วิวาห์โค้งสุดท้าย : อุมาริการ์
คำนำนักเขียน
ตอนที่เขียนเรื่อง เสน่หาวายร้าย
จบนั้น ดิฉันไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะต้องกลับมาเขียนเรื่องของคนในตระกูล อัศวฤทธา อีก
เพราะคิดว่าเรื่องของเดหลีกับหมอเข้มนั้นจบในตัวของมันเองแล้ว
แต่มีนักอ่านจำนวนหนึ่งที่ตกหลุมเสน่ห์ของหมอเข้ม และลุ้นกับเดหลี
เลยคอยตามถามถึงตัวละครทั้งสองตัวนี้ รวมถึงเรื่องของหนูนิด
ทั้งทางหน้าเพจอุมาริการ์ เฟซบุ๊กส่วนตัว และทางกล่องข้อความอยู่บ่อยๆ
ทำให้ดิฉันพลอยนึกสนุกขึ้นมา ลองวางพลอตของหมอเข้มกับเดหลีส่งให้ทางกอง บก.
ได้พิจารณา ซึ่งผลออกมาคือไฟเขียว
ดิฉันเลยได้มีโอกาสเขียนถึงเรื่องรักของดอกฟ้ากับหมอเขมวันต์คู่นี้อีกครั้ง
ซึ่งการเขียนเรื่องคู่รักที่คนอ่านต่างรู้จักแครักเตอร์ของทั้งคู่ดีจากนิยายในเล่มก่อนๆ
นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะต้องสร้างสถานการณ์ที่สามารถเซอร์ไพรส์คนอ่านให้สนุกสนาน
คาดไม่ถึงไปกับตัวละครให้ได้ ดิฉันจึงต้องสร้างตัวละครใหม่ๆ
ขึ้นมาหลายตัวเพื่อสร้างสีสันในงานชิ้นนี้
นอกจากนี้ดิฉันเองก็ไม่เคยใกล้ชิดกับหมอคนไหน
เว้นแต่ตอนป่วยไข้ เวลาเขียนเรื่องการทำงานของหมอเข้ม
เลยต้องพึ่งเพื่อนที่เป็นแพทย์หญิงอยู่บ่อยครั้ง ขณะเดียวกันการเขียนถึงกลุ่มเพื่อนสนิทเดหลี
ก็ทำให้ดิฉันต้องอมยิ้มอยู่บ่อยๆ พร้อมภาพเกิร์ลแก๊งใน sex and the city ลอยเข้ามาในหัว
ดังนั้นตอนอ่านเรื่องนี้นักอ่านอาจจะนึกถึงภาพสาวๆ ใน sex and the city
ขึ้นมาเป็นระยะๆ อย่างดิฉันก็เป็นได้
ดิฉันตั้งใจเขียนเรื่อง วิวาห์โค้งสุดท้าย ด้วยความรู้สึกอยากให้คนอ่านอมยิ้มอย่างมีความสุข
เพราะความจริงในโลกนี้มันสาหัสนัก เลยอยากขอให้ทุกคนได้ฟิน จิ้น
เพ้อไปกับการกระโดดลงจากคานของเดหลีในครั้งนี้ด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ พญ.จริยา ถิระศักดิ์ รพ.บ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)
จ.สมุทรสาคร ที่ช่วยแนะนำเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล และอาการต่างๆ ในเรื่อง
รวมถึงเรื่องของหมอๆ ที่ดิฉันไม่คุ้นเคย
แต่ด้วยความเป็นนิยายและเงื่อนไขในการดำเนินเรื่องอาจทำให้สิ่งที่ดิฉันเขียนไม่ตรงกับความจริงเสียทั้งหมด
ก็ต้องขอโทษนักอ่านสายเรียล มาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
และเช่นเดียวกับทุกครั้ง ขอบคุณ คุณจอม แม่วัณย์ แพงแพง และพร่างพร่าง นักอ่านทุกท่าน
เพื่อนนักเขียน และ บก.ทุกคน
ที่คอยส่งเสียงเชียร์และเป็นกำลังใจให้ดิฉันเขียนเดหลีกับหมอเข้มได้สำเร็จ
ด้วยรัก
อุมาริการ์
สำหรับนักอ่านที่ต้องการติชม
แนะนำ หรือพูดคุยกับดิฉัน สามารถติดต่อได้ทางแฟนเพจwww.facebook.com/umariga
บทนำ
...มีความยินดีขอเรียนเชิญเพื่อเป็นเกียรติและร่วมรับประทานอาหาร
เนื่องในงานพิธีมงคลสมรสระหว่าง...
ข้อความพวกนี้เป็นสิ่งที่ เดหลี อัศวฤทธา เห็นจนชินตา
และพูดได้เต็มปากเลยว่าแค่กวาดตามองแวบเดียวก็ท่องตัวอักษรที่เรียงรายกันบนบัตรเชิญสีชมพูอ่อนตรงหน้าได้ครบทุกตัวเสียแล้ว
ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา หญิงสาวจึงทำแค่ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป
กับแจ้งเลขาฯ ส่วนตัวให้จัดหาของขวัญที่เหมาะสมให้แก่คู่บ่าวสาวเท่านั้น
เธอไม่เคยคิดจะพิจารณาการ์ดแต่งงานพวกนี้อย่างจริงจังเลยสักครั้ง จนกระทั่งพบว่าชื่อของเจ้าสาวบนบัตรเชิญเป็นลูกพี่ลูกน้องที่จำได้ว่าเพิ่งเรียนจบมัธยมมาได้ไม่นาน
อายุอานามน่าจะแค่ยี่สิบเท่านั้น!
ขณะที่เธออายุใกล้จะสามสิบสี่แล้ว แต่กลับไร้วี่แววข่าวมงคล ทั้งๆ
ที่ตัวเลขนี้สำหรับผู้หญิงนั้นถือได้ว่าเป็นเลขกิโลหลักสุดท้ายที่เหมาะกับการสละโสด
เพราะถ้าเลยขึ้นไปถึงสามสิบห้าเมื่อไร ก็เท่ากับเป็นการตั้งต้นนับถอยหลังให้วันหมดอายุของมดลูกและรังไข่กันแล้ว
หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนผลไม้ที่สุกงอมพร้อมจะหลุดจากขั้วอย่างไร้ค่าไปทุกนาที
นึกแล้วก็อดแปลกใจและโมโหตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน...
เมื่อราวๆ สักปีที่แล้วนี้เอง
เดหลีไม่เคยรู้สึกเดือดร้อนหรือกระวนกระวายแบบนี้เลยสักครั้ง
ด้วยตั้งใจมั่นไว้แล้วว่า เมื่อโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่คู่ควร
เธอก็จะครองตัวอยู่บนคานไปจนตาย
แต่...
ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้กลับเปลี่ยนแปรไปหมดสิ้น จนพูดได้เต็มปากว่าโลกที่เคยสวยสมบูรณ์แบบของเดหลีพลิกคว่ำคะมำหงายไปต่อหน้าต่อตา
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ ‘เขา’
เขมวันต์ มั่งมี...
คนที่ชาตินี้มีโอกาสได้แผ้วพานเข้ามาในชีวิตเซเล็บสาวโสดอย่างเธอเพียง ๐.๐๑
เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับโอกาสที่ดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งตรงๆ เข้าชนโลกนั่นละ
แต่เรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก (กอไก่สองล้านตัว) แบบนี้
เมื่อเกิดขึ้นก็มักสร้างผลกระทบมหาศาล
อย่างเช่นเรื่องของเขากับเธอ
เพราะเขมวันต์เคยมั่นใจขนาดหนักว่าเดหลีคือ ‘เมีย’ และ ‘แม่ของลูก’ ของเขา ชายหนุ่มจึงทั้งรักทั้งแค้นเธออย่างเหลือแสน แต่พอความจริงพิสูจน์ออกมาว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโอละพ่อ! ดังนั้นพอถึงวันนี้...ที่แม้เดหลีจะอยากเป็น ‘เมีย’ หรือ ‘แม่ของลูก’ ของชายหนุ่ม
แต่เขากลับเพิกเฉย คล้ายกับมีเส้นบางๆ คั่นกลางระหว่างทั้งสอง
เธอเลยยังไม่ได้เป็นเมียของเขาจนแล้วจนรอด ความหวังที่จะได้อุ้มท้องลูกของฝ่ายนั้นก็ริบหรี่ลงไปทุกที
แต่หญิงสาวตั้งใจแล้วว่าจะต้องแต่งงานก่อนวันเกิดครบรอบสามสิบสี่ปีให้ได้ พอกันทีกับการฉลองคืนวาเลนไทน์คนเดียว
หรือตู้เย็นที่ว่างเปล่า มีแต่น้ำผสมคอลลาเจนเพื่อสุขภาพของสาวโสด! และคนอย่าง
เดหลี อัศวฤทธา ไม่ใช่คนที่จะยอมถอดใจอะไรง่ายๆ ดูจากตอนที่เธอตัดสินใจปีนขึ้นไปสิงสถิตอยู่บนคานแพลทินัมฝังโคตรเพชรนั่นก็ได้
ไม่ว่าจะโดนผู้ให้กำเนิด เอ็ด ดุ ขู่ และปลอบอย่างไร
หญิงสาวก็ไม่เคยยอมให้ใครหน้าไหนฉุดลงจากคานที่ห้อยโหนอยู่แม้แต่ครั้งเดียว
ดังนั้นเมื่อเธอตัดสินใจจะกระโดดลงจากคานทั้งที เดหลีตั้งใจมั่นว่าจะต้องกระโดดพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายให้ได้ในครั้งเดียวและคนเดียว
ซึ่งเขมวันต์คือเป้าหมายนั้น!
๑
ของขวัญวันเกิด
รองเท้าหนังแกะที่ถูกขัดจนขึ้นเงาวาววับ
ทั้งสีน้ำตาลเข้มกับดำสนิทนั้นเป็นผลงานดีไซเนอร์ชื่อดังของอิตาลี
ชุดเสื้อสูทและกางเกงแบบสุภาพแต่ดูดี จากห้องเสื้อผู้ชายที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส
เข็มกลัดติดเนกไท
กระดุมข้อมือเสื้อเชิ้ตทำจากเงินแท้สลักตัวย่อชื่อและนามสกุลของผู้รับ
นาฬิกาข้อมือผลิตด้วยมือตั้งแต่สายถึงตัวเรือน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามทนทานจากสวิตเซอร์แลนด์
กุญแจรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์หนึ่งคัน
และของจุกจิกอีกราวยี่สิบกล่องที่เดหลีให้วนิษาช่วยหอบหิ้วเข้ามาในบ้าน
ทำให้เด็กหญิงวัยรุ่นมองด้วยความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก
“ว้าว! ทำไมถึงมีกล่องของขวัญเยอะแยะแบบนี้ละค่ะ
พี่เดย์จะเอาไปบริจาคเด็กกำพร้าที่ไหนหรือคะ”
ฝ่ายนั้นเอ่ยถามเสียงใส และเรียกเธอว่า ‘พี่’ ทั้งที่ใจจริงแล้วคนถูกเรียกอยากโดนเรียกว่า ‘แม่’ มากกว่า ทว่ายังเป็นไปไม่ได้ (ในตอนนี้)
หญิงสาวเลยขอร้องว่าแม้เธอจะมีศักดิ์เป็น ‘น้า’ หรือ ‘อา’ ของเด็กหญิง
แต่ก็ยังไม่อยากถูกเรียกเช่นนั้น
ใครกันเล่าอยากจะตอกย้ำความแก่ของตัวเองด้วยการเป็น น้า อา หรือป้าของหลานสาวซึ่งมีความสูงไล่เลี่ยกัน
และกำลังจะเปลี่ยนไปใช้คำนำหน้าชื่อเป็น นางสาว ในเวลาปีเศษๆ ข้างหน้า
ด้วยเหตุผลนี้วนิษาเลยยอมตามใจเธอแต่โดยดี นั่งรอฟังคำตอบจากเดหลีตาแป๋ว
เดหลีเลยรีบส่ายหน้าปฏิเสธออกไป “ไม่ใช่ค่ะ...ของพวกนี้พี่ไม่ได้เอามาบริจาค
พี่เอามา เอ่อ...เอามา...”
จู่ๆ คนที่เคยพูดจาฉะฉานทันคน
จนได้รับฉายาว่านางสิงห์แห่งเอวาลอนกรุ๊ปกลับพูดตะกุกตะกักเหมือนคนลิ้นพันกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทว่าวนิษาที่คอยฟังอยู่ เป็นเด็กฉลาดเฉลียวและปากไวเอาเรื่อง
เลยหลุดปากถามออกมาทันที “พี่เดย์อย่าบอกนะคะว่า ทั้งหมดนี้เป็น...”
“ใช่ ทั้งหมดนี่เป็นของคุณเข้ม” เธอตอบเสียงหนักแน่น
แต่กลับไม่รู้สึกมั่นใจแม้แต่นิดเดียวตอนเอ่ยถามอีกฝ่าย
“แล้วทำไมหนูนิดถึงคิดว่าไม่ใช่ล่ะ”
วนิษาไม่ได้ตอบคำถามนี้ในทันที
เด็กหญิงได้กลายเป็นปลาทองที่โผล่ขึ้นมาฮุบอากาศหายใจไปเสียแล้วในนาทีนั้น
ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อของวนิษาเอาแต่เผยอกว้างเป็นรูปตัวโอแล้วปิดฉับ ซ้ำๆ
กันอยู่อย่างนั้น จนเดหลีเอ่ยเรียกเสียงดังขึ้น
“หนูนิด!”
คนถูกเรียกชื่อเลยได้สติ ประสานสายตากับเธอทันที “คะ”
“เป็นอะไร”
“ก็...มีใครที่ไหนเขาให้ของขวัญวันเกิดกันทีละยี่สิบกว่าชิ้นแบบนี้บ้างล่ะคะ”
เด็กหญิงพูดออกมาในที่สุด
“ก็พี่ไง” เดหลีตอบด้วยสุ้มเสียงเป็นปกติที่สุด
ทำให้อีกฝ่ายมองมาด้วยดวงตาที่เรียกได้ว่าแทบพลัดหลุดนอกเบ้า
“แต่มันไม่เยอะไปหรือคะพี่เดย์”
คราวนี้คนอายุมากกว่ากะพริบตาปริบๆ คิดอยู่นิดหนึ่ง
ก่อนยอมรับอย่างเสียไม่ได้
“ก็คงมากไปนิดหน่อย แต่พี่ไม่รู้นี่ว่าพ่อของหนูนิดชอบอะไรบ้างหรืออยากได้อะไรบ้าง
เลยเอามาทั้งหมดที่คิดว่ามันจำเป็นสำหรับเขา หรือเขาน่าจะชอบ”
คู่สนทนาของเธอเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนพูดออกมาด้วยสุ้มเสียงอ่อนใจ
แล้วชี้ไปที่จักรยานแบบพับได้เมดอินเจแปนที่ถูกผูกโบสีชมพูอ่อนเอาไว้ตรงแฮนด์
“จักรยานนั่นมันจำเป็นกับพ่อยังไงคะ”
จักรยานสีเทาเงินทำจากไทเทเนียมทั้งคัน
และถูกสั่งทำให้เหมาะกับน้ำหนักและส่วนสูงของผู้รับโดยเฉพาะ
เป็นของขวัญอีกหนึ่งชิ้นที่หญิงสาวตั้งใจนำมาในวันนี้
“มันอินเทรนด์” เธอตอบเรียบๆ แต่ทำให้คนถามทำท่าเหมือนจะเป็นลม
ก่อนเค้นเสียงพูดออกมา
“เอ่อ...แต่พ่อไม่สนใจเรื่องอินเทรนด์อะไรนั่นหรอกค่ะ”
“ถึงไม่สนใจเรื่องอินเทรนด์ แต่คุณเข้มก็น่าจะสนใจเรื่องการออกกำลังกาย
เขาจะได้ใช้จักรยานนี่ปั่นกับบรรดาหมอ พยาบาลที่โรงพยาบาล
เดี๋ยวนี้ช่วงเทศกาลสำคัญๆ ทางภาครัฐชอบจัดงานปั่นจักรยานหนูก็เห็น”
เดหลีให้เหตุผลอย่างมั่นใจ
“งั้นลองดูก็ได้ค่ะ”
เด็กหญิงพูดด้วยสุ้มเสียงเบาหวิวเหมือนคนถูกสะกดจิต ก่อนสะบัดหัวแรงๆ
แล้วชี้หมับไปที่กล่องของขวัญขนาดย่อม ที่หญิงสาวจำได้ว่าเป็นกล่องใส่สมาร์ตโฟนตระกูลไอรุ่นล่าสุดจากอเมริกาที่มาพร้อมอุปกรณ์เสริมครบครัน
“แล้วนั่นอะไรคะ”
พอได้ยินคำตอบของเธอ
คนถามก็ย่นจมูกใส่ทันที “พ่อต้องไม่ชอบแน่เลยค่ะ”
“ทำไมล่ะ” คราวนี้เดหลีร้องเสียงหลง เพราะมั่นใจกับของขวัญชิ้นนี้ไม่น้อย
ก็ผู้ชายส่วนมากชอบเทคโนโลยีและโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ไม่ใช่หรือ
“พ่อบอกว่ามือถือรุ่นนี้แพงเกินไป ไม่มีประโยชน์สำหรับพ่อ
พ่อไม่ชอบท่องโลกโซเชียล ไม่ชอบจ้องจอมือถือนานๆ ด้วย บอกว่าเสียสายตา”
เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย เหมือนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่นัก
“เวลาจะค้นคว้าหาข้อมูลอะไรสักอย่าง พ่อจะหาจากหนังสือ หรือไม่ก็ใช้คอมพิวเตอร์ค่ะ”
“แต่โลกมันไปถึงไหนๆ แล้ว เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็ใช้มือถือแบบนี้กันทั้งนั้น”
หญิงสาวแย้งเสียงอ่อนใจ ไม่อยากเชื่อว่าเขมวันต์จะมีความคิดแบบนี้ “อีกอย่าง
มือถือของพ่อหนูนิดน่ะเก่ามากแล้วนะ ถ้าให้พี่เดา มันน่าจะอายุสักสามปีได้มั้ง”
ผู้ชายทุกคนที่เธอรู้จักพร้อมจะโยนโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าทิ้งไปทันทีที่มีรุ่นใหม่วางตลาด
“ค่ะ แต่ถึงยังไงพ่อก็ไม่รับของขวัญชิ้นนี้จากพี่เดย์แน่ค่ะ เพราะมันแพงไป”
“มือถือดีๆ ก็ราคาประมาณนี้ทั้งนั้น”
สำหรับเดหลี เงินแค่สามสี่หมื่นไม่นับว่ามากมายอะไรเลย
เรียกได้ว่าเศษเงินด้วยซ้ำไป
ทว่าวนิษากลับส่ายหน้าเป็นพัลวัน “แต่ยังไงก็เกินงบของพ่ออยู่ดีค่ะ”
รู้อยู่หรอกว่าเขมวันต์นั้นไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เธอเคยรู้จัก
เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลือกเป็นสูตินรีแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ เช่นนี้
เพียงแต่เขาจะสมถะมากไปไหม หญิงสาวพยายามข่มใจก่อนตั้งคำถามต่อ
“พ่อหนูนิดมีงบของขวัญเท่าไหร่หรือ”
เธอบอกตัวเองว่าก็ดีเหมือนกันที่รู้แบบนี้
เพราะจะได้กำจัดตัวเลือกทิ้งได้ง่ายขึ้น แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้เดหลีนิ่งอึ้งไปหลายนาที
“ไม่เกินพันค่ะ”
หนึ่งพันบาท!
เดหลีไม่เคยให้ของขวัญใครในราคานั้นสักที
ยิ่งกว่านั้นถ้าเขมวันต์จำกัดงบประมาณไว้แค่นั้นจริงๆ
ของขวัญทั้งหมดที่เธอคัดสรรมาให้เขาในวันนี้ก็ต้องโดนโยนลงเข่งไปอย่างแน่นอน
เพราะชิ้นที่ราคาต่ำที่สุดก็ยังสูงกว่าตัวเลขห้าหลักอยู่ดี
“เงินแค่นั้นจะซื้ออะไรได้” ในที่สุดหญิงสาวก็ครวญครางออกมา
“ได้ตั้งหลายอย่างนะคะ อย่างหมวกสานใบใหม่”
“หมวกปานามาอย่างถูกๆ ก็ใบนึงไม่ต่ำกว่าสามพันแล้ว”
“ก็เอาแค่หมวกธรรมดาสิคะพี่เดย์ หมวกมีปีกแบบให้พ่อใส่ไปลงสวนได้น่ะค่ะ”
เด็กหญิงแนะนำ
เดหลีฟังแล้วก็ได้แต่หลับตาแน่นอย่างอัดอั้นตันใจ
หมวกสานแบบชาวสวนสินะที่วนิษากำลังบอกเธออยู่
“ถ้าพี่เดย์เห็นว่าหมวกอย่างเดียวดูน้อยไป ก็ให้ผ้าขาวม้าพ่ออีกสักสองผืนก็ได้ค่ะ”
“ผ้า-ขาว-ม้า!”
“ค่ะ พ่อชอบนุ่งผ้าขาวม้าเวลาอาบน้ำที่ตุ่มหลังบ้าน มีสองผืนกำลังดี
ไว้ผลัดกันใช้”
อีกฝ่ายบอกเสียงเจื้อยแจ้ว
ขณะที่คนฟังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกราวกับอมบอระเพ็ดเข้าไปทั้งต้น
เดหลีเคยให้ผ้าชิ้นงามๆ เป็นของขวัญแก่ใครๆ อยู่บ้างเหมือนกัน
แต่ผ้าเหล่านั้นถ้าไม่ใช่ผ้าลูกไม้จากเบลเยียม ผ้าไหมพิมพ์ลายจากญี่ปุ่น
หรือผ้าซิ่นทอมือพื้นบ้านสั่งทำเป็นพิเศษยกดอก ยกดิ้นเงินดิ้นทอง
ก็มักเป็นผ้าพัชมินาจากแคว้นแคชเมียร์ของอินเดียอันโด่งดัง
แต่สำหรับ ผ้า-ขาว-ม้า แล้ว เธอไม่เคยคิดจะให้ใครเลยสักที
ไม่ใช่ไม่รู้จัก
แต่ไม่เห็นว่าผ้าตาตารางหมากรุกแบบพื้นบ้านพวกนั้นจะน่าให้เป็นของขวัญคนตรงไหน
หญิงสาวเลยต้องยืนนิ่งทำใจอยู่ราวอึดใจหนึ่ง ก่อนค่อยมีแรงเค้นเสียงออกไปว่า
“นอกจากหมวกสานกับผ้าขาวม้าแล้ว หนูนิดว่าพี่ให้อะไรคุณเข้มอีกดี รองเท้าแตะนันยางดีไหม”
เธอไม่ได้ประชด แต่นึกไม่ออกจริงๆ
ว่าจะมีอะไรเข้ากับหมวกสานกับผ้าขาวม้าได้ดีกว่ารองเท้าแตะแบบคีบของนันยาง
“เป็นรองเท้าบูตยางสำหรับใส่ไปลอกท้องร่องในสวนดีกว่าค่ะ
อ้อ...แล้วก็เปลญวนอีกสักปากก็ได้ค่ะ”
“เปลอะไรนะ”
พอเห็นคนฟังมืดแปดด้าน คนพูดเลยทำหน้าขัดใจหน่อยๆ “หนูนิดบอกว่า
เปลญวนสักปากก็ได้ค่ะ”
“มันคืออะไร เปลชนิดใหม่หรือ”
เดหลีรู้จักเปล แต่เปลญวนและเปลญวนสักปากนี่คืออะไร
คราวนี้เด็กหญิงหัวเราะเสียงใสออกมาอีกคำรบหนึ่ง
สายตาที่มองมานั้นฉายให้เห็นถึงความขบขันชัดเจน
“ปากเป็นลักษณะนามของเปลญวนค่ะ คือหนูนิดจะบอกว่า ถ้าพี่เดย์คิดว่าแค่หมวก
ผ้าขาวม้า รองเท้าบูตมันจะน้อยไป ก็ให้เปลญวนพ่ออีกสักหนึ่งปากก็ได้
พ่อจะได้ไว้ผูกนอนใต้ต้นไม้ในสวน เพราะเปลญวนที่พ่อใช้อยู่มันเปื่อยเต็มทีแล้ว”
เด็กหญิงนำเสนอเสียงใส ก่อนขมวดคิ้วมุ่นในเวลาต่อมา “แต่เอ๊ะ! ของทั้งหมดนี้มันจะเกินพันไหมคะพี่เดย์”
เดหลีไม่รู้ เพราะไม่เคยซื้อของที่อีกฝ่ายบอกสักที ทว่าคงหาทางรู้ได้ไม่ยาก
แต่ยังไม่ทันตอบคำถามนี้ วนิษาก็อุทานขึ้นด้วยความตื่นเต้นเสียก่อน
“อุ๊ย! พ่อมาแล้วค่ะพี่เดย์”
หญิงสาวมองไปก็เห็นแสงไฟสีเหลืองนวลลำยาวของรถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่สาดส่องเข้ามาในสนามหญ้าหน้าบ้าน
เธอจึงแทบไม่ต้องคิดเลยตอนร้องบอกเด็กหญิงเสียงเฉียบขาด
“งั้นหนูนิดมาช่วยพี่เก็บของพวกนี้ก่อน”
“เก็บไปไหนคะ” คนถามทำหน้าพิศวง
“ไปไว้ที่ไหนก็ได้ที่คุณเข้มจะไม่เห็นน่ะ”
เด็กหญิงทำหน้างงงันเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอเลยขยายความต่อว่า
“คือพี่จะซ่อนของพวกนี้ไว้ก่อน ก็หนูนิดบอกว่าคุณเข้มไม่น่าจะชอบไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ...แต่จะซ่อนที่ไหนล่ะคะ”
ความงงคงแปรเปลี่ยนเป็นลำบากใจ เพราะถึงบ้านหลังนี้จะไม่ใช่เล็กๆ
แต่เจ้าของตั้งใจตกแต่งให้โปร่งโล่งจึงมีเฟอร์นิเจอร์แต่เพียงน้อยชิ้น
“ของพวกนั้นหนูนิดไปหาตู้ยัดๆ เก็บไว้ก่อน ส่วนของพวกนี้เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
‘ของพวกนั้น’ ที่เดหลีบอกคือพวกกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ
ซองน้อยๆ รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นด้วย ส่วน ‘ของพวกนี้’ คือกล่องของขวัญที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เช่น กล่องรองเท้า กล่องใส่เสื้อสูท
รวมไปถึงจักรยานพับได้คันนั้น
รถสปอร์ตเพรียวลมสีดำขึ้นเงาปลาบที่จอดอยู่ในโรงรถบ่งบอกว่าเซเล็บสาวเดินทางมาถึงแล้ว
แต่บ้านกลับเงียบกริบตอนเขมวันต์เปิดประตูเหล็กดัดติดมุ้งลวดเข้าไป
ภายในห้องรับแขกก็ว่างเปล่า จะมีก็แต่เสียงฝีเท้าซอยถี่ดังแว่วมาเข้าหูตามด้วยเสียงอะไรบางอย่างหล่น
และเสียงอุทานเบาๆ
เขมวันต์หรี่ตาลงนิดๆ
พร้อมนึกสงสัยว่าเดหลีกับวนิษาคงชวนกันทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เขารู้อยู่แน่ๆ
จะว่าไปก็ดีอยู่หรอกที่ผู้หญิงที่เขารักทั้งสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้
แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าทั้งคู่ไม่เข้ากันได้ดีถึงขนาดนี้
เพราะบ่อยครั้งที่พวกเธอทำให้เขาปวดหัวโดยไม่ตั้งใจ
ชายหนุ่มตัดสินใจเดินตรงไปยังห้องที่ใกล้ที่สุดที่ได้ยินเสียงดังลอดออกมา
เดหลีอยู่ที่นั่น
เธอยังดูเยือกเย็นเหมือนเคย
จะมีก็แต่ดวงตาเรียวอย่างตาหงส์ที่เบิกกว้างตอนเห็นหน้าเขา และน้ำเสียงที่แปร่งกว่าปกติ
“คุณเข้ม...เอ่อ คุณจะเข้าห้องน้ำหรือคะ”
เขมวันต์ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อถูกทักเช่นนั้น
ซ้ำคนถามยังสืบเท้าเข้ามาหาแล้วรีบดึงประตูปิดตามหลังราวกับจะต้อนให้เขาออกไปจากบริเวณนั้น
เลยนึกสงสัยขึ้นมา จึงตอบหน้าตายไปว่า
“ครับ”
“เอ่อ...งั้นไปเข้าห้องน้ำบนบ้านดีไหมคะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“คือ...ส้วมมันตันน่ะค่ะ”
เจ้าของบ้านหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
เพราะเมื่อเช้าตอนออกจากบ้าน เขาจำได้ว่าห้องน้ำยังใช้ได้ดีอยู่
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีโซดาไฟกับยางปั๊มส้วม”
เขาตอบอย่างใจเย็นแล้วทำท่าจะเดินออกไปยังโรงรถที่มีห้องเก็บอุปกรณ์เครื่องมือช่างอยู่
แต่มือเรียวของอีกฝ่ายกลับจับแขนหนาไว้แน่น
“เอาไว้ทำทีหลังก็ได้มังคะ ฉันว่ากดน้ำลงไปหลายๆ ทีก็คงหาย”
เธอบอกพร้อมส่งยิ้มมาให้ แต่เป็นรอยยิ้มปร่าๆ ที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร
วนิษาก็เดินออกมาจากทางหลังบ้านพร้อมเหนี่ยวแขนเขาไว้อีกข้าง
“เย้ พ่อมาแล้ว เราไปหาข้าวกินกันเถอะค่ะ หนูนิดหิวจะแย่แล้ว”
เด็กหญิงเสนอน้ำเสียงกระตือรือร้น ทำให้เขมวันต์อดยิ้มบางๆ ไม่ได้
“หนูนิดอยากกินอะไรล่ะ”
คนถูกถามทำแก้มป่อง มองมาคล้ายจะค้อน “เรื่องอะไรมาถามหนูนิด วันนี้วันเกิดพ่อนะคะ
พ่ออยากกินอะไร หนูนิดกับพี่เดย์ก็กินอันนั้นละ”
“วันเกิด?” ชายหนุ่มทวนคำด้วยความแปลกใจ
เดหลีถึงกับหันไปสบตาวนิษาเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ก่อนเอ่ยออกมาในที่สุด
“นี่...คุณอย่าบอกนะว่าคุณจำวันเกิดตัวเองไม่ได้”
“ก็จำไม่ได้น่ะสิ” เขาตอบอุบอิบ
“พ่อก็เป็นแบบนี้ทั้งปีละค่ะพี่เดย์”
บุตรสาวเอ่ยพร้อมย่นจมูกใส่อย่างอิดหนาระอาใจคล้ายเป็นแม่แก่
ส่วนตัวเขาเป็นเด็กเล็กๆ เขมวันต์จึงตอบหน้าตายว่า
“หน่วยความจำในหัวพ่อมีพื้นที่จำกัด แค่ต้องจำอาการคนไข้กับนัดทำคลอด
เมโมรีก็เต็มแล้ว”
“งั้นเรามาช่วยกันเพิ่มพื้นที่เมโมรีให้คุณสักกิ๊กสองกิ๊กด้วยอาหารค่ำทำจากปลาทะเลอร่อยๆ
ดีไหมคะ ฉันเป็นเจ้ามือเอง”
“ไปเถอะนะคะพ่อ เผื่อว่าโอเมกาทรีจะช่วยพ่อได้ไง”
บุตรสาวรบเร้าพร้อมเขย่าแขนเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ
ทำให้ชายหนุ่มถึงกับสั่นศีรษะเบาๆ ด้วยความขบขันระคนอ่อนใจ
เขาไม่ชอบออกไปกินอาหารนอกบ้านสักเท่าไร
โดยเฉพาะช่วงเย็นย่ำอย่างวันนี้ที่เหนื่อยจากการทำคลอดคนไข้มาถึงหกราย
เขมวันต์อยากกินอะไรง่ายๆ แล้วนั่งจิบเบียร์เย็นๆ
สักแก้วเพื่อผ่อนคลายประสาทและกล้ามเนื้อที่เขม็งเกร็งมาทั้งวันมากกว่า
แต่เมื่อเห็นดวงตาที่มองมาอย่างคาดหวังของทั้งสอง
ทั้งยังฉุกคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันกลางสัปดาห์ที่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด
ทว่าเดหลียังอุตส่าห์ขับรถมาเป็นร้อยกว่ากิโลเพื่อฉลองวันเกิดด้วย
เขาเลยไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธออกไปได้
“ก็ได้ แต่คุณกับหนูนิดรอผมเดี๋ยว ขอไปล้างมือ ดื่มน้ำสักแก้วก่อน
วันนี้ทำไมคอแห้งนักก็ไม่รู้”
เขาบอกพร้อมก้าวยาวๆ เข้าไปในครัว แต่มือยังไม่ทันได้คว้าประตูตู้เย็น
บุตรสาวก็วิ่งพรวดเข้ามาแทรกหน้าตาตื่น
“อะไรกันฮึหนูนิด” เขมวันต์หรี่ตานิดๆ อย่างแปลกใจระคนไม่ไว้ใจ
ท่าทางของบุตรสาวบ่งบอกถึงพิรุธชัดเจน “ไม่มีอะไรค่ะ แต่เอ่อ...”
แล้วคนที่เคยช่างพูดเจื้อยแจ้วกลับตะกุกตะกักขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“แต่อะไร” เขมวันต์เอ่ยเสียงนุ่มแต่แฝงกังวานกดดันเต็มที่
เด็กหญิงมีสีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
ซ้ำยังสบตากับเดหลีที่ก้าวตามมาคล้ายบอกใบ้อะไรบางอย่าง
หญิงสาวเลยกล่าวแก้แทนอย่างว่องไว
“หนูนิดคงอยากหาน้ำให้คุณดื่มมังคะ คือวันนี้เป็นวันเกิดคุณ แกคงอยากปรนนิบัติคุณน่ะค่ะ
ใช่ไหมหนูนิด”
“ค่ะ ตามนั้นเลยค่ะพ่อ” ลูกสาวเขาเอ่ยรับแข็งขัน
ยิ่งเห็นทั้งคู่รับส่งกันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้
เขมวันต์ยิ่งมั่นใจว่าสองสาวจะต้องร่วมมือกันทำอะไรที่ไม่อยากให้เขารู้แน่
ชายหนุ่มเลยตอบเรียบๆ ไปว่า
“ไม่เป็นไร แค่รินน้ำ พ่อทำเองได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูนิดอยากทำ” เด็กหญิงรีบตอบ
“พ่อบอกพ่อทำเองไง”
“หนูนิดทำให้”
“ไม่ต้อง”
“แต่...อุ๊ย!”
แล้วในที่สุดชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายชนะ
หลังจากยื้อยุดกันอยู่หน้าประตูตู้เย็นได้พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจชกใต้เข็มขัดด้วยการเอื้อมมือไปจั๊กจี้สีข้างเด็กหญิงเอาดื้อๆ
วนิษาไม่ใช่คนบ้าจี้
แต่พอโดนเขมวันต์เล่นงานทีเผลอเลยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจและเผลองอตัวลง
ชายหนุ่มจึงรีบดึงประตูตู้เย็นออกด้วยความว่องไว
พร้อมนึกสงสัยว่าทั้งคู่คงซ่อนเค้กก้อนใหญ่เอาไว้
แต่กลายเป็นว่าเขาคิดผิด
เพราะยังไม่ทันได้กวาดตามองก็พบว่ามีกล่องของขวัญและซองกระดาษขนาดย่อมร่วงหล่นลงมาแทน
เขมวันต์กะพริบตาถี่ๆ ด้วยความแปลกใจ
ก่อนหันไปมองบุตรสาวที่ตอนนี้เผ่นพรวดไปอยู่ด้านหลังเดหลีที่ยืนนิ่งขึง
มองมาคล้ายไม่เชื่อสายตาตนเองเช่นกัน
“นี่มันอะไรฮึ หนูนิด”
คำถามนั้นทำให้เด็กหญิงยิ้มแหยอยู่อึดใจหนึ่ง “เอ่อ...หนูนิดว่าพ่อถามพี่เดย์เองดีกว่า”
ลูกสาวของเขาทำท่าจะทิ้งคู่หูในตอนนั้นเอง ทำให้เดหลีผวาไปฉุดมือไว้ทันที
“เดี๋ยวสิหนูนิด”
“พี่เดย์ตอบคำถามพ่อไปเถอะค่ะ ถ้ายังไงเจอกันพรุ่งนี้นะคะ
หนูนิดขอไปนอนเล่นรอที่บ้านตาผู้ใหญ่ก่อน”
พอเด็กหญิงบิดมือออกจากการเกาะกุมได้ ก็วิ่งเกือบเป็นกระโจนออกไปจากห้องนั้น
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูบ้านดังมาจากทางห้องรับแขก
ลูกสาวของเขาคงหนีไปตั้งหลักที่บ้านผู้ใหญ่ลีที่นับถือเหมือนเป็นญาติสนิทอย่างที่ประกาศไว้
เขมวันต์หยิบกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้างเท่าฝ่ามือที่ห่อกระดาษของขวัญและผูกโบสวยงามขึ้นมา
พร้อมกับมองคนตรงหน้าไปด้วย “ว่ายังไงครับคุณเดย์”
“ก็...ไม่มีอะไรนี่คะ แค่หนูนิดเอาของที่ฉันให้เก็บ มาเก็บไว้ผิดที่”
เธอตอบเรียบๆ แต่ดวงตาทอประกายบางอย่าง อาจเป็นประหม่าหรือสับสน ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจนัก
รู้แต่ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนจะมาคว้ากล่องของขวัญไปจากมือเขาให้เร็วที่สุด แต่เขมวันต์กลับเบี่ยงตัวหลบเสีย
ร่างระหงของเดหลีเลยถูกกักไว้ระหว่างวงแขนล่ำสันกับบานประตูตู้เย็นในที่สุด
หญิงสาวทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะกัดริมฝีปากล่างแล้วยืนเงียบแทน
เขมวันต์จึงเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง
“ผมนึกว่าเป็นของขวัญของผมที่คุณตั้งใจให้หนูนิดเอามาเซอร์ไพรส์ผมเสียอีก”
“แล้ว...ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณจะดีใจไหมคะ” เดหลีช้อนตาขึ้นสบตา
“ก็คงดีใจและแปลกใจไปพร้อมๆ กัน”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็...ของขวัญวันเกิดผมทำไมมันมีหลายกล่อง หลายซองนัก”
ชายหนุ่มบอกพร้อมกับพยักพเยิดไปบนพื้นห้อง ซึ่งมีกล่องของขวัญหลายกล่องตกอยู่
และคิดว่ายังมีอีกหลายกล่องอยู่ในตู้เย็น
“ไม่ดีหรือคะ”
“ไม่ละ” เขมวันต์ตอบตรงๆ เลยได้เห็นคนตรงหน้ามีสีหน้าเจื่อนไปอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมคะ”
“ผมไม่อยากให้คุณต้องยุ่งยาก อีกอย่างผมก็ไม่เคยจัดฉลองวันเกิดอะไรด้วย
มันไม่จำเป็น”
“แต่นี่เป็นวันพิเศษของคุณนะคะ” เธอแย้งอย่างไม่เห็นด้วย
“ถ้าไม่มีวันนี้ก็จะไม่มีคุณบนโลกใบนี้ แล้วเราก็จะไม่ได้เจอกัน”
คำตอบของเธอทำให้เขายอมจำนนและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ พร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่ไม่ค่อยใช้มองใครบ่อยนัก
ทำให้คนถูกมองแก้มเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อขึ้นต่อหน้าต่อตา
เดหลีเองก็คงจะรู้ตัวเหมือนกัน เพราะหญิงสาวรีบกระแอมออกมา
แล้วบอกเขาเสียงรัวเหมือนคนตื่นเต้นและพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วคุณจะไม่แกะดูสักหน่อยหรือคะว่าถูกใจของที่ฉันให้ไหม”
“คุณอยากให้ผมแกะกล่องไหนล่ะ” เขาเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าเธอยังเงียบกริบ
“กล่องที่คุณซ่อนไว้ในห้องน้ำดีไหม”
เดหลีเบิกตากว้าง มองเขาคล้ายไม่เชื่อหูตัวเอง “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันซ่อนของขวัญไว้ในห้องน้ำ”
“ตกลงคุณซ่อนไว้หรือ”
เขมวันต์ยิ้มบางๆ เพราะแค่โยนหินถามทางเท่านั้น แต่เธอกลับยอมรับออกมาทันที
ใบหน้าของหญิงสาวจึงกลายเป็นสีเข้มกว่าเก่าดูละม้ายสาวน้อยขี้อาย ทว่ามาดนางสิงห์ยังคงไม่หายไปไหน
เพราะในที่สุดปลายคางมนก็เชิดขึ้นแล้วจ้องกลับอย่างท้าทาย
“อย่าว่าฉันเอาไปซ่อนเลย บอกว่าฉันเอาไปเก็บดีกว่า”
“ในเมื่อคุณตั้งใจเอามาให้ผม แล้วทำไมถึงเอาไปเก็บเสียล่ะ”
สีกุหลาบแก่บนโหนกแก้มหญิงสาวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทำให้เขาอดใจไว้ไม่ไหวที่จะใช้ปลายนิ้วลูบไล้ลงไปอย่างแผ่วเบา
ดวงตาเรียวรีที่มีขนตาประดับเป็นแผงจึงหลุบลงต่ำ แล้วตอบออกมาว่า
“ก็...หนูนิดบอกว่ามันอาจจะเยอะเกินไป
แล้ว...คุณอาจจะไม่ชอบ...หรือไม่ได้ใช้”
คำตอบของเธอเป็นสิ่งที่เขาพอจะเดาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “คุณให้อะไรผมหรือ
หนูนิดถึงได้บอกแบบนั้น”
เขาถามด้วยความอยากรู้มากกว่าอยากได้
ตอนจูงมืออีกฝ่ายให้เดินไปที่ห้องน้ำด้วยกันรู้สึกเหมือนเดหลีจะตัวเกร็งหน่อยๆ
และทำท่าจะไม่ยอมก้าวเดินไปด้วย แต่เขมวันต์ไม่ยอมแพ้
ชายหนุ่มออกแรงกึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวให้ไปด้วยกันจนสำเร็จ
หลังผ้าม่านพลาสติกสีขาวทึบตรงบริเวณที่กั้นไว้สำหรับอาบน้ำ
มีกล่องของขวัญขนาดใหญ่ราวสิบกว่ากล่องวางไว้บนพื้นกระเบื้อง และมีจักรยานพับได้คันหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย
เขมวันต์เลยหันขวับไปหาอีกฝ่ายเป็นเชิงถาม
“ก็ของขวัญวันเกิดของคุณไงคะ” เดหลีตอบเสียงอุบอิบในลำคอ
และพยักพเยิดไปยังทิศที่รถของเธอจอดอยู่อย่างรวดเร็ว “หรือถ้าคุณไม่ชอบของพวกนี้
ยังมีกล่องของขวัญอีกสองสามกล่องที่ฉันยังไม่ได้ยกลงมา
แล้วก็เรือยางแบบทันสมัยสุดๆ ที่ยังไม่ได้เป่าลมอีกลำหนึ่งอยู่ที่ท้ายรถของฉัน”
จักรยาน...เรือยาง...เสื้อผ้า...และยังของอื่นๆ
ที่เขาเห็นกองอยู่บนพื้นห้องน้ำกับที่ซุกไว้ในตู้เย็นทำให้เขมวันต์ไม่รู้ว่าระหว่างยกมือขึ้นกุมขมับกับบีบคอคนตรงหน้า
เขาอยากทำอะไรมากกว่ากัน
“ผมรู้แล้วว่าของพวกนี้เป็นของขวัญวันเกิดของผมจากคุณ แต่คำถามคือ
ทำไมถึงได้มากมายอย่างนี้”
“ไม่มากหรอกค่ะ”
“กี่ชิ้น”
“คะ?”
“คุณให้ของขวัญผมกี่ชิ้น”
“สักยี่สิบ...เอ่อ ไม่สิ ยี่สิบสี่ หรืออาจจะเป็นยี่สิบแปด
แต่ไม่ถึงสามสิบหรอกค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ใบหน้าเขาคล้ายโดนน้ำแข็งผนึกเอาไว้ให้คงที่อยู่อย่างนั้นนานหลายนาที
ของขวัญยี่สิบกว่ากล่อง! ให้คนคนเดียว จากคนคนเดียว!
เป็นสิ่งที่เขมวันต์ไม่เคยนึกฝันมาก่อน
แม้แต่ตอนที่ไปเล่นดนตรีคลายเครียดสมัยเรียนหมอเมื่อสิบกว่าปีก่อน
เขาก็ไม่เคยได้ของขวัญมากเท่านี้ในครั้งเดียว
ชายหนุ่มจึงต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอไปได้
แล้วเอ่ยถามคนตรงหน้าว่า
“ยี่สิบแปดเชียวหรือ”
“อาจจะแค่ยี่สิบหกก็ได้ค่ะ” เธอกล่าวอ้อมแอ้มออกมาในที่สุด
“คือฉันไม่รู้ว่าจะให้อะไรคุณดี ปรึกษาเพื่อนๆ ก็แนะนำไปคนละอย่างสองอย่าง ฉันมาคิดดูแล้วเลยเอามาทั้งหมดที่คิดว่าอยากให้”
เขมวันต์ฟังจนจบก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่กุมขมับหรือบีบคออีกฝ่าย
ชายหนุ่มเลือกที่จะดึงริบบิ้นผ้าซาตินสีชมพูอ่อนหวานที่ผูกตรงแฮนด์จักรยานออกแล้วใช้มันแทนที่คาดผมให้หญิงสาว
โดยตั้งใจผูกส่วนที่เป็นปมไว้ด้านบน จากนั้นก็บรรจงทำจนเป็นโบงดงาม
ก่อนจะก้มลงไปชิดริมฝีปากอิ่มเต็มตึงของคนตรงหน้าแล้วกระซิบ
“ถ้าคุณอยากให้ของผมจริงๆ ก็แค่ผูกโบเส้นนี้เส้นเดียว
แล้วเดินเข้าไปหาผมที่เตียงตอนกลางดึกคืนนี้”
ดวงตาหงส์ของหญิงสาวเบิกกว้างเป็นสองเท่าตอนที่เขาพูดจบ “คะ?”
เขมวันต์ไม่ตอบในทันที แต่เลือกที่จะคลี่ยิ้มบางๆ
ให้หญิงสาว...รอยยิ้มซุกซนที่น้อยคนนักจะได้เห็น
“ก็คุณอยากให้ของขวัญวันเกิดผมไม่ใช่หรือ”
ความคิดเห็น |
---|