ดูเหมือนเดหลีกำลังลังเลว่าจะยกตำแหน่งไหนให้คนข้างๆ
ตัวดี แต่ยังไม่ทันพูดออกมา ฝ่ายนั้นก็แย่งตอบขึ้นเสียก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
แต่แฝงความมั่นใจไว้เต็มเปี่ยม
“ผมเป็นเด็กฝึกงานของคุณเดย์”
“เด็ก-ฝึก-งาน!”
ไม่ใช่เขมวันต์คนเดียวที่เผลออุทานออกมา
แต่ทั้งวนิษาและกวยจั๊บต่างก็พร้อมใจกันพูดคำนี้ออกมาด้วย
คงเพราะคนตรงหน้าไม่ได้มีทีท่าเหมือนเด็กฝึกงานอย่างที่พูดสักนิด
ท่าทางแบบนี้ สีหน้าแววตาอวดดีเช่นนี้ ต้องบอกว่าเป็นทายาทเจ้าของกิจการจึงจะน่าเชื่อ
แต่ ‘เด็กฝึกงาน’
ของเดหลีกลับผงกหัวรับอย่างหนักแน่น พร้อมใบหน้าที่ยิ้มบางๆ อย่างเดิมแล้วตอบว่า
“ใช่ครับ ผมมาฝึกงานกับคุณเดย์” พอพูดจบ
คนพูดก็ก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่ง แล้วบอกกับเดหลีว่า “เราต้องไปกันแล้วละครับ
คุณป้าเพิ่งโทรศัพท์มาเตือนให้ผมรีบพาคุณเดย์กลับกรุงเทพฯ เมื่อห้านาทีก่อนนี้เอง
เห็นว่าฤกษ์ส่งตัวเลื่อนขึ้นมาจากเดิม แล้วคุณก็ยังไม่ได้แต่งหน้าทำผมเลย”
“แต่...”
เดหลีอึกอัก เหลือบมองเขมวันต์อย่างว้าวุ่นใจ
คงเพราะเธอบอกเขาเอาไว้ ว่ายังเหลือเวลาอีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงสำหรับตัดสินใจ
แต่นี่เพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มแปลกๆ ของไอ้เจ้าเด็กฝึกงานคนนี้
เขมวันต์คิดว่าคงต้องตัดสินใจในนาทีนี้แล้วว่าเขากับวนิษาจะต้องไปงานแต่งงานรวมญาติของตระกูลอัศวฤทธาคืนนี้
หรือไม่ไป
ทว่าเขาคงตัดสินใจช้าไป เพราะบุตรสาวได้ทำตัวใจร้อนสมเป็นวัยรุ่น
ด้วยการกล่าวสวนขึ้นทันที
“ถ้าอย่างนั้น ‘คุณน้า’ ก็ต้องรอแล้วละค่ะ
เพราะพี่เดย์อยากให้พ่อเปลี่ยนชุดที่เลือกมาให้ก่อนไปงาน”
แล้วคนพูดก็ละสายตาจากเด็กฝึกงานตรงหน้า
หันมามองเขาด้วยสายตาคาดคั้นแกมบังคับทันที “พ่อคะ สิบนาทีพอไหมคะ”
เขมวันต์ไม่ชอบถูกสั่ง แต่เมื่อคนที่สั่งคือบุตรสาว
ซ้ำยังทำท่าแยกเขี้ยวใส่ เขาเลยมองฝ่ายนั้นด้วยสายตาขรึมจัดเป็นเชิงเตือน
ก่อนหันไปถามผู้ช่วยของเดหลีด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ว่ายังไงครับ คุณช่วยรอสักสิบนาทีได้ไหม”
“ขอเป็นห้าดีไหมครับ” ฝ่ายนั้นต่อรอง
เด็กหญิงทำหน้าคว่ำ
พร้อมทำปากขมุบขมิบพูดอะไรบางอย่างที่เขาได้ยินไม่ถนัด
ทว่ากวยจั๊บคงได้ยินชัดเลยทีเดียว
เพราะฝ่ายนั้นเอ็ดวนิษาเสียงดังขนาดได้ยินไปไกลข้ามคลอง
แต่ฟังแล้วไม่รู้ว่าเจตนาจะดุจริงหรือช่วยเพื่อนตัวน้อยกันแน่
“ตะกี้ยังชมว่าเขาหล่ออย่างกับพระเอกละครอยู่เลย
ทีอย่างนี้มาว่าเขาเป็นไอ้หน้าตูดลิงซะแล้ว
นี่เขาขอต่อรองกับพ่อเราแค่ห้านาทีเองนะ”
“ทำไมจะว่าไม่ได้
ก็ตูดลิงมันชอบเป็นสีแดงเหมือนเปื้อนเลือด หรือพี่จั๊บจะให้หนูนิดบอกว่า
เขาหน้าเลือดฮึ”
ลูกสาวของเขาก็ใช่ย่อย
ยอกย้อนเสียงปานฟ้าผ่าออกไปอย่างเจตนาหาเรื่องเต็มที่
เขมวันต์เลยได้ยินเสียงห้าวๆ
ของไอ้หน้าตูดลิงดังตามมาติดๆ
“เหลือเวลาอีกสี่นาทีครึ่ง”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตากลมโตของลูกสาวเขายิ่งพองโตกว่าเดิมจนน่าขัน
แต่เขมวันต์ไม่อาจหัวเราะออกมาได้ในเวลานี้ เขาจึงเลือกแค่ยิ้มตรงมุมปาก
แล้วตอบกลับไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอผู้ช่วยแล้วละ”
พูดจบชายหนุ่มก็หันไปพยักหน้าให้เดหลี “คุณจะช่วยผมได้ไหม...”
หญิงสาวมองมาด้วยสายตารู้ทัน แต่ไม่ปฏิเสธ ตอนบอกเขาว่า
“งั้นคุณก็รีบไปสิคะ”
“พี่เดย์ขา เหลือแค่สี่นาทีแล้วค่ะ รีบๆ
ช่วยพ่อปลดกระดุมกับรูดซิปหน่อยนะคะ ไม่อย่างนั้นไอ้หน้า...เอ๊ย
เด็กฝึกงานของพี่เดย์จะโดนดุเอาได้ โทษฐานที่พาพวกเราไปถึงงานช้าเกินไป”
ลูกสาวของเขาตะโกนไล่หลังตามมาเสียงไม่เบาเลย
พอเหลียวไปมอง เขมวันต์ก็ต้องลอบส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
เมื่อเห็นวนิษาลอยหน้ายักคิ้วให้เด็กฝึกงานของเดหลีอย่างท้าทาย
โดยมีกวยจั๊บยืนแทะชมพู่มองมาด้วยสีหน้าขบขัน
กวยจั๊บคงคิดเหมือนเขาว่าเวลานี้ได้มีมวยคู่ใหม่กำเนิดขึ้นแล้ว...
ปลดกระดุม...
รูดซิป...
เพราะคำพูดพวกนี้ของวนิษาแท้ๆ ทำให้เดหลีมือไม้สั่น
กลัดกระดุมให้เขมวันต์ผิดๆ ถูกๆ จนเขาถึงกับหัวเราะออกมาก่อนบอก
“คุณแค่ช่วยผูกเนกไทให้ผมก็พอ”
“ไม่ต้องผูกหรอกค่ะ”
เธอบอกพร้อมมองแผงอกหนั่นแน่นสีน้ำตาลเจือทองตัดกับสีขาวสะอาดของสาบเสื้อเชิ้ตที่แยกออกตาปรอย
ทำให้ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ผิวแก้มของเธอเลยร้อนวาบขึ้นด้วยความขัดเขิน
ขณะที่รีบแก้ตัวเสียงแหบพร่า “คือ...งานคืนนี้แค่เลี้ยงฉลองกันภายในครอบครัว มีสื่อมาบ้างก็จริง
แต่ไม่ต้องเคร่งครัดขนาดต้องผูกไท หรือหูกระต่ายไปหรอกค่ะ”
ใจจริงอยากจะบอกว่าแค่สูทที่ตัดเย็บมาอย่างดีจนแนบกระชับไปกับช่วงบ่ากว้างและไหล่ผึ่งผายของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สาวๆ
ที่มางานคืนนี้ต้องมองจนปากคอแห้งผากเหมือนที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้คุณทำอะไรดี
กลัดกระดุมเสื้อก็ไม่ได้ ผูกเนกไทก็ไม่ได้” เสียงห้าวปรึกษา ทำให้เธอกะพริบตา
เรียกสติคืนมา ก่อนถูกคนพูดรวบตัวเข้าไปกอดแน่น “ทำแบบนี้ดีไหม”
จากนั้นริมฝีปากร้อนผ่าวก็ผนึกแน่นลงมาบนเรียวปากสีสดอย่างลึกซึ้ง
ทำให้หญิงสาวเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกและหอบหายใจอยู่พักใหญ่กว่าจะพูดออกมาได้
“อย่าค่ะ เรามีเวลาเหลือแค่ไม่กี่วินาทีเองนะคะ”
“ช่างหัวเวลามันปะไร”
เขาตอบเสียงดื้อดึง ขณะซุกไซ้ไล่ลงมาตามลำคอเรียวระหง
และทำให้เธอต้องกำมือแน่นเพื่อสะกดกลั้นคลื่นแห่งความวาบหวามใจเอาไว้
เมื่อผิวเนื้อตรงลาดไหล่ถูกปลายคางขรุขระด้วยหนวดเคราถูไถไปมา
แต่พอได้ยินเสียงซิปด้านหลังถูกรูดลง ก็ผลักอีกฝ่ายออกห่างแทบไม่ทัน
เพราะไม่อย่างนั้นเสื้อที่สวมอยู่คงเลื่อนหลุดลงไปกองบนพื้นแน่ๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นอย่าว่าแต่ห้าหรือสิบนาทีเลย ห้าสิบนาที
เธอก็ไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า
และที่สำคัญยิ่งกว่าเวลามีไม่พอ...เธอยังลืมเอาของพวกนั้นติดมาด้วย
หญิงสาวเลยรีบแก้ตัวไปว่า
“แต่ฉันไม่อยากไปสาย
นี่ฉันกับหนูนิดยังต้องไปแต่งหน้าทำผมอีกนะคะ”
คำห้ามปรามจริงจังของเธอ ทำให้เขมวันต์ยอมรามือในที่สุด
“รู้ไหมว่า ผมคิดถึงคุณแค่ไหน” ชายหนุ่มถามขณะกลัดกระดุมข้อมือต่อ
สีหน้าเรียบเฉย
เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้จูบเธออย่างร้อนแรงจนไฟเสน่หาแทบมอดไหม้พวกเขาทั้งคู่
เดหลีอมยิ้มเลือกที่จะไม่ตอบ
แต่พอเหลือบมองกระจกก็อุทานออกมาเสียงหลง
เงาผู้หญิงในกระจกนั้นดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเงาของตนเองเลย
ทั้งเรือนผมยุ่งเหยิงที่หลุดลุ่ยราวกับจะประกาศว่ามีใครบางคนซอนไซ้มือเข้าไปอย่างสนิทเสน่หา
แล้วยังชุดที่ยับย่นจนไม่อาจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นได้
ขณะที่แขนเสื้อข้างหนึ่งก็ห้อยร่องแร่งทำท่าจะหลุดลงมาจากหัวไหล่ได้ในทุกวินาที
“คุณเข้มนะ ดูซิ คุณทำอะไรกับฉัน”
เธอบ่นพร้อมรีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเท่าที่จะทำได้
ขณะที่คนถูกถามยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ
“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเดิมสักที”
“ยังจะพูดอีก แล้วแบบนี้ฉันจะออกไปได้ยังไงนี่”
หญิงสาวมองหมอหนุ่มอย่างโกรธๆ
รู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาเต็มที่ที่จะประกาศความสัมพันธ์ลึกซึ้งของเขากับเธอออกไปให้ใครบางคนรับรู้
“ถ้าคุณขาอ่อนจนเดินไม่ไหว จะให้ผมอุ้มออกไปก็ได้นะ”
แล้วเขาก็ทำท่าจะเข้ามาอุ้มเธออย่างปากพูด เดหลีเลยรีบยกมือห้ามแทบไม่ทัน
“ไม่ต้องเลย แค่นี้ฉันก็อายจะแย่อยู่แล้ว”
“อายอะไร ทำไมต้องอาย ใครๆ
ก็รู้ทั้งนั้นว่าเราเป็นอะไรกัน” คนพูดเอ่ยเสียงท้าทาย และมองมาด้วยสายตาค้นคว้าระคนคาดคั้น
“จะเว้นก็แต่ หมอนั่น...ตกลงเขาเป็นใครกันแน่”
เขมวันต์ไม่ต้องระบุชี้ชัด
หญิงสาวก็รู้ดีว่าเขากำลังหมายถึงเด็กฝึกงานที่ผู้เป็นมารดาพามาฝากด้วยตนเองเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา
และเมื่อเห็นเธอลังเลไม่ยอมตอบ
ชายหนุ่มก็ตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง แต่ใช้น้ำเสียงเข้มกว่าเดิม
“เขาเป็นใครคุณเดย์ ทำไมถึงมาเป็นเด็กฝึกงานของคุณได้”
“ฉันชื่อคันฉัตร ให้เรียกว่าคุณฉัตร ห้ามเรียกน้า อา
หรือพี่ เพราะฉันไม่ได้เป็นญาติข้างไหนกับเธอ และห้ามเรียกว่าไอ้หมอนั่น
ไอ้หมอนี่ หรือไอ้หน้าตูดลิงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาสบู่ถูปากเธอ เข้าใจไหม”
คันฉัตรพูดด้วยน้ำเสียงแทบจะเป็นตะคอกใส่เด็กหญิงวัยรุ่นที่เขาลงความเห็นว่าเป็น
‘เด็กตัวแสบ’ และรู้สึกเกลียดขี้หน้าขึ้นมาติดหมัด
เด็กนี่หาเรื่องหลอกด่าเขา
ซ้ำยังช่วยพ่อกีดกันเขาจากเดหลีเสียอีก
เด็กอะไรร้ายกาจอย่างนี้ก็ไม่รู้ ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะต้อง...
คิดถึงตรงนี้ ก็ได้ยินเสียงใสๆ ตอบกลับมาว่า
“อ้อ...น้าชื่อคันจัด...ว่าแต่คันตรงไหนอ่ะน้า ตรงนั้นหรือเปล่า
ถ้าตรงนั้น แปลว่าน้าเป็นสังคังแล้วนะ ระวังล่ะ ถ้าไม่รักษาจะเป็นหมันรู้ไหม”
คนถูกหาว่าชื่อคันจัดและกำลังจะเป็นหมันถึงกับอ้าปากค้าง
มองคนพูดอย่างนึกไม่ถึง แต่ฝ่ายนั้นเหมือนไม่รู้สึกตัว
เพราะไม่มีแม้แต่อาการหน้าแดง ซ้ำยังมองหมิ่นเขากลับมาเสียอีก
ขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเดาว่ามีอายุไล่เลี่ยกับเขาที่ยืนอยู่ใกล้ตัวยายเด็กนั่นถึงกับคว้าชมพู่ที่ตกพื้นมาอุดปากแม่ตัวดีแทบไม่ทันเลยทีเดียว
แม่คนนั้นเลยร้องอึกอักในคออยู่อึดใจหนึ่ง
ก่อนถ่มชมพู่ทิ้ง แล้วมองคนที่ยัดชมพู่ใส่ปากด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธจัด
“พี่จั๊บทำบ้าอะไรฮึ”
“ก็พูดออกมาได้ยังไง สังคัง สังคันอะไร”
ชายหนุ่มคนนั้นตะคอกไม่ไว้หน้า
“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้ ก็เขาชื่อคันจัด หนูนิดก็สงสัยน่ะสิ
ว่าเป็นสังคังหรือเปล่า” คนพูดตะโกนเสียงดังลั่น
“แต่เขาเป็นผู้ชาย เราก็เป็นสาว
ไปหาว่าเขาเป็นสังคังได้ยังไง”
“หนูนิดยังเป็นเด็ก ไม่ได้เป็นสาว
แล้วพ่อก็เคยสอนหนูนิดว่า สังคัง
เป็นโรคผิวหนังที่เกิดตรงขาหนีบเพราะเชื้อราในร่มผ้าชนิดหนึ่ง แล้วมันก็ติดต่อกันได้ด้วย
แล้วเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องสุขศึกษาพื้นฐานทั้งนั้น ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหนเลย
แต่ต้องรีบรักษาต่างหาก แล้วทำไมหนูนิดจะบอกไม่ได้ว่าเขาเป็นสังคัง”
“เดี๋ยวๆ ใครว่าฉันเป็นสังคังฮึ”
คันฉัตรที่ไม่เคยตะเบ็งเสียงใส่ผู้หญิงคนไหนมาก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด
เพราะทั้งอายทั้งโมโห
“ก็จะไปรู้เหรอ เห็นบอกคันจัด ถ้าคันแล้วเกาไม่ไหว
จะเป็นที่ตรงไหนได้ ถ้าไม่ใช่ตรงนั้น”
“เด็กบ้า ปากเสีย” เขาคำราม
รู้สึกอยากเป็นยักษ์กินคนเข้าไปทุกที
ถ้าเป็นได้เขาจะกินแม่นี่เป็นคนแรก!
เด็กบ้าอะไร ปากดีนัก
“อ้าว...น้า...นี่หนูเตือนน้าดีๆ นะ มาด่ากันทำไม”
เธอเท้าสะเอวพร้อมลอยหน้าลอยตา มองมาอย่างหาเรื่อง
ทำให้ชายหนุ่มข้างๆ คงทนไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นถึงกับออกปากปรามว่า
“พอเถอะ หนูนิด ไปแกล้งเขาทำไม เห็นไหม
เขาหน้าแดงเป็นตูดลิง เอ๊ย เป็นลูกตำลึงแล้ว เส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุบๆ ด้วย
เกิดเขาเส้นเลือดแตกตาย สมองระเบิดออกมาเป็นโกโก้ครันช์
ใครจะขับรถพาเรากับพ่อแล้วก็คุณเดย์ไปงานคืนนี้ฮึ”
คันฉัตรขบริมฝีปาก บอกตัวเองให้ข่มใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
เดาว่าคนพูดน่าจะสนิทกับยายหนูนิดนี่ไม่น้อย
เพราะตอนนี้ทั้งคู่เลิกทะเลาะกันแล้ว ดูจากท่าทางคงหันมารุมกินโต๊ะเขาแทน
และผู้ชายคนนั้นก็เอาแขนพาดบนบ่าเล็กๆ นั่นอย่างถือสนิท
มิหนำซ้ำยังมองมาที่คันฉัตรด้วยสายตาขบขันเสียอีก
ชายหนุ่มจึงมองตอบไปด้วยสายตาเย็นชา
“ผมไม่ใช่คนจิตอ่อน
จะได้ตายเพราะขี้ฟันเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้ แต่คุณสอนน้องสาวคุณหน่อยก็ดี
ให้หัดมีสัมมาคารวะ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เสียบ้าง
ไม่อย่างนั้นคนเขาจะว่าเอาได้ว่าพ่อแม่หรือพี่ชายไม่สั่งสอน”
“ไอ้บ้าหน้าตูดลิง แกหาว่าใครไม่สั่งสอนฉันฮะ”
เด็กหญิงแผดเสียงใส่
ซ้ำยังทำท่าถลกกระโปรงจะพุ่งมาบีบคอเขาเสียให้ได้ โชคดีที่ชายหนุ่มข้างๆ
คว้าตัวเธอไว้ได้ทัน และเดหลีกับแฟน ที่คันฉัตรมารู้ตอนหลังว่าชื่อ หมอเข้ม
หรือเขมวันต์ ก็ก้าวออกมาเสียก่อน
ไม่อย่างนั้นศึกนัดล้างตาวันดีเดือดคงได้เริ่มขึ้นแน่นอน
ยายเด็กนั่นเลยมองเขาด้วยสายตาอาฆาต
แล้วพึมพำว่าแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย
คันฉัตรจึงมองตอบกลับไปด้วยสายตาแบบเดียวกัน อยากจะบอกอยู่พอดีว่า
ยายหนูเอ๊ย เธอกับฉันน่ะกระดูกคนละเบอร์กัน!
รอสักสิบปีก็ได้ เพราะยังไม่อยากโดนหาว่า รัง-แก-เด็ก!
ใบหน้าบูดบึ้งของสารถีที่พ่วงตำแหน่งนักบินกิตติมศักดิ์ทำให้ผู้โดยสารทุกคนเงียบกริบ
ไม่เว้นวนิษาที่ปกติแล้วร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอยังคงทำหน้าบึ้งอยู่อย่างนั้น
แม้ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ร่อนลงจอดบนลานจอดที่ดาดฟ้าของโรงแรมซึ่งจัดงานแต่งงานในครั้งนี้แล้ว
ส่วนเด็กฝึกงาน หรือจริงๆ ต้องบอกว่าผู้ช่วยของเดหลีก็หันมาบอกเสียงเรียบติดจะเย็นชา
ตอนที่ทั้งหมดลงมาจากดาดฟ้าเข้ามาอยู่ในตัวโรงแรมแล้วว่า
“แล้วเจอกันที่ห้องบอลรูมนะครับ”
พอร่างสูงปราดเปรียวของฝ่ายนั้นเดินลับตาไป
วนิษาก็กระตุกมือเธอแรงๆ ทันที
“พี่เดย์ขา พี่เดย์ไล่เขาออกได้ไหมคะ”
เดหลีไม่อยากทำงานกับคันฉัตร
เพราะพอจะอ่านเจตนาของมารดาออก แต่ก็ไม่สามารถทำตามที่เด็กหญิงแนะนำได้
จึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาขบขันแกมค้นคว้าแทน
“ทำไมถึงอยากให้พี่ไล่เขาออกล่ะ”
“เขานิสัยไม่ดี หาเรื่องได้กระทั่งเด็กอย่างหนูนิด”
“ใครหาเรื่องใครกันแน่”
เขมวันต์ขัดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
เพราะรู้จักนิสัยลูกสาวดี ทำให้วนิษาทำหน้าคว่ำ ทำปากยื่นแทบขึ้นไปชนจมูก
“พ่อน่ะ ไปเข้าข้างเขาทำไมกัน”
“ก็จริงไหมล่ะ พ่อกับคุณเดย์อยู่ในบ้าน
ได้ยินแต่เสียงเราแว้ดๆ ใส่เขา”
“ก็เขากวนประสาทหนูนิดนี่” เด็กหญิงตอบ
ก่อนหันมาเขย่าแขนเดหลีอีกครั้ง “ไล่เขาออกได้ไหมคะพี่เดย์”
“เขาเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทคุณยาย...เอ่อ
คุณแม่ของพี่น่ะค่ะ จะไล่ออกตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานคงไม่ได้”
“อ๋อ...พวกเด็กเส้น!”
เด็กหญิงกระแทกเสียง
ทำให้เขมวันต์ที่ฟังอยู่ถึงกับส่ายหน้า
แล้วเอื้อมมือไปโยกหัวบุตรสาวด้วยความหมั่นไส้ระคนเอ็นดู
“ฟังพูดเข้า ตกลงทะเลาะกันเรื่องอะไรฮึ บอกได้ไหม”
“หลายเรื่องค่ะ แต่สรุปว่าเหม็นขี้หน้า
เห็นแล้วอยากอ้วก ไม่ถูกชะตา”
“พี่ก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีคนเหม็นขี้หน้าคุณฉัตรเป็นครั้งแรกนี่ละ
เขาออกจะหล่อเหมือนพระเอกละคร สาวๆ กรี๊ดเขาทั้งนั้น” เดหลีแย้ง
และหลบดวงตาคมปลาบของเขมวันต์แทบไม่ทัน
“แล้วคุณกรี๊ดเขาด้วยไหม”
“เขาเด็กกว่าฉันตั้งหลายปีนะคะ”
“บางคนก็ชอบเด็ก”
“แล้วคุณคิดว่าฉันเป็นพวกชอบเด็กหรือคะ”
หญิงสาวมองชายหนุ่มท้าทาย
และรีบเม้มปากแน่นเป็นการเตือนสติตัวเอง ว่านอกจากเขากับเธอแล้ว
ยังมีวนิษายืนอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
แต่ดูเหมือนเด็กหญิงจะไม่สนใจกับบทสนทนาครั้งนี้แม้แต่น้อย เพราะฝ่ายนั้นมัวแต่ก้มหน้าก้มตากดส่งข้อความหาใครบางคนอย่างตั้งอกตั้งใจ
ถ้าจะให้เดาคงเป็นกวยจั๊บ เพราะคู่นี้เรียกได้ว่าเป็นแฝดต่างวัย
เขมวันต์เองก็คงรู้ตัว
เพราะเขาเบนสายตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบปากของเธอในที่สุด แล้วกระแอมเบาๆ
ก่อนจะตอบคำถามนี้
“ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่รู้ละ
แต่วันนี้ช่วยแปลงร่างเด็กคนนี้ให้เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ให้ผมด้วยนะ”
แล้วเขาก็จับมือบุตรสาวส่งให้เธอ “ผมจะไปรอที่ล็อบบี เสร็จแล้วโทร. มาเรียกผม
เราจะได้ขึ้นไปที่งานด้วยกัน”
พูดจบคนพูดก็ก้าวยาวๆ จากไป
เหลือเพียงแค่เธอกับวนิษาเพียงสองคน
เดหลีจึงบีบมือเด็กหญิงเป็นเชิงเอาใจ แล้วบอกว่า “พี่ดีใจนะที่หนูนิดทำให้คุณพ่อยอมมาด้วยวันนี้”
“หนูนิดไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
เด็กหญิงตอบมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เพราะพ่อเองก็อยากมาด้วยละค่ะ
นี่ถ้าพ่อไม่อยากมานะคะ ต่อให้หนูนิดก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์สักร้อยที
พ่อก็ไม่มาหรอกค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้เดหลียิ้มบางๆ ด้วยความพอใจ
ทั้งยังทำให้เธอรู้สึกชอบหน้าคันฉัตรขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำตามที่แม่ของเธอขอร้องอย่างเคร่งครัด
และอาสาช่วยขับเฮลิคอปเตอร์พาไปส่งในวันนี้ เขมวันต์ก็คงไม่ยอมมาด้วยแน่ๆ
คิดมาถึงตรงนี้
ก็ได้ยินเสียงหวานใสของเด็กหญิงถามขึ้นว่า
“ว่าแต่พ่อไปรอที่ล็อบบีแบบนี้ คงไม่เหงาหรอกนะคะ”
“ไม่น่าเหงานะ เห็นว่าน้าอัคก็มาถึงแล้ว”
“พี่อี๋ล่ะคะ พี่อี๋มาด้วยไหม
แล้วพาเจ้าแฝดมาด้วยหรือเปล่า”
วนิษาร้องถามอย่างตื่นเต้นถึงลูกแฝดชาย-หญิงของอัครากับเกี้ยมอี๋ที่เป็นเกลอเก่ากันมาจากคลองหมาแหงน
“ต้องมาอยู่แล้วละ” เดหลีตอบ ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ว่าแต่ หนูนิดจำญาติคนไหนได้บ้าง”
ใบหน้าเรียวเล็กของเด็กหญิงยู่ยี่อย่างเห็นได้ชัดกับคำถามนี้
ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ
“ก็จำน้าอัค ลุงชาย แล้วก็ พี่เวกัสได้ค่ะ อ้อ
จำคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่เดย์ได้ด้วย”
หญิงสาวฟังแล้วก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายเจตนาเลี่ยงที่จะพูดถึงครอบครัวทางฝั่งแม่แท้ๆ
ออกมา เลยหันไปจับไหล่บอบบางของเด็กหญิงไว้อย่างให้กำลังใจแกมขอร้อง
“พี่เข้าใจว่าหนูนิดรู้สึกยังไง
แต่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว
และถ้าเราเป็นคนฉลาดก็ต้องแยกแยะให้ได้ระหว่างอดีตกับปัจจุบันเข้าใจไหม”
“แต่หนูนิดจำไม่ได้จริงๆ นะคะพี่เดย์ คนในตระกูลอัศวฤทธามีตั้งเป็นร้อย”
ฝ่ายนั้นโอดครวญ
ตอนที่ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าห้องสวีทที่ใช้เป็นห้องแต่งตัวของเดหลีในวันนี้
หญิงสาวเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนยื่นให้ไป
“พี่ให้คุณณี เลขาฯ ทำสาแหรกของตระกูลไว้ในไฟล์นี้
หนูนิดนั่งท่องตอนช่างเขาแต่งหน้าทำผมให้ก็แล้วกัน เพราะถึงจะจำใครไม่ได้เลย
แต่ยังไงหนูนิดก็ต้องจำคุณตาคุนหมิง คุณตายูนาน และคุณพ่อของพี่ให้ได้”
เด็กหญิงทำท่าเหมือนจะขาดใจตายไปตรงนั้น
แต่เดหลีไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ
คนชอบพูดกันว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีไม่ใช่หรือ
นี่เธอยังไม่ได้ตีวนิษาสักแปะ
แค่ให้ท่องสาแหรกครอบครัวที่มีสมาชิกร้อยกว่าคนเท่านั้นเอง
หญิงสาวปลอบใจตัวเอง และบอกให้ทำใจแข็งเข้าไว้
จนแต่งหน้าทำผมเสร็จ จึงเห็นว่าเด็กหญิงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
แต่พอชะโงกหน้าไปมอง
ก็พบว่าฝ่ายนั้นกำลังกดเกมออนไลน์บนโทรศัพท์มือถือของเธออย่างเมามัน
แทนที่จะท่องสาแหรกวงศ์วานอย่างที่สั่งเอาไว้
เดหลีส่ายหน้าพร้อมดึงโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบคืนมา “จะให้พี่ฟ้องพ่อเราดีไหมนี่”
“ไม่ดีหรอกค่ะ” เด็กหญิงกล่าวเสียงประจบ
“เพราะหนูนิดท่องชื่อญาติทุกคนได้หมดแล้ว”
“จริงน่ะ” เธอถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“จริงสิคะ ไม่เชื่อพี่เดย์ก็เปิดรูปพวกเขา
แล้วถามหนูนิดสิว่าใครเป็นใคร” วนิษาท้า
หลังจากทดสอบเด็กหญิงจนมั่นใจว่าไม่ได้พูดเกินจริง
เดหลีก็เพิ่งนึกถึงเขมวันต์ขึ้นมาได้ ว่าชายหนุ่มกำลังรอพวกเธออยู่ที่ล็อบบี
และเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกหลายนาทีกว่างานจะเริ่ม ตัวเธอเองนั้นก็นับได้ว่าเป็นญาติ...เอิ่ม...อาวุโส
จึงไม่ต้องไปนั่งโต๊ะช่วยแจกของชำร่วย หรือยิ้มหวานต้อนรับแขก
แค่มาให้เกียรติเป็นดอกไม้ประดับงานก็พอ
เดหลีจึงเลือกลงไปหาชายหนุ่มที่ล็อบบีแทนการโทรศัพท์บอกให้เขามาหาที่ห้องบอลรูมอย่างที่ตกลงกันไว้ในตอนแรก
วนิษาเองก็เห็นด้วย “หนูนิดนึกออกแล้วว่าชูครีมที่นี่ดังมาก
มาคราวก่อนก็ลืมกิน วันนี้ขอหนูนิดแวะไปกินสักลูกสองลูกนะคะ
กลับไปจะได้ไปโม้กับพี่จั๊บให้น้ำลายยืดเลย”
“เดี๋ยวให้เขาจัดใส่กล่องให้ก็ได้
จะเอาสักสิบหรือร้อยลูกก็ไม่มีปัญหา พี่จะให้เขาทำใหม่ๆ ให้หนูนิดเลย”
ครอบครัวของเธอเป็นหุ้นใหญ่ในโรงแรม
ร้านเบเกอรีที่เด็กหญิงกล่าวถึงก็เป็นของลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง
ดังนั้นต่อให้วนิษาอยากยกตู้แช่เค้กสักสองตู้กลับคลองหมาแหงน
เดหลีก็สามารถจัดการให้ได้
“แต่มันไม่ได้ฟีลเหมือนนั่งกินในร้านนี่คะ” วนิษาแย้ง
ทำให้เดหลีส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
“งั้นหนูนิดไปกินขนม พี่ไปตามหมอเข้ม
แล้วไปเจอกันที่ห้องบอลรูม หนูไปถูกใช่ไหม”
“โอย หนูนิดมาโรงแรมนี้ครั้งนี้ครั้งที่สองแล้วนะคะ
ให้ปิดตาเดินก็ยังได้เลยค่ะ”
เด็กหญิงตอบเสียงโอ่ ทำให้เธออมยิ้มขำ ก่อนจะแยกจากกันตอนที่ลิฟต์เลื่อนลงไปถึงชั้นหนึ่ง
แขกเหรื่อบางคนก็เพิ่งมาถึง
และบางส่วนก็ยังอ้อยอิ่งนั่งคุยกันอยู่ที่ล็อบบีก่อนขึ้นไปร่วมฉลองในงานเลี้ยงด้านบน
เธอจึงต้องใช้เวลามองหาเขมวันต์อยู่อึดใจหนึ่งจึงเห็นเขา
พร้อมกับตระหนักได้ว่าชายหนุ่มเป็นเหมือนแม่เหล็กอันใหญ่ที่ดึงดูดให้เศษเหล็กทุกชิ้นพุ่งตรงเข้าไปหา
เพราะบรรดาสาวๆ ในล็อบบีต่างก็ลอบมองเขาทั้งนั้น
คงเป็นที่รูปร่างสูงใหญ่
กำยำล่ำสันของฝ่ายนั้นที่ทำให้ใครต่อใครต่างอดเหลียวมองซ้ำไม่ได้
ด้วยชายหนุ่มในแวดวงธุรกิจที่พวกเธอคุ้นชินนั้น
ไม่มีใครมีไหล่หนาและแผงอกกว้างอย่างเขาสักคนเดียว
สาวๆ เหล่านี้ก็ได้แค่มองเท่านั้น
ไม่มีใครรู้ดีเท่าเธอหรอกว่า
ไหล่ของชายหนุ่มใช้หนุนแทนหมอนได้ดีเพียงใด และอกกว้างๆ นั้นอุ่นแค่ไหนตอนสวมกอด
แต่ที่เธอชอบที่สุดในตัวเขา ไม่ใช่หัวไหล่ แผงอก
หรือใบหน้าคมเข้มกระด้างจัด แต่เป็นความรักที่อีกฝ่ายมีให้มาเนิ่นนาน
จริงอยู่ว่าในตอนแรกเขาอาจชื่นชอบเธอเพราะรูปลักษณ์ภายนอกตามประสาวัยรุ่น
แต่ต่อมาแม้คนที่นายแพทย์หนุ่มคิดว่าเป็นเธอจะทำไม่ดีกับเขาและบุตรสาวอย่างไม่น่าให้อภัย
แต่เมื่อรู้ความจริงทั้งหมด เขมวันต์ก็พร้อมที่จะโยนอคติเหล่านั้นทิ้งไป
และเริ่มต้นทำความรู้จักสนิทสนมกับเธออีกครั้ง
ดังนั้นยิ่งเดหลีได้ใกล้ชิดเขา
ก็ยิ่งพบว่าชายหนุ่มไม่เป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นที่รายล้อมรอบตัวเธอ
เขาไม่ได้สนใจเธอเพราะความเป็นอัศวฤทธา
แต่เขาสนใจเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
นอกจากนี้เธอยังประทับใจความอ่อนโยนและอบอุ่นของเขา
เขมวันต์ทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวได้อย่างน่าทึ่ง
ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะทำได้อย่างเขา และทำได้ดีเท่ากับที่เขาทำ แม้แต่ตัวเธอเอง
ถ้าให้ทำอย่างอีกฝ่าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีความสามารถมากพอไหม
ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคู่รักที่ไม่เรียกร้องและเร่งเร้าเธอจนทำให้อึดอัดใจ
ไม่เคยฉวยโอกาสทั้งๆ ที่มีโอกาส
เพราะเหตุนี้เดหลีจึงพูดได้เต็มปากว่าเธอรักเขมวันต์อย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน
นึกแล้วก็อดเสียดายไม่ได้
ที่เพื่อนสนิทของเธอทั้งสามคนไม่ได้มาในงานแต่งงานของซิดนีย์
เลยไม่ได้เห็นเขมวันต์ในค่ำคืนนี้ แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน
เขาเหมือนของขวัญชิ้นโต เป็นเซอร์ไพรส์ในชีวิตเธอ เพราะก่อนหน้านี้เดหลีไม่เคยเล่าเรื่องชายหนุ่มให้ใครฟัง
ไม่ใช่เพราะต้องการปิดบัง
เพียงแต่เธออยากเก็บความรักครั้งนี้ให้เป็นความลับไปนานๆ
ด้วยรู้ดีว่าถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไปเมื่อไร การไปหานายแพทย์หนุ่มที่บ้านสวนคลองหมาแหงนคงไม่ง่ายดายเช่นที่ผ่านมา
แล้วก็จริงอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด และเดาได้ว่ามารดาคงระแคะระคายเรื่องนี้แล้ว
ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งคันฉัตรมาตามประกบเธอเช่นนี้
แม่คงคิดว่าจะบงการหัวใจที่ดื้อดึงของลูกสาวคนนี้ได้
แต่...แม่จะค้นพบในไม่ช้านี้ว่าคิดผิด
เดหลียิ้มพรายกับความคิดซุกซนนี้
แต่รอยยิ้มของเธอกลับค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อพบว่าเขมวันต์ไม่ได้ยืนอยู่เพียงลำพัง
มีหญิงสาวร่างอวบอิ่มคนหนึ่งยืนอยู่กับเขา
ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างออกรส
และมือเรียวของฝ่ายหญิงก็วางทาบทับบนท่อนแขนของฝ่ายชายอย่างถือสนิท
ใคร!
และพอมองดีๆ
เดหลีก็พบว่าเธอกำลังจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าของหญิงสาวซึ่งถือได้ว่าเป็นญาติสนิท
และได้ชื่อว่ามารดาของวนิษา
เวียนนา อัศวฤทธา!
ความคิดเห็น |
---|