12

ตอนที่ 12



ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังรัวขึ้นอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งตัดสินใจปิดเปลือกตาลงเมื่อราวสิบห้านาทีก่อน ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิด พลางเหลือบมองพรายน้ำของนาฬิกาที่ประดับบนฝาผนัง

เที่ยงคืน!

ใครกันกล้ามาปลุกเขาตอนนี้

คันฉัตรตั้งคำถามในใจอย่างฉุนเฉียว และชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงห้าวกระด้างคุ้นหูดังที่ด้านนอกห้อง

“หนูนิด...หนูนิดอยู่ในนั้นใช่ไหม”

เขาขมวดคิ้วและชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปจับมือจับประตูห้องพร้อมกับโค้งมุมปากขึ้นในตอนนั้นเอง

ไม่เลว...

นับว่าหมอนี่จมูกไวใช้ได้

ชายหนุ่มบอกตัวเองเช่นนั้น ก่อนรอให้คนที่อยู่ด้านนอกตบประตูห้องอีกครั้ง พร้อมตะโกนเรียกชื่อบุตรสาวดังสนั่นอีกหน จึงค่อยๆ แง้มบานประตูออกแล้วแสร้งทำเป็นกลั้นหาว ตอนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงยียวน

“เบาๆ หน่อยสิหมอ...ประเดี๋ยวลูกสาวหมอก็ตื่นหรอก”

เขมวันต์ไม่ยอมฟังเขาพูดให้จบประโยคด้วยซ้ำ ฝ่ายนั้นเผ่นพรวดเข้ามากระชากคอเสื้อเขาไปรวบไว้ พร้อมบีบเค้นแรงลงตรงตำแหน่งชีพจรเต้น ด้วยสีหน้าเพชฌฆาตที่พร้อมจะประหารเหยื่อทุกขณะ ซ้ำยังไม่สนใจจะฟังเสียงกรีดร้องของเดหลีที่ดังขึ้นเพื่อห้ามปรามแม้แต่น้อย

นายแพทย์หนุ่มมองเขาด้วยดวงตาที่มีไฟโทสะลุกโชติช่วง พร้อมเค้นเสียงตะคอกออกมา “ถ้าฉันรู้ว่าแกทำอะไรลูกสาวฉัน แกตาย”

แล้วฝ่ายนั้นก็ผลักเขาออกห่างอย่างรังเกียจ ก่อนวิ่งตรงไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทตรงหน้า แล้วเปิดออกพร้อมร้องเรียกชื่อวนิษาเสียงดัง ขณะที่คันฉัตรยืนนิ่งมองด้วยสายตาเย็นชาระคนฉุนโกรธ

ไม่นานคนเป็นพ่อก็ประคองลูกสาวที่กำลังงัวเงียออกมา เด็กหญิงตัวแสบมองทุกคนด้วยสายตางงงวย

“พ่อ...พี่เดย์...น้าคันจัด...ทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ”

“พ่อก็อยากจะถามเหมือนกัน ว่าทำไมหนูนิดถึงมาอยู่ที่คอนโดฯ ของไอ้หมอนี่ได้ มันลักพาตัวลูกมาหรืออะไร” เขมวันต์เหลือบมองเขาด้วยสายตาเอาเรื่องอย่างที่เจตนาแสดงให้เห็นว่าพร้อมกัดไม่ปล่อย

คันฉัตรไม่เคยถูกใครมองหมิ่นเช่นนี้มาก่อน จึงยักไหล่ด้วยทีท่ากวนโทสะ แล้วตอบแทนวนิษาที่กำลังทำหน้าตายู่ยี่ คล้ายระลึกถึงต้นสายปลายเหตุอยู่

“ตอบให้ดีๆ นะยายปีศาจน้อย ว่าฉันลักพาตัวเธอมา หรือเธอหนีตามฉันมาเองกันแน่”

พูดยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างลอยหวือมาใกล้ใบหน้า แต่หลังจากโดนชกไปครั้งหนึ่ง คันฉัตรก็รู้จักระมัดระวังตัวมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ตนเองต้องเจ็บตัวซ้ำสอง เพราะนอกจากเขาจะหลบทันแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะเดหลีที่ผวาเข้ามากอดท่อนแขนของเขมวันต์เอาไว้แน่น แล้วเอ่ยเสียงขอร้อง

“ใจเย็นๆ ค่ะคุณเข้ม รอฟังหนูนิดก่อนดีไหมคะ”

ความเดือดดาลของนายแพทย์หนุ่มดูจะลดดีกรีลงมานิดหน่อย ขณะที่น้ำเสียงฝ่ายนั้นอ่อนลงจนเห็นได้ชัด ยามหันไปหาบุตรสาวคนเดียวที่กำลังยกมือเกาใบหูตนเองให้วุ่นวาย ทั้งยังมีใบหน้าเจื่อนจนเห็นได้ชัด

“คุณน้าเขาไม่ได้ฉุดหรือลักพาตัวหนูนิดมาหรอกค่ะ หนูนิด...เอ่อ หนูนิดมากับเขาเอง”

คำตอบนั้นทำให้ใบหน้าคนเป็นพ่อเปลี่ยนเป็นขาวซีดด้วยความตกใจผสมโกรธจัด จนคันฉัตรที่มองอยู่อดนึกสะใจไม่ได้ เขาจึงแกล้งถอนหายใจดังๆ แล้วตวัดสายตามองหมิ่นไปที่เขมวันต์

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ทีนี้คุณจะชดใช้ยังไงที่ทำให้ผมต้องเสียชื่อเสียงแบบนี้”

“ชดใช้?” ฝ่ายนั้นเอ่ยออกมาคล้ายเสียงคำราม

“ก็ คุณเล่นบุกมาหาผมที่ห้องกลางดึกและเดาว่าก่อนหน้านี้ คงตระเวนไปตามคอนโดฯ ของผมหมดทุกที่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าผมกับเด็กนรกลูกสาวคุณอยู่ที่นี่”

“หุบปากโสโครกของคุณซะนะ คุณคันฉัตร แล้วห้ามเรียกลูกสาวผมว่าเด็กนรก หรือปีศาจอีก ที่สำคัญต่อให้ยายหนูนิดตามคุณมาจริง แต่แกยังอายุไม่ถึงสิบแปด ไม่ว่ายังไง คุณที่อายุมากกว่าแกตั้งหลายปีก็ต้องเจอกับข้อหาพรากผู้เยาว์อยู่แล้ว” ทีท่าคนพูดบ่งบอกให้รู้ว่าไม่มีทางอ่อนข้อให้เขาแม้แต่น้อย

“งั้นคุณก็แจ้งความเลยสิ” เขาเสนออย่างใจกว้าง

“คุณท้าผมหรือ”

ฝ่ายนั้นหรี่ตาลงช้าๆ เหมือนเสือที่จ้องจะเล่นงานเหยื่อให้ถึงแก่ชีวิต ซ้ำยังทำท่าเหมือนจะหักนิ้วมือทั้งสองข้างอย่างเตรียมพร้อม

ไอ้หมอนี่มันนึกว่าตัวเองเป็นหมอหรือมัจจุราชกันแน่!

คันฉัตรนึก ขณะที่เด็กหญิงตัวต้นเหตุ คงรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตของคนเป็นพ่อดีกว่าใคร เพราะวนิษาถึงกับก้าวพรวดเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอแล้วละล่ำละลักเอ่ยเสียงสั่น

“พ่อคะ...อย่าทำน้าเขาเลยค่ะ เพราะหนูนิดเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ถ้าพ่อจะลงโทษ ลงโทษหนูนิดเถอะค่ะ”

เขมวันต์ได้ยินแล้วเม้มปากแน่น แต่สีหน้าบอกให้รู้ว่าเยาะหยันเขาเต็มที่ คันฉัตรรู้สึกเหมือนกำลังซุกหลบอยู่ใต้ชายกระโปรงเด็กหญิงก็ไม่ปาน

แต่ไม่นานเขากลับโกรธจัดยิ่งกว่าเก่า รู้สึกราวเนื้อตัวสั่นเทิ้มราวเจ้าเข้า ตอนที่เด็กหญิงหันมาหาพร้อมบอกว่า

“น้าเองก็เหมือนกัน เลิกยั่วโมโหพ่อหนูเสียทีได้ไหม”

จากนั้นเธอก็มองเขาเหมือนเห็นคนโง่ที่รนหาที่ตายอยู่ตรงหน้า

คันฉัตรนึกโกรธสองพ่อลูกจับใจ เลยจับแขนเด็กหญิงดันออกไปจากวงสนทนาอย่างไม่ไยดี “เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”

แต่การกระทำนี้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายของเขมวันต์ ฝ่ายนั้นทนไม่ได้ที่เห็นเขาแตะเนื้อต้องตัวบุตรสาว ถึงแม้ว่าคันฉัตรจะไม่ได้คิดอะไรกับวนิษาเลยก็ตามที

กำปั้นหนักๆ จึงลอยมาหาเขาในทันที

คันฉัตรไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครทำร้ายซ้ำๆ อยู่แล้วจึงไม่ลังเลที่จะโต้กลับ

ไม่รู้เหมือนกันว่าจากที่ตั้งใจแค่ตอบโต้หมัดสองหมัด กลายเป็นลงไปปล้ำสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายบนพื้นเมื่อไร มารู้ตัวอีกที ตอนที่มือของเขาจิกผมของเขมวันต์ และท่อนแขนฝ่ายนั้นก็รัดรอบคอเขาแน่น พร้อมๆ กับน้ำเย็นเฉียบจำนวนหนึ่งถูกสาดโครมลงมาบนร่างของพวกเขาทั้งคู่ ทำเอาเนื้อตัวชาดิกไปหมด

แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงเดหลีประกาศก้อง “ถ้าพวกคุณคิดจะสู้กันแบบมนุษย์หินต่อละก็ ฉันกับหนูนิดขอตัว”

จากนั้นก็มีเพียงเสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นเป็นจังหวะก่อนแผ่วจางไป ไม่นานคู่ต่อสู้ของเขาก็ลุกขึ้น ดูเหมือนหลังจากได้ออกแรงระบายความเกรี้ยวกราดออกไป เขมวันต์ก็อารมณ์ดีขึ้น เพราะฝ่ายนั้นเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา พร้อมกล่าวว่า

“เรื่องของคุณกับหนูนิดในคืนนี้ ผมจะถือว่าเป็นแค่ฝันบัดซบเท่านั้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้นอีก ผมจะทำให้ชีวิตคุณบัดซบยิ่งกว่าความฝัน”

คันฉัตรยิ้มหยัน มองคนที่ใบหน้ายับเยินไม่แพ้ตัวเอง ก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา “รับรองว่าผมไม่คิดจะเอาตัวไปพัวพันกับเด็กนรกอย่างลูกสาวคุณแน่ แต่ถ้าคุณจะห่วงก็ห่วงคุณเดย์เถอะ เพราะผมไม่ปล่อยมือจากเธอเด็ดขาด”

 

เขมวันต์โกรธจัดจนไม่นึกอยากอยู่กรุงเทพฯ ต่อ เดหลีเองก็คงโมโหเขาไม่น้อยเหมือนกัน เพราะหญิงสาวนั่งเงียบมาตลอดทาง จนรู้สึกถึงความมึนตึงได้อย่างชัดเจน และเมื่อถึงคอนโดฯ ที่พักของเธอ เดหลีจึงปริปากถามออกมาว่า

“นี่ คุณโกรธฉันหรือ”

คนถูกถามเม้มปากเกือบเป็นเส้นตรง

ยอมรับว่าพอได้ยินชื่อคันฉัตร ก็ไม่นึกอยากคุยเรื่องนี้ต่อ และพอคิดว่าหญิงคนรักทำเหมือนจะกล่าวแก้แทนศัตรูหัวใจ ชายหนุ่มก็ยิ่งเดือดดาล

“แต่ถึงจะโกรธยังไง ก็น่าจะถามทั้งคุณฉัตรทั้งหนูนิดก่อนว่าเรื่องมันเป็นมายังไง จู่ๆ ไปซัดเขาแบบนั้น ไม่น่ารักเลย” 

“ก็แล้วทำไมคุณต้องปกป้องหมอนั่นด้วย” เขมวันต์ถามเสียงเย็นชา

“ฉันไม่ได้ปกป้องเขา แต่แค่อยากให้คุณมีเหตุผลบ้าง ไม่ใช่เอะอะก็ใช้กำลังแบบนี้” เดหลีมองมาด้วยสายตาน้อยใจชัดเจน ก่อนเบนสายตาไปจับจ้องที่ใบหน้าวนิษาอย่างคาดคั้นแกมขอร้อง “ว่ายังไงคะหนูนิด ทำไมหนูถึงได้บอกว่าหนูเป็นต้นเหตุเรื่องคืนนี้”

“เพราะน้าคันจัด เอ๊ย! คันฉัตร เขาช่วยหนูนิดไว้จากคุณเวียนนาน่ะค่ะ” เด็กหญิงอึกอักนิดหน่อยตรงท้ายประโยค ทำให้คนเป็นพ่อถึงกับตัวค้างแข็งด้วยความตกใจ

“ผู้หญิงคนนั้นมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

“หนูเจอเวียนนาหรือ” เดหลีเป็นอีกคนที่รีบถาม

วนิษาพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกให้รู้ว่าสับสนระคนไม่สบายใจอย่างหนัก คงเพราะแม่หนูพอจะรู้เรื่องแม่ผู้ให้กำเนิดมาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่จากปากของเขา และเรื่องราวก็ดูสับสนคลุมเครือ ขณะที่เขมวันต์ก็ไม่ต้องการเอ่ยถึงเวียนนาแม้แต่นิดเดียว

เรื่องของเขากับเธอจบลงไปตั้งนานแล้ว จึงไม่ควรพูดถึงหรือเก็บมาใส่ใจอีก 

“หนูกลัวเธอจะมาเอาตัวหนูไป”

คำตอบของวนิษาทำให้ทั้งเดหลีและเขมวันต์อึ้งไปอึดใจใหญ่ จากนั้นเขาก็รวบตัวลูกสาวมากอดแน่น

“พ่อไม่มีวันปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นกับลูกแน่ๆ”

“ถ้าหนูนิดไม่สบายใจเรื่องเวียนนา พี่จะให้ลุงชายบอกกับเขาให้เอาไหม” เดหลีอาสาอย่างมีน้ำใจ

เด็กหญิงนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะมองหญิงสาวด้วยสายตามีความหวังระคนไม่มั่นใจ “แต่ทำแบบนั้น หนูนิดจะไม่กลายเป็นเด็กอกตัญญูไปหรือคะ”

“เราไม่ได้กีดกันไม่ให้เวียนนามาเจอหนู หรือทำไม่ดีกับเขา แต่เราแค่รอเวลาที่เหมาะสมก่อน ถ้าเวียนนารักหนูจริงก็ต้องรอได้”

เมื่อเดหลีพูดแบบนั้น วนิษาเลยผงกศีรษะรับคำด้วยสีหน้าที่สบายใจขึ้น แต่หญิงสาวยังคงมีทีท่าเย็นชาเหมือนเดิมตอนมองเขาคล้ายต่อว่า เขมวันต์เลยเกาท้ายทอยอย่างเก้อกระดาก ก่อนพึมพำออกมา

“ผมขอโทษที่ใจร้อนไปหน่อย แต่ยังไงเด็กของคุณก็ผิดที่พาลูกสาวผมไปแบบนั้น”

“คุณฉัตรไม่ใช่เด็ก และไม่ใช่เด็กของฉัน” เธอกล่าวแก้ น้ำเสียงขุ่นจัด ท่าทางบอกว่ายังโกรธไม่หาย

ชายหนุ่มเลยแอบผ่อนลมหายใจยาว ดูท่าเขาไม่ควรมีเรื่องกับเธอในตอนนี้ ดังนั้นเขมวันต์เลยตัดสินใจว่าควรนิ่งเฉยไว้เป็นการดีที่สุด เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งทะเลาะกัน เดหลีก็คงไม่อยากจะคุยกับเขาเหมือนกัน เพราะหญิงสาวไม่เหลือบมองมาอีกเลย เธอจ้องหน้าวนิษาแทนพร้อมกับเอ่ยถามเด็กหญิงว่า

“หนูนิด คืนนี้จะกลับไปนอนที่คอนโดฯ พี่อัค หรือจะนอนกับพี่เดย์ที่นี่”

“หนูไม่อยากกลับไปคอนโดฯ น้าอัค หนูกลัวเจอ...” วนิษาอึกอักกับการต้องเอ่ยชื่อเวียนนาออกมา

เขมวันต์เห็นแล้วก็นึกสงสารลูก เลยบอกกับอีกฝ่ายว่า “งั้นคืนนี้ หนูนิดก็นอนกับคุณเดย์เถอะ”

บุตรสาวพยักหน้ารับกระตือรือร้น ก่อนชะงักงันคล้ายเพิ่งนึกได้และรีบเอ่ยปากถามทันที “แล้วพ่อล่ะคะ พ่อจะไปไหน”

“ไปเปิดโรงแรมนอน” ชายหนุ่มตอบ ทำเป็นไม่เห็นสีหน้าผิดหวังของคนถาม “แล้วพรุ่งนี้เช้าพ่อค่อยมาหาใหม่”

วนิษาพยักหน้าหงอยๆ ขณะที่เดหลีไม่แม้แต่เหลือบมองมา

เธอคงโกรธเขาไม่หาย

เขมวันต์เลยเลือกที่จะเงียบเสีย รอจนทั้งคู่เข้าไปด้านในจึงค่อยขับรถออกมาเช็กอินที่โรงแรมใกล้ที่พักของเดหลี ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือเอวาลอนกรุ๊ปที่หญิงสาวเป็นคนแนะนำให้

ชายหนุ่มตั้งใจว่าเช้าวันพรุ่งนี้ค่อยไปง้อเดหลี

หญิงสาวไม่ใช่คนแสนงอนและง้อยาก ขอเพียงเขาตื่นเช้าหน่อย แล้วเตรียมวัตถุดิบไปทำอาหารเช้าแสนอร่อยให้ อีกฝ่ายก็น่าจะหายโกรธโดยเร็ว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นายแพทย์หนุ่มจึงหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน แต่ยังนอนไม่เต็มอิ่มก็ถูกปลุกขึ้นเสียก่อนด้วยเสียงเคาะประตูห้องที่ดังแทรกความเงียบของยามเช้า

ด้วยอาชีพทำให้เขาต้องหูดีและตื่นไว ชายหนุ่มจึงไม่อยู่ในอาการงัวเงียแม้แต่น้อยยามเดินไปเปิดประตูห้องพร้อมยิ้มกว้าง เพราะมั่นใจว่าจะต้องเป็นเดหลีที่แวะมาหา

แต่รอยยิ้มของเขมวันต์กลับค้างแข็งอยู่บนใบหน้า เมื่อเห็นเวียนนาที่สวมทั้งหมวกปีกบานและแว่นกันแดดอันใหญ่ปิดบังดวงหน้า เมื่อเธอเห็นเขาเปิดประตูให้จึงหันหาบริกรของโรงแรมซึ่งเข็นรถคันเล็กบรรทุกอาหารเช้าเพียบแปล้มาเต็มคันรถ พร้อมยัดธนบัตรสีแดงใส่มือฝ่ายนั้นแล้วสั่งว่า

“เสร็จหน้าที่ของเธอแล้ว แล้วจำไว้ว่าอย่าบอกใครเรื่องนี้”

จากนั้นหญิงสาวก็ทำท่าจะเข็นรถคันนั้นเข้ามาในห้อง แต่เขมวันต์ยื่นแขนออกไปขวางไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าถมึงทึง

“คุณมาทำอะไรที่นี่”

“ก็มากินข้าวเช้ากับคุณน่ะสิ”

“ผมไม่คิดว่า ถ้าเรากินข้าวด้วยกันแล้วจะเจริญอาหารหรอกนะ”

เวียนนาอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนแย้มริมฝีปากหัวเราะออกมา “คุณนี่นิสัยขวานผ่าซากไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

เขมวันต์ไม่สนใจคำวิจารณ์ของหญิงสาว เขาจ้องตาอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น และยังคงยืนเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่เช่นเดิม

“บอกมาตรงๆ ดีกว่าว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันจะตกลงกับคุณ”

“ผมไม่มีอะไรจะตกลงกับคุณทั้งนั้น”

“เดี๋ยวสิ คุณเข้ม” เวียนนาผวาเข้ามารั้งตัวเขาไว้เมื่อเห็นชายหนุ่มทำท่าจะปิดประตูใส่หน้าเธอดื้อๆ “แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณ ยายเดย์ แล้วก็หนูนิดนะ”

ชื่อเดหลีกับวนิษาทำให้เขาหันขวับมามองอีกฝ่ายทันที

“คุณพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว ผมจำได้ว่า เคยสั่งห้ามไม่ให้คุณเข้าใกล้ลูกไม่ใช่หรือ แล้วเมื่อวานคุณไปยุ่งกับลูกทำไม”

“ก็ฉันคิดถึงลูก”

“อย่ามาโกหกเลย คุณคิดจะทำอะไรอีกล่ะ” เขาถามไม่ไว้หน้า ไม่เชื่ออีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว

“ฉันพูดจริงๆ นะคุณเข้ม ฉันคิดถึงลูก ฉันอยากคุยกับแก อยากกอดแก อยากควงแขนแกไปชอปปิง”

“หนูนิดไม่ใช่เด็กช่างคุย แกไม่ชอบให้ใครกอด และเกลียดการชอปปิง” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ที่สำคัญ แกไม่อยากอยู่ใกล้คุณ”

“แต่ฉันเป็นแม่เด็กนั่นนะ” เวียนนาฟูมฟาย “ฉันท้อง คลอดแกออกมา ทำไมฉันจะชื่นชมแกไม่ได้ คุณอย่ามากีดกันเราแม่ลูกหน่อยเลย”

“ผมไม่ได้กีดกัน แต่หนูนิดเป็นฝ่ายไม่ต้องการเอง แล้วถ้าคุณจะมาเพราะเรื่องนี้ ก็กลับไป อย่าให้ผมพูดซ้ำซาก มันน่ารำคาญ”

เขาเห็นดวงตาฝ่ายนั้นทอประกายเกรี้ยวกราดขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะหลุบเปลือกตาลงคล้ายข่มใจ จากนั้นจึงค่อยๆ เชิดหน้าขึ้นอย่างคนที่ไม่มีวันยอมแพ้ แล้วเค้นเสียงออกมาว่า

“ฉันก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องฟังคุณตะคอกใส่หน้าแบบนี้ แต่ตราบใดที่เรายังคุยกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือจากหนูนิดเด็ดขาด”

เขมวันต์แสยะยิ้ม ในที่สุดจิ้งจอกสารพัดพิษก็ทำหางโผล่ออกมาจนได้

“แล้วคิดหรือว่าผมจะกลัวคำขู่ของคุณ รู้ไหมว่าถ้าคุณกล้าแม้แต่แตะต้องหนูนิด ผมจะทำให้คุณเสียใจจนตาย”

ชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างข่มขู่ จนเห็นความหวาดกลัวฉายในดวงตาเรียวรีของคนตรงหน้าเลยรู้สึกคลายใจขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ผละออก เวียนนาก็ทำในสิ่งที่เขมวันต์คิดไม่ถึง ด้วยการยื่นมือมาโอบลำคอของเขาให้ก้มต่ำยิ่งกว่าเดิม

แล้วก่อนที่ชายหนุ่มจะมีโอกาสประท้วง ริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้าก็โถมเข้าหา ทิ้งน้ำหนักตัวลงมาบนร่างเขาจนชายหนุ่มเซไปด้านหลัง กว่าจะรู้ตัว เขาก็ถูกอีกฝ่ายจูบไปเรียบร้อยแล้ว ซ้ำยังเข้ามาอยู่ในห้องพักของเขาเสียอีก

เขมวันต์ตัวค้างแข็งอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนผลักคนที่เคยเป็นแม่ของลูกออกอย่างรังเกียจ

“คุณทำบ้าอะไรฮึ” ชายหนุ่มเค้นเสียงใส่อีกฝ่าย แต่เวียนนาไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังหันไปล็อกประตูห้องแล้วยิ้มใส่ตาเขาเสียอีก

“ก็ฉันอยากทดสอบ ให้คุณเห็นว่าระหว่างเรายังมีปฏิกิริยาเคมีเหมือนเมื่อก่อน”

“เคมีบ้าบอน่ะสิ”

“คุณอย่าโกหกตัวเองไปเลย รู้ไหมว่าคุณน่ะไม่เหมาะกับยายเดย์หรอก ฉันต่างหากคือคนที่ใช่สำหรับคุณ”

“เพ้อเจ้อ” เขาพูดเสียงเย็นแล้วมองหมิ่นอีกฝ่าย แต่เหมือนเวียนนาจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

มือเรียวของฝ่ายนั้นปลดกระดุมเสื้อที่สวมออก เพื่ออวดเสื้อในสีดำสนิทตัดกับโนมเนื้อขาวผ่อง แต่เขมวันต์กลับรู้สึกรังเกียจ แทนที่จะหวั่นไหวอย่างที่ควรจะเป็น

“ต่อให้คุณแก้ผ้า ขึ้นไปนอนยั่วผมบนเตียง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

เวียนนาชะงักเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมหยุด มือเรียวของฝ่ายนั้นยังคงรูดซิปกางเกงที่สวมอยู่ คล้ายต้องการพิสูจน์คำพูดของเขา

เขมวันต์เม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบเสื้อกับกางเกงที่อีกฝ่ายถอดทิ้งลงบนพื้น ตั้งใจจะโยนขึ้นไปบนเตียง แต่กลับต้องชะงักค้าง เพราะประตูห้องถูกเปิดผลัวะเสียก่อน

เดหลีกับวนิษายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าตกใจก่อนกลายเป็นไม่อยากเชื่อ ขณะตวัดสายตามองมาที่เขาพร้อมกัน

“พวกลูกกำลังเข้าใจพ่อผิดอยู่นะหนูนิด”

เขมวันต์บอกทั้งคู่เสียงเรียบ แต่เวียนนากลับโผเข้ากอดเขาจากทางด้านหลัง แล้วทำท่าเหมือนจะขบเล็มใบหูเขาเบาๆ ตอนเอ่ยแย้งออกมา

“ไม่ต้องเขินหนูนิดกับเดย์หรอกค่ะ บอกสองคนนี้ไปสิคะ ว่าคุณกำลังทำน้องคนใหม่ให้ลูกอยู่”

ชายหนุ่มเลยเป็นฝ่ายตัวแข็งทื่อเสียเอง เพราะคิดไม่ถึงว่าเวียนนาจะกล้าทำได้ถึงเพียงนี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้สะบัดหญิงสาวออก เดหลีก็พูดขึ้นเสียก่อน

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกับหนูนิดก็คงไม่กล้ารบกวนเธอกับหมอเข้มแล้วละ”

พูดจบคนรักของเขาก็ฉุดแขนลูกสาวเขาเดินลิ่วออกไปจากห้อง

เขมวันต์ผวาจะตามไป แต่เวียนนากลับหัวเราะเบาๆ เสียก่อน

“คุณคิดว่าถ้าตามไปตอนนี้ สองคนนั้นจะเชื่อคุณหรือคะ”

ชายหนุ่มเลยเปลี่ยนใจที่จะตามแก้ไขความเข้าใจผิดนี้กับเดหลีและวนิษาไปก่อน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเวียนนา ถ้าเขาแกะปลิงตัวนี้ออกไปจากชีวิตไม่ได้ ก็คงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าพร้อมเดหลีกับวนิษาได้ 

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เขมวันต์เลยหันกลับไปมองเวียนนาแล้วเดินตรงเข้าไปหาอย่างช้าๆ ทำให้ฝ่ายนั้นมองมาด้วยความแปลกใจอยู่ชั่วนาทีหนึ่ง ก่อนถอยกรูดไปด้านหลังพร้อมถามเสียงสั่น

“คุณจะทำอะไรน่ะ”

เขมวันต์ไม่ตอบ แต่กลับเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาแทน จากนั้นก็ปามันลงพื้น

เสียงแก้วแตกเปรื่องดังก้องในห้องพักแคบๆ จนน่ากลัวเกินจริง ขณะที่เวียนนาร้องกรี๊ดออกมา

“ฉันถามว่าคุณจะทำอะไร” เสียงเธอสั่นสะท้านจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง

“ก็ทำให้คุณเป็นเมียผมอย่างที่คุณอยากเป็นไงล่ะ”

เขาตอบ พร้อมหยิบเศษแก้วที่แตกเป็นปากฉลามขึ้นมา แล้วบิดริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นยิ้มหยัน เงาบิดเบี้ยวบนเศษแก้วทำให้รู้สึกเหมือนเห็นเงาสะท้อนของคนโรคจิต

“แล้วคุณเอาเศษแก้วนั่นมาทำไม” หญิงสาวมองเศษแก้วในมือเขาอย่างไม่ไว้ใจ ขณะที่รอยยิ้มของเขมวันต์กว้างขึ้นเรื่อยๆ

“เอามาเฉือนหน้าปลอมๆ ของคุณทิ้งไปไง รู้ไหมว่าผมเกลียดมันขนาดไหน”

“บ้าเหรอ ฉันไม่ยอมหรอก” เวียนนายกมือขึ้นกุมแก้มด้วยความหวงแหนทันที “รู้ไหมว่าหน้าฉันหน้านี้ ฉันต้องจ่ายไปเท่าไหร่ ไปหาหมอมาตั้งกี่คน กว่าจะได้ตาแบบนี้ โหนกแก้มแบบนี้ จมูกแบบนี้ คางแบบนี้ แล้วก็ปากแบบนี้”

“ไม่รู้ และไม่สนใจ แต่ถ้าคุณอยากขึ้นเตียงกับผม ก็ต้องทำตามที่ผมบอก”

หญิงสาวส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่มีทาง ฉันไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก”

“ก็ไม่บ้าไปกว่าที่คุณทำกับผมหรอก”

“แต่นี่มันเข้าข่ายทำร้ายร่างกายนะ แล้วคุณก็เป็นหมอด้วย หมอต้องช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ทำร้ายคน”

“ไม่เคยได้ยินเรื่องหมอชอบฆ่าเมียหรือ”

ถามแล้วก็ฉีกยิ้มเกือบถึงใบหู...ส่วนดวงตาก็ทอประกายเยียบเย็นจนเจ้าตัวยังอดรู้สึกปวดกระบอกตาไม่ได้

แต่ถ้าคิดจะกำจัดเวียนนาไปให้พ้นจากชีวิต เขาก็ต้องทนเล่นบทคนบ้า

และดูเหมือนละครที่แสร้งแสดงไปจะได้ผลดีเกินคาด เพราะเวียนนาถึงกับวิ่งพรวดขึ้นไปบนเตียง เพื่อข้ามไปอีกฟากของห้องพักแคบๆ นั่น

“แต่ฉันไม่ใช่เมียคุณ”

“เมื่อกี้คุณยังอยากเป็นเมียผมอยู่เลย”

“ฉันก็แค่แกล้งเล่นละครไปอย่างนั้นเอง ใครจะอยากเป็นเมียหมอโรคจิตอย่างคุณฮึ ทั้งบ้า ทั้งจนอย่างกับจับกัง ฮือๆๆ” แล้วคนพูดก็รีบวิ่งออกไปจากห้องแทบไม่ทัน

                รีบจนลืมเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้เลยทีเดียว

                ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ เขมวันต์คงหัวเราะลั่นไปแล้ว ทว่าตอนนี้เขามีแต่ความวิตกกังวล กลัวว่าผู้หญิงที่รักทั้งสองคนจะเข้าใจผิด แต่เมื่อชายหนุ่มกดโทรศัพท์หาเดหลี กลับพบว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมรับสาย วนิษาก็เช่นกัน จนกระทั่งเขาอาบน้ำแต่งตัวและเช็กเอาต์ออกจากโรงแรมก็ยังติดต่อทั้งคู่ไม่ได้ ไปหาที่คอนโดฯ ก็พบว่าทั้งคู่ออกไปแต่เช้าแล้วยังไม่กลับเข้ามา เลยคิดว่าเพราะหญิงสาวต้องไปจัดงานอีเวนต์ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางใจเมืองอย่างที่บอกกับเขาไว้เมื่อวานนี้ จึงลองตามไปดู

 

                เขมวันต์ไปถึงดิเอวาลอน อเวนิว ตอนก่อนเวลาเปิดนิดเล็กน้อย เลยทันได้เห็นทีมงานกำลังตรวจสอบขั้นตอนสุดท้ายก่อนเริ่มงาน

                คันฉัตรกับเดหลีอยู่ที่นั่นจริงๆ ด้วย แต่เขาไม่เห็นเงาของบุตรสาว เดาว่าคงป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง หรือไม่ก็อาจจะอยู่กับพวกเกี้ยมอี๋ เขาเลยไม่ห่วงเท่าไร

                ทว่า...

                สิ่งที่ห่วงและเหมือนเสี้ยนชิ้นใหญ่ในใจ คือภาพของชายหนุ่มหญิงสาวที่เห็นตรงหน้า

ไม่ใช่เพราะพวกเขาดูสมกันราวกับดอกไม้ล้ำค่าในแจกันหยก แต่เป็นเพราะสิ่งที่คันฉัตรช่วยทำให้เดหลีนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถทำให้เธอได้ คนรอบๆ ตัวทั้งคู่ก็ดูตั้งใจฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นบอก แม้แต่เดหลีก็ไม่เว้น

หลายครั้งที่เขาเห็นดวงตาเธอทอประกายวาว เหมือนเห็นเพชรเม็ดใหญ่อยู่ตรงหน้า

เขมวันต์ไม่สามารถก้าวเข้าไปหาเดหลีได้ ขาทั้งสองแข็งทื่อราวกับเห็นหุบเหวกว้างคั่นกลางระหว่างพวกเขา และหมดเรี่ยวแรงจะกระโจนเข้าไปหา

แล้วจู่ๆ คำพูดของเวียนนาก็เหมือนจะย้อนมาเข้าหู

คำพูดที่ว่า...เขาไม่เหมาะสมกับเดหลี!

 

แต่นาทีนี้ เวียนนาก็ไม่ยอมรับเหมือนกันว่าเขมวันต์เหมาะสมกับเธอ

หลังจากเตลิดออกมาจากโรงแรมแห่งนั้น ในสภาพทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พันรอบกายเท่านั้น

ผ้าเช็ดตัวจากบริกรโรงแรมที่หยิบยื่นให้ด้วยความเห็นใจ เมื่อเห็นเธอเผ่นพรวดออกจากห้อง ไอ้-บ้า-นั่น

เขมวันต์จะต้องเป็นบ้าแน่ๆ

เวียนนามั่นใจ และตั้งใจว่าจะหาทางร้องเรียนแพทยสภาว่าเขาเป็นหมอโรคจิต ไม่สมควรได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะอีกต่อไป หญิงสาวมุ่งมาด เพราะนึกเกลียดขี้หน้าฝ่ายนั้นเหลือประมาณ

จะว่าไปเธอก็ไม่เคยรักเขามาตั้งแต่ต้น ที่ทำไปทั้งหมดตอนนั้นก็เพราะอยากเอาชนะเดหลี ส่วนวันนี้ที่เธอทำทุกอย่างก็เพราะคำขอของศกุนตลา!

ฝ่ายนั้นต้องการแยกเดหลีจากเขมวันต์ให้เร็วที่สุด แต่จะมีทางไหนเหมาะสมมากไปกว่าให้เมีย...แม่ของลูกมาชวนให้ทบทวนสัมพันธ์แต่เก่าก่อน

ตอนแรกเวียนนาไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้เท่าไร เธอไม่เคยอยากเป็นแม่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ส่งคืนเด็กคนนั้นให้เขมวันต์ไปหรอก

เธอไม่เคยอยากมีสามี เพราะผู้หญิงที่มีครอบครัวร้อยละเก้าสิบห้ารอบๆ ตัว ไม่แก่ก่อนวัย ก็ทั้งโทรมและเยิน

ยิ่งมีสามีเป็นหมอบ้านนอกอย่างเขมวันต์!...แค่คิดก็ขนลุกเสียแล้ว

เวียนนาเกลียดความเงียบ ไม่ชอบเสียงร้องของหริ่งหรีดเรไร เธอรักแสงสี และชอบเป็นจุดสนใจในวงสังคม และ...ชอบเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เวลาเห็นดาราสวยๆ หญิงสาวก็อยากให้ตัวเองมีใบหน้าเหมือนดาราเหล่านั้น มีความสุขที่มีคิ้วได้รูปเหมือน คิมแตฮี มีดวงตาคมหวานเหมือน ใหม่ ดาวิกา ริมฝีปากอิ่มเต็มเหมือน แอนเจลินา โจลี่ พวงแก้มเหมือน พัคชินเฮ แต่ดวงตาของ พลอย เฌอมาลย์ ก็ถูกใจเธอไม่น้อย จมูกบางโด่งของ อั้ม พัชราภา ก็ชวนให้ลอกเลียนแบบ

เมื่อรักพี่เสียดายน้องเช่นนี้ เวียนนาจึงชอบทำศัลยกรรม เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแบบดาราที่เธอโปรดปราน แต่การทำศัลยกรรมดีๆ โดยหมอฝีมือขั้นเทพที่ต้องนัดหมายล่วงหน้าแรมปีนั้นราคาแพงไม่น้อย ตัวเธอเองก็ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน สินค้าแบรนด์เนมที่นำมาขาย หรือร้านสปาบูติกความงามที่เปิดอยู่ก็ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก รายได้หลักๆ ที่มีก็มาจากเงินปันผลที่บิดามอบให้เท่านั้น

มันน้อยเสียจนเวียนนากลุ้มใจ

เธอจึงพยายามหาแหล่งเงินใหม่ๆ มาตลอดหลายปีนี้ แต่โชคมักไม่เข้าข้าง ที่ร้ายที่สุดก็คือเมื่อปีก่อน หญิงสาวตั้งใจจะพาลูกสาวคนเดียวมาเป็นตัวหารในกองมรดกด้วย เพื่อจะได้ดูแลเงินทองของฝ่ายนั้น เพื่อนำมาใช้ลงทุนกับเรือนร่าง ใช้ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์ร้านสปาบูติกที่เปิด แต่แผนการดังกล่าวกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเขมวันต์ไม่เห็นด้วย

เขาทำให้เธอโดนปุริส หัวหน้าตระกูลคนล่าสุดคาดโทษ และทำให้ผู้เป็นบิดาประกาศงดความช่วยเหลือด้านการเงิน

เวียนนาเลยต้องกัดฟันยอมรับข้อเสนอของศกุนตลา ทั้งๆ ที่หมดเยื่อใยในตัวเขมวันต์ไปตั้งนานแล้ว

ข้อดีอย่างเดียวของฝ่ายนั้นที่เธอพอนึกออก คือเขามีอาชีพที่พอเชิดหน้าชูตาเธอได้ นอกนั้นน่ะหรือ...ไม่ได้เรื่องสักอย่าง

ทั้งรูปร่างอย่างกับกรรมกร ที่ทั้งหนาและสูงจนเหมือนตึก หน้าตากระด้างที่บ่งบอกพื้นเพชาวสวน จนมองไม่เจริญตา ไม่เหมือนบอยแบรนด์เกาหลี ที่หน้าใสเป๊ะ ดูน่าสดชื่นยามจ้องตาด้วย

แล้วยังเรื่อง...

เอิ่ม...ก็เรื่องนั้นละ!

สาวๆ หลายคนอาจชอบชายหนุ่มที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งยังอึด ถึก ทน และเรียกร้องเก่งบนเตียงนอน แต่ไม่ใช่เวียนนา

เธอเกลียดความใหญ่โตเกินพอดีของฝ่ายนั้น จนพานนึกไม่ชอบเซ็กซ์ และมั่นใจว่าสามารถอยู่ได้โดยไม่มีเซ็กซ์ ทั้งยังไม่คิดว่าเซ็กซ์สำคัญกับชีวิต

เวียนนาคิดว่าการฉีดซิลิโคนที่ปาก หรือเหลาดั้งรอบที่สี่ยังฟังดูน่าสนใจ และทำให้เธอถึงจุดสุดยอดได้มากกว่าเซ็กซ์เสียอีก

ขณะที่เขมวันต์คิดตรงกันข้ามกับเธออย่างสุดขั้ว เขาชื่นชอบกิจกรรมใต้ผ้าห่ม และคิดว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติ

เมื่อเป็นแบบนี้ เวียนนาจึงมองไม่เห็นทางที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบคู่ผัวตัวเมียกับฝ่ายนั้นได้ และไม่คิดว่าเขมวันต์จะอยากเห็นหน้าเธอเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเขาค้นพบว่าเธอเคยโกหกไว้อย่างร้ายกาจเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ทว่าศกุนตลากลับไม่ยอมละความพยายามง่ายๆ และยังเพิ่มค่าตอบแทนให้เวียนนามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว แล้วหมั่นกรอกหูสร้างกำลังใจให้เธอว่า อย่างน้อยระหว่างทั้งคู่ยังมีวนิษาเป็นตัวเชื่อม เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดแน่นเหนียวระหว่างแม่กับลูก ย่อมทำให้ทั้งสองฝ่ายมีสัญชาตญาณตรงกัน และถูกดึงดูดเข้าหากันในที่สุด

แต่คำหวานหูพวกนี้ล้วนโกหกทั้งเพ! เด็กนั่นแค่เห็นหน้าเธอก็วิ่งหนีเสียแล้ว

หลังจากนอนคิดอยู่คืนหนึ่ง เวียนนาก็กัดฟันเบนเข็มมาที่เป้าหมายหลัก ทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจนัก

เขมวันต์เปลี่ยนไปจากเมื่อสิบกว่าปีก่อนมากทีเดียว ตอนนั้นเขาเป็นนักดนตรีหนุ่มอารมณ์ดี แสนจะอ่อนไหว ใส่ใจ และห่วงใยเธอทุกอย่าง แต่พอเขากลายเป็นนายแพทย์กลับดุดัน เกรี้ยวกราด เจ้าอารมณ์อย่างกับคนบ้า ขนาดเธอมั่นใจว่าถือไพ่แต้มต่อ ตอนกระโดดเข้าจูบปากกับเขา และเจตนาดันเขาเข้าไปในห้อง เพราะเห็นเดหลีกับวนิษาออกจากลิฟต์มาพอดี แต่ชายหนุ่มกลับแก้ลำได้สำเร็จ มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าจะกรีดหน้าเธอเพื่อเอาศัลยกรรมพลาสติกที่เสริมเติมแต่งอยู่ออกทิ้งเสียอีก

ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดจริงหรือเล่น แต่สีหน้าและแววตาของเขาทำให้ไม่กล้าเสี่ยง

สำหรับหญิงสาวคนอื่นอาจยอมเสียทองเท่าหัวแต่ไม่ยอมเสียผัวไป แต่เวียนนายอมเสียผัว แต่ไม่ยอมเสียใบหน้าสวยงามที่รังสรรค์จากคมมีดหมอเด็ดขาด!

เพราะแบบนี้เวียนนาจึงตัดสินใจมาขอพบศกุนตลาเพื่อขอยกเลิกงานนี้ทันที

อาสะใภ้เลิกคิ้วน้อยๆ อย่างคาดไม่ถึงเมื่อเห็นเธอมานั่งรอในล็อบบีของฟิตเนสที่อีกฝ่ายชอบมาใช้บริการเป็นประจำ

“อาคิดว่าวันนี้นาจะไม่ว่างเสียอีก” ฝ่ายนั้นเอ่ย พร้อมจิบน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้องช้าๆ แต่ดวงตาจับจ้องเธอไม่ลดละ

ดวงตาของนางพญาอสรพิษ! เวียนนาคิดพร้อมหลุบเปลือกตาลงแล้วแสร้งทำเป็นถอนใจอย่างทุกข์ระทม

“ตอนแรกนาก็คิดแบบนั้นละค่ะอาตา แต่...ดูเหมือนว่านาจะเข้าใจผิดไปเอง”

“มีอะไรอีกล่ะ” เสียงคนถามเจือแววรำคาญอย่างปิดไม่มิด

และแม้เวียนนาจะทั้งเกลียดทั้งกลัวอาสะใภ้คนนี้ขนาดไหน แต่เธอย่อมไม่กล้าแสดงอารมณ์เหล่านั้นออกมา หญิงสาวจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนตอนตอบออกไป “เขาไม่ยอมร่วมมือกับเราค่ะ นาเลยคิดว่าจะถอนตัว”

ศกุนตลาเม้มปากอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมหมุนแก้วน้ำในมือไปด้วย ขณะมองหน้าเวียนนาอย่างค้นคว้า จากนั้นก็เค้นเสียงถามทีละคำ “เขาไม่ร่วมมือ หรืออาจ่ายนาน้อยไป”

“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกค่ะอาตา” หญิงสาวปฏิเสธรวดเร็ว “แต่นามาคิดดูแล้ว นาว่านาไม่ควรรีเทิร์นกลับไปหาเขา”

“ทำไม”

“เขากับนาเข้ากันไม่ได้หรอกค่ะ”

“แต่เขาก็เป็นผัวเก่าเรา จนมีลูกมีเต้าด้วยกันแล้ว” อาสะใภ้แย้งเสียงเย็น จนเวียนนาหน้าชาด้วยความอับอาย

“เราเคยมีความสัมพันธ์กันก็จริง แต่เขาไม่เคยนับนาเป็นเมียหรอกค่ะอาตา ส่วนหนูนิดก็ไม่เคยรับว่านาเป็นแม่”

“นาพยายามไม่พอหรือเปล่า” คนพูดเอ่ยตำหนิ

เวียนนาลอบผ่อนลมหายใจยาว ทั้งอึดอัดและหงุดหงิด แต่เธอไม่อยู่ในฐานะจะโวยวายหรือต่อรองกับศกุนตลาได้ จึงได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงรอมชอมเท่านั้น

“ก็ตอนแรก นาว่าจะให้มันค่อยเป็นค่อยไปเหมือนน้ำซึมบ่อทราย แต่อาตาก็กลัวว่าจะช้าไปไม่ทันการณ์ นาเลยลองเปลี่ยนแผนใหม่ แต่ก็ไม่สำเร็จ”

“เธอไปทำอะไรเข้า ทำไมถึงไม่สำเร็จ”

“นาไปหาหนูนิดเมื่อคืน แต่เด็กนั่นกลับเตลิดไปกับคุณคันฉัตร...”

“เดี๋ยว...ตาฉัตรมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” สีหน้าคนฟังฉายแววแปลกใจอย่างชัดเจน

“ไม่ทราบค่ะ แต่เหมือนแกกับคุณฉัตรจะรู้จักกันอยู่บ้าง เพราะครั้งก่อนในงานแต่งงานซิดนีย์ แกก็อยู่กับเขา มาคราวนี้ แกก็กระโดดขึ้นรถคุณฉัตร หนีนาไปเลย นาเลยคิดว่าจะเข้าทางคุณเข้ม แต่...” พอเล่าถึงตรงนี้เวียนนาก็ตัวสั่น พูดไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ แววตาของเขมวันต์เหมือนคนบ้าเสียจนน่ากลัว

คิ้วเรียวของศกุนตลาขมวดมุ่นเข้าหากันเพราะความขัดใจ “แต่อะไร ทำไมไม่พูด ขยักไว้ทำไม”

“แต่เขาเป็นบ้าค่ะอาตา ฮือๆ เขาบอกว่าถ้านาอยากเป็นเมียเขา นาต้องไปเอาดั้งออก เจาะฟิลเลอร์ที่ฉีดไว้ทิ้งให้หมด ไม่อย่างนั้นเขาจะกรีดหน้านา ฮือๆ”

“เขาขู่เธอเล่นน่ะสิ”

“ไม่ค่ะ เขาพูดจริงทำจริงนะคะ อาไม่รู้จักเขาเหมือนนา อาไม่เข้าใจหรอก” เวียนนาเอ่ยเร็วปรื๋อ “งานนี้อาตาไปหาคนอื่นเถอะค่ะ นาไม่ไหวจริงๆ”

“ไม่ไหวก็ไม่ไหว แต่เปลี่ยนใจวันไหนก็มาบอก เพราะอาจะขอบคุณนามาก ถ้านาจะกลับไปทำหน้าที่เมียและแม่ให้หมอเข้มกับลูกอย่างที่ควรจะเป็น อาอยากเห็นครอบครัวเธออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ไม่ใช่มียายเดย์เข้าไปแทรก”

คำพูดคำจาของศกุนตลานั้นเหมือนคำพูดของแม่พระมาโปรดสัตว์โลก แต่เวียนนากลับแอบแบะปากอย่างรู้ทัน ทว่าเมื่อคนตรงหน้าเลือกที่จะรอมชอม หญิงสาวก็ไม่โง่พอที่จะตัดไมตรีนี้จนไร้เยื่อขาดใย เธอจึงพึมพำรับปากก่อนยกมือไหว้แล้วผลุนผลันจากไปโดยไม่รั้งรอ

 

ฝ่ายศกุนตลานั้น ยอมรับว่าขัดใจและโมโหหลานสาวของสามีไม่น้อย

ก็รู้อยู่หรอกว่าเวียนนาเป็นคนขี้ขลาดและขี้เกียจ ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าเดหลีแท้ๆ แต่จนบัดนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที

เธอไม่ควรหวังพึ่งคนแบบนี้เลย

อดีตนางพญาแห่งเอวาลอนกรุ๊ปคิดด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ขณะเดียวกันก็ปลอบใจตัวเองไปด้วย ว่าระหว่างที่ยังไม่แน่ใจว่าเวียนนาจะล้างมือจากเรื่องนี้จริงอย่างปากว่าหรือไม่ ก็ต้องหาแผนสำรองเตรียมไว้รับมือกับบุตรสาวสักแผนสองแผน เพื่อไม่ให้เดหลีดิ้นหลุดไปไหน

ทว่าแผนการใดๆ ในโลกนี้ล้วนมีช่องโหว่ทั้งสิ้น เพียงแต่จะหาเจอหรือเปล่า และแผนการครั้งนี้ของศกุนตลาก็เช่นกัน แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากความใจร้อนของเวียนนาโดยแท้ ที่เลือกมาคุยเรื่องนี้ในล็อบบีของฟิตเนสที่มีคนอื่นๆ อยู่ด้วย และใครคนนั้นก็ได้ยินเรื่องนี้เข้าพอดี!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น