหน้า รอยยิ้มของนางสว่างไสวนัก ขณะเดียวกันยังมีความเก้อเขินบางเบาอันเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้อยากเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น

“เจ้าพอใจกับการมาที่นี่หรือไม่” ครานี้เผิงซือเยียนเป็นฝ่ายถามบ้าง “หากเจ้าชอบ ไว้หากมีโอกาสข้าจะพาเจ้ามาด้วยกันอีก”

“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงหน้าน่ารักเผยแววยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณท่านเจ้าเกาะเจ้าค่ะ” แน่นอนว่านางดีใจที่ได้ออกมานอกจวนริมผา ได้พบเจอกับผู้คนที่ใกล้เคียงกับโรงน้ำชาที่จากมา ที่สำคัญคือมีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้เขามากกว่าที่เคยเป็น

ครุ่นคิดจนกระทั่งรับรู้ถึงความเย็นขุมหนึ่งที่พัดโชยเข้ามาในเรือน หิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกลอยผ่านบานหน้าต่าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาหวนให้ภาพความทรงจำบางอย่างปรากฏชัดขึ้น

ป่านนี้ท่านลุงลั่วคงจะปิดร้านและกำลังพูดคุยอยู่กับเฒ่าแก่เนี้ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ลุงป้าน้าอาทั้งหลายนั่งล้อมวงกินมันเผา บอกเล่าความทรงจำครั้นวัยเยาว์ เสียงหัวเราะมีให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย

เพียงนึกถึงภาพอันแสนอบอุ่นเหล่านั้น นางก็คิดถึงพวกเขาขึ้นมาจับใจ แววตาของนางเล็กหม่นหมองลง ขณะที่เจ้าตัวลุกออกจากตั่งแล้วเดินไปปิดบานหน้าต่าง ควรแก่เวลาที่ต่างฝ่ายแยกย้ายไปพักผ่อน ทว่ายังมิทันได้กล่าวลาก็พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

“ท่านเจ้าเกาะเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับกำไลดอกเหมย...”

“ข้าจะไปส่งเจ้าไปที่เรือนฮูหยินเกา หากช้ากว่านี้หิมะจะยิ่งตกหนักขึ้น” ร่างสูงโปร่งเอ่ยแทรกพลางเดินไปหยิบร่มคันใหญ่ที่ข้ารับใช้ทิ้งไว้ให้ตรงมุมห้อง ก้าวนำออกไปท่ามกลางความมึนงงของเด็กสาวที่มุ่งหน้าติดตามไปแทบไม่ทัน

พายุเริ่มก่อตัวรุนแรงขึ้น สายลมม้วนตัวเกิดเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหู หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษเดินเคียงคู่ใต้ร่มคันเดียวหนาวเหน็บ ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ

ชินอ้ายเหลือบสายตามองผู้ที่เดินเคียงข้าง บรรยากาศรอบตัวเขาช่างแตกต่างกับคราที่เดินชมดอกเหมยในยามเช้าด้วยกันโดยสิ้นเชิง นางคิดว่าเผิงซือเยียนอาจจะเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งวันจึงอยากรีบไปพักผ่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงเดินจ้ำอ้าวอย่างขะมักเขม้น ผิดกับท่านเจ้าเกาะที่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นางอาจมีเรื่องราวที่ปิดบังเขาอยู่...

เขาเองก็มีเรื่องบางอย่างที่ยังมิอาจเปิดเผยเช่นเดียวกัน

 

แสงยามเช้าของรุ่งอรุณวันใหม่มาพร้อมกับเสียงย่ำเท้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ ปลุกให้เด็กสาวผู้หลับใหลอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้าน

ม่อลี่หลับมาตลอดวันตั้งแต่เมื่อวาน สีหน้ายังเหลือความงัวเงียอยู่หลายส่วน ทว่าอย่างน้อยร่างกายของนางก็มีเรี่ยวมีแรงมากขึ้นบ้างแล้ว

“ชินอ้าย เจ้าเองหรือ?”

ผู้มาใหม่ไม่ตอบ เสียงย่ำเท้าเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายม่อลี่ก็อ่อนเพลียเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมอง

“เมื่อวานพี่ๆ สาวใช้ต้มหงหมู่จีเฉ่า[2]ให้ข้าดื่มแล้ว ประเดี๋ยวพักอีกสองสามวันก็คงหายขาด”

สิ้นคำของหลานสาวเถ้าแก่เนี้ยแห่งโรงน้ำชา สรรพสิ่งทุกอย่างก็ยังเงียบสงัดดังเดิมราวกับนางกำลังพูดคุยอยู่กับอากาศ ธาตุ ในที่สุดคนป่วยก็ลุกนั่งพร้อมกับลืมตาขึ้นด้วยความน้อยใจที่ถูกสหายหมางเมิน หากก็นิ่งไปทันทีเมื่อพบว่าผู้มาเยี่ยมไข้มิใช่ตู้ชินอ้าย!

ภาพเบื้องหน้าคือสาวใช้มากมายในชุดสีขาวต่างก้มหน้าล้อมอยู่รอบห้อง สตรีวัยกลางคนในชุดไหมสีดำหรูหรายืนโดดเด่นอยู่กึ่งกลาง การเปิดตัวที่ดูอลังการเกินความจำเป็นส่งผลให้ผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้มีสีหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัด

‘หรือนี่จะเป็นเพียงความฝัน?’

ม่อลี่ถามกับตนเองในใจ ก่อนจะล้มตัวเตรียมนอนอีกรอบ ความฝันเช่นนี้ถือว่าน่าปวดหัวเกินไป...นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ดูยุ่งยาก

ชางเลี่ยงหงมองเด็กสาวผู้ทำตัวประหนึ่งไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยใบหน้าดำคล้ำ

ช่างไม่มีหัวนอนปลายเท้า บุพการีมิเคยสั่งสอนเรื่องการวางตัวกับผู้อาวุโสหรืออย่างไร ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!

อารมณ์ที่ขุ่นเคืองของนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยเป็นเหตุให้สาวใช้ทั้งหลายพากันตัวสั่นพร่า ร่างซึ่งยืนอยู่ใกล้เตียงที่สุดรีบเข้าไปเขย่าตัวม่อลี่ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังป่วยอยู่ แต่ก็ไม่ควรนอนหลับใส่ชางเลี่ยงหงด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น

“แม่นางม่อ รีบตื่นเร็วเข้า” เสียงกระซิบกระซาบแรกไม่ได้ผล สาวใช้คนที่สองจึงตรงเข้าไปช่วยปลุกด้วยอีกแรง

“แม่นางม่อเจ้าคะ ตื่นเถิด แม่นางม่อ...”

พรึ่บ!

ครานี้ร่างในชุดนอนตัวหนาถึงกับเด้งตัวลุกขึ้นอย่างแตกตื่น ทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับสตรีวัยกลางคนเป็นครั้งที่สองก็เผลอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ของจริงหรอกรึ!”

“เลิกเพ้อเจ้อเสียที” น้ำเสียงราบเรียบสวนกลับอย่างเย็นยะเยือก

“เจ้าค่ะ! ” ม่อลี่นั่งคุกเข่าพร้อมยืดหลังตรงตามสัญชาตญาณ นางมักจะทำท่าทางเช่นนี้ยามที่ท่านป้าดุ ดรุณีน้อยกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เริ่มตั้งสติและคาดเดาบางสิ่งในใจ

ก่อนหน้าที่นางจะเดินทางมายังเกาะดอกเหมยพร้อมกับชินอ้ายก็ได้ตามสืบและรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับเกาะดอกเหมยมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นัยน์ตาเรียวหงส์ดูเข้มงวดและหยิ่งยโสเช่นนี้ ดวงหน้าที่ยังคงความงดงามแม้วัยจะร่วงโรยเช่นนี้ อาภรณ์สีดำซึ่งตัดจากไหมราคาแพงเช่นนี้...

ไม่ผิดแน่! สตรีผู้อยู่เบื้องหน้านางยามนี้คือชางเลี่ยงหง มารดาของเผิงซือเยียน!

ราวกับพิษไข้กำลังจะกำเริบขึ้นมาอีกระลอก การที่อีกฝ่ายมาพบนางพร้อมกับพาสาวใช้มามากกว่าสิบคน คงมิใช่การเสวนาพูดคุยเพียงอย่างเดียวแน่ แล้วชินอ้ายเล่า...ชินอ้ายอยู่ที่ใด

“เด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าคงไม่มีผู้ใดสั่งสอนเรื่องมารยาท ยามนี้เจ้าอยู่ต่อหน้านายหญิงของเกาะดอกเหมย แม้เจ้าจะเป็นแขกก็ควรทำความเคารพผู้อาวุโสกว่า...ข้าพูดถูกใช่หรือไม่”

ผู้ฟังกัดฟันแน่น ชื่อเสียงเลื่องลือของนายหญิงผู้นี้ดูท่าจะสมราคา “คารวะนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยผู้อาวุโสกว่าเจ้าค่ะ” นางต่อเติมคำท้ายให้อีกฝ่ายอย่างเต็มยศโดยไม่สนใจสีหน้าของชางเลี่ยงหง “ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่เพื่อพบเด็กเมื่อวานซืนเช่นข้าด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ว่านางนั้นยังพอรับได้ แต่ถึงขั้นลามไปยังคนที่บ้าน...นางยอมไม่ได้

สาวใช้ทั้งหลายต่างหน้าซีดกันเป็นแถบ การตอบโต้อย่างไม่ด้อยไปกว่ากันพาลแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก

“ครบกำหนดห้าวันที่คนนอกจะต้องเดินทางกลับแล้ว เจ้าเป็นแขกของซือเยียนก็ถือเป็นความรับผิดชอบของข้าด้วย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาลาเจ้าด้วยตนเอง ส่วนสหายของเจ้าคงจะตามเจ้าไปที่เรือภายในวันนี้”

สีหน้าของร่างเล็กบนเตียงเปลี่ยนไปทันควัน หมายความว่าอย่างไรเรื่องจะส่งนางกลับ ซางฉือเป็นผู้บอกเองว่านางได้รับสิทธิ์ให้อยู่บนเกาะจนกว่าชินอ้ายจะแต่งงาน แล้วที่ชางเลี่ยงหงบอกว่าชินอ้ายจะกลับไปพร้อมกัน นี่...

ม่อลี่เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ หรือในระหว่างที่นางเดินทางไปกับเผิงซือเยียนเมื่อวานนี้จะมีเรื่องเกิดเรื่องขึ้น!

ความกังวลและเป็นห่วงที่มีต่อชินอ้ายส่งผลให้นางก้าวลงจากเตียง ทว่าทันทีที่เท้าแตะลงบนพื้น ร่างสีขาวก็เดินปราดเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เจตนาเดินมายืนขวางม่อลี่ไว้

ผู้มาใหม่คือซางฉือ

“นายหญิงขอรับ” บ่าวรับใช้ประสานมือไว้เบื้องหน้าอย่างนอบน้อม “มิทราบว่าท่านมีสิ่งใดจะสั่งการ โปรดแจ้งประสงค์กับข้าน้อย ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเกาะให้ดูแลแม่นางม่อกับแม่นางตู้ขอรับ” เสียงที่พูดคุยสุภาพเช่นเคย หากหยาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาจากไรผมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาวิ่งมาไกลมากเพียงใด ฤดูหนาวเช่นนี้มีแต่ต้องออกกำลังกายอย่างหนักเท่านั้นจึงจะเรียกเหงื่อได้

เมื่อคืนเขาตรวจตราสิ่งต่างๆ ภายในจวนริมผา มั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้วแท้ๆ ดูท่าเขาจะด่วนตัดสินเร็วเกินไป พอทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเร่งรุดมายังเรือนรับแขกทางปีกซ้ายซึ่งอยู่คนละฟาก ด้วยเหตุนี้จึงใช้เวลานานอยู่พอสมควร

“เจ้ามาแล้วก็ดี จะได้ช่วยสาวใช้ที่เหลือเก็บข้าวของให้พวกนางอีกแรง ยามนี้สำเภาคงเทียบท่าแล้ว หากหิมะตกจะยิ่งลำบาก” นายหญิงของเกาะยืนยันเจตนารมณ์อย่างหนักแน่น ครั้นตั้งใจมุ่งมั่นแล้วจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาขวาง

เมื่อวานนี้มีข่าวสำคัญมาถึงหูนางว่าเผิงซือเยียนชักชวนสตรีต่างถิ่นผู้หนึ่งไปทำงานด้วย ดูท่าบุตรชายของนางจะเลอะเลือน...จนลืมไปแล้วว่าคนนอกเกาะล้วนไว้ใจไม่ได้!

“แต่ท่านเจ้าเกาะ...”

“ท่านเจ้าเกาะทำไม”

“ท่านเจ้าเกาะอนุญาตให้แม่นางม่อและแม่นางตู้พำนักอยู่ที่นี่นานกว่ากำหนดขอรับ”

“ด้วยเหตุผลอันใด” เสียงของชางเลี่ยงหงกดดันมากขึ้นทุกที

“ขะ...ข้าน้อย” ซางฉือเผยสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อาจพูดออกไปว่าแม่นางตู้คือว่าที่เจ้าสาวของท่านเจ้าเกาะโดยที่เจ้าตัวยังมิได้บอกกล่าวกับมารดาอย่างเป็นทางการ “ข้าน้อยมิทราบ แต่สิ่งที่ข้าน้อยพูดเป็นความจริงขอรับ”

ร่างขาวผุดผ่องดั่งไข่มุกเม็ดงามหมุนกายเพื่อกวาดตามองสาวใช้ทั้งหลายในห้องแห่งนี้ “พวกเจ้ารู้เห็นเรื่องนี้หรือไม่”

สาวใช้ทั้งหลายต่างพากันก้มหน้าและส่ายศีรษะ ยามนี้ต่อให้รู้ก็ต้องแสร้งเป็นไม่รู้ มิเช่นนั้นอาจเดือดร้อนเอาได้ ซึ่งพวกนางไม่กล้าเสี่ยงเพื่อรับผลที่ตามมา

“น่าเสียดายที่ยามนี้ท่านเจ้าเกาะไม่อยู่” ในที่สุดดวงตาทรงอำนาจเปรยไปยังบุรุษผู้มีศักดิ์ต่ำกว่า “เมืองมีกฎเมือง บ้านมีกฎบ้าน ในจวนริมผาแห่งนี้ข้าเป็นคนดูแล ในเมื่อไม่มีพยานหรือหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวอ้างเป็นความจริง ข้าย่อมต้องว่าไปตามกฎ”

“แต่...” คำพูดของเขาช่างไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง นายหญิงแห่งเกาะดอกเหมยหมุนกายกลับ สาวใช้คนสนิทรีบตรงเข้าไปพยุงร่างสตรีวัยกลางคน ผืนผ้าไหมสีดำโบกพลิ้วตามจังหวะการย่างก้าว

“เด็กๆ ! ส่งแขก!”

ซางฉือใบหน้าซีดเผือด เขารับปากนายท่านว่าจะดูแลสหายของแม่นางตู้ให้ดี นายหญิงเองก็ดูท่าจะเอาจริงเสียด้วย งานนี้ต้องแย่แน่ๆ

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ทั้งหลายโค้งกายคารวะผู้ที่มีสาวใช้คนสนิทพยุงกายออกไปจากเรือน จากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่ง กายล้วนขนลุกขนชัน ขนลุกขนพองด้วยความหวาดกลัว ต่อให้ซางฉือจะพยายามห้ามมากเท่าไร พวกนางก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่เร่งจัดของท่าอยู่เดียว

หากท่านเจ้าเกาะไม่อยู่ที่จวน...ผู้มีอำนาจใหญ่ที่สุดย่อมต้องเป็นชางเลี่ยงหง

ม่อลี่ซึ่งยังคงแต่งกายในชุดนอนตัวหนาส่งเสียงเรียกให้ผู้ที่กำลังกัดกลุ้มหันมาสนใจนาง “ท่านซาง! ชินอ้ายเล่า! นางเป็นอะไรหรือไม่ สตรีผู้นั้นทำอะไรนางหรือไม่!”

นางจะถูกไล่กลับเมืองหลวงนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับตู้ชินอ้ายที่จงรักภักดีต่อพี่สาว หวังจะเป็นเจ้าสาวของเผิงซือเยียนเพื่อให้ปรารถนาของผู้มีพระคุณเป็นจริงย่อมไม่อาจตัดใจจากไปได้แน่

มิหนำซ้ำ...ดูท่าสหายของนางยังมีท่าทีสนใจบุรุษประหลาดที่ชอบสวมหน้ากากผู้นั้นเข้าให้แล้ว!

เด็กสาวยิ่งคิดยิ่งหน้าเสีย ฝ่ายคู่สนทนาได้แต่ถอนหายใจ ผ่อนปรนท่าทีสุภาพอ่อนน้อมลงไปมากโข “แม่นางม่อ...ยามนี้ท่านเป็นห่วงตัวเองก่อนมิดีกว่าหรือ แม่นางตู้มีท่านเจ้าเกาะคอยปกป้อง แต่ท่าน...” กล่าวจบก็เดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น

สิ่งที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเมื่อม่อลี่ยกมือขึ้นมาทาบอกพร้อมกับถอนหายใจยาว “หากชินอ้ายปลอดภัยก็ดีแล้ว”

ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้สหายของนางจะมีไหวพริบแต่ก็มองโลกในแง่ดีจนเกินไป ชินอ้ายมักจะใจกว้างและนึกถึงแต่จิตใจของผู้อื่น นางจึงกลัวเหลือเกินว่าต่อให้อีกฝ่ายจะถูกรังแกมากเพียงไรก็คงทำเพียงแค่ก้มหน้ารับชะตากรรม ครั้นได้คำกล่าวของข้ารับใช้หนุ่ม นางก็เบาใจไปอีกหลายส่วน

แต่ดูเหมือนนางจะด่วนดีใจเร็วเกินไป...

“หยุดมือ!”

เสียงทุ้มราบเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยประกายอำนาจดังกึกก้องไปทั่วเรือนใหญ่ แม้มิอาจเห็นผู้มาใหม่ทว่าทุกคนต่างจดจำได้อย่างแม่นยำสาวใช้ผู้กำลังง่วนกับการเก็บของพากันหยุดมือโดยพร้อมเพรียง

เป็นท่านเจ้าเกาะ!

ซางฉือเริ่มใจชื้น ฝ่ายม่อลี่กลับมีสีหน้าตื้นเต้น ทั้งสองเร่งรุดหน้าหวังออกไปต้อนรับเผิงซือเยียนด้วยสีหน้ายินดี หากร่างทั้งสองกลับต้องถอยร่นออกมายืนหลังเสาแทบไม่ทัน ตรงหน้าประตูทางเข้าเรือนคือเงาร่างในชุดดำ คนหนึ่งกำลังจะจากไปกับอีกคนหนึ่งเพิ่งกลับมา ทิศทางที่สวนกันส่งผลให้ยืนประจันหน้า

ครั้นท่านเจ้าเกาะแลเห็นสาวใช้กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในเรือนใหญ่ก็คาดเดาได้ทันทีว่าชางเลี่ยงหงย่อมจัดการบางสิ่งโดยไม่ถามไถ่ แน่นอนว่าการห้ามปรามให้หยุดมือย่อมสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับมารดา

ม่อลี่ถึงกับหน้าซีด เคียงข้างเผิงซือเยียนคือตู้ชินอ้ายซึ่งยืนนิ่งงันอยู่เช่นนั้น

ทว่าสิ่งที่เด็กสาวไม่รู้คือสาเหตุมิใช่เพราะบรรยากาศหนาวๆ ร้อนๆ จากสองแม่ลูกที่สร้างความอึดอัดจนหายใจไม่ออก

แท้จริงแล้วการที่ทำให้ดรุณีน้อยตะลึงงันมาจากรูปร่างค่าตาของสตรีแปลกหน้าซึ่งเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก

เหตุใดนัยน์ตาของนายหญิงแห่งเกาะดอกเหมย...ช่างคล้ายคลึงกับดวงตาของพี่สาวผู้มีพระคุณไม่ผิดเพี้ยน!



[1]ยามอิ่วหมายถึง เวลา 17.00 น. –18.59 น.
 
หงหมู่จีเฉ่า คือต้นอีเหนียว เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย หากต้มรากหรือต้นทั้งหมดจะสามารถใช้เป็นยาแก้ไขหรือแก้ตัวร้อนได้ [2]

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น