เดหลีกำลังยุ่งมาก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานอีเวนต์เปิดโซนใหม่ ดิเอวาลอน อเวนิว ครั้งนี้จะต้องจัดให้เว่อร์วังอลังการยิ่งกว่าเดิม
โดยเชิญศิลปินบอยแบนด์จากเกาหลีมาร่วมเปิดงาน
ดังนั้นจึงมีคนมากกว่าปกติถึงสามเท่าตัวที่มางานครั้งนี้
ขณะเดียวกันจำนวนสื่อมวลชนทั้งไทยและเทศที่จับจ้องด้วยความสนใจก็มากโข
หญิงสาวจึงหัวหมุนไม่น้อยเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการแสดงบนเวทีและทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้น
ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่ทำตัวให้ยุ่งเช่นนี้ก็เพราะเรื่องของเขมวันต์
เดหลีนึกโทษความใจอ่อนของตนเองที่ยอมทำตามที่วนิษาขอร้องด้วยการตื่นเช้ากว่าปกติ
แล้วไปรับเขมวันต์มารับประทานอาหารเช้าเพื่อแก้ตัวเรื่องเมื่อคืนก่อน
จากเดิมชายหนุ่มมักจะเป็นฝ่ายไปปลุกพวกเธออยู่เสมอ แต่การกระทำครั้งนี้
ทำให้ต้องไปพบเห็นภาพบาดตาบาดใจเช่นนั้น
จริงอยู่ที่หญิงสาวไม่เชื่อว่าเขมวันต์จะหันไปหาเวียนนาทันทีที่ทั้งคู่มีปัญหา
แต่การได้เห็นเขาจูบกับแม่ของวนิษา ทำให้เดหลีรู้สึกย่ำแย่
ความมั่นใจในตัวเองคลอนแคลนไปในพริบตา
ถึงแม้ว่าเด็กหญิงจะหว่านล้อมบอกว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่นอน
เพราะพ่อไม่มีทางทำเช่นนั้นโดยสมัครใจ
เดหลีก็ไม่มั่นใจนัก
เธอเฝ้ารอให้นายแพทย์หนุ่มติดต่อมาด้วยความกระวนกระวาย
หญิงสาวอยากได้ยินคำอธิบายจากเขา
แต่เขมวันต์เงียบหายไปเกือบครึ่งวัน จนบ่ายจัดวนิษาจึงโทร. หาคนเป็นพ่อได้
เขาอยู่ระหว่างเดินทางกลับไปห้วยผาเซาะ
อำเภอที่อยู่ไกลสุดพรมแดน เพราะถ้ามัวแต่โอ้เอ้ กว่าจะถึงก็คงเป็นเวลาค่ำเสียก่อน
เดหลีไม่อยากจากนายแพทย์หนุ่มทั้งๆ
ที่มีต้นกล้าแห่งความหวาดระแวงเพาะเชื้ออยู่ในใจคนทั้งคู่เช่นนี้
มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอกันเพื่อปรับความเข้าใจ
แต่หลังจากคิดว้าวุ่นอยู่ได้ชั่วโมงเศษ และเห็นว่างานที่จัดเรียบร้อยดี ไม่ติดขัด
จึงอยากปลีกตัวออกไปสักครู่ เลยตัดสินใจฝากวนิษาไว้กับคันฉัตร
หนึ่งหนุ่มและหนึ่งสาวน้อยมองเธอคล้ายไม่เชื่อหูตัวเอง
โดยเฉพาะคันฉัตรที่ดูจะโกรธหนักเสียจนกรามขบกันเป็นสันนูน
“ทำไมผมต้องดูแลยายเด็กนี่ด้วย”
“เพราะวันนี้อัคกับอี๋พาสองแฝดไปเข้ายิมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กหรืออะไรสักอย่างนี่ละ
ส่วนปัณณ์ก็ท้องแก่แล้ว ฉันไม่อยากกวนเขา และหนูนิดต้องอยู่กับฉันไปถึงค่ำ
แต่ฉันไม่ว่าง จะพาหนูนิดไปด้วยก็ไม่ได้ คุณเองก็คุ้นกับแกดีอยู่แล้ว
ดูแลแกสักประเดี๋ยวไม่น่าจะมีปัญหา”
“เด็กนี่ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว
ถึงต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลทุกฝีก้าว” คันฉัตรแย้ง พร้อมมองวนิษาด้วยสายตาเย็นชา
เกือบเป็นรังเกียจ
เด็กหญิงเองก็แบะปากใส่ชายหนุ่มอย่างไม่เกรงใจ
ก่อนจะหันมาบอกเธอ “นั่นสิคะ พี่เดย์ หนูนิดโตแล้ว อยู่คนเดียวได้
หรือถ้าพี่เดย์เป็นห่วง หนูนิดนั่งแท็กซี่กลับไปที่คอนโดฯ ก็ได้ค่ะ”
“เรื่องนั่งแท็กซี่กลับคอนโดฯ เลิกคิดไปได้เลย
เพราะเย็นนี้เรามีงานเลี้ยง พี่ต้องมาร่วมงาน หนูนิดเองก็ควรมาด้วย
แล้วพี่ก็ให้คนเตรียมชุดกับนัดช่างทำผมแต่งหน้ามาแล้ว
ดังนั้นหนูนิดรออยู่ที่นี่ไปก่อน ส่วนที่ให้รอกับคุณฉัตร
เพราะเห็นว่าหนูนิดก็รู้จักเขา ถ้าไม่อย่างนั้น จะอยู่กับคนอัศวฤทธาคนอื่นไหม”
เธอถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
นอกจากพวกเธอสามพี่น้องแล้ว วนิษาไม่สนิทกับญาติพี่น้องทางฝั่งมารดาเลยแม้แต่คนเดียว
เด็กหญิงจึงส่ายหน้าในทันที
“ไม่ค่ะ หนูนิดอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”
“อยู่คนเดียวไม่ได้หรอก หนูนิดเป็นอัศวฤทธาคนหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นจะวุ่นกันไปหมด” เดหลีแย้งอย่างรอบคอบ
ครอบครัวของเธอร่ำรวยมหาศาล การถูกจับไปเรียกค่าไถ่
หรือปองร้ายเกิดขึ้นได้เสมอ
ดังนั้นคนอัศวฤทธาทุกคนจึงต้องดูแลบุตรหลานของตัวเองอย่างดี
วนิษาเองนั้น แม้จะไม่ได้ใช้นามสกุลนี้
แต่เมื่อเป็นหลานสาวแท้ๆ ของยูนาน และสนิทสนมกับเธอ อัครา ไปถึงปุริส
ที่ถือได้ว่าเป็นผู้กุมบังเหียนของอัศวฤทธา จึงต้องดูแลอย่างระมัดระวังไม่แพ้ลูกหลานสายตรงคนอื่นๆ
เด็กหญิงเม้มปากแน่นเหมือนอยากจะแย้ง
แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะนิ่งเฉยเสีย
เดหลีเลยสรุปว่า “รอสักสองชั่วโมงพี่ก็กลับมาแล้ว
หรือถ้าพี่มาไม่ทัน หนูนิดก็ให้คุณฉัตรพาไปส่งที่ออฟฟิศของโรงแรม เลขาฯ
ของพี่จะพาหนูนิดไปแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนชุดสำหรับงานคืนนี้เอง
แล้วเราค่อยไปเจอกันในงาน” จากนั้นคนพูดก็ตวัดสายตามองคันฉัตรอย่างคาดคั้น
“ส่วนคุณ...ถือว่าทำงานนี้ใช้หนี้ฉันที่ทำให้ฉันกับคุณเข้มต้องเข้าใจผิดกันก็แล้วกัน”
แล้วเธอก็เดินจากมาโดยไม่คิดรอฟังคำตอบ
ถึงคันฉัตรไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจโต้แย้งได้
ด้วยตอนนี้ชายหนุ่มมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอีกฝ่ายเท่านั้น
เขาเลยได้แต่เข่นเขี้ยวมองหญิงสาวร่างระหงที่เดินจากไปด้วยความหงุดหงิดใจ
และความรู้สึกนั้นยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ เมื่อพบว่ามีดวงตากลมโตของวนิษาจับจ้องอยู่
และที่แย่ที่สุดในบ่ายนี้ก็คือ เขาถูกใครบางคนเรียกตัวให้ไปพบเร็วที่สุด
ชายหนุ่มจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจบอกเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้าง
“ตามฉันมา”
ทางฝ่ายเดหลีเมื่อแยกตัวจากคันฉัตรกับวนิษาแล้ว
ก็ตรงไปยังห้องเลี้ยงน้ำชาของโรงแรมระดับเจ็ดดาว
ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับศูนย์การค้าใหญ่แห่งนี้
กลุ่มเพื่อนสนิทของเธอกำลังรออยู่ที่นั่น
ในห้องส่วนตัวที่ปิดมิดชิด
จนหญิงสาวที่แม้จะเครียดอยู่บ้างก็ยังอดโค้งมุมปากขึ้นอย่างขบขันไม่ได้
“ถึงขนาดจองห้องส่วนตัวเมาท์แบบนี้
คงเป็นเรื่องสำคัญมากสิท่า”
“ก็ยายเหมยน่ะสิ เกิดกลัวใครจะมาได้ยินเข้า” เพชรพริ้งตอบเสียงเอือม
ขณะที่คนถูกเอ่ยส่งค้อนขวับใหญ่มาให้ “ก็เพราะฉันเองก็ไปแอบได้ยินมาเหมือนกันไง
ถึงได้กลัวจะมีคนมาแอบได้ยินที่เราคุยกันอีกต่อหนึ่ง”
“เรื่องอะไร ทำไมถึงเป็นความลับขนาดนี้”
“ก็เรื่องของเธอกับหมอเข้มน่ะสิ” คนที่ไปแอบฟังมารีบบอก
ทำให้เดหลีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ยายเหมยไปได้ยินคุณแม่ของเธอกับเวียนนาคุยกันเมื่อเช้านี้”
เพียงเท่านี้คนฉลาดอย่างเดหลีก็พอจะเดาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
และเมื่อทั้งสามเห็นเธอรับรู้ในอาการเงียบสงบ ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเบื่อๆ
“ทำหน้าแบบนี้ แปลว่ารู้แล้วสิ” จีเวลคาดเดา
“เปล่า
แต่สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเวียนนาถึงได้พยายามมาอ้างสิทธิ์ในตัวหนูนิด
และพยายามเข้ามาพัวพันกับคุณเข้มเหลือเกิน” เธอบอกไปตรงๆ ก่อนมองดอกเหมยอีกครั้ง
“แล้วเธอได้ยินแม่ฉันกับเวียนนาคุยอะไรกันบ้าง”
พอถูกถามเช่นนั้น
เพื่อนสนิทก็เล่าออกมาให้ฟังอย่างละเอียดยิบ พร้อมสบถสาบานว่า
ไม่ได้เสริมแต่งหรือพูดตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เดหลีฟังแล้วก็ไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรดี
เพราะถึงจะเคยเห็นฤทธิ์เดชเขมวันต์มาก่อน
แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะกล้าขู่เวียนนาถึงขนาดนั้น
ด้านจีเวลกับเพชรพริ้งฟังแล้วก็หัวเราะงอหาย
“ตายแล้ว! หมอเข้มของเธอนี่ท่าจะซาดิสม์นะ
ดูสิ ถึงขนาดขู่ว่าจะเลาะเอาพลาสติกออกจากหน้ายายเวียนนาเชียวหรือ”
เพชรพริ้งเอ่ยขึ้น
“ฉันว่าให้ตัดหัวเวียนนาทิ้งยังง่ายกว่าว่าไหม”
จีเวลกล่าวสมทบ พร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยความขบขัน
เมื่อทั้งหมดหัวเราะกันจนหอบ
ดอกเหมยผู้นำสารก็ถามขึ้นทันที “แล้วเธอจะทำยังไงต่อ”
เดหลีเม้มปากเกือบเป็นเส้นตรงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แล้วในที่สุดหญิงสาวก็จำใจยอมรับออกมา “ยังไม่รู้เลย
นี่คุณเข้มก็กลับไปห้วยผาเซาะแล้วด้วย คงอีกเป็นเดือนกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง”
“ตั้งเดือนนึง” เพชรพริ้งอุทาน
“อืม”
“ห้วยผาเซาะ...ฟังดูน่าสนใจดีนะ ดูเป็นธรรมชาติดี”
จีเวล ผู้รักษ์โลกเอ่ยสุ้มเสียงจริงจังด้วยความสนใจ
“ก็น่าสนใจ แต่เห็นว่าไกลมาก สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยมี
เดินทางก็ลำบาก” เดหลีตอบ
ดอกเหมยคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนเขย่าแขนเธอด้วยความตื่นเต้นแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้น
ทำไมเธอไม่ตามหมอเข้มไปเสียเลยล่ะ”
“จะตามไปได้ยังไง มันออกจะไกลขนาดนั้น
แล้วฉันจะทำงานยังไง” หญิงสาวร้องท้วง
คนต้นคิดเลยส่งค้อนวงใหญ่ให้แล้วบอกว่า
“ก็ไม่ต้องทำงานไง”
“ไม่ได้หรอก” เดหลีปฏิเสธลั่น
เธอเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารระดับสูงของเอวาลอน และดูแลฝ่ายประชาสัมพันธ์โดยเฉพาะ
ขาดเธอไปเสียคน...
“ทำไมจะไม่ได้ ขาดเธอไปเสียคน
ห้างของเธอก็ไม่ล้มหรอกน่า” เพชรพริ้งรีบตอบคำถามที่หญิงสาวตั้งขึ้นในใจ
ขณะที่จีเวลพยักหน้ารับแล้วกล่าวสนับสนุน “นั่นสิ
เธอยังเคยเล่าเลยว่า คุณอัคก็ลาพักงานไปเป็นเดือนเพื่อไปตามจีบเมียเขาไม่ใช่หรือ
แล้วทำไมเธอจะลาพักงานเพื่อไปรวบหัวรวบหางหมอเข้มไม่ได้”
เดหลีทำตาปริบๆ กับคำแนะนำนั้น
ส่วนเพชรพริ้งดูจะนึกขึ้นได้ในตอนนั้นเอง
เพราะฝ่ายนั้นชะโงกหน้าที่แต่งไว้อย่างประณีตเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยถามแกมคาดคั้น
“จริงสิ แล้วที่ฉันบอกให้จับกดแล้วกินเสีย สำเร็จไหม”
คำถามนี้เหมือนคมดาบที่กรีดลงมาบนแผลในใจคนถูกถาม
“นอกจากจะไม่ได้กินเขาแล้ว เรายังทะเลาะกันอีกด้วย”
เดหลียอมรับอย่างหดหู่ ทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับพ่นลมหายใจแรงด้วยความผิดหวัง
“ว้า...งั้นก็อดพิสูจน์เลยสิ
ว่าหมอเข้มของเธอเขาเป็นพวก เอส เอ็ม แอล หรือเอกซ์แอล” ดอกเหมยบ่นพึมอย่างเสียดาย
แต่จีเวลกลับถามด้วยน้ำเสียงเอางานเอาการกว่า
เพราะความเป็นห่วงเพื่อน “พวกเธอทะเลาะกันเรื่องอะไรหรือ”
“คุณฉัตร...เขาคิดว่าฉันปกป้องคุณฉัตร”
“ว้าว...รักสามเส้าของพวกเธอสามคน”
สาวช่างมโนประจำกลุ่มทำตาลอยเคลิ้มฝัน
“บ้าสิ” เดหลีเลยค้อนเข้าให้ “สามเส้าที่ไหน
ฉันไม่เคยชอบคุณฉัตรเลย แต่คุณเข้มเขาใจร้อน เลยเข้าใจผิดไปใหญ่โต”
“ถ้าอย่างนั้น
เธอก็ต้องรีบหาทางปรับความเข้าใจกับเขาเสีย” เพชรพริ้งจับเข่าเดหลีแน่น
เป็นเชิงสั่งแกมสอน “เพราะเรื่องแบบนี้ยิ่งปล่อยนานไป
ก็จะยิ่งทำให้พวกเธอมีปัญหากันเปล่าๆ แล้วอีกอย่าง พวกเธอก็อยู่ไกลกันด้วย
มิหนำซ้ำข้างๆ เธอก็มีคุณฉัตรอยู่อีกคน”
“ข้างๆ เขาก็มีหมอขนมผิงอยู่เหมือนกัน”
หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว
ทำให้เพื่อนสนิททุกคนเบิกตากว้าง
เพราะก่อนหน้านี้เดหลีไม่เคยเอ่ยชื่อแพทย์หญิงคนสวยมาก่อน
ดังนั้นเมื่อดอกเหมยออกปากขอให้เล่าเรื่องเพียงขวัญ เธอจึงไม่ลังเล และเมื่อพูดจบ
เพื่อนทั้งสามก็มองจ้องหน้าเธอโดยพร้อมเพรียงกันเป็นเชิงคาดคั้น
“ถ้าอย่างนั้น
เธอยิ่งต้องไปห้วยเซาะผานั่นให้เร็วที่สุดเลย” ดอกเหมยสั่ง
“ห้วยผาเซาะ” เดหลีกล่าวแก้
“เออ จะอะไรเซาะก็ช่างเถอะ
แต่ไปแล้วก็จัดการรวบหัวรวบหางหมอเข้มซะ อย่าให้พลาดไปได้อีก
ทีนี้พอข้าวสารหุงเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว แม่ของเธอก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
แล้วคุณฉัตรก็คงไม่คิดอยากจะหาผลประโยชน์กับผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าอุ้มท้องลูกผู้ชายคนอื่นอยู่หรือเปล่าด้วย
หรือถึงเขาอยาก แต่ฉันก็เชื่อว่าเธอจะจัดการเขี่ยเขาออกไปจากชีวิตเธอได้” เพชรพริ้งสรุปอย่างมั่นใจ
“แต่งานของฉัน...” เจ้าตัวยังคงลังเล
จนจีเวลต้องบีบมือเธอแน่น
“บอกฉันหน่อยสิเดย์ ว่าเวลาทำงาน
หรือเวลาอยู่กับคุณเข้มแล้วเธอมีความสุขมากกว่ากัน”
“มันก็สุขคนละแบบนะ”
เดหลีเป็นเวิร์กกิงวูแมนมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ
ดังนั้นความคิดที่จะให้เธอหยุดทำงานเพื่อไปไล่ตามความรักกับผู้ชายคนหนึ่ง
ทำให้หญิงสาวคิดหนัก
ขณะที่คำตอบนี้ทำให้คนที่ฟังทั้งสามคนกลอกตาขึ้นมองเพดาน
“ยายเดย์...ถามจริงเถอะ เธอไม่เคยคิดจะลงจากคานจริงๆ
หรือ” ดอกเหมยเอ่ยขึ้น
จากนั้นก็ตามด้วยเพชรพริ้ง “นั่นสิ
นี่มันโค้งสุดท้ายแล้วนะ ที่รถด่วนขบวนวิวาห์จะชะลอแล้วรับเธอขึ้นรถ ถ้าเธอไม่รีบ ฉันว่าหมอเข้มโดนคาบไปกินแน่นอน”
ขณะที่จีเวลซึ่งเป็นคนคิดก่อนพูด
เงียบอยู่นานกว่าจะเอ่ยออกมา “หรือไม่อย่างนั้น
ก็เพราะเธออยากแต่งงานกับคุณฉัตรมากกว่าเขา”
“ไม่...ฉันไม่ได้อยากอยู่บนคานไปตลอด แล้วก็ไม่อยากให้เขาโดนคนอื่นกิน
และไม่คิดจะแต่งงานกับคุณฉัตร” ในที่สุดเดหลีก็พูดออกมา
“งั้นเธอรออะไร”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันห่วงงาน” หญิงสาวเอ่ย
“เชื่อฉันสิ ถึงเธอไม่ทำงานให้พี่ชาย ยังไงเสียเอวาลอนกรุ๊ปก็ไม่มีวันเจ๊ง
แต่ถ้าเธอไม่รีบไปหาหมอเข้มให้เร็วที่สุด รักเธอพังแน่” เพชรพริ้งย้ำอย่างมั่นใจ
โดยมีเพื่อนๆ อีกสองคนพยักหน้าเห็นด้วย
หญิงสาวฟังแล้วก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรกับเรื่องนี้
เลยได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ไปว่า “ฉันจะลองคิดดูก็แล้วกัน”
“อย่าคิดนานจนหมอเข้มเขามีเมียใหม่และลูกอีกสามคนนะยะ”
เพชรพริ้งประชด แต่ก็เพราะหวังดี
เดหลีเลือกที่จะเงียบ
ขอปลีกตัวกลับไปดูความเรียบร้อยของงานต่อ
ก่อนจะไปร่วมงานเลี้ยงในตอนค่ำอย่างที่บอกกับวนิษาไว้
แต่เธอก้าวออกจากห้องส่วนตัวแห่งนั้นได้แค่ครึ่งก้าวก็ต้องชะงักค้าง
เพราะเห็นผู้เป็นมารดาเดินเข้ามาในทีรูมแห่งนี้พอดี ที่สำคัญท่านไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมคันฉัตร
หญิงสาวรีบปิดประตูห้องลงทันที
ทำให้ดอกเหมยที่อยู่ใกล้ที่สุดทำท่าจะเอ่ยปากถาม เดหลีรีบตรงไปปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ทันควัน
พร้อมส่งสัญญาณให้เพื่อนๆ เงียบเสียงลง
จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือเข้ากลุ่มไลน์
เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าศกุนตลากับคันฉัตรอยู่ที่ห้องข้างๆ นี่เอง
พอเพื่อนทุกคนอ่านข้อความจบ
ต่างก็ปราดเอาหูไปแนบผนังห้องโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้เดหลีถึงกับอมยิ้มขำ
ก่อนรอยยิ้มนั้นจะค้างไป เพราะจีเวลบุ้ยใบ้ว่าผู้เป็นมารดากำลังเอ่ยถึงเธออยู่พอดี
หญิงสาวตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง ตอนทำตามเพื่อนๆ
อีกสามคนแอบฟังบทสนทนาในครั้งนี้ แต่เธอก็ทนฟังได้ไม่นานนัก
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินศกุนตลาเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“อาอยากให้ฉัตรรวบหัวรวบหางยายเดย์เสีย”
เดหลีมองเพื่อนทั้งสามคนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ก่อนผละออกห่างจากผนังตรงหน้าราวกับมันคือประตูสู่ขุมนรก
ท่าทางของเธอทำให้กลุ่มเพื่อนสนิทเข้ามาประคองด้วยความเห็นใจ
โดยเฉพาะจีเวลนั้นถึงกับช่วยบีบแขนให้เบาๆ คล้ายอยากให้เธอผ่อนคลายเลยทีเดียว
“ใจเย็นๆ ไว้เดย์” จีเวลกระซิบ
เดหลีกล้ำกลืนฝืนทนพยักหน้ารับ
ก่อนบุ้ยใบ้ให้ทั้งหมดตามเธอออกไปด้านนอกอย่างคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่อยากเชื่อว่าแม่จะกล้าสั่งคันฉัตรเช่นนั้น
และเธอก็ไม่สนใจฟังด้วยว่าชายหนุ่มคนนั้นจะตอบอย่างไร ตอนนี้เดหลีรู้เพียงแต่ว่า
จะไม่มีวันยอมให้แผนการของทั้งคู่สำเร็จ!
ขณะที่ทางฝ่ายคันฉัตรกลับรับฟังคำพูดของศกุนตลาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ในใจกลับกดเครื่องคิดเลขบวกลบคูณหารผลกำไรขาดทุนเร็วจี๋
จริงอยู่ว่า เขาไม่ชอบข่มเหงหรือฝืนใจผู้หญิงคนไหน
แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นคือเดหลี คันฉัตรก็คิดว่าคุ้มค่าทีเดียว
เพราะเขากับเดหลีเหมาะสมกัน ทั้งชาติตระกูล วุฒิการศึกษา หน้าตา และความสามารถ
ดูจากงานที่จัดร่วมกันวันนี้ก็ได้
ดังนั้นถ้าเอาชนะใจเธอได้ก็เท่ากับเขาชนะหมอบ้านนอกนั่นกับยายเด็กนรก
นอกจากนี้เขายังจะได้รับโอกาสดีๆ ทางธุรกิจอีกด้วย
เพราะในช่วงหลายปีมานี้
ธุรกิจของครอบครัวติดจะง่อนแง่นไม่น้อย สืบเนื่องจากการผันผวนทางการเมือง
และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ไปถึงกฎหมายด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทยอยออกมา
ดังนั้นถ้าเขามีพันธมิตรคืออัศวฤทธา
และครอบครัวของศกุนตลาที่มีสายสัมพันธ์โยงใยกับนักการเมืองระดับสูง
ย่อมทำให้ได้เปรียบมากกว่า
แต่การจะให้อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงความในใจทั้งหมด
ก็ไม่ต่างจากเปิดเผยไพ่ทุกใบในมือออกไป ชายหนุ่มจึงเอ่ยท้วงเรียบๆ
“แต่ทำแบบนี้คุณเดย์อาจจะโกรธ เกลียดผม จนไม่อยากมองหน้าได้นะครับ”
ศกุนตลาส่งยิ้มให้อย่างแช่มช้อย
ราวกับนี่คือสิ่งที่คาดอยู่แล้วว่าคันฉัตรจะต้องเอ่ยขึ้นมา
“เดย์ต้องโกรธแน่ แต่พอทุกอย่างผ่านไป
เดย์จะต้องเข้าใจว่าฉัตรเหมาะสมกับเดย์แค่ไหน และอาหวังดีกับเขาขนาดไหน”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะลองดู” เขาแสร้งแบ่งรับแบ่งสู้
ทำให้คนตรงหน้ายิ้มหวานกว่าเดิม
“อาก็คิดอยู่แล้วว่าฉัตรจะต้องเห็นด้วยกับความคิดนี้
แต่อามีเรื่องจะถามฉัตรอยู่เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรครับ”
“เด็กคนนั้น ลูกสาวหมอเข้ม ฉัตรสนิทกับเขาหรือ”
“ไม่สนิทหรอกครับ แต่เด็กนั่นติดคุณเดย์แจ
ผมเลยต้องพลอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กไปด้วย”
เขาเอ่ยเสียงขุ่นอย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำให้ศกุนตลาพยักหน้าน้อยๆ
“งั้นก็ดีแล้ว ที่ฉัตรแยกเด็กนั่นออกจากยายเดย์เสียบ้าง
อาไม่อยากให้เด็กนั่นคิดว่ายายเดย์เป็นแม่ ทั้งๆ ที่มีเวียนนาเป็นแม่อยู่แล้ว”
คันฉัตรได้ยินแล้วก็อยากถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาอยากยุ่งกับเด็กนรกนั่นที่ไหนกัน
แต่ดูเหมือนใครๆ
ก็ชอบเอาวนิษามาโยนให้อยู่ในความรับผิดชอบของเขาเสียเรื่อย แม้แต่ศกุนตลาก็ไม่เว้น
จะดีอยู่บ้างก็ตรงที่ฝ่ายนั้นพูดต่อออกมาว่า
“และอาจะดีใจมาก ถ้าฉัตรจะช่วยเปิดโอกาสให้เวียนนาได้อยู่ใกล้ชิดเด็กนั่นบ้าง”
“ครับ” เขารับปากนุ่มนวล
เพราะไม่นึกอยากเป็นพี่เลี้ยงเด็กหญิงคนนั้นอยู่แล้ว
ทว่า...เสียงเล็กๆ
ในใจของคันฉัตรกลับร้องประท้วงออกมาว่าการตอบรับคำขอของศกุนตลาครั้งนี้
จะต้องทำให้วนิษาเกลียดชังเขายิ่งกว่าเดิมแน่นอน เพราะฝ่ายนั้นดูจะไม่ชอบเวียนนาเอาเสียเลย
แต่เด็กนั่นจะรักหรือเกลียด
ก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น เพราะเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับวนิษาเหมือนกัน
จะมีก็แต่ความรำคาญและอิดหนาระอาใจเท่านั้น ทว่าเมื่อคุยกับศกุนตลาเสร็จ
สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำคือโทรศัพท์ตามหายายตัวแสบทันที
รออยู่นานกว่าเด็กหญิงจะรับสาย
แล้วบอกว่ากำลังเดินเล่นอยู่ตรงบริเวณทางเดินลอยฟ้าที่เชื่อมต่อโรงแรมกับห้างสรรพสินค้า
ซึ่งเป็นศูนย์อาหารกึ่งสวนสนุก ที่มีทั้งตู้เกม เครื่องเล่น
และของขบเคี้ยวมากมายทั้งไทยและนานาชาติเปิดขายอยู่
“ไปทำอะไรที่นั่น ฉันบอกให้เธอรอฉันที่ทีรูมไม่ใช่หรือ”
เขาถามเสียงขุ่นพร้อมเร่งฝีเท้าเดินไปหาอีกฝ่าย
เพราะพอรู้ว่าศกุนตลาต้องการให้ไปพบ
คันฉัตรก็พาเด็กหญิงไปด้วย แต่แยกกันที่หน้าร้านขนมของโรงแรม
โดยหลอกล่อให้ฝ่ายนั้นดูเมนูและโมเดลขนมไปก่อน แล้วจึงให้ตามเข้าไปในร้านทีหลัง
เพื่อวนิษาจะได้ไม่เห็นว่าเขาไปคุยกับใคร
แต่เมื่อแยกกับศกุนตลากลับไม่พบเด็กหญิงตรงโต๊ะที่จองไว้จึงรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ
บอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะเป็นห่วง
แต่เขาไม่อยากให้เดหลีมองว่าไร้ความสามารถที่แม้แต่กับเด็กหญิงอย่างวนิษาก็ยังดูแลไม่ได้
พอเดินไปถึงบริเวณที่เด็กหญิงบอกก็พบว่าวนิษารออยู่ก่อนแล้ว
ในมือเด็กหญิงมีเครปแผ่นใหญ่และถุงใส่กล่องป็อปคอร์นขนาดย่อมคล้องไว้ที่แขน
“กินไหม ป็อปคอร์นเจ้านี้อร่อยนะ” เด็กหญิงยื่นให้อย่างเอาใจ
ขณะที่คันฉัตรส่ายหน้าแล้วมองตาขุ่น
“ไม่...แล้วทีหลัง ฉันสั่งให้รอที่ไหนก็ต้องรอตรงนั้น
อย่าขัดคำสั่งหนีมาแบบนี้”
“ไม่ได้หนี แต่หนูพยายามโทร. ไปบอกคุณแล้ว
แต่คุณไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่เห็นอ่าน”
วนิษาตอบ พร้อมเดินแทะเครปแผ่นโตไปด้วย ทำให้คันฉัตรทำหน้านิ่วแล้วชี้ไปริมทางเดินที่มีที่ว่างพอให้หยุดยืนพักได้
“ถ้าเธอหิวนักก็ไปยืนกินตรงนั้น อย่าเดินไปกินไป
ไม่สุภาพ”
“หนูก็เดินไปกินไปออกจะบ่อย ไม่เห็นใครจะว่าอะไรเลย” วนิษาเถียงและไม่ยอมทำตามที่สั่ง
ทำให้คันฉัตรยิ่งโมโห
“แต่ฉันว่า และตอนนี้เธอเป็นเด็กในปกครองของฉัน
เธอก็ต้องทำตามที่ฉันสั่ง” ชายหนุ่มขู่เสียงเย็น
“ถ้าไม่ทำแล้วคุณจะตีหนูเหรอ” คนถามทำหน้าทะเล้นใส่
ทั้งยังยักคิ้วให้เขาอย่างท้าทายเสียอีก
คันฉัตรเลยยิ้มกระด้างใส่ตาคนตัวเล็กกว่า
“ฉันจะไม่ตีเธอหรอก แต่ฉันจะส่งตัวเธอไปให้แม่ของเธออบรม”
ดูเหมือนคำพูดของเขาจะสร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้แก่วนิษาไม่น้อยเลย
เพราะเด็กหญิงหน้าซีดเผือดเกือบจะทันที
“ไม่มีทาง หนูไม่ยอมให้คุณทำแบบนั้นหรอก”
“ฉันจะทำ ใครจะกล้าขวาง
อีกอย่างคุณเดย์ก็ฝากเธอไว้กับฉันแล้วด้วย”
“ถ้าพี่เดย์รู้เข้า จะต้องโกรธคุณแน่
พี่เดย์ไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นมายุ่งกับหนูหรอก”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเธอนะ”
วนิษาตัวแข็งทื่อราวกับโดนสาปเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
ขณะที่ดวงตากลมโตแวววาวด้วยหยาดน้ำตาแห่งความคับแค้นใจ
แล้วเจ้าตัวก็เค้นเสียงใส่หน้าเขา “เป็นแม่แล้วยังไง”
“ยังจะถามอีก เธอเป็นเด็กอกตัญญูหรือไงฮึ”
“ถ้าหนูอกตัญญู คุณก็โรคจิตละ”
“ฉันโรคจิตที่ไหน”
“ก็คุณหาเรื่องหนู รังแกหนู
แบบนี้ไม่เรียกว่าโรคจิตได้ยังไง ใช่...คุณต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ”
วนิษาที่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนเกือบเป็นกระซิบมาตลอด
จู่ๆ ก็ขึ้นเสียงจนเกือบเป็นตะโกนออกมา
ทำให้ผิวหน้าชายหนุ่มร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
เด็กอสรพิษกำลังทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาคนที่นี่
ชายหนุ่มขบกรามแน่น ก่อนบีบต้นแขนเรียวของเด็กหญิงแรงๆ เพื่อเตือนสติ
แล้วเอ่ยลอดไรฟันออกมา
“เงียบนะ ยายตัวแสบ เธอจะโวยวายทำไมฮึ”
“ไม่เงียบ
ทำไมหนูต้องเชื่อคุณด้วย...คุณมันเป็นพวกโรคจิต เป็นโลลิคอน
รังแกได้กระทั่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ฮือๆ”
คราวนี้คนพูดยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ
ทำให้คันฉัตรตัวแข็งทื่อ และรู้สึกได้ถึงสายตาเหยียดหยามของคนรอบๆ ที่เฝ้ามองมา
ชายหนุ่มจึงทั้งโกรธทั้งวุ่นวายใจไม่น้อย
“ฉันไปรังแกเธอที่ไหนกัน พูดดีๆ นะ”
แต่วนิษาไม่ฟังเสียง
เด็กหญิงสลัดแขนออกจากการเกาะกุมนั้นและถอยห่างจากเขาเข้าไปรวมกลุ่มกับไทยมุงรอบๆ
อย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมร้องโวยวายต่อ “ฮือๆ ช่วยด้วยค่ะ เขาเป็นโลลิคอน
เขารังแกหนู ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ช่วยด้วย”
คันฉัตรคิดจะโต้แย้งกลับ
แต่เมื่อเห็นวนิษาลดมือที่ปิดบังดวงตาทั้งคู่ลง เลยพบว่าดวงตาของเด็กหญิงแห้งผาก
ขณะที่ริมฝีปากเธอก็แบะคว่ำลง ก่อนแลบลิ้นให้เขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อด้วยความโกรธจัดระคนคิดไม่ถึง
แต่ครั้นจะสืบเท้าเข้าไปหาอีกฝ่าย
ฝูงคนที่มุงอยู่โดยรอบก็ดูจะไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“หน้าตาก็ดี ทำไมถึงรังแกเด็กได้ล่ะคุณ”
“นั่นสิ เป็นโลลิคอนจริงๆ หรือเนี่ย”
“คนเราสมัยนี้ ดูกันที่เสื้อผ้าหน้าตาไม่ได้จริงๆ”
เสียงซุบซิบที่ดังอยู่รอบๆ ตัว ทำให้ชายหนุ่มหน้าชา
พร้อมนึกสาปส่งวนิษาไปพลางๆ
เด็กบ้า!
เด็กนรกพรรค์นี้ เขาเชื่อว่าต่อให้ถูกจับไปเรียกค่าไถ่
ก็ต้องหาทางหนีเอาตัวรอดได้แน่นอน
แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะก้าวตามฝ่ายนั้นไปอย่างรีบเร่ง ทั้งๆ
ที่รู้ดีว่ามีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ
โดยเฉพาะเรื่องของเดหลี
ความคิดเห็น |
---|