บทที่ ๕

 

พอรู้ว่ามีแต่คนคอยห้าม หัวใจที่ดื้อดึงก็ปฏิเสธที่จะบอกเล่าเรื่องให้ใครฟังอีก เอื้อมดาวตัดสินใจแล้วว่า จะขอมีความสุขอย่าง ‘ลับๆ’ ในมุมของตัวเอง

นอกจากฝันถึง เธอกับคเชนทร์ก็มีโอกาสติดต่อกันมากขึ้น ทั้งคุยโทรศัพท์ แชตข้อความหวานๆ ความสุภาพและใจดีทำให้เธอไม่รู้สึกเกร็งสักนิด บ่อยครั้งเข้า เขาก็ชวนไปเที่ยวที่บ้านของเขาที่อำเภอแม่ริม เอื้อมดาวรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ แม้ว่าคนในคณะจะมองเธอยังไง ตราบใดที่หัวใจเธอยังแกร่ง และเชื่อมั่นในความฝัน เธอก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น

“อาจารย์คิดว่า หน้าผาที่อาจารย์เล่นสะล้อให้เจ้านางในความฝัน มันคือที่ไหน” เธอถามขณะที่เขาพาเดินชมบ้านหลังเล็กขนาดสองห้องนอน สองห้องน้ำที่ติดเชิงเขา

“ที่นั่นน่ะเหรอ” เขาทำหน้านึก “ผมไม่คุ้นเหมือนกัน จะเป็นน้ำตกวังบัวบาน ดอยผาตั้ง ดอยอ่างขางก็ไม่น่าจะใช่” คเชนทร์เคยลองค้นหาเนินผาสวยๆ ทั่วเมืองไทย แต่ก็ไม่เหมือนกับภาพในนิทรา

“ฉันคิดว่าถ้าเราไปที่นั่น เราอาจจะเจอความจริงของเจ้านาง และเจ้าชายเชียงใหม่”

“นั่นสินะ” เขาเอ่ยก่อนจะพาเธอไปนั่งพักผ่อนที่ห้องรับแขก “อันที่จริงเราก็ตามหาไข่อีสเตอร์ได้หลายฟองแล้วนะ ทั้งเจ้านางทิพย์ เมืองเชียงใหม่ และก็สะล้อ”

“ใช่ๆ” เธอเห็นด้วย “และเมื่อใดที่อาจารย์สีสะล้อ ฉันก็จะ...รู้สึกมีความสุข” 

เธอเอ่ยตาเป็นประกาย ชายหนุ่มยิ้ม แล้วจึงหยิบเครื่องดนตรีที่แขวนไว้ที่ผนังบ้านออกมาตั้งท่า เล่นเพลงอีกครั้ง

เอื้อมดาวระบายยิ้ม เหมือนมีความสุขลอยออกมาจากบทเพลง เหมือนมีคำหวานรำพึง ยิ่งมองคนเล่น เธอก็พูดได้อย่างไม่อายเลยว่า เธอหลงรักเขาเข้าแล้วจริงๆ 

ไม่ว่าชาติภพไหน เสียงสะล้อก็พารักแท้กลับมา

“คุณก็ลองเล่นให้ผมฟังบ้างสิ เผื่อบางที มันอาจจะทำให้เรานึกอะไรออกอีก” 

เอื้อมดาวทำตามอย่างว่าง่าย เธอจับเครื่องดนตรีมาตั้งท่า และลองสีมันตามที่อาจารย์หนุ่มบอกตัวโน้ต ยิ่งเมื่อได้นั่งใกล้กัน ทุกอย่างก็เหมือนมีแรงดึงดูด หนุ่มสาวแนบชิด แขนใหญ่ของเขาโอบกอดจับท่าทางให้ ขณะที่แก้มก็เอียงใกล้

จิตใจหญิงสาวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งเมื่อเขาใช้จมูกโด่งๆ คลอเคลียที่แก้ม และเรื่อยมาที่ซอกคอ เธอจำเป็นต้องหยุดเล่นและหันไปมองหน้า 

อาจารย์หนุ่มไม่หลบตา จ้องตอบและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอียงหน้าหลับตาประกบริมฝีปาก

เอื้อมดาวลืมตาโพลง อยากจะขัดขืน แต่ชิวหาของเขาช่างร้ายกาจ ขับกล่อมให้เธอโอนอ่อนจนต้องหลับตาพริ้ม ร่างกายหญิงสาวไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ปล่อยเครื่องดนตรีให้เขาจับไปวางที่โต๊ะ แถมยังเอนตัวให้คเชนทร์บุกทับและเล้าโลม

“อาจารย์...” เธอเอ่ย 

“หือ...” เขาตอบพึมพำ ดูเหมือนจะพอใจกับการดมดอมกลิ่นกายเธออยู่

“ทำแบบนี้ มันจะไม่เหมาะหรือเปล่าคะ” สติยังเตือนให้เอื้อมดาวสงสัยในสิ่งที่หัวใจกำลังกระทำ 

เขาเลื่อนหน้าขึ้นมาหอมที่แก้มนวล ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “จะกลัวอะไรอีกเอื้อมดาว ในเมื่อบุญวาสนาพาเราให้มาพบเจอกัน คุณไม่เชื่อในพรหมลิขิตเหรอ”

เขาคว้านชิวหาไปตามซอกหู เอื้อมดาวเอียงหน้าหลบ สุขจนแทบจะสำลัก เธอจึงได้คำตอบแล้ว

“ไม่ค่ะ ฉันไม่กลัว เพราะอาจารย์คือรัก...ที่ฉันรอมานานแสนนาน”

ชายหนุ่มประสานมือเธอไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงพึมพำ “เช่นกัน”

มือไม้เขาเริ่มลูบไล้ไปทั่ว แต่ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น เอื้อมดาวพยายามจะควานหา แต่เขาก็จับมือไว้ แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้เอื้อมดาวผลักอกเขาออก

“ฉันขอรับโทรศัพท์ก่อนค่ะ”

อาจารย์หนุ่มนิ่งไป ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง ปล่อยให้หญิงสาวกดรับสาย

“ฮัลโหล มีอะไรหรือเปล่า” เอื้อมดาวปรับเสียงให้เป็นปกติ

“ยายต๊อง แกอยู่ไหน รีบมาที่คณะเลยนะ มีเรื่องด่วน ถ้าแกไม่มา แกจะต้องเสียใจแน่ๆ” เสียงของสิบทิศดูจริงจัง เอื้อมดาวจำเป็นต้องรีบรับปาก ก่อนจะหันไปบอกธุระกับอาจารย์หนุ่ม เพราะหากไม่มีเรื่องด่วนแบบนี้ สิบทิศก็คงไม่โทรศัพท์มาแน่

 

“นั่นไง ยายเอื้อมดาวมานู่นแล้ว” เกศโมฬีบอกกับทุกคนเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้าตึกคณะมาด้วยความเร่งรีบ

“มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า” เธอรีบถามเพื่อนในกลุ่มที่อยู่กันพร้อมหน้า สิบทิศทำหน้าขรึม ก่อนจะชี้ให้เธอมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังถ่ายทำอะไรบางอย่างที่ลานกิจกรรมหน้าตึก

“อะไร” เอื้อมดาวขมวดคิ้ว

“ก็...เขามาถ่ายทำหนังเกย์น่ะ” กลายจักรรีบตอบแทน

“ไม่ใช่หนังเกย์โว้ย ถ่ายทำซีรีส์วาย” เกศโมฬีรีบเถียงแทน “มีน้องเตชิตของแกเล่นเป็นนายเอกด้วยนะ” 

สาวสวยยังบอกว่า ไม่มีใครรู้ว่ากองถ่ายมาถ่ายทำที่นี่ เพราะถ้าขืนรู้ สาววายทั้งเชียงใหม่ได้บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยแน่

“เมื่อกี้มีฉากล้มแล้วหอมแก้มกันด้วย เห็นแล้วขนลุกเลยว่ะ” กลายจักรลูบแขน เกศโมฬีจึงตีไหล่หนึ่งที โทษฐานที่ไม่เข้าใจโลกอันสดใสของสาววาย 

“ฉันก็เลยต้องรีบบอกให้ไอ้สิบทิศมันโทร. หาแกแบบด่วนที่สุด เพราะเดี๋ยวเราจะได้ถ่ายรูปกับน้องเตชิตและน้องโอชิพระเอกและนายเอก รับรองต้องเริดกว่าใคร” นางเอกละครดี๊ด๊า แถมยังหาแป้งหาลิปสติกมาเติมใบหน้า

สิบทิศหวังว่าเอื้อมดาวจะดีใจ แต่ผิดคาด อีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยและทิ้งตัวลงนั่ง 

“สรุปที่เรียกมา แค่จะให้มาถ่ายรูปกับดาราซีรีส์วาย” หญิงสาวถาม เล่นเอาเพื่อนทั้งสามชะงัก

“อ้าว ก็ใช่ แกไม่ชอบเหรอ ปกติเห็นหายใจเข้าออกเป็นน้องเตชิต...” สิบทิศเถียง

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่แกไม่คิดว่า คนอื่นกำลังมีธุระสำคัญอยู่เหรอวะ ที่ฉันรีบมาเนี่ยเพราะคิดว่ามีคนตาย ไอ้กลายจักรโดนรถชนแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลด่วนอะไรอย่างเงียะ”

“อ้าว!” คนถูกอ้างถึงทำหน้าฉงน

“อ้อ ฉันรู้แล้ว หรือว่าฉันกำลังขัดจังหวะแกกับชายในฝันอยู่สินะ” สิบทิศเอ่ยเอาเรื่องอย่างรู้ทัน หลังๆ ที่เพื่อนสนิทตีตัวออกหากนั้นเหตุผลเดียวก็คือ เรื่องของอาจารย์รูปหล่อ

เกศโมฬีหูผึ่ง ในหัวเริ่มประมวลผล ก่อนจะหลิ่วตาอย่างผู้ชนะ

“หรือว่าแกกำลังอยู่กับ...อาจารย์คเชนทร์”

เอื้อมดาวเม้มริมฝีปาก “มันไม่เกี่ยวหรอกว่าอยู่กับใคร แต่เรื่องแค่นี้ แกก็ไม่ควรให้ฉันรีบมาขนาดนั้น”

“เรื่องแค่นี้? เมื่อก่อนมันคือทั้งชีวิตของแกเลยไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มย้อนจนอีกฝ่ายเถียงไม่ออก

“พูดตามตรงนะยายต๊อง ถึงแกจะพยายามสวยเหมือนฉัน แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะยังไงฉันก็สวยกว่า ต่อให้แกพยายามยังไงก็ได้เท่านี้แหละ และแกรู้หรือเปล่า การที่ไปข้องเกี่ยวกับอาจารย์คเชนทร์ อีพวกภาควิชาการแสดงมันหมายหัวแกไว้หลายคนเลยนะ ฉันว่าเรื่องนี้บางทีอาจจะไม่จบแค่การโดนสาดน้ำในห้องน้ำ” นางเอกละครเอ่ยอย่างที่เธอรู้ข่าวมา “ระวังไว้ให้ดี อาจารย์คเชนทร์เจ้าที่เขาแรง”

เอื้อมดาวลุกขึ้นและเอ่ยลอยๆ ขึ้นมา “ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ที่ว่าเจ้าที่แรงคือใครกันเหรอ” เธอเอ่ยเพราะเชื่อมั่นว่า ตัวเองก็มีสิ่งลึกลับบางอย่างดลให้มาเคียงข้างเขา 

“อีกอย่าง ฉันว่าฉันก็มีดีพอที่อาจารย์จะสนใจเหมือนกัน”

พูดจบหญิงสาวก็เดินหนี โดยไม่แลตามองกองถ่ายซีรีส์ด้วยซ้ำ เกศโมฬีอ้าปากค้าง หันไปมองหน้าเพื่อนชายทั้งสอง

“ยายต๊องมันไปแขวนหลวงปู่มั่นมาจากไหน” 

“แต่ก็พูดถูกนะ ทำไมคนอย่างเอื้อมดาวจะลุกมาแต่งสวยไม่ได้เหรอ ฉันว่าพอแต่งแล้วก็ดูดีไม่น้อย ดูเผ็ดร้อน จี๊ดจ๊าดไม่เบา ใช่ไหมไอ้ล่ำ” กลายจักรหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ แต่อีกฝ่ายกลับเงียบไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา

 

ดวงตะวันส่องแสงกล้าทาบทับพระธาตุสีทองอร่ามงามตา สายลมยามสายพัดเอื่อยทำกิ่งไม้ใหญ่รอบๆ สะบัดพัด กระดิ่งสีทองที่แขวนไว้ที่หลังคาวิหารส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง ฟังแล้วสบายใจ นกกระจิบคู่ผัวเมียหลังจากออกหากินจนอิ่มหนำ ก็บินมาเกาะพักเหนื่อยบนกิ่งไม้ใหญ่ ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว 

หลังจากถวายสังฆทาน รับศีลรับพรจากพระสงฆ์เสร็จ หนุ่มสาวก็เดินออกมาจากอุโบสถ แล้วเดินต่อเข้าไปยังเขตของพระธาตุ หยิบกรวยดอกไม้มาวันทา แล้วชวนกันเดินนมัสการรอบพระธาตุ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่า ฉันจะได้มาไหว้พระธาตุดอยสุเทพกับอาจารย์ เหมือนที่เจ้านางต้องการ” เอื้อมดาวมองพระธาตุสีทองอร่าม ในนิทรา เจ้านางคนงามปรารถนาเสมอว่า อยากมาไหว้พระธาตุดอยสุเทพกับเขา

“มันเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของเจ้านาง” คเชนทร์เอ่ยออกมา พร้อมกับมองวงหน้าสวยของเด็กสาว ยิ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เขาก็มีความสุขมากขึ้นทุกวัน แม้จะไม่ถึงขั้นลึกซึ้งในสัมพันธ์สวาท แต่ก็รู้สึกเหมือนผูกพันกันมานานแสนนาน 

แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกว่าการพบกันคือโชคชะตา แต่การได้อยู่ด้วยกันนั้นคือวาสนา 

 “ยังไงเหรอคะอาจารย์” หญิงสาวสงสัยในเรื่องพระธาตุ

“ตามความเชื่อของชาวล้านนา คนเราจะมีพระธาตุประจำปีเกิด โดยยึดเอาจากนักษัตรประจำปี ทุกคนควรได้ไปบูชาพระธาตุปีเกิดสักครั้งเพื่อเป็นมงคลกับชีวิต ในฝันของผม เจ้านางทิพย์บอกว่า เธอเกิดปีแพะ เธอจึงอยากมาที่นี่”

เอื้อมดาวเข้าใจแล้ว มิน่า เจ้านางทิพย์ถึงอยากมาเชียงใหม่ จึงยกมืออธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า

‘ข้าแต่พระธาตุดอยสุเทพ หากในฝันของข้าพเจ้าและอาจารย์เป็นเรื่องจริง ข้าก็ขอให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ขอให้ข้ากับเขาได้ครองรัก เหมือนที่เคยรักกันมาแต่ชาติปางก่อนด้วยเทอญ’

“แล้วอาจารย์ได้ฝันต่อไหมคะว่า เจ้าชายเชียงใหม่มีพระธาตุประจำตัวอยู่ที่ไหน” เอื้อมดาวหันไปถามต่อ

คเชนทร์ยิ้มกริ่ม ก่อนจะบอกว่าตั้งใจจะพาเธอไปไหว้ในวันนี้ด้วย 

รถยนต์แล่นลงจากดอยมุ่งสู่เขตเมืองเก่าของเชียงใหม่ เพื่อเข้าไปยังเขตวัดพระสิงหวรมหาวิหาร 

“นี่คือสิ่งที่ในฝันของผมบอก ว่าเจดีย์วัดพระสิงห์คือพระธาตุประจำปีมะโรง ปีเกิดของผม” 

เอื้อมดาวมองดูองค์เจดีย์มีฐานแบบช้างล้อม เหนือขึ้นไปเป็นเจดีย์ทรงระฆังกลมแบบพื้นเมืองล้านนาสีทอง อาจารย์หนุ่มยังเล่าอีกว่า พระธาตุเจดีย์แห่งนี้น่าจะถูกสร้างตั้งแต่แรกสร้างวัด ในสมัยพญาผายู ราวปลายพุทธศตวรรษที่สิบเก้า 

“เจดีย์องค์เดิมมีสีขาว แต่ปัจจุบันทางวัดได้บูรณะเป็นสีทองทั้งองค์”

นอกเหนือจากการได้ไหว้พระธาตุประจำปีเกิดแล้ว การได้มาที่วัดพระสิงห์ก็ยังทำให้เอื้อมดาวได้รู้เรื่องราวต่างๆ เพิ่มเติมด้วย ว่าวัดแห่งนี้ถือว่าเป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ด้วยเพราะประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญอย่างพระสิงห์

ชายหนุ่มพาเธอมายังวิหารลายคำซึ่งตั้งอยู่เยื้องกับวิหารหลวง สถาปัตยกรรมแบบล้านนาแท้ๆ ที่ยังสมบูรณ์ และหลงเหลืออยู่ไม่กี่ที่ในจังหวัดเชียงใหม่ ด้านในมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปที่สำคัญประดิษฐาน โดยมีลายคำ หรือลวดลายสีทองบนพื้นสีแดงเป็นฉากด้านหลัง ซึ่งได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในล้านนา ลายคำของวัดพระสิงห์เป็นรูปกู่พระเจ้า มังกรจีน หงส์ อันเป็นลายมงคลจีน

ทั้งสองก้มกราบขอพรพระปฏิมาตรงหน้า เอื้อมดาวมองพระพักตร์ของท่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ

“ชื่อพระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงห์นี้ บางฝ่ายก็บอกว่า หมายถึงลักษณะท่าทางองอาจดุจราชสีห์ แต่อีกฝ่ายคิดว่าน่าจะสัมพันธ์กับภาษามอญที่ว่า ‘สฮิง–สเฮย’ ซึ่งแปลว่า ‘อันเป็นที่น่าอภิรมย์ใจ’ สอดคล้องกับตำนานของพระปฏิมาที่เล่าว่า เมื่อได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้ จะรู้สึกอภิรมย์ใจหรือยินดีประดุจได้เห็นพระพุทธเจ้า”

“สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเวลาไปเที่ยวเมืองเก่าก็คือ จะมีวัดเก่าๆ เยอะ อย่างเชียงใหม่เองก็รวมๆ เกือบสองร้อยวัดได้มั้ง”

“อาจจะเพราะธรรมเนียมปฏิบัติของเจ้านายสมัยก่อน นิยมสร้างวัดเป็นทานบารมี”

“อาจารย์รู้ดี สมกับเป็นเจ้าชายจากเชียงใหม่” หญิงสาวยิ้มฟันขาว มองชายหนุ่มตาเป็นประกาย ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน เขาก็รูปงามเหลือเกิน มิน่าใครๆ ก็หลงรักเขาโดยง่าย “เสียดายนะคะที่เราไม่ฝันเสียที ว่าเจ้าทิพย์อย่างฉันเป็นใคร อยู่เมืองไหนของประเทศไทย”

“ผมว่าหากเราทำบุญ ตั้งใจทำดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะเปิดทาง ไม่ให้มีมารมาผจญแน่ๆ ครับ” 

เขาพูดถูก เธอควรทำบุญกับเขาให้มากๆ สักวันคำอธิษฐานในชาติภพคงสมหวัง 

เจ้าชายรูปงามสัญญากับเธอแล้วว่า อยากจะครองรักเธอไปทุกชาติ ไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น อุปสรรคที่ว่า เอื้อมดาวนึกไปถึงพวกแม่สาวๆ ที่ภาควิชาดนตรีและศิลปะการแสดง แต่อีกใจดันไปนึกถึงหน้าของสิบทิศ 

คนอะไรน่ารำคาญชะมัด 

หนุ่มสาวใช้เวลาอีกสักพักในการชมภาพจิตรกรรมในวิหาร คเชนทร์ก็เข้าไปทักทายกับหลวงพ่อที่เดินเข้ามา เอื้อมดาวสังเกตว่านอกเหนือจากการทำบุญ เขายังชอบสนทนาธรรมกับพระภิกษุหากมีโอกาสได้พบ ช่างเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ 

ระหว่างนั้นเอื้อมดาวก็ถือโอกาสออกมาเดินเล่นที่หน้าวิหารลายคำ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครจ้องอยู่ เธอหันไปมอง ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีผู้หญิงสองคนแต่งกายดูดีมีฐานะ คนหนึ่งผมสั้นเก๋ อีกคนผมยาวสลวย ทั้งคู่สวมแว่นกันแดดส่งยิ้มให้

เอื้อมดาวเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นคนอื่นจึงคิดว่าคนแปลกหน้ายิ้มให้เธอแน่ จึงยิ้มตอบ พยายามนึกว่าใครหว่า...

สองสาวก้าวเข้ามาหา เหมือนจะพยายามจะถามทาง จังหวะนั้นพอเอื้อมดาวเผลอ ผู้หญิงผมยาวก็เดินอ้อมไปด้านหลังและกระชากผม ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกอีกคนเหวี่ยงมือตบเต็มแรง 

สาวน้อยหน้าหัน ยกมือขึ้นมาลูบแก้มขวาที่ชาเจ็บ “คุณตบฉันทำไม”

“อย่ามาทำเป็นใสซื่อ อีเอื้อมดาว!” คนที่ตบหน้าหันมาจิกผม และกระชากเธอล้มลงพื้นต่อหน้าพระธาตุอันงดงาม 

“คุณเป็นใคร” เอื้อมดาวถามเสียงสั่น สองคนนี้รู้จักชื่อเธอด้วย

ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกใจ บางส่วนก็รีบเข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้

“ขอตบก่อนให้สาแก่ใจได้ไหม เดี๋ยวค่อยแนะนำตัว” พูดจบ ผู้หญิงผมสั้นก็กระโจนเข้าหา ระดมทั้งมือทั้งเท้าเข้าใส่จนเอื้อมดาวต้องยกมือมาปกป้อง

                เสียงดังโหวกเหวกทำให้คเชนทร์ต้องหันไปมอง ภาพที่เห็นทำให้เขาตกใจ รีบวิ่งเข้าไปรวบตัวผู้หญิงผมสั้นที่มาหาเรื่องทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้นะบี๋!” เขาตะคอก แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดตัว แถมชี้หน้าด่าเอื้อมดาวต่อ

“ไม่หยุด ฉันจะฆ่ามัน เด็กอะไร ทั้งแรด ทั้งร่าน แย่งได้แม้กระทั่งสามีคนอื่น” 

ทุกคำพูดราวกับเสียงฟ้าผ่าดังก้อง แรงจนเหมือนแผ่นดินสะเทือน 

“อะไรนะ คุณคือ...” นักศึกษาสาวเสียงสั่น 

“ใช่ ฉัน รตี พิทักษ์ภูวดล ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคเชนทร์ จำใส่หัวไว้ซะ”

“มะ...ไม่จริง” เอื้อมดาวยังไม่เชื่อ แต่ผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยกลับเดินเข้ามาใกล้และชี้นิ้วไปที่หัวของเธอ

“บี๋เพื่อนฉัน เขาแต่งงานกันคเชนทร์ตั้งแต่อยู่เมืองนอกแล้วย่ะ เธอน่ะ มันก็แค่ของกินเล่นของเขา”

เอื้อมดาวหันไปมองหน้าชายหนุ่ม น้ำตาเจ้ากรรมผุดออกมาอย่างไม่อายใคร

“ไม่จริงนะเอื้อมดาว ผมกับบี๋เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว” 

“อ้อ ถ้าคุณพูดแบบนี้ จะให้ฉันเอาเรื่องให้ถึงอธิการบดีเลยดีไหม ปล่อยฉันสิ” รตีทั้งสะบัด ทั้งทุบแขนชายหนุ่ม แต่เขาก็ไม่ยอม ที่สุดก็รีบแบกร่างภรรยาและพาออกไปที่ลานจอดรถ 

เอื้อมดาวสับสน น้ำตาไหลอาบแก้ม สวรรค์ที่แสนงดงามพังลงชั่วพริบตา...

เธอนั่งร้องไห้เพียงลำพัง ท่ามกลางสายตาของไทยมุงที่ซุบซิบว่า เธอคือมือที่สามที่ทำผัวเมียเขาทะเลาะกัน จนหลวงพ่อต้องเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง 

 “โยม อาตมาว่ากลับไปก่อนเถอะนะ”

หญิงสาวได้สติ ปาดน้ำตาและลุกขึ้น แล้วเดินออกจากวัดไป

 

ที่ลานจอดรถ พอปลอดคน รตีที่กรีดร้องเสียงดังโวยวายว่าถูกแย่งสามีกลับเงียบสงบ คเชนทร์จึงปล่อยเธอลงให้เป็นอิสระ

“พอใจหรือยัง” เขาถาม

“สนุกดีออก” หญิงสาวยักไหล่ก่อนจะปัดเนื้อตัว จัดทรงผมเสื้อผ้า ส่วนเกี่ยวก้อยเพื่อนสนิทก็เดินตามหลังมา

“เราคุยกันไม่รู้กี่รอบแล้วนะว่า ในเมื่อไม่รักกันแล้วก็ปล่อยผมไปเถอะ คุณเป็นอิสระ ผมก็เป็นอิสระ อย่ามาคอยเป็นมารคอยขวางทางกันและกันอีกเลย”

ภรรยาได้ยินเช่นนั้นก็ตาเขียว “นี่คุณกล้าเรียกภรรยาที่รักว่าเป็นมารเชียวเหรอ”

ชายหนุ่มถอนหายใจแรง หันไปมองทางอื่นเพื่อเรียกสติ ก่อนจะกลับมาจ้องหน้ารตีอีกครั้ง “ทำแบบนี้มันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น นอกจากความสะใจ”

“ใช่ และฉันก็ต้องการแค่นั้น ทุกคนจะได้รู้ไง ว่าอาจารย์หนุ่มหล่อ มีความสามารถ ใจดีชอบทำบุญทำทาน จริงๆ แล้วริอยากเลี้ยงเด็กมหา’ลัยไว้เป็นเมียน้อย”

คเชนทร์จำเป็นต้องนิ่ง เพราะคิดว่าเรื่องนี้สำคัญกับตัวเขา

“ในเมื่อตอนนี้เราสองคนก็ไม่ได้รักกันแล้ว เราก็หย่ากันดีๆ ดีกว่า”

รตีตาโต “อย่าบอกนะว่า คุณจริงจังกับเด็กนั่น”

“ใช่ และอย่ายุ่งกับเธออีก ผมขอร้อง” ชายหนุ่มเอ่ย แต่ภรรยาก็หัวเราะร่วน ที่สุดก็เขาทนไม่ไหว เดินหนีจากไป

“ตกลงเอาไงต่อวะบี๋” เกี่ยวก้อยถาม 

“ก็ไม่ต้องทำอะไร ฉันสบายใจแล้ว เราก็ไปนอนนวดสปาต่อที่รีสอร์ตดีกว่า” รตียิ้ม และเดินนำจากไป 

เกี่ยวก้อยมองตามหลัง แต่ก็เข้าใจเพื่อน สิ่งที่รตีทำไปทั้งหมดหาใช่ความรักที่มีต่อคเชนทร์ไม่ แต่เป็นเพราะความแค้นและความสะใจเพียงอย่างเดียว

มันก็น่าเห็นใจอยู่หรอก ตั้งแต่มาคบกับคเชนทร์ ชีวิตรตีก็เหมือนนางฟ้าตกสวรรค์...

เจ็ดปีก่อน ทั้งสองพบรักกันตั้งแต่อยู่ที่นิวยอร์ก รตีซึ่งเป็นคนสวย มีแต่คนมารุมจีบ หนึ่งในนั้นคือไซม่อน เศรษฐีนายทุนค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูด ทว่าหญิงสาวในตอนนั้นช่างอ่อนเยาว์และแสนเขลาในความรัก เธอไม่ได้เลือกไซม่อนที่แก่กว่าเท่าตัว แต่เลือกคเชนทร์ นักศึกษาหนุ่มเนื้อหอมจากเมืองไทย

แม้ว่าคเชนทร์มีฐานะระดับหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับไซม่อนแล้วก็ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เมื่อเธอขอใช้หัวใจนำทาง จึงไม่ยากที่จะเลือกคนหล่อกว่า  เธอสำลักความสุขจนล้น ดีใจที่เธอเลือกไม่ผิดเพราะคเชนทร์ปรนเปรอให้ไม่เคยขาด

คบกันได้สองปีก็จัดงานแต่งงานหรูหราที่เมืองนอก และบินกลับมาจดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย ทุกอย่างสวยงามอย่างที่มันควรจะเป็น จนกระทั่งความรักเข้าปีที่เจ็ด ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม

คเชนทร์ชอบอยู่คนเดียว ขลุกอยู่แต่ในห้องดนตรี ถามว่าเขามีคนอื่นก็ไม่ใช่ คำตอบเดียวที่เขามีให้ก็คือ เบื่อในชีวิตคู่ จนถึงขั้นขอหย่า

รตียอมรับ ว่าตอนนั้นเธอโกรธและเสียใจ ร้องไห้งอนง้อ แต่คเชนทร์ก็ยืนยันว่าเขากลับไปรักเธอไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มยอมทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติพัสถานที่มียอมยกให้เธอได้ไปทั้งหมด แต่รตีไม่ยอม ยังเชื่อมั่นว่าเขาอาจจะมีคนอื่น 

พอเวลาผ่าน รตีก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่มีทางที่จะได้ความรักจากเขาคืน เธอเรียนรู้ที่จะตัดใจไม่ให้รักเขา ใช่ เธอทำสำเร็จ แต่มันกลับมีความแค้นเข้ามาแทนที่

เพราะเขาไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ ยอมเสี่ยงมารัก ยอมทิ้งโอกาสเป็นคุณนายฮอลลีวูด แต่ดูผลลัพธ์ที่เธอได้สิ คือคนที่ไปไม่รอดในชีวิตคู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เธอยังมีไพ่เหนือกว่าก็คือ ทะเบียนสมรสเท่านั้น

เธอไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังไม่ยอมไป คอยอาละวาด จับผิดทุกครั้งที่มีผู้หญิงมาวุ่นวายกับเขา ในเมื่อทุกอย่างมันพัง รตีก็ต้องให้มันพังจนถึงที่สุด เธอไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าเขาจะมีความสุขเช่นกัน เธอจะขอกอดใบทะเบียนสมรสไว้แน่น และบอกกับทุกคนบนโลกนี้ให้รู้ว่า เธอยังเป็นภรรยาของเขาเสมอ เพื่อเป็นทางเดียวที่ไม่ให้เขาไปมีครอบครัวใหม่

หลายครั้งที่มีคนจะมาแย่งชิง รตีมุ่งหน้าไปตบตี ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล สร้างความวุ่นวายให้ชายหนุ่ม และรู้ว่าเธอทำเพราะความสะใจล้วนๆ

แม้จะมีคนเตือนว่า สิ่งที่ทำอยู่ไม่ต่างอะไรจากเพลิงแค้นที่เผาตัวเองไปด้วย แต่รตีก็ไม่แคร์ เผาก็เผา ไหม้ก็ไหม้ เธอพร้อม ขอเพียงแค่คเชนทร์ต้องไม่มีความสุขกับใครหน้าไหนอีก 

เพราะนั่นเป็นสิทธิ์ชอบธรรมอย่างเดียวของเธอที่ยังเหลืออยู่ในตัวเขา

 

จากวัดพระสิงห์ เอื้อมดาวเดินเหม่อไปตามท้องถนน ดวงตาแดงก่ำ แก้มนวลเปียกปอนไปด้วยทางน้ำตา ไม่นึกฝันว่าเธอกำลังจะกลายเป็นเมียน้อยที่แย่งสามีคนอื่น 

พอเถอะ อย่ายุ่งกับเขาอีกเลย เธอน่าจะเชื่อคำเตือนของเพื่อนๆ โดยเฉพาะสิบทิศ

แต่อีกใจก็รู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนคอยปลอบ ว่าเธอไม่ควรร้องไห้ฟูมฟายกับสิ่งที่เจอ ที่ผ่านมา เพราะเธอยอมและอ่อนแอมาเสมอ แล้วมันได้ให้อะไรแก่เธอบ้าง

คำตอบคือไม่มี...

การได้พบกับคเชนทร์และเสียงสะล้อของเขาเหมือนเปิดมุมชีวิตใหม่ มุมที่เรียกว่าความสุขในแบบที่เธอไม่เคยสัมผัส ถ้าเขาเป็นดอกไม้ที่เธอค้นพบ เธอก็ได้ชื่นชมความงาม เหลือเพียงอีกนิดเดียวก็จะได้เด็ดดม แล้วเธอจะให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอย่างนั้นหรือ...

หญิงสาวสับสนจนหัวเหมือนจะระเบิด เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เธอก็พบว่าชายตัวใหญ่นั่งรออยู่ที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม

เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนรัก สิบทิศกำลังจะอ้าปากถาม แต่เอื้อมดาวก็ส่ายหน้า

“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยแก ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว” 

เอื้อมดาวหายเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม...

 

ที่ห้องคณบดี

ชายผมสีดอกเลาสีหน้าลำบากใจ เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากอาจารย์หนุ่ม

“ผมเข้าใจนะอาจารย์คเชนทร์ แต่ในเมื่อคุณยังไม่ได้หย่า และอีกฝ่ายก็เป็นลูกศิษย์ มองอย่างคนธรรมดา ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง” 

คเชนทร์อธิบายว่าไม่ได้อยู่กับภรรยามาหลายปีแล้ว และเอื้อมดาวเป็นลูกศิษย์ที่มาเรียนสะล้อด้วย และมีโพรเจกต์ทำงานวิจัยด้วยกันบางอย่าง

“แต่เราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่านั้น ก็แค่ไปทำบุญด้วยกัน อีกอย่างอดีตภรรยาของผม เธอเป็นคนโมโหร้ายเป็นทุนเดิม คือมักจะ...ทำอะไรเกินเหตุไปหน่อย” เขายกมือขอโทษ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยเสียหาย เพราะมีคลิปหลุดมาจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์

“ผมก็ต้องตักเตือนไว้ก่อนละกัน อาจารย์คเชนทร์ทำบันทึกข้อความเพื่อชี้แจ้งท่านอธิการบดีด้วย และอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก เพราะถ้ามีครั้งต่อไป ก็ต้องว่าไปตามระเบียบ” คณบดีเอ่ย ก่อนจะบอกให้เอื้อมดาวออกไปจากห้องก่อน

หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนเดินออกมาจากห้อง เมื่อเดินลงมาที่ด้านล่างตึก พบว่าเพื่อนในกลุ่มยืนรออยู่แล้ว

“เป็นไงบ้างวะ” สิบทิศถาม

“ก็ไม่โดนอะไร ฉันบอกแล้วว่าไม่มีอะไร ฉันกับอาจารย์ก็แค่ไปทำบุญด้วยกันแค่นั้น” เอื้อมดาวเอ่ยพร้อมกับเดินออกจากตึก โดยมีเพื่อนตามหลัง

“แกแน่ใจนะ เพราะล่าสุดฉันไปส่องไอจีของคุณรตีมา เธอออกมาโพสต์ประมาณว่า อาจารย์คเชนทร์ใช้มุกเดิม ทำเรื่องเลวๆ แล้วแกล้งไปทำบุญเข้ากลบ ฉันว่าเกี่ยวกับเรื่องที่พาแกไปด้วยแน่ๆ”

พอได้ยินอย่างนั้น เอื้อมดาวก็หยุดกึก หันไปมองหน้าเกศโมฬีอย่างไม่พอใจเท่าไหร่

“อะไร มองหน้าฉันมีปัญหาอะไร ใครๆ ก็พูดกันแบบนี้ทั้งนั้น จำเอาไว้นะ คนเลวต่อให้ทำบุญมากมายแค่ไหนก็เป็นคนเลววันยังค่ำ บุญมันล้างบาปไม่ได้หรอกย่ะ”

เอื้อมดาวหน้าตึง หายใจแรง “ใครๆ ที่แกว่า คือคนที่ชอบเสือก รวมทั้งแกด้วยสินะ”

“ยายต๊อง เราก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้แกทำเรื่องไม่ดี” นางเอกละครเถียง

“ความห่วงใยมันล้างคำว่าเสือกไม่ได้เหมือนกัน” 

เจอย้อนแบบนี้ คนฟังก็หน้าชา

“อีเอื้อมดาว” เกศโมฬีหมดความอดทน กระโจนเข้าใส่ แต่อีกฝ่ายก็รออยู่แล้ว จึงพุ่งตัวเหวี่ยงมือเข้าปะทะ

เผียะ! 

ฝ่ามือเอื้อมดาวตบเข้าใส่ใบหน้าสิบทิศที่เอาตัวเข้ามาบัง กลายจักรเห็นท่าไม่ดี รีบกันตัวเกศโมฬีให้พ้นไปอีกทาง

“ทุกคนเห็นหรือยัง ยายต๊องมันจะตบฉัน มันกล้าขนาดนี้แล้ว มาสิ มาเลย นางปีศาจ! คนอย่างแกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” นางเอกละครโวยวายที่รู้สึกถูกเทียบรุ่น เอื้อมดาวเคยหงอ เคยยอมมาตลอด แต่วันนี้กลับยโสโอหัง แถมคิดจะตบเธอ

คนถูกด่าไม่เถียง แต่ยังมองด้วยสายตาเย็นชา สิบทิศส่ายหัว จำเป็นต้องดึงตัวเอื้อมดาวออกมา เขาพาเธอไปยังห้องดนตรีของคณะ ซึ่งในนั้นมีทั้งเครื่องดนตรีไทยและสากล

“เอาละ ฉันรู้ว่าแกอาจจะเครียด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือหรือเปล่า ยังไงก็เพื่อนกันทั้งนั้น”

เอื้อมดาวไม่พูด แต่เดินชมห้องไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหยุดไปที่วงดนตรีพื้นเมือง เธอกอดอกมองพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

สะล้อสีดำขลับแขวนอยู่บนฉากกำมะหยี่สีแดง

“ยังอยากเล่นมันอยู่หรือเปล่า หรือแค่อยากจะฟังคนอื่นเล่นให้ฟัง” คำถามของเขาเหมือนมีนัยว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ ชอบสะล้อหรือว่าชอบคนที่ตัวเองจินตนาการเล่นสะล้อให้ฟังในความฝัน

“ฉันไม่รู้ รู้แค่ว่า ยามได้ยินเสียง มันเหมือนมีบางอย่างรำพึงรำพันความสุขให้ฉันฟังตลอดเวลา”

สิบทิศพยักหน้า “ถ้างั้น แกรอฉันแป๊บนะ เดี๋ยวมา” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินหนีหาย เอื้อมดาวเสยผมแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เครื่องสายนั้น

อันที่จริงสะล้อก็แค่เครื่องดนตรีพื้นบ้านธรรมดา แต่ทำไมหนอเธอถึงคิดถึงเสียงมันตลอดเวลา 

“ยังอยากให้ผมเล่นให้ฟังอยู่หรือเปล่า” 

เสียงที่คุ้นดังมาจากทางด้านหลัง เอื้อมดาวหันไปมอง แม้จะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่นัยน์ตาของเธอกลับประกายสุขเมื่อพบเขา 

คเชนทร์รู้ เขาเดินเข้าไปหยิบเครื่องดนตรีที่แขวนอยู่ แล้วจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ เอื้อมดาวเดินเข้าไปหาเขาอัตโนมัติ 

ชายหนุ่มก้มหน้า และเริ่มสีคันสะล้อ เสียงเพลงเหมือนมีมนตร์สะกดให้เอื้อมดาวหยุดนิ่ง

“ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณลำบากใจเรื่องรตี” เขาเอ่ยพร้อมกับบรรเลงเพลงไปเรื่อยๆ “ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครคาดหวัง แต่สำหรับคุณ ผมจริงใจนะ”

แววตาซื่อๆ ทำเอาหญิงสาวตื้นตัน เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกที่คอ ขอบตาร้อนผ่าว

“เรื่องของบี๋ มันจบไปนานแล้ว เธอแค่ต้องการกวนใจผมเท่านั้น ผมพูดได้เต็มปากว่าผมโสด แต่อาจจะติดค้างแค่ใบหย่า”

เพลงหวานยังบรรเลงไปเรื่อยๆ เอื้อมดาวยังตั้งใจฟัง

“ก็คงแล้วแต่คุณแล้วนะเอื้อมดาว ว่าอยากจะให้สะล้อพาเราไปพบกับความสุข เหมือนที่เรารอคอยมานานหรือเปล่า เพราะผมเอง...ก็ยังอยากจะเล่นเพลงเพราะๆ ให้คุณฟังคนเดียว”

น้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงลงมาอย่างไม่อาย เอื้อมดาวปาดมันพร้อมกับเพลงท่อนสุดท้ายจบลง และเมื่อเขาวางเครื่องดนตรีในมือลง เธอก็เข้าไปสวมกอดเขา

“ฉันรักอาจารย์นะคะ อาจารย์คือคนที่ฉันรอคอยมานาน”

คเชนทร์ยิ้ม มีน้ำตาไหลเช่นกัน “ผมดีใจที่สุด” 

เขากอดเธอไว้แน่น พร้อมกับบรรจงจูบที่หน้าผากของเด็กสาว ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตว่าสิบทิศกำลังเดินเข้าห้องมาเช่นกัน และเมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็ขว้างของในมือลงพื้นเสียงดังลั่น

ด้วยความตกใจ อาจารย์และนักศึกษาผละออกกันคนละทาง เอื้อมดาวมองสะล้อที่ตกพื้นแล้วก็หันไปมองหน้าเพื่อนชาย

“อะไรกัน!” 

สิบทิศกำมือแน่น เขาตั้งใจจะไปเอาเครื่องดนตรีมาเซอร์ไพรส์เพื่อนรัก แต่กลับกลายเป็นเขาที่เซอร์ไพรส์เสียเอง 

“แกนั่นแหละ ทำอะไร!”

“เดี๋ยวนะนาย ใจเย็นๆ ก่อน” คเชนทร์พยายามจะเข้าไปอธิบาย แต่คนเลือดร้อนก็พุ่งเข้าหาและชกเข้าไปเต็มหน้า อาจารย์หนุ่มล้มคว่ำ

ผัวะ!

“อาจารย์!” เอื้อมดาวรีบเข้าไปประคอง และเงยมองหน้าสิบทิศอย่างไม่พอใจ

“เพิ่งจะออกจากห้องคณบดีมาหมาดๆ แทนที่จะสำนึก นี่พวกแกยังกล้าที่จะกอดกันกลมในห้องนี้อีกเหรอ”

“อาจารย์ก็แค่อยากจะขอโทษฉัน จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ทำไมวะ” เอื้อมดาวลุกขึ้นมาจ้องหน้าคนตัวโตอย่างเอาเรื่อง

“นี่แกยัง...” สิบทิศเสยผม พยายามเก็บอารมณ์โมโห “ไม่เข้าใจอีกหรือไง ว่าที่ทำมันผิด”

“ผิดยังไง” เพื่อนหญิงเชิดหน้า 

“คบกับผัวคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้หย่า ยังไงก็ผิดนะเว้ย!”

“อาจารย์กับภรรยาไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว และเรากำลังจะคบกัน นี่มันยุคไหนแล้ว ทีในละครไทยเวลาพระเอกมีคู่หมั้นแล้ว และดันมาตกหลุมรักนางเอก ก็ไม่เห็นมีคนดูบอกว่าผิด แถมเอาใจช่วยกันน่าดู”

“นี่มันเหตุผลของคนอยากเป็นเมียน้อยสินะ มิน่าถึงได้ชอบฟังสะล้อ โง่ดักดานเหมือนควายนี่เอง” สิบทิศชี้หน้า เอื้อมดาวทนไม่ไหว เหวี่ยงมือไปตบหน้าเต็มแรง

เผียะ!

“จะเหตุผลอะไร มันก็เรื่องของฉัน แก...เลิกยุ่งกับชีวิตของฉันเสียที” 

หญิงสาวทนไม่ไหว เดินหนีออกจากห้อง ปล่อยให้สองหนุ่มมองหน้ากัน สุดท้ายสิบทิศก็เก็บสะล้อที่หล่นพื้นและเดินจากไป


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น