17

ตอนที่ 17


ห่างจากห้วยผาเซาะมาหลายร้อยกิโล และผ่านจากวันที่เดหลีไปหาเขมวันต์ได้สองสัปดาห์แล้ว แต่ศกุนตลาเพิ่งรู้ว่าบุตรสาวคนโตหายตัวไป!

เพราะในตอนแรกเธอคิดว่าเดหลีหายไปกับคันฉัตรจึงวางเฉยกับเรื่องนี้ และปกติ อดีตนายหญิงของเอวาลอนกรุ๊ปไม่ค่อยได้เข้าไปที่บริษัทอยู่แล้ว ดังนั้นศกุนตลาจึงไม่รู้ว่าคันฉัตรเข้าไปทำงานเพียงคนเดียว ขณะที่เดหลียื่นใบลาพักร้อนกับปุริส นายห้างคนปัจจุบันผ่านทางอีเมล ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนช่างพูด เขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของน้องสาว จึงไม่ยื่นมือเข้าไปก้าวก่าย

อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้ เดหลีทำงานให้แก่เอวาลอนกรุ๊ปอย่างหนัก ดังนั้นถ้าเธอจะขอลาพักร้อนกะทันหัน โดยมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่บ้าง ปุริสก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

ดังนั้นกว่าศกุนตลาจะรู้เรื่องที่ลูกสาวคนเดียวหายตัวไปก็กินเวลาได้เกือบสัปดาห์แล้ว คนแรกที่เธอเรียกตัวมาถามก็คือคันฉัตร

สตรีสูงวัยมองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความโกรธและผิดหวังไปพร้อมๆ กัน “ทำไมฉัตรทำกับอาแบบนี้ จำไม่ได้หรือ ว่าอาบอกฉัตรว่าอย่างไร”

“จำได้ครับ” คันฉัตรตอบน้ำเสียงเฉยชา “แต่ตั้งแต่เราคุยกัน ผมก็ไม่เห็นคุณเดย์เลย ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะทำตามที่คุณอาสั่งได้ยังไง”

“แล้วทำไมเธอถึงไม่รีบมาบอก ว่ายายเดย์หายตัวไป” คนสูงวัยกว่าร้องถามอย่างเดือดดาล

“คุณเดย์ไม่ใช่เด็ก แล้วเธอก็ไม่ได้จู่ๆ หายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำ เรื่องที่คุณเดย์ลาพัก คุณปุริสก็รู้” คันฉัตรตอบเรียบๆ อย่างคนที่ไม่คิดจะสนใจไยดีกับเรื่องนี้อีกแล้ว

เพราะพอเดหลีไม่อยู่ คนที่เรียกเขาไปพบเป็นคนแรกก็คือปุริส ฝ่ายนั้นสอบถามอย่างตรงไปตรงมาว่าคันฉัตรต้องการเรียนรู้งานด้านไหนของเอวาลอนกรุ๊ป เพื่อจะได้หาคนที่ชำนาญด้านนั้นมาสอนให้ เขาจะได้ไม่เสียเวลา และได้ความรู้อย่างเต็มที่กลับไป

คันฉัตรฟังแล้วก็อดละอายใจไม่น้อย

เพราะเหตุผลที่เขามา ฝึกงาน ที่เอวาลอนกรุ๊ปนั้น แท้จริงแล้วคือข้ออ้างใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้บังหน้า งาน ที่ศกุนตลาจะให้ทำนั่นเอง

เพราะครอบครัวเขาเป็นหนี้ของครอบครัวศกุนตลามานานแล้ว

หนี้ดังกล่าวนี้ไม่ใช่เงิน แต่เป็นหนี้น้ำใจที่ตาของเขาติดค้างไว้กับรุ่นพ่อของศกุนตลา เพราะการจะผงาดตัวขึ้นมาเป็นราชาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านนั้น ไม่ใช่แค่มีเงินก็เป็นได้ แต่ต้องมีสายสัมพันธ์โยงใยแน่นเหนียวกับนักการเมืองด้วย

พ่อของศกุนตลาช่วยเอื้อประโยชน์ให้แก่อัศวฤทธาฉันใด ครอบครัวของเขาก็ได้รับประโยชน์คล้ายๆ กันนั้นไปด้วย

ส่วนหนึ่งเพราะความผูกพันกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนสองตระกูล รุ่นต่อรุ่น ตาของเขากับพ่อของศกุนตลา แม่ของเขาก็เป็นเพื่อนสนิทของฝ่ายนั้น พอถึงเขา...ก็สนิทสนมกับอัคราไม่น้อย

คันฉัตรจึงได้รับการสั่งสอนมาอยู่เสมอว่า พวกเขาติดหนี้น้ำใจครอบครัวของศกุนตลา ถ้าช่วยได้ก็ช่วยกันไป

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำขอร้องเรื่องเดหลีจากอีกฝ่าย เขาจึงยินดีที่จะทำตามคำขอนั้นโดยไม่เกี่ยงงอน ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจที่ไม่ดีในช่วงหลายปีนี้ มีผลกระทบกับบริษัทของครอบครัวเขาเต็มๆ สภาพคล่องของเขาเรียกได้ว่าตึงมือจนเหลือทน

ศกุนตลาก็ดูจะรู้เรื่องนี้ดีไม่น้อย เพราะเธออาสาช่วยวิ่งเต้นประสานกับสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศให้  ขณะเดียวกันชายหนุ่มก็เล็งเห็นว่าการได้เกี่ยวดองกับหญิงสาวผู้นั้น มีแต่ได้ ไม่มีเสีย

สำหรับคันฉัตรนั้น ความรักไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต แต่เงินเท่านั้นที่นับได้ว่าเป็นปัจจัยที่ห้า ถ้ามีเงิน...เขาจะหาผู้หญิงที่รักเขาสักกี่คนก็ได้ หรือถึงเธอจะรักเงินของเขา คันฉัตรก็ไม่ใส่ใจ เพราะถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

ผู้หญิงได้ความสะดวกสบาย หรูหรา ฟู่ฟ่าอย่างที่เธอฝัน ส่วนเขาได้ความสุขกายและผ่อนคลายจากงานหนักตามที่ต้องการ แต่ถ้าจะต้องแต่งงานขึ้นมาจริงๆ เขาตั้งใจว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ทำประโยชน์ให้สูงสุดเท่านั้น

เดหลีคือคนนั้น

และปุริสไม่ใช่คนโง่ ฝ่ายนั้นคงอ่านใจเขาออก ไม่เช่นนั้นก็ต้องสืบเรื่องของเขามาบ้างแล้ว เพราะผู้นำเอวาลอนกรุ๊ปบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดุจให้คำสัญญาว่า

แต่ถ้าคุณมาที่นี่ เพราะคุณแม่ใหญ่ของผมขอร้อง ผมก็ต้องถามตรงๆ ว่า คุณตั้งใจจะแต่งงานกับน้องสาวผม เพราะรักเธอ หรือเพราะสนใจอัศวฤทธาของเรา

คันฉัตรรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกคนอย่างปุริส เขาเลยยอมรับออกไปตรงๆ

ผมไม่ได้รักคุณเดย์ แต่ยอมรับว่าสนใจอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของอัศวฤทธาจริงๆ นอกจากนี้ครอบครัวผมกับครอบครัวแม่ใหญ่ของคุณ มีหนี้สินติดค้างกันอยู่นานแล้ว เมื่อคุณอาเอ่ยปาก ผมก็ควรจะชดใช้

เอาตัวทดแทนคุณ... ฝ่ายนั้นเอ่ยคล้ายจะเยาะ แต่ดวงตากลับมองเขาเปิดเผย ไม่คิดว่ามันโบราณไปหน่อยหรือ

คันฉัตรยักไหล่ ผมเองก็กำลังกรอบเต็มที เรื่องเลวร้ายกว่านี้ก็เคยทำมาหมดแล้ว แล้วทำไมจะทำเรื่องแค่นี้ไม่ได้

แล้วถ้าผมจะช่วยคุณล่ะ

คำถามของปุริสทำให้คันฉัตรแปลกใจ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะรักใคร่น้องสาวต่างมารดาถึงเพียงนี้ เพราะเท่าที่รู้มา ศกุนตลาไม่ได้ดีกับอีกฝ่ายสักเท่าไร

และปุริสคงเห็นเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าเขา จึงกล่าวต่อออกมา คุณคงรู้ว่าผมเคยแต่งงานมาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง และรู้ดีว่ามันเป็นยังไง ดังนั้นผมเลยไม่อยากให้ยายเดย์ต้องตกนรกขุมเดียวกับที่ผมเคยตกตอนนั้น

ผมกับคุณเดย์ และคุณกับภรรยาเก่าของคุณอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ คันฉัตรแย้งเสียงเข้มจัด

แต่ปุริสกลับหัวเราะเอื่อยๆ ออกมา

เสียงหัวเราะนั้นทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวด้วยความละอาย เพราะรู้สึกเหมือนเป็นเด็กน้อยที่เถียงข้างๆ คูๆ กับคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนตั้งหลายปี

ใช่ พวกเราไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ต่างกันนักหรอก บอกผมมา ว่าคุณแม่ใหญ่เสนอความช่วยเหลืออะไรให้คุณบ้าง ฝ่ายนั้นตัดบท เหมือนต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

ผมไม่ต้องการเป็นคนอกตัญญู คันฉัตรยังไม่เห็นด้วย

ไว้ตอบแทนบุญคุณกันเรื่องอื่น...เช่นบอกคนของคุณว่าอย่าไปกว้านซื้อที่แถวสาทรเพิ่ม เพราะทางบ้านคุณแม่ใหญ่คงไม่พอใจนัก ที่จะต้องถูกคอนโดฯ ของพวกคุณล้อมกรอบเอาไว้ หรือไม่อย่างนั้นก็ชวนนายอัคไปร่วมลงทุนสร้างโรงแรมในลาวด้วย แต่ให้จัดการเฉพาะร้านสะดวกซื้อที่เขาดูแลอยู่ ปุริสแนะนำ

ทางออกที่ฝ่ายนั้นเสนอมา ทำให้คันฉัตรหายใจโล่งกว่าที่ศกุนตลาเสนอมาเป็นไหนๆ

ชายหนุ่มจึงใช้เวลาคิดไม่นานนัก ก่อนจะบอกถึงปัญหาของเขาออกไป แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังยืนยันจะขอฝึกงานในเอวาลอนกรุ๊ปต่อ เพราะเขาเองมีความสนใจเรื่องการบริหารงานในซูเปอร์มาร์เกตอยู่แล้ว และด้วยเหตุผลนี้ ทำให้คันฉัตรลืมเรื่องเดหลีไปเลย

แต่ศกุนตลาดูจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ ฝ่ายนั้นมองเขาด้วยสายตารู้ทัน

“ปุริส...เธอพูดถึงตาปุริส นี่ไปโดนล้างสมองอะไรมาล่ะ”

“คุณปุริสช่วยให้ผมได้เรียนรู้งานกับผู้เชี่ยวชาญด้านที่ผมสนใจจริงๆ ครับ” เขาตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดมาก เพราะเกรงว่ายิ่งพูดยิ่งทะเลาะกัน

แล้วก็จริงดังคาด เพราะสตรีสูงวัยตรงหน้าถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความคับแค้นใจ “อย่าเอาเรื่องงานมาอ้างกับอา เราสองคนต่างก็รู้ดีว่าเธอมาที่นี่ทำไม”

“ครับ ผมทราบ แต่คุณอาก็ต้องทราบเหมือนกันว่า เรื่องที่ขอให้ผมทำก็เหมือนการตบมือ ไม่มีใครตบมือข้างเดียวแล้วดังได้หรอกครับ ผมเองก็ไม่รู้จะรวบหัวรวบหางกับคุณเดย์ได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่อยู่ที่นี่ แม้แต่เงาก็ไม่เห็น”

“แต่เธอมีเวลาตั้งมากมายก่อนหน้านี้ ทำไมเธอไม่ทำฮึ”

คันฉัตรส่ายหน้ากับความพาลพาโลของอีกฝ่าย พร้อมนึกเห็นใจเขมวันต์ขึ้นมาครามครันที่ต้องผจญภัยกับแม่ยายเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็นึกขอบคุณปุริสไปด้วยที่ดึงเขาให้รอดพ้นจากนรกขุมนี้

การแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักนั้นเรียกได้ว่าแย่แล้ว แต่การต้องทนกับแม่ยายจอมบงการนั้นแย่กว่าหลายเท่าตัวนัก

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วละครับ เอาเป็นว่า ผมต้องขอโทษคุณอาด้วยที่ทำตามแผนที่คุณอาขอร้องไม่ได้”

“แปลว่าเธอจะไม่ใช้หนี้ที่ครอบครัวเธอติดค้างครอบครัวอางั้นสิ”

“ผมจะใช้ทางอื่น” เขาตอบอย่างที่ปุริสสอน

เห็นสีหน้าศกุนตลาเปลี่ยนเป็นคล้ำลงอย่างคาดไม่ถึงว่าคันฉัตรจะกล้าปฏิเสธออกมาเช่นนี้ ก่อนจะเค้นเสียงบอกเขาอย่างขุ่นเคือง “ได้ เธอได้ใช้ให้อาแน่”

แน่นอนว่าคันฉัตรได้ยินเต็มสองหู แต่แทนที่จะกังวลกับคำพูดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มกลับรู้สึกโล่งอกและปลอดโปร่งใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

 

หลังจากที่เดหลีอยู่ที่ห้วยผาเซาะมาครบสองสัปดาห์ เขมวันต์ก็ได้จังหวะขอลาหยุดพักร้อน ตั้งใจจะพาเธอไปเที่ยวที่บ่อน้ำพุร้อนในตำบลที่อยู่ห่างไปจากตัวอำเภอราวห้าสิบกิโลเมตร เดหลีจึงมีหน้าที่จัดเตรียมเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัว พร้อมอดดีใจไม่ได้ ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มต้องอยู่เวรใน หรือเวรที่ดูแลผู้ป่วยใน โดยต้องค้างที่โรงพยาบาลถึงห้าวัน และถูกตามตัวในกลางดึกอีกสามคืน ส่วนอีกสองคืนที่เหลือ ทั้งเธอและเขาทำได้แค่เพียงกอดกันเท่านั้น ด้วยห้องที่ติดกันคือห้องของเภสัชกรหนุ่ม ซึ่งผนังห้องพักที่นี่เป็นไม้บางๆ ที่แค่พลิกตัวก็ได้ยินเสียงเสียแล้ว

เดหลีเลยยังไม่ได้ทำหน้าที่ เมีย อย่างที่เขมวันต์บอกกับใครๆ เสียที หญิงสาวยอมรับว่าตื่นเต้นไม่น้อย และไม่รู้ว่าจะนำของขวัญของเพื่อนคนไหนไปด้วยดี

ของขวัญสำหรับวันก่อนวิวาห์...

ของขวัญสำหรับเพื่อนสาวคนแรกของกลุ่มที่ทำท่าจะสละโสดได้สำเร็จ ทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน

เย็นวันที่เดหลีตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะมาห้วยผาเซาะ เพื่อนๆ ต่างทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มกันยกใหญ่

เริ่มที่เพชรพริ้งลากทุกคนเข้าร้านขายชุดชั้นในสไตล์ฝรั่งเศสฝีมือคนไทย อย่างปาสซิยอนเน่ ที่สุดแสนเซ็กซี่ โดยเลือกทั้งชุดนอนและชุดชั้นในให้เดหลีถึงอย่างละเจ็ดชุด พร้อมกับหลิ่วตาซุกซนส่งมาให้

‘เอาไว้ใส่เจ็ดวันไม่ซ้ำกัน หมอเข้มของเธอจะได้ตื่นเต้นไง’

ส่วนจีเวล หัวอนุรักษนิยมกลับฉุดมือเดหลีเข้าร้านหนังสือแทน

‘อย่าบอกนะ ว่าเธอจะซื้อตำราทำกับข้าวให้ยายเดย์มัน’ ดอกเหมยรีบถาม

‘ไม่ต้องห่วง ฉันซื้อแน่ จีเวลตอบ ‘เพราะยังไงฉันก็เชื่อว่าเสน่ห์ปลายจวักทำให้ผัวรักจนตาย แต่ตอนนี้ ฉันอยากซื้อเล่มนี้ให้ยายเดย์ก่อน’ พูดจบ คนพูดก็หยิบ กามาสุตรา แบบมีภาพสี่สีประกอบเล่มใหญ่ให้เดหลีด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ 

เพชรพริ้งเบ้ปากอย่างไม่เห็นด้วย ‘สมัยนี้ใครเขาอ่านหนังสือกันฮึ ยายจีเวล แค่เข้ายูเรททูป ก็ดูกันตาแฉะไม่หวาดไม่ไหวแล้ว’

‘แต่ทำแบบนั้นมันไม่คลาสสิก เชื่อฉันเถอะว่า กามาสุตรา นี่แหละเวิร์กที่สุดแล้ว...’ จากนั้นคนพูดก็เงียบไป ก่อนเลือกหนังสืออีกเล่มส่งให้เดหลี คราวนี้เป็นภาษาจีน

‘ตำรับผสานหยิน-หยาง งั้นหรือ’ เดหลีพอจะอ่านประโยคภาษาจีนออกอยู่บ้าง เลยจับความได้เช่นนั้น

จีเวลหน้าแดงนิดหน่อย แต่ยังคงยืนกรานให้เดหลีรับหนังสือเล่มนั้นไปพลิกดู ‘ใช่...เป็นเรื่องของแท่งหยกอุ่นกับปลอกไหมเย็น...ส่วนเล่มนี้...เป็นตำรับอาหารที่เขาบอกว่าใช้กระตุ้นกามารมณ์’ หนังสือเล่มนั้นเป็นภาษาอังกฤษ

‘เห็นว่ารวบรวมสูตรอาหารตั้งแต่สมัยกรีกเอาไว้เชียวนะ’ เพื่อนสาวผู้คลั่งไคล้ตัวอักษรบอก

ขณะที่แก้มเดหลีร้อนผ่าวเมื่อเห็นตำราว่าด้วยหอยนางรม...แต่หัวอาร์ติโช้กนี่...คงหายากสักหน่อยในช่วงนี้ ทว่าความไม่อยากขัดใจเพื่อนรัก หญิงสาวเลยรับหนังสือทั้งหมดที่จีเวลเลือกให้

ขณะที่ดอกเหมยกลับมีทีท่าลับๆ ล่อๆ ยิ่งกว่าเดิม ขอให้เพื่อนๆ ตามไปที่รถ พร้อมยื่นถุงกระดาษใบเขื่องส่งมา

มีเทียนไข...ที่ดอกเหมยบอกว่าเป็นชนิดพิเศษ เพราะน้ำตาเทียนกินได้ และไม่ร้อนจัดจนลวกผิว

แล้วก็โถน้ำผึ้ง...ที่ดอกเหมยบอกว่าพิเศษอีกเช่นกัน เพราะไม่ข้นหรือใสเกินไป เหมาะสมกับการนำมาละเลงตามเนื้อตัว

รวมไปถึงแส้หนังเส้นเรียวเล็ก สีชมพูอ่อน กุญแจมือที่มองดูก็รู้ว่าถูกออกแบบมาเพื่อเป็นของเล่นบนเตียงนอน เพราะหุ้มเฟอร์ฟูฟ่องสีชมพูเฉดเดียวกับแส้หนังเอาไว้

สุดท้ายที่ทำให้เดหลีอายจนหน้าแดงก็คือ...

สัญลักษณ์แห่งความเป็นบุรุษเพศอันเขื่องที่ทำจากยางชั้นเยี่ยม ที่มั่นใจได้ว่าไม่สร้างความระคายเคืองให้แม้แต่ตรงจุดที่บอบบางที่สุดของหญิงสาว นอกจากนั้นยังมีระบบสั่นสะเทือนชั้นเยี่ยมติดมาด้วยเสียอีก

‘อะ ฉันยกให้’

‘ตายแล้ว เห็นมโนเงียบๆ มีของเล่นเพียบนะยะ ยายดอกเหมย’ เพชรพริ้งร้องลั่น และถึงกับตาลุกวาว ตอนหยิบของเล่นแต่ละชนิดขึ้นมาดูด้วยความสนอกสนใจจนออกนอกหน้า

ขณะที่จีเวลแก้มแดงแล้วหลับตาลง พึมพำบทสวดอะไรสักอย่าง

‘อือ...สะสมไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้ใช้สักที เล่นคนเดียวก็ใจไม่ถึง เอ๊ย! ไม่สนุก เลยคิดว่ายกให้ยายเดย์ดีกว่า’ ดอกเหมยเอ่ยหน้าตาเฉยก่อนยัดถุงนั้นใส่มือเดหลี ‘แล้วเธออย่าทำให้ฉันผิดหวังเชียวนะ’...

ดังนั้นหลังจากนั่งไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ หญิงสาวก็จัดแจงเลือกชุดนอนและชุดชั้นในที่เพชรพริ้งซื้อให้ไปจนครบจำนวนวัน จากนั้นก็หลับหูหลับตาหยิบหนังสือที่จีเวลเลือกให้ขึ้นมาหนึ่งเล่ม ตามด้วยของเล่นที่ดอกเหมยมอบให้อีกสองชิ้น

 

                 รีสอร์ตที่เขมวันต์พาหญิงสาวมานั้นอยู่เกือบชิดพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน และมีเทือกเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนเป็นเหมือนป้อมปราการที่โอบล้อมโดยรอบ กอปรกับอากาศเย็นๆ จากฝนฉ่ำฟ้าในช่วงนี้ ทำให้เกิดม่านหมอกขาวสะอาดคลี่คลุมตามยอดเขา จนดูเหมือนอยู่ต่างประเทศ

                ตัวที่พักนั้นสร้างจากอิฐปูนหนาแน่น แต่ภายนอกกรุลำไผ่รวกเอาไว้ ขณะที่หลังคามุงแฝกทับ เลยดูเหมือนกระต๊อบชาวไร่ที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบ ขณะที่ภายในนั้นแม้จะตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ข้าวของเครื่องใช้ก็ระดับพรีเมียม แสดงให้เห็นว่าเจ้าของรีสอร์ตบรรจงคัดสรรมาเป็นอย่างดี

จะมีข้อเสียอยู่หน่อยก็ตรงที่...

“แถวนี้เงียบจังเลยนะคะ”

“เขารับแขกน้อย มีบ้านพักให้แค่ห้าหลังเอง แล้วช่วงนี้ก็เป็นหน้าฝนด้วย เลยไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาสักเท่าไหร่” 

รีสอร์ตนี้เป็นของคนรู้จัก ของเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยอีกต่อหนึ่ง ฝ่ายนั้นบอกว่าชอบใจกับความเงียบสงบ และบรรยากาศโดยรอบที่ยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก โดยเฉพาะลำธารสายเล็กที่ไหลตัดผ่านที่เพื่อไปบรรจบกับแม่น้ำสายใหญ่ตรงแนวชายแดน

เขมวันต์เคยลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมคนไข้แถวนี้กับหน่วยแพทย์อาสามาก่อน และประทับใจในความเงียบสงบงดงามของพื้นที่จนอยากให้เดหลีได้ชื่นชมด้วย ดังนั้นพอได้ยินเรื่องรีสอร์ตแห่งนี้ เขาจึงไม่รีรอที่จะพาหญิงสาวมาพัก

“คุณกลัวหรือ”

“เปล่าค่ะ แค่สงสัยว่ารีสอร์ตอยู่ไกลขนาดนี้แล้วไม่มีคนเข้าพักเลย เขาจะกำไรหรือ”

“เห็นว่าเจ้าของเป็นชาวไร่ที่เมื่อก่อนเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์ ต่อมา ในช่วงฤดูท่องเที่ยว มีคนมาขอพักเยอะจนต้องให้กางเต็นท์นอนตรงหน้าแปลงผัก เขาเลยตัดสินใจสร้างบ้านพวกนี้ขึ้นเสียเลย เพื่อจะเปิดให้บริการเต็มที่ตอนหน้าหนาวนี้”

คนฟังทำตาลุกวาวเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แปลว่าเราเป็นแขกชุดแรกของเขาเลยสิคะ”

ชายหนุ่มยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น “ครับ คุณอยากไปเดินดูให้ทั่วๆ ก่อนไหม”

เดหลีทำท่าอิดออดก่อนตอบ “ฉันอยากจัดของก่อนน่ะค่ะ คุณออกไปเดินเล่นก่อนเถอะ” พูดแล้วเดหลีก็ฉวยกระเป๋าเดินทางที่ชายหนุ่มเพิ่งเอาลงจากรถขึ้นถือ ทำท่าจะหิ้วเข้าไปในห้อง แต่เขมวันต์ไม่เห็นด้วย

“ไม่เห็นจะมีอะไรให้จัดเลย ไปเดินเล่นกันก่อนมืดดีกว่า จะได้ไปสั่งอาหารที่ห้องอาหารด้วย”

เพราะพวกเขามัวแต่แวะเที่ยวรายทาง จึงมาถึงที่หมายเอาจวนค่ำ แถวนี้ไม่มีร้านอาหารเลยนอกจากร้านของรีสอร์ต ซึ่งต้องสั่งอาหารเย็นก่อนห้าโมงครึ่ง เพราะครัวจะปิดตอนหกโมง นายแพทย์หนุ่มจึงไม่อยากโอ้เอ้

“แต่ฉันอยากจัดของก่อนนี่คะ” หญิงสาวตอบน้ำเสียงดื้อดึง และไม่ยอมปล่อยมือจากหูกระเป๋าง่ายๆ

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น และยิ่งรู้สึกแปลกใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเดหลีแทบจะกอดกระเป๋าเดินทางขนาดยี่สิบนิ้วไว้แนบอก “ของอะไร บอกผมได้ไหม”

เห็นเหมือนผิวแก้มของคนตรงหน้าซับสีเลือดขึ้นมาทันควัน

“ก็ของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงนั่นละค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ” หญิงสาวผลุนผลันเข้าไปในบ้าน

ชายหนุ่มยิ้มกว้างยิ่งกว่าเก่า มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงตั้งใจสร้างความแปลกใจให้เขา เลยเลือกที่จะรออยู่ตรงนี้อย่างว่าง่าย

นึกถึงตรงนี้ เขมวันต์ก็อดยิ้มขันไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อสักสองปีก่อน มีคนมาบอกว่าเขาจะยอมฟังคำขอของ เดหลี อัศวฤทธา อย่างไม่โต้แย้งแม้แต่คำเดียวเช่นนี้ ชายหนุ่มคงจะไม่เชื่อ และมั่นใจว่าจะต้องหัวเราะเยาะใส่หน้าคนพูดจนฟันโยกแน่ๆ

และรอยยิ้มนี้คงค้างอยู่บนใบหน้า แม้ในตอนที่เดหลีเดินออกมาจากบ้านพัก เธอจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขมวันต์จึงตัดสินใจบอกออกไปตรงๆ “เพราะผมไม่คิดว่าเราจะได้มาอยู่ที่นี่ด้วยกันแบบนี้มาก่อน”

“แล้วคุณเสียใจไหมคะ” เธอเอียงคอถามเขา สีหน้าแววตาของหญิงสาวใสบริสุทธิ์จนดูเหมือนลดอายุลงไปนับสิบปีเลยทีเดียว

เขมวันต์ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่...มีแต่ห่วงว่าคุณจะเสียใจ”

“ฉันไม่เสียใจหรอกค่ะ” เธอตอบพร้อมสอดวงแขนเรียวเข้ารอบเอวสอบของเขาอย่างรักใคร่ “และไม่มีวันเสียใจด้วย ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมาอยู่กับคุณที่นี่” เสียงคนพูดเป็นกังวานชัดเจนอย่างคนที่ผ่านการไตร่ตรองมาดีแล้ว

เขาเสียอีกที่พอถึงตอนนี้กลับรีรอ ไม่ตัดสินใจเฉียบขาดอย่างทุกครั้ง

เดหลีเองคงสังเกตเห็น เพราะเธอแหงนหน้ามองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล “คุณไม่ชอบหรือคะ”

“เปล่า...แต่ผมรู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบครอบครัวของคุณ ธุรกิจของตระกูลคุณ คุณเป็นคนเก่ง ผมไม่ควรเอาคุณมากักขังไว้ที่นี่ แล้วปล่อยให้ความสามารถของคุณสูญเปล่า”

“ทำไมทุกคนห่วงแต่อัศวฤทธา ห่วงแต่ความสามารถของฉัน แต่ไม่ห่วงความรู้สึกฉันบ้างเลย” เดหลีพูดเหมือนประท้วง แล้วคลายวงแขนออก พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นน้อยๆ คล้ายจะสะกดกลั้นน้ำตา หรืออาจเป็นความรู้สึกภายในใจ

ขณะที่เขมวันต์รีบพูดแทบไม่ทัน “ไม่ใช่นะ คุณเดย์ ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงคุณ แต่ในฐานะที่ผมเองก็เป็นพ่อคนหนึ่ง และมีลูกสาว ผมเลยอดเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อกับแม่คุณไม่ได้”

“ห่วงความรู้สึกของพวกท่าน ทั้งๆ ที่พวกท่านกำลังจับฉันใส่พานให้คุณฉัตรน่ะหรือคะ”

“มันคนละเรื่องกัน ผมไม่ชอบสิ่งที่ท่านทำก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมควรจะรวบรัดลูกสาวท่านแบบนี้ ผมควรให้โอกาสคุณคิด ไตร่ตรองดีๆ ก่อน เพราะถ้าผ่านคืนนี้ไปแล้ว ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณจากไปไหนอีกเป็นอันขาด ดังนั้นตอนนี้...ถ้าคุณอยากจะกลับ คุณก็ยังกลับได้”

เขมวันต์ยอมรับว่าหลายวันที่ผ่านมา เขาพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวไว้อย่างยากเย็น แต่เมื่อนึกถึงสถานที่ที่ไม่เหมาะสมและเวลาที่กระชั้นไป ชายหนุ่มบอกตัวเองให้เก็บไม้เก็บมือให้ห่างจากอีกฝ่ายให้มากที่สุด

เขาตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรมากกว่ากอดและยิ่งกว่าจูบ เพราะถ้าเดหลีนึกเสียใจและอยากเปลี่ยนใจ เธอยังคงเชิดหน้ากลับกรุงเทพฯ ได้อย่างผุดผ่องและสง่างาม

แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งกลับกลายเป็นว่าเขาเองที่อึกอัก พูดจาแทบไม่เป็นคำ ขณะที่คนตรงหน้าตาลุกวาวด้วยความโกรธ

“ฉันอายุสามสิบกว่าแล้วนะคะ ได้รับโอกาสมาเยอะ แล้วก็คิดเรื่องผู้ชายที่จะเป็นแฟน หรือแต่งงานด้วยมาแล้วหลายคน หลายครั้ง จนไม่อยากจะได้โอกาสอะไรพวกนี้แล้ว และไม่อยากจะคิดแล้วด้วยว่าเราเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม เราควร หรือไม่ควรทำ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเฉียบ ก่อนยื่นมือทั้งสองข้างกำสาบเสื้อเขาแน่น แล้วแหงนหน้าจ้องมองดวงตาเขาอย่างมุ่งมาดและค้นคว้า

“ทีนี้ก็บอกฉันมา ว่าคืนนี้คุณจะเป็นสามีของฉันหรือเปล่า”

เขมวันต์ตั้งใจว่าจะตอบ แต่เขากลับทำยิ่งกว่านั้น ด้วยการประทับริมฝีปากผ่าวร้อนลงไปบนเรียวปากบอบบางอย่างแนบแน่นและดูดดื่ม จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่กลับเข้าไปในบ้านแล้วล้มตัวลงบนเตียงนอนได้อย่างไร จำไม่ได้แม้กระทั่งได้ล็อกประตูหรือเปล่า

นาทีนั้นชายหนุ่มเฝ้าคิดถึงแต่ผิวกายที่นุ่มเนียน และกลิ่นเนื้อสาวที่หอมกรุ่นที่กกกอดอยู่แนบชิดจนไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ที่ดังขึ้น 

เดหลีเป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อนและพลิกหน้าหนี พร้อมบอกเขาเบาๆ “มีคนเรียกคุณแน่ะค่ะ”

“บอกให้เขาไปที่อื่นก่อนไป” ชายหนุ่มกระซิบพร้อมขบติ่งหูขาวสะอาดของอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว

แต่หญิงสาวไม่เห็นด้วย เธอพลิกหน้าหนี พร้อมยกมือขึ้นดันแผ่นอกเขาให้ขยับออกห่าง “แต่เขาเรียกคุณว่าหมอนะคะ”

เขมวันต์พ่นลมหายใจด้วยความอึดอัด ขัดใจ

เขารักอาชีพนี้ก็จริง แต่หมอก็ต้องการมีเวลาส่วนตัวบ้าง ยิ่งกว่านั้นถ้าเขาไม่ได้เข้าห้องหอกับเดหลีเสียที แล้วเมื่อไรเขาจะมีน้องให้หนูนิด เมื่อไรเขาจะได้เฝ้าดูการเจริญเติบโตของลูกคนนี้อย่างที่คาดหวังตอนเรียนสาขาวิชานี้เล่า

ความคิดนี้ทำให้ชายหนุ่มเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงอย่างข่มใจอยู่นาน จนคนข้างๆ เอื้อมมือมาเขย่าแขนเขาแล้วเอ่ยเตือน

“ไปก่อนเถอะค่ะ ฉันว่าเขาคงต้องมีธุระจำเป็นให้คุณไปช่วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะมาเรียกคุณทำไมกัน”

ชายหนุ่มฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนการเป็นเมียหมอ จะทำให้คุณมีจิตวิญญาณความเป็นหมอมากกว่าผมเสียอีก” เขาแหย่เธอ ยอมรับว่าอิดออดอยู่บ้าง จากนั้นก็ชะโงกหน้าไปจูบปลายจมูกอีกฝ่ายเบาๆ “ระหว่างที่รอผม คุณจะไปเดินเล่นรอบๆ ก็ได้ ถ้าหิวก็ไปสั่งอาหารมารองท้องก่อน แล้วผมจะรีบกลับมา”

ชายหนุ่มสัญญาก่อนดีดตัวลุกขึ้น แล้วก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องพักแห่งนั้น เพราะภาพเดหลีที่ผมยุ่ง ตาปรือ ริมฝีปากแดงก่ำเพราะจูบเมื่อครู่ ทำให้เขาหมดความยับยั้งชั่งใจได้ทุกเมื่อ

 

เดหลีเองยอมรับว่าเสียดายอยู่นิดๆ ตอนที่เขมวันต์เดินพ้นสายตาไป

พยายามบอกตัวเองว่าเธอเลือกแล้วที่จะเป็นภรรยานายแพทย์ที่ทุ่มเทอย่างอีกฝ่าย จึงต้องพร้อมทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเมื่อครู่อยู่ตลอดเวลา

ขณะเดียวกันความคิดซุกซนเกี่ยวกับของขวัญที่บรรดาเพื่อนสาวส่งมาให้ก็ผุดพรายขึ้นอีกครั้ง

บางทีการที่เขมวันต์ถูกตามตัวไปกะทันหันเช่นนี้ อาจเป็นโอกาสที่ดีของเธอก็ได้ เดหลีคิดพร้อมเปิดตู้เสื้อผ้าออกดู ของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงแล้วตัดสินใจหยิบเจลที่มักพกติดตัวไว้เสมอในระยะหลังนี้ขึ้นมาหนึ่งหลอด...ก่อนเพิ่มเป็นสองในอึดใจต่อมา บอกตัวเองว่า เหลือดีกว่าขาด จากนั้นก็เลือกชุดชั้นในที่เพชรพริ้งซื้อให้หนึ่งชุด เพื่อสวมไว้ใต้เสื้อนอนบางเบาสีขาวบริสุทธิ์แบบเจ้าสาวในคืนนี้ จากนั้นก็เก็บหนังสือของจีเวลกับของเล่นของดอกเหมยลงกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว

ภาพในหนังสือเล่มนั้นโลดโผนจนเดหลีมั่นใจว่าเธอควรไปเรียนยิมนาสติกมาก่อนจึงจะทำตามได้สำเร็จ ของเล่นของเพื่อนสนิทที่เป็นกุญแจมือกับแส้หนังเรียวเล็ก ทำให้หัวใจเต้นโครมครามจนรู้สึกได้

เดหลีตัดสินใจว่ายังไม่ควรทำตามหนังสือ และใช้ของเล่นพวกนั้นในค่ำคืนแห่งแรกรัก

ทว่าหญิงสาวเพิ่งรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทางใบย่อมเสร็จเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำขึ้นมาบนเรือน กำลังจะร้องทักออกไปว่าทำไมเขากลับมาเร็วนัก แต่ประตูห้องพักกลับถูกผลักออกอย่างแรงเสียก่อน ขณะเดียวกัน เงาทะมึนของคนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ไม่ใช่เงาของเขมวันต์

ใบหน้าคล้ำกรำแดดของฝ่ายนั้นกับดวงตาทอประกายวาววับบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่มาดี และทำให้เดหลีถึงกับมือไม้เย็นเฉียบ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแข็งใจทำเสียงเข้ม ร้องถามดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ออกไป

“แกเป็นใคร ไสหัวออกไปเลยนะ” พูดจบก็ถอยกรูดไปด้านหลัง จับกระเป๋าเดินทางแน่นอย่างพร้อมใช้มันแทนอาวุธเมื่อเห็นผู้บุกรุกสืบเท้าเข้ามาหา

เดหลีไม่ลังเลที่จะโยนกระเป๋าราคาแพงลิบในมือใส่หน้าฝ่ายนั้น แต่สิ่งที่หญิงสาวไม่คาดคิดคือ มันไม่ได้มาคนเดียว และเมื่อคนแรกโดนกระเป๋าเดินทางใบนั้นฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนล้มลง เสียงดังที่เกิดขึ้น ทำให้คนที่สองก็วิ่งเข้ามาชาร์จตัวเธอจนล้ม เจ็บแปลบที่หัวไหล่ และดิ้นรนขัดขืนได้เพียงอึดใจ ความทรงจำของเธอก็ดับวูบลง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น