2

โน้ตตัวที่ ๒

โน้ตตัวที่ ๒

 

When you were here before

ตอนเธออยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้

Couldn't look you in the eye

ฉันไม่กล้าแม้แต่จะสบตา

You're just like an angel

เธอเหมือนเทพยดาไม่มีผิด

Your skin makes me cry

เนื้อตัวของเธอทำให้ฉันร้องไห้

You float like a feather

เธอล่องลอยดุจขนนก

In a beautiful world

ในโลกอันงดงาม

I wish I was special

ฉันปรารถนาที่จะเป็นคนพิเศษ

You're so fuckin' special

เธอมันโคตรพิเศษ

But I'm a creep

แต่ฉันมันน่าขยะแขยง

I'm a weirdo

เป็นตัวประหลาด

What the hell am I doing here?

ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่

I don't belong here

ฉันไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่เลยสักนิด

 

เสียงกังวานแว่วหวานดังคลอเสียงกีตาร์อะคูสติก สะกดลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านอาหารกึ่งผับให้จับจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของเสียงกันเป็นตาเดียว เธอยืนอยู่หน้าไมโครโฟนซึ่งตั้งอยู่บนเวทีกึ่งยกพื้นเตี้ยๆ ด้านหลังมีเครื่องดนตรีครบชุดทว่าไม่มีนักดนตรีเพราะเป็นช่วงเวลาพัก แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าในร้านแน่นขนัดที่สุด

“แหม...เพราะเอกมาด้วยสินะ คืนนี้น้ำถึงร้องเพลงได้อารมณ์กว่าทุกที”

นิสาเลื่อนขวดเบียร์สีเขียวไปตรงหน้าเอกภพที่นั่งหันหลังพิงเคาน์เตอร์บาร์ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวบนเวทีเช่นเดียวกับลูกค้าคนอื่นๆ ทว่าด้วยแววตาที่ลึกซึ้งเข้มข้นกว่า

“อะไรกันครับพี่สา ผมว่าน้ำก็ร้องเต็มที่ทุกครั้งนั่นแหละ ไม่เกี่ยวกับผมหรอก”

ชายหนุ่มรับขวดเบียร์มากระดกขึ้นดื่ม แล้วหลุบตาลงเพื่อซ่อนอารมณ์ความรู้สึกของตนเองไว้ 

“น้ำน่ะร้องเต็มที่ทุกครั้งนั่นแหละ แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อย ดูลูกค้าสิ นั่งกันเงียบเลย ปกติเวลาวงขึ้นเล่น สนใจฟังเพลงขนาดนี้เสียที่ไหน เสียดายที่น้ำมาร้องให้ร้านพี่อาทิตย์ละหนสองหนเอง ต้องโทษเอกนั่นละ ชอบขโมยนักร้องของพี่ไปทำงานหนักอยู่เรื่อย”

นิสารินเบียร์ใส่แก้วแล้วดื่มบ้าง ถึงเธอจะมีรูปลักษณ์เป็นสาวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ย้อมเรือนผมที่ตัดสั้นระบ่าเป็นสีชมพูและสวมเสื้อแขนกุดอวดรอยสักลายกุหลาบแดงบนต้นแขนทั้งสองข้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อดีตลูกคุณหนูผู้ตกอับอย่างเธอทำจนติดเป็นนิสัยคือรินเครื่องดื่มทุกชนิดใส่แก้ว ไม่ดื่มจากขวดตรงๆ เป็นอันขาด

“อ้าว โดนซะงั้น” เอกภพพูดกลั้วหัวเราะ “น้ำเป็นนักร้องของพี่ที่ไหนกัน ของผมต่างหาก ผมปั้นของผมมาตั้งนานนะฮะกว่าจะได้ขนาดนี้ พี่บอกผมว่าขาดนักร้อง ผมก็อุตส่าห์ให้ยืมตัวได้ นี่อย่าบอกนะว่าคิดจะยึดน้ำไว้เป็นการถาวร ผมไม่ยอมนะ”

“แหม...ปั้นมาตั้งนาน? ช่างกล้าพูดนะยะ ปั้นทิ้งๆ ขว้างๆ ละไม่ว่า” นิสาปรายตามองนฎานิดหนึ่งแล้วลอบถอนใจ “เด็กมันมีพรสวรรค์ขนาดนี้ ถ้าเอกคิดปั้นจริงๆ อย่างที่พูด ป่านนี้น่าจะได้ออกอัลบัมไปแล้ว ไม่มาเป็นแค่คอรัสหรือร้องไกด์ให้พวกนักร้องที่เอกทำเพลงให้หรอก”

“จะเป็นนักร้องได้ออกอัลบัมเป็นของตัวเองได้ มันมีปัจจัยหลายอย่างนะพี่สา เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป คนมีทางเลือกมากขึ้น ขนาดนักร้องดังๆ เองแค่ออกซิงเกิลได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว อยู่ๆ จะเอาเด็กโนเนมมาออกอัลบัมโดยไม่มีฐานแฟนคลับเลยมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน”

พูดถึงตรงนี้เอกภพก็รู้สึกคล้ายรสชาติของเบียร์เย็นๆ ที่ไหลผ่านลงคอเริ่มขมเฝื่อนพิกล ขม...เหมือนความรู้สึกผิดที่กัดกร่อนหัวใจมาเป็นเวลายาวนาน เขาผิดต่อนฎาจริงๆ นั่นละ

“จะบอกว่าน้องมันไม่สวยระดับเน็ตไอดอลเหมือนแฟนเราว่าอย่างนั้นเถอะ”

นิสาทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจนัก จริงอยู่ว่านฎาไม่ใช่คนสวยเด่นสะดุดตาอะไร แต่ก็นับว่ามีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย พื้นฐานผิวพรรณก็เนียนละเอียด หากได้รับการขัดเกลาดีๆ ก็จะเป็นเพชรที่ส่องประกายได้ไม่ยาก

“ว่าไปนั่นพี่สา ลูกนัทเป็นเน็ตไอดอลที่ไหนกันเล่า” เอกภพส่ายหน้าอย่างระอาใจ รู้ว่าสาวรุ่นพี่ไม่ค่อยชอบนิสัยใจคอของคุลิกานัก ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด ทั้งคู่เคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกันมาตั้งแต่สมัยที่กิจการส่งออกอาหารทะเลของครอบครัวนิสายังไม่ล้มละลายมาแล้ว เรียกว่าไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ว่าได้ “เอาเป็นว่าผมมีวิธีของผมน่าพี่ ไม่ต้องห่วงหรอก”

เขาตัดบทด้วยไม่อยากให้เสียบรรยากาศ คืนนี้เป็นคืนแรกในรอบสองเดือนที่เขามีโอกาสออกมาพักผ่อนโดยไม่มีคุลิกาคอยตามติดเหมือนเงา และมีเสียงของนฎาขับกล่อมให้เขาคลายความอ่อนล้าทางจิตใจที่เผชิญมาแทบจะตลอดทั้งวัน

“เออ ให้มันจริงเถอะย่ะ อย่าให้น้องมันคอยเก้อก็แล้วกัน พี่สงสารเด็กมัน” นิสาหันกลับไปมองคนที่เพิ่งร้องเพลงจบอีกครั้ง “เอก อย่าหาว่าพี่สอดเรื่องของเอกเลยนะ แต่พี่อยากให้เอกทำอะไรให้ชัดเจน ชอบทางไหนก็เลือกเอาสักทาง เหยียบเรือสองแคมต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วก็ต้องมีคนที่เจ็บปวดอยู่ดี ดีไม่ดีจะเป็นตัวเอกเองนั่นละ”

“โอ้โห เหยียบเรือสองแคม พี่สา อายุเพิ่งจะสามสิบแต่ใช้สำนวนซะอย่างกับอายุหกสิบเลยนะฮะ”

เอกภพหันหน้ากลับไปมองเวทีเพื่อเลี่ยงการสบตากับนิสาตรงๆ เขารู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร รู้และเข้าใจเป็นอย่างดีจนรู้สึกหน่วงๆ อยู่ในอก แต่ชีวิตมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ละ ไม่อาจครอบครองทุกสิ่งที่ปรารถนาได้ ต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง และบางครั้งสิ่งที่สมองเลือกแล้วนั้นก็ทำให้หัวใจเจ็บปวดปางตาย

“ว่าพี่แก่เรอะ เดี๋ยวเถอะ!” นิสาเอื้อมมือข้ามเคาน์เตอร์ไปฟาดไหล่ของชายหนุ่มเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก ถึงเขาจะทำตัวน่าหมั่นไส้ในหลายๆ เรื่อง แต่เธอกับเขาก็รู้จักกันมาเนิ่นนานจนกลายเป็นเหมือนญาติสนิทกันไปแล้ว “จะว่าไป คืนนี้แขกคึกคักกันน่าดู มีคนขอเพลงด้วยนะ”

หญิงสาวชี้ไปยังพนักงานเสิร์ฟที่ยื่นแผ่นกระดาษให้นฎา สีหน้าของนักร้องสาวเจื่อนไปนิดหนึ่งขณะกวาดตามองชื่อเพลงที่อยู่บนแผ่นกระดาษ

“เอ่อ...” นฎาลากเสียงยาวอย่างลำบากใจ “เพลงด้านมืดของดวงจันทร์นะคะ แหม...จะมีใครมาจับลิขสิทธิ์น้ำไหมคะเนี่ย”

เธอส่งสายตามาทางโพรดิวเซอร์หนุ่มที่พยักหน้ารับเป็นเชิงอนุญาต นั่นเป็นเพลงดังของคุลิกาที่มียอดวิวในยูทิวบ์ถึงสิบล้านครั้งตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ปล่อยมิวสิกวิดีโอออกมา

“ฉันละเอียนเพลงนี้จะแย่ ไปที่ไหนก็มีแต่คนเปิด ขนาดรายการประกวดร้องเพลง พวกเด็กๆ ยังร้องแต่เพลงนี้กันเลย” นิสาทำหน้าเหม็นเบื่อ “เอาจริงๆ เพลงนี้ยายลูกนัทร้องนิดเดียวเองนะ ส่วนใหญ่เป็นเสียงคอรัสของน้ำทั้งนั้น”

เจ้าของร้านโอเวอร์เดอะเรนโบว์ไม่เคยเข้าใจเลยว่าคุลิกาดังเป็นพลุแตกจากเพลงนี้ได้อย่างไร ทั้งที่มีท่อนร้องอยู่แค่สองสามท่อน ส่วนท่อนที่กลายเป็นท่อนเด็ดติดหูคนก็เป็นท่อนคอรัสทั้งนั้น และแน่นอนว่านฎาคือคนที่ร้องท่อนคอรัสทั้งหมด ดังนั้นเวลามีลูกค้าขอเพลงนี้ นฎาจะอิดเอื้อน บ่ายเบี่ยงขอร้องเพลงอื่นทุกครั้งไป 

ว่าก็ว่าเถอะ เนื้อหาของเพลงนี้ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์คุณหนูไฮโซของคุลิกาเอาเสียเลย ฟังแล้วน่าจะเป็นเพลงของนฎาเสียมากกว่า โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า

ด้านมืดของดวงจันทร์

ฉันเป็นได้เท่านั้น

คงไม่มีวันที่แสงใดจะส่องถึง

ได้แต่หวังสักวันหนึ่ง

ทุกความคิดคำนึงจะส่งถึงใจของเธอ

“นักร้องเสียงดีมากนะครับ”

ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่เคาน์เตอร์ เขาสวมเสื้อยืดคอวีแขนยาวสีน้ำเงินเข้มเข้าคู่กับกางเกงยีนสีดำเข้ารูปเน้นให้เห็นต้นขาแข็งแรงชัดถนัดตา ตอนแรกนิสาไม่สนใจแขกผู้มาใหม่เท่าใดนัก แต่เมื่อหันกลับมาสบประสานสายตากับดวงตาสีเขียวอมเทาจางๆ ของเขาเข้าก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป

อื้อหือ...หล่อลากดินเชียวพ่อคุณเอ๊ย...

รูปลักษณ์ของคนตรงหน้าบ่งชัดว่าเป็นคนต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่นึกว่าเขาจะพูดไทยชัดถ้อยชัดคำขนาดนี้เลย เธอเห็นพวกนายแบบฝรั่งที่แวะเวียนมากินดื่มเที่ยวที่ร้านบ่อยๆ ทว่าไม่มีคนไหนที่มีดวงตาและริมฝีปากเซ็กซี่เท่าเขาเลย แค่เพียงเขาปรายตามาหนเดียวก็ทำเอาคนถูกมองระทวยจนแทบเข่าอ่อนเสียแล้ว

“ขอเพลงได้นะคะ น้องเขาร้องได้แทบทุกแนวเลย”

น้ำเสียงที่มักกระด้างอยู่เป็นนิตย์แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน จนเอกภพที่นั่งฟังอยู่ยังอดขนลุกไม่ได้

“ไม่ละครับ ขอเบียร์ดีกว่า”

ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำเอานิสาแทบละลาย เขาโน้มตัวลงเท้าศอกกับเคาน์เตอร์ ดวงตาทอประกายวูบวาบ 

รอให้จบเพลงก่อนเถอะ ได้เคลียร์กันยาวแน่ แม่นักร้องตัวแสบ!

 

นฎาวักน้ำเย็นๆ จากก๊อกขึ้นล้างหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เกือบสิบนาทีเศษ กว่าจะเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกด้วยความรู้สึกอ่อนล้า แสงไฟสีส้มสลัวบนเพดานเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดที่มีหยดน้ำเกาะพราว ส่วนหนึ่งหยดลงมาเปียกคอเสื้อและช่วงอก มองแล้วรู้สึกเหมือนตนเองเป็นลูกหมาตกน้ำอย่างไรอย่างนั้น

ช่างเป็นวันเกิดที่ห่วยแตกสิ้นดี...

“แฮปปีเบิร์ทเดย์ ทู มี”

หญิงสาวร้องประโยคแรกของเพลงวันเกิดแล้วแค่นหัวเราะเสียงแห้ง วันนี้เป็นวันเกิดของเธอแท้ๆ แต่เธอยังต้องมาร้องเพลงที่ทั้งรักทั้งเกลียดที่สุดเพลงนั้นต่อหน้าเอกภพ...เธอรักมัน เพราะเขาเป็นคนแต่งเนื้อร้องและทำนองขึ้นมาตอนที่ยังฟอร์มวงของชมรมในมหาวิทยาลัยกันอยู่ ก่อนที่เขาจะนำมันไปเสนอค่ายเพลงโดยมีเธอเป็นคนขับร้องฉบับเดโม ลึกๆ แล้ว นฎาหวังว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงของเธอ แต่กลับกลายเป็นว่าทางค่ายเฮฟเวนเลือกเป็นเพลงเปิดตัวของคุลิกาเสียนี่

และนี่คือสาเหตุที่เธอเริ่มรู้สึกเกลียดมัน...

“อ้อ...วันนี้เป็นวันเกิดของเธองั้นเหรอ คงต้องบอกว่าสุขสันต์วันเกิดสินะ”

เสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากทางด้านหลังทำเอานฎาสะดุ้งสุดตัว แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง ร่างผอมบางก็ถูกท่อนแขนแข็งแรงรวบเข้าไปชิดกับแผงอกกว้างอย่างแนบแน่น มือที่มีขนาดใหญ่โตชนิดปิดใบหน้าเล็กๆ ของเธอแทบจะมิดเม้นตะปบลงมาบนเรียวปากอิ่มเต็มแล้วออกแรงกดจนเธอไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือได้

“อื๊อ...”

มิไยที่หญิงสาวจะพยายามดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่เธอไม่อาจสู้แรงของเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่กักกันเธอเอาไว้จากด้านหลังได้เลย ดวงตากลมโตเต้นระริกยามมองเงาสะท้อนที่ปรากฏในกระจกแล้วเห็นนัยน์ตาสีเขียวอมเทาสะท้อนแสงไฟเป็นประกายวับวาว ริมฝีปากหยักลึกสีสดที่ค่อยๆ ยกแย้มขึ้นอวดคมเขี้ยวยาวโง้งแบบเดียวกับที่เธอเห็นในฝันร้ายมานานแรมเดือนทำเอากายสาวสั่นสะท้านเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางพายุอันเหน็บหนาวทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดอันร้อนระอุเหมือนเปลวไฟแท้ๆ

เขา...ปีศาจร้ายในคืนนั้น!

“เล่นซ่อนแอบเก่งจริงนะ กว่าจะหาตัวเจอ เสียเวลาน่าดู”

เสียงกระซิบที่ดังชิดริมหูพาให้เลือดในกายของหญิงสาวแตะจุดเยือกแข็งจนเย็นเฉียบ มือเล็กจิกทึ้งทุบถองไปบนท่อนแขนของอีกฝ่ายเต็มแรง แต่นอกจากเขาจะไม่สะทกสะท้านสักนิดแล้ว ยังหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอเหมือนขบขันเสียเต็มประดาอีกต่างหาก

“เลิกสะดีดสะดิ้งแล้วฟังฉันให้ดี ไม่อย่างนั้นฉันจะหักคอเธอเสียเดี๋ยวนี้”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังปล่อยให้ปลายเล็บสีดำสนิทงอกยาวออกมาจากนิ้วมือทั้งสิบช้าๆ นฎามองเห็นเล็บคมกริบราวใบมีดที่แนบสนิทไปกับแก้มขาวซีดของตนเองก็ยืนตัวแข็งทื่อดังถูกสาป รู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้เป็นเหมือนความฝันเลื่อนเปื้อนไร้สาระและเหลือเชื่อเต็มทน แต่เธอรู้ดีกว่านั้น...เธอรู้ว่ามันจริงเสียยิ่งกว่าจริง!

“อา...เชื่องแบบนี้ค่อยน่าคุยหน่อย”

ลมหายใจร้อนผ่านที่เป่ารดต้นคอนำภาพความทรงจำเลวร้ายกลับมาสู่สมองของนฎาอีกครา...ความทรงจำที่เธออยากลืมไปให้สิ้น! 

“เอาละ แม่ตัวดี เธอเอาแหวนของฉันไปไว้ที่ไหน”

เขาคลายฝ่ามือออกจากริมฝีปากของหญิงสาวช้าๆ แล้วเลื่อนลงมากุมลำคอเล็กบางเอาไว้หลวมๆ เป็นเชิงบอกว่าหากเธอส่งเสียงร้อง เขาจะหักคอเธอทิ้งตามที่พูดไว้อย่างไม่รั้งรอ!

“วะ...แหวนอะไร ฉัน...ฉันไม่รู้เรื่อง...”

เสียงของนฎาสั่นจนแทบจับใจความไม่ได้ เธอภาวนาให้มีใครสักคนเดินเข้ามาในห้องน้ำสำหรับพนักงานเสียตอนนี้ แต่เมื่อคิดอีกที ใครเล่าจะช่วยเหลือเธอได้ จะให้เรียกตำรวจมาจับสัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือ...

“อย่ามาทำเป็นอินโนเซนต์หน่อยเลย เธอรู้ดีที่สุดว่าฉันพูดถึงแหวนวงไหน” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันจนฟังคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ป่า “คืนนั้นฉันถอดให้เธอสวมไว้ อย่าบอกนะว่าเมาจนจำอะไรไม่ได้”

“ฉัน...ฉัน...” นฎาพูดไม่ออก ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่ไม่มีเหตุการณ์ที่เขาถอดแหวนสวมให้เธอหลงเหลืออยู่ในหัวเลยต่างหากเล่า! มีก็แต่ภาพน่าสะพรึงที่ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อถึงขนาดไข้ขึ้นอยู่เกือบอาทิตย์ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคุณพูดถึงแหวนวงไหน”

“อย่ามาโกหกฉัน คืนนั้นเราอาจจะเมาเละเทะกันทั้งคู่ แต่ฉันไม่ลืมแน่ว่าตอนที่เราสนุกกัน เธอไม่ได้สวมอะไรติดตัวเลย นอกจากแหวนที่ฉันถอดให้วงเดียว”

ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ไม่ได้เค้นคอของหญิงสาวอยู่ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนด้านหลัง แล้วเลื่อนเปิดหน้าจออย่างคล่องแคล่วจนเธอนึกว่าตนเองน่าจะตาฝาดไป ไม่เคยคิดเลยว่า ‘ปีศาจ’ จะมีสมาร์ตโฟนด้วย

“นี่ไง ภาพหลักฐาน เธอสวมแหวนของฉันอยู่ชัดๆ”

ทันทีที่เห็นหน้าจอที่เขาหันกลับมาให้ดู นฎาก็แทบร้องกรี๊ดเมื่อเห็นว่าเป็นรูปของตนเองในสภาพเมามาย ไม่มีเสื้อผ้าติดกาย มีเพียงผ้าห่มผืนใหญ่พันเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ผืนเดียว ดูเหมือนเธอจะทรงตัวไม่อยู่จึงต้องพิงศีรษะกับแผงอกเปลือยเปล่าของคนที่กำลังถ่ายเซลฟีอยู่ แถมเขายังจับมือเธอชูขึ้นให้กล้องดูแหวนมรกตเม็ดเขื่อง ตัวเรือนของแหวนใหญ่กว่านิ้วของเธอมาก ขนาดสวมไว้ที่นิ้วโป้งยังหลวมชนิดที่ใส่นิ้วโป้งของเธอสองนิ้วยังเหลือที่ว่างด้วยซ้ำ

“นี่คุณ...ถ่ายเซลฟี?”

นฎาโพล่งออกไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตนเองตาย นี่มันใช่เวลามาสงสัยอะไรแบบนี้ไหมยะ ยายโง่!

“ใครอนุญาตให้ถาม” เขาคำรามแก้เก้อ เออ...คืนนั้นเขาเมาเหมือนหมาจนถึงขนาดหยิบกล้องมาถ่ายรูปเซลฟีคู่กับแม่เด็กอัปลักษณ์นี่ได้ แต่ก็ยังนับว่าดีที่มีเบาะแสไว้ตามหาแหวนไม่ใช่หรือ “ตอบฉันมา แหวนวงนี้อยู่ที่ไหน”

หญิงสาวมองปลายนิ้วที่มีกรงเล็บชวนขนลุกขยายภาพหน้าจอให้เห็นเฉพาะแหวนด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เธอเห็นในตอนนั้นเองว่าตัวเรือนที่รับกับมรกตน้ำงามนั้นเอาไว้ทั้งสองด้านขึ้นรูปเป็นดวงตาสีเขียวล้อมเพชรส่องประกายวิบวับ ดูงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน แหวนเด่นสะดุดตาขนาดนี้...หากเธอหยิบติดตัวกลับไปจริง เธอก็น่าจะจำได้บ้างสิ

“ฉัน...จำไม่ได้...” นฎาส่ายหน้า น้ำตาคลอ ภาพความทรงจำเลวร้ายในคืนนั้นย้อนกลับมาเล่นงานเธออย่างจัง การถูกผู้ชายที่ไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่จาบจ้วงเนื้อตัวเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ทั้งน่าขยะแขยงและเจ็บปวดอย่างที่สุด ต่อให้อาบน้ำชำระล้างร่างกายเป็นพันเป็นร้อยครั้งก็ไม่อาจลบเลือนสัมผัสแสนสกปรกนั้นจากผิวกายไปได้ “ในเมื่อแหวนวงนั้นมันสำคัญกับคุณนัก แล้วคุณสวมมันให้ฉันทำไม”

“ไม่มีเหตุผล” น้ำเสียงของเขาเย็นชาพอๆ กับแววตาที่มองใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวในกระจก “ฉันไม่ได้ให้เธอ ถ้าเธอเอากลับไปด้วยก็เท่ากับว่าเป็นขโมย บอกไว้เลยว่าใครที่ขโมยของฉัน ไม่ตายดีสักคน”

“ฉันไม่ได้ขโมย ไม่เคยอยากได้อะไรของคุณสักอย่าง ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ” หญิงสาวเสียงสั่น “คุณยัดเยียดมันให้ฉัน แล้วพอมันหายไปจะมาโทษฉันได้ยังไง ฉันไม่ได้เอาแหวนของคุณไป”

“รู้ไหม นอกจากฉันจะเกลียดขโมยแล้วยังเกลียดคนโกหกอีกด้วย”

กรงเล็บเลื่อนขึ้นจากลำคอมาบีบกรามของนฎาไว้แน่นจนเจ็บแปลบ มืออีกข้างที่ค่อยๆ สอดเข้าไปในชายเสื้อยืดทำเอาเธอสั่นเสียยิ่งกว่าตอนแรกเป็นสิบเท่า กรงเล็บสีดำนั้นคมมาก เพียงแค่สะกิดแผ่วๆ เธอก็รู้สึกเหมือนผิวหนังจะถูกกรีดออกเป็นชิ้นๆ อย่างง่ายดายเสียเดี๋ยวนั้น

“ฉัน...ฉันไม่ได้...โกหก...” หญิงสาวยกมือสั่นๆ ขึ้นรั้งข้อมือของเขาเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ “อย่า...ทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว ฉันไม่ได้เอาแหวนของคุณไปจริงๆ เชื่อฉันเถอะ”

“ก็เห็นว่าจำไม่ได้ก็เลยจะช่วยทบทวนความทรงจำให้ยังไงเล่า” เสียงกระซิบของเขาฟังดูชั่วร้ายอย่างที่สุด เขารู้ว่ากรงเล็บและคมเขี้ยวของเขาทำให้แม่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหวาดกลัวแค่ไหน ดีสิ ยิ่งกลัวยิ่งดี จะได้สารภาพผิดเสียที! “ต่อให้สมองขี้เลื่อยของเธอจำอะไรไม่ได้ ร่างกายของเธอก็ต้องจำได้อยู่ดี จริงไหม”

เขาพลิกมือหงายออก แล้วใช้กรงเล็บกรีดเสื้อยืดเนื้อบางของหญิงสาวจากด้านในจนขาดเป็นริ้วเผยให้เห็นเอวเล็กที่เขาเคยรวบไว้ด้วยสองมือได้สบายๆ ในคืนนั้น ไม่ว่าเธอจะบอกว่าจำไม่ได้หรือไม่อยากจำก็เถอะ แต่เขาไม่เคยลืมเลยว่าผิวนุ่มนิ่มของเธอให้ความรู้สึกดีเพียงไหน 

“อย่า...”

“ถ้าเธอส่งเสียงดัง ฉันจะฆ่าทุกคนที่เดินผ่านประตูนั้นเข้ามา แล้วตัดหัวไปวางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์”

น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อย ทว่าสีหน้าเย็นชาเหมือนก้อนน้ำแข็งของเขาฟ้องชัดว่าเขาหมายความตามนั้นทุกประการ!

“ฉันไม่ได้เอาแหวนของคุณไปจริงๆ”

นฎาไม่กล้าปล่อยโฮออกมา เธอกลัวปีศาจร้ายตนนี้มาก แต่ที่กลัวมากไปกว่านั้นคือหากเธอส่งเสียงดังแล้วคนที่เข้ามาช่วยเธอคือเอกภพเล่า เขา...จะต้องถูกมันฆ่า!

“ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครไปได้ คืนนั้นมีเราอยู่ในห้องกันแค่สองคน”

เขากดริมฝีปากไปบนหลังคอขาวผ่องแล้วลากคมเขี้ยวยาวโง้งไปบนผิวกายบอบบางช้าๆ หญิงสาวเกร็งตัวรับสัมผัสนั้นด้วยความรู้สึกรังเกียจ แต่ไม่อาจขัดขืนได้

“ฉันจำไม่ได้จริงๆ ว่าไปอยู่ในห้องนั้นกับคุณได้ยังไง ฉันแค่...ไปร้องเพลงในงานที่โรงแรมนั้น...”

“เฮอะ! โกหกหน้าด้านๆ เธอจำอะไรไม่ได้สักอย่างจริงๆ เหรอ ทั้งเรื่องที่ขึ้นห้องไปกับฉันได้ยังไง ทั้งเรื่องแหวน แล้วก็เรื่องที่เธอทุบกบาลฉันด้วยที่เขี่ยบุหรี่”

ชายหนุ่มกดคมเขี้ยวบนหัวไหล่ของหญิงสาวไม่หนักแต่ไม่เบานัก ก่อให้เกิดรอยช้ำเป็นรูปรอยเขี้ยวจางๆ แบบเดียวกับที่เคยฝากเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน

“ฉัน...ทุบหัวคุณ...” ดูเหมือนคืนนั้นเธอจะเมามากจริงๆ จึงจำเรื่องที่เขาพูดถึงได้น้อยมาก “ไม่จริง...”

“จริงเสียยิ่งกว่าจริง เสียดายว่าผ่านมานานแล้วเลยไม่มีแผลเหลือให้ดูเป็นหลักฐาน”

แผลกระจอกแค่นั้น เพียงสามวินาทีก็ไม่หลงเหลืออยู่บนผิวกายเขาแล้ว มีก็แต่แผลจาก ‘พี่ชายสารเลว’ นั่นละที่จนป่านนี้ยังทิ้งร่องรอยอัปยศเอาไว้อยู่!

“ฉันจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ฉันไม่รู้เรื่องเลย”

ถึงจะปล่อยโฮออกมาเสียงดังไม่ได้ แต่นฎาไม่อาจห้ามน้ำตาแห่งความหวาดกลัวให้ไหลออกมาได้ ชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนในอ้อมแขนร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นเด็กๆ...ก็ยังเด็กอยู่มากนั่นละ หากเทียบกับอายุจริงของเขา

“อย่าบีบน้ำตาเลย เสียเวลาเปล่า ฉันไม่เคยใจอ่อนกับลูกไม้ตื้นๆ ประเภทนี้ของผู้หญิงหรอก” ปากพูดไปเช่นนั้น แต่เขากลับคลายวงแขนปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เมื่อไม่มีวงแขนแข็งแรงคอยประคองไว้ เธอก็เข่าอ่อนล้มพับลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น “ฉันจะให้เวลาเธอสามวัน เคาะขี้เลื่อยออกจากสมองให้หมด นึกให้ออกว่าแหวนของฉันอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าไอ้ที่ถูกกรีดจะเป็นหน้าของเธอ ไม่ใช่เสื้อโกโรโกโสที่สวมอยู่แน่”

นฎารวบชายเสื้อขาดวิ่นเอาไว้แล้วถอยกรูดไปจนแผ่นหลังชนกับผนังด้านหลัง ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วส่งโทรศัพท์มือถือให้หญิงสาว

“โทรศัพท์เครื่องนี้บันทึกเบอร์ของฉันแค่เบอร์เดียว ไม่มีเบอร์คนอื่น ถ้าสมองเลิกตายแล้วนึกออกก็โทร. มาก่อนได้ แต่ถ้าเธอทำเป็นลืมละก็ ฉันจะไปหาถึงที่แน่ ฉันรู้เรื่องของเธอมากกว่าที่เธอคิดนะ แม่น้ำค้าง”

“นะ...น้ำค้าง?” เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคมเขี้ยววาววับทั้งน้ำตา “ฉัน...ไม่ได้ชื่อนั้น...”

“ฉันเรียกอย่างที่พอใจจะเรียก” เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วหยัดกายขึ้นยืนมองคนที่ตัวสั่นไม่เลิกอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเธอบอกเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้กับใคร รู้ใช่ไหมว่าจะมีจุดจบแบบไหน”

นฎาไม่ตอบแต่ใช้วิธีพยักหน้าเร็วๆ แทน เธอก้มลงมองโทรศัพท์ในมือก็เห็นชื่อและหมายเลขค้างอยู่บนหน้าจอ ชื่อนั้นบันทึกไว้เป็นภาษาอังกฤษ

“เควาน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ฉันชื่อเควาน จำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น