๓
ขึ้นคานด้วยกัน
เฟซบุ๊กเพจหมาแสบ
เจ้าของเพจเพิ่งโพสต์ภาพการ์ตูนสองช่องระบายด้วยสีพาสเทลนุ่มและเขียนตัวหนังสือด้วยลายมือเก๋ๆ เป็นระเบียบ
ช่องที่ ๑ ด้านบน :
‘เมื่อเราเครียดจากปัญหานอกบ้านแล้วกลับมาหาหมา’
<ภาพประกอบตัวการ์ตูนผู้ชายยืนคอตกอย่างเพลียๆ มือจับลูกบิดประตูเตรียมเปิดเข้าบ้าน>
ช่องที่ ๒ ด้านล่าง :
‘เราจะลืมเรื่องเครียดนอกบ้านไปทันที’
<ภาพประกอบผู้ชายคนเดิมอ้าปากค้างเข่าทรุด ตัวสั่นระริกอยู่กลางห้องรับแขกที่พังเละด้วยฝีมือของตัวการ์ตูนสุนัขไซบีเรียนฮัสกีสีน้ำตาลขาวซึ่งวิ่งมาต้อนรับอย่างร่าเริง มันคาบปลั๊กกับสายไฟขาดๆ ของพัดลมที่ล้มกลิ้งอยู่ข้างโซฟาซึ่งถูกกัดจนรุ่งริ่ง โต๊ะเตี้ยๆ ตัวกลางมีรอยฟันเว้าๆ แหว่งๆ ขาโต๊ะหักเอียงกระเท่เร่ราวกับถูกปลวกทั้งฝูงรุมแทะ พื้นห้องเต็มไปด้วยเศษขยะกระจัดกระจายแทบไม่เหลือที่ว่าง>
“นี่มันชีวิตฉันชัดๆ!”
ลานไพลินกดปุ่ม ‘หัวเราะ’ ให้แก่ภาพการ์ตูนจากเพจ ‘หมาแสบ’ ซึ่งเธอติดตามด้วยความชื่นชอบมานาน แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอแทบหัวเราะทั้งน้ำตา
เมื่อคืนลานไพลินกลับบ้านดึกที่สุดในรอบปี สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์โกลาหลในค่ำคืนที่เพื่อนรักควรมีความสุข
หลังบัวชมพูยัดแหวนคืนใส่มือของดินแดน เจ้าหล่อนขอให้ลานไพลินพาตนเองกับเทียนหอมกลับไปส่งบ้าน ปล่อยให้ดินแดนจัดการปัญหาในงานเลี้ยงเอาเอง ลานไพลินต้องปลุกปลอบเพื่อนรักที่ร่ำไห้ไม่หยุด ครั้นบิดามารดาของบัวชมพูกลับถึงบ้าน ลานไพลินต้องรับหน้าที่เล่ารายละเอียดให้ฟัง ไหนจะเพื่อนฝูงซึ่งทั้งโทรศัพท์มาและส่งข้อความถามจนไลน์แทบแตก ไม่นับดินแดนที่โทร. หาเธอเนื่องจากติดต่อแฟนสาวไม่ได้ กว่าลานไพลินจะซมซานกลับบ้านของตนเองได้ก็เลยวันใหม่เข้ามาหลายชั่วโมง
ทว่าค่ำคืนอันบ้าคลั่งยังไม่จบสิ้น
หญิงสาวตระหนักถึงความจริง เมื่อเห็นสภาพห้องนอนที่ถูกรื้อเละไม่ต่างจากขโมยขึ้นบ้าน ปัญหานอกบ้านกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในทันที...
ข้าวของบนโต๊ะเครื่องแป้งถูกกวาดลงมาเกลื่อนอยู่กับพื้น กล่องกระดาษเช็ดหน้าถูกกัดจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ เศษทิชชูกระจุยกระจาย ที่แย่กว่านั้นคือลิปสติกเกือบห้าแท่งหักเละ สีของลิปสติกเปรอะเปื้อนไปทั่วทุกที่ แล้วยังมีตะกร้าผ้าใช้แล้วซึ่งล้มกลิ้งอยู่ใกล้ๆ เสื้อผ้าระเกะระกะปะปนไปกับเศษทิชชูและเนื้อลิปสติกเลอะๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร ขนสีเงินของสุนัขที่ปลิวว่อนและบ้างก็กองอยู่เป็นกระจุกกับรอยเท้าสีส้มๆ แดงๆ ซึ่งประทับตราอยู่แทบทั้งห้องแสดงถึงการวิ่งวนไปมาของยายตัวแสบ มันหอนต้อนรับเธอด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นลานไพลินกลับบ้านมาเสียที ก่อนที่มันจะกระโจนลงจากเตียงมากระโดดอยู่รอบตัวเธอราวกับไม่เจอหน้ากันมาสักสามปี
‘แสนแซ่บ!’
ลานไพลินพูดเสียงลอดไรฟันยามเรียกชื่อสุนัขไซบีเรียนสีซิลเวอร์วัยขวบครึ่งซึ่งมีดวงตาสองสี ข้างหนึ่งสีฟ้าน้ำทะเล อีกข้างมีสีน้ำตาลเม็ดอัลมอนด์
แสนแซ่บเป็นหมาขี้เหงาและติดลานไพลินเอามากๆ มันไม่ยอมนอนกับพ่อแม่เธอ แต่อดทนรอหญิงสาวอยู่ในห้องนอนตามลำพังแล้วคงเหงา ผสมกับความเครียดที่ลานไพลินยังไม่กลับมา โดยก่อนนั้นคือตอนเย็นหญิงสาวก็ไม่ได้พามันออกไปวิ่งปลดปล่อยพลังเหมือนเช่นทุกวันเนื่องจากต้องไปรับบัวชมพูที่บ้าน
ลานไพลินโกรธแต่ก็เข้าใจแสนแซ่บ เธออดเทศนามันไม่ได้ แม้จะรู้ว่าสุนัขเป็นสัตว์ความจำสั้น มันคงลืมไปแล้วว่าได้ทำอะไรลงไป เธอเก็บกวาดห้อง ทำความสะอาดร่างกายเปรอะเปื้อนของมัน แล้วจึงจัดการธุระส่วนตัว ซึ่งกว่าหญิงสาวจะได้นอนก็อีกชั่วโมงถัดไป
ทว่าตอนรุ่งสาง เจ้านาฬิกาขนปุยกระโดดขึ้นมาทับเธอบนเตียงเพื่อเรียกให้ลานไพลินพามันไปออกกำลังกายยามเช้า
หญิงสาวตื่นมาด้วยสภาพตาโหล แต่ต้องสู้ทนขี่จักรยานจูงแสนแซ่บไปวิ่งรอบอาณาเขตของสวนซึ่งเป็นกิจการในครอบครัว เธอยอมให้แสนแซ่บลงไปเล่นน้ำในอ่างเก็บน้ำที่มันโปรดปราน เพราะตั้งใจว่าจะพามันไปอาบน้ำอยู่แล้วเนื่องจากยังมีรอยคราบลิปสติกติดอยู่บ้างตามตัว ระหว่างที่รอแสนแซ่บเล่นน้ำ บัวชมพูโทรศัพท์มาร้องไห้ให้ฟังอีกรอบ ลานไพลินได้แต่ปลอบโยนเพื่อนไป
ตอนนี้หญิงสาวอาบน้ำและเป่าขนให้แสนแซ่บเรียบร้อยแล้ว เธอรับประทานอาหารเช้ากับบิดามารดา ทำความสะอาดร่างกายตนเอง ก่อนมานอนก่ายหน้าผากอยู่บนตั่งไม้สักตรงใต้ถุนบ้านด้วยความอ่อนเพลีย
ส่วนแสนแซ่บน่ะหรือ มันนอนหนุนตักบิดาของเธอพลางหลับตาพริ้มอย่างน่าหมั่นไส้ ปล่อยให้พ่อโพธิ์แปรงขนให้ มีขนของมันร่วงติดแปรงมามากมายซึ่งเป็นธรรมดาของสุนัขพันธุ์นี้ที่ผลัดขนเก่งมาก โพธิ์รวบรวมเศษขนมากองข้างๆ ตัวมันจนเป็นกลุ่มก้อนใหญ่เพื่อจะได้รวบรวมใส่ถุงไปทิ้งพร้อมกันทีเดียว แต่กระนั้นก็ยังมีเศษขนสุนัขปลิวอยู่ตามที่ต่างๆ อยู่ดี
“อ้าว! หลับกันหมดเลยเหรอ แม่จะปอกมะม่วงสุกให้พอดี” มารดาเดินถือถาดสังกะสีใบโตมา ข้างในมีจานมะม่วงสุกมีด และส้อมจิ้มเล็กๆ
“งี้ด” แสนแซ่บกระดิกหู
“ไอ้ตะกละ” ลานไพลินค่อนว่า
“ตกลงว่าไม่ได้หลับทั้งคู่นี่นา” ทับทิมหัวเราะพลางทรุดกายลงบนโซฟาหวายซึ่งมีโต๊ะตัวเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง
“หนูก็อยากหลับนะแม่ เนื้อยเหนื่อย แต่มันคงผิดเวลาน่ะค่ะก็เลยหลับไม่ลง” ลานไพลินถอนใจดังเฮือกๆ
“เป็นสาวเป็นแส้ถอนหายใจทำไม มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงหมดสภาพขนาดนี้ล่ะไพลิน” ทับทิมเรียกบุตรสาวด้วยชื่อที่มีเพียงคนในครอบครัวและญาติสนิทซึ่งเห็นเธอมาแต่เด็กเท่านั้นเรียก
“เฮ้อ...” ลานไพลินถอนหายใจอีก แล้วจึงเล่าเรื่องทั้งหมด
“แย่จริง สงสารบัว ถ้าแม่เป็นแก แม่ก็โกรธเหมือนกันแหละ” ทับทิมวางมะม่วงสุกที่เพิ่งหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำลงในจาน
“แต่ดินจัดงานทั้งหมดเพื่อขอแกแต่งงานนะ แปลว่าเขาเลือกแล้ว ถ้าเขาไม่เลือกก็คงไม่ทุ่มเทขนาดนี้หรอก” โพธิ์แย้งภรรยา
“แต่แฟนเก่าที่ยังสนิทกันเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงจะรับได้นะพ่อ ไม่รู้ว่าสนิทกันขนาดไหน แถมดินยังปล่อยให้แม่คนนั้นมาด่าบัวฉอดๆ อีก ถ้าเป็นแม่นะ แม่กระทืบมันไปแล้ว ทั้งผู้ชายผู้หญิงเลย!” ทับทิมกระแทกมีดลงกับถาดสังกะสีดังเคร้ง แสนแซ่บผงกหัวขึ้นมาดูด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวๆ นี่พ่อเอง ไม่ใช่ตาดิน แล้วพ่อก็ไม่เคยมีแฟนเก่าด้วย” โพธิ์รีบปราม
“เออจริง แม่ลืมไป” ทับทิมหัวเราะเก้อๆ พลางป้อนมะม่วงสุกสีเหลืองอร่ามให้สามีหนึ่งชิ้นแทนคำขอโทษ
“หนูเห็นด้วยกับแม่นะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าพี่ดินสนิทกับผู้หญิงคนนั้นแค่ไหน บัวเคยเล่าให้หนูฟังมานานแล้วค่ะว่าเห็นสองคนนั้นคุยกันบ่อยในเฟซฯ กับไอจีแล้วรู้สึกไม่ดี หนูได้แต่ปลอบว่าคงไม่มีอะไรหรอก แต่นี่มันเกินไปแล้ว เฮ้อ...จะเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้นะคะ ไม่มีแฟนก็ดีเหมือนกันเนอะแม่ ไม่ต้องมีเรื่องมาให้ปวดหัว อยู่แบบโสดๆ สวยๆ สบายใจกว่าเยอะ...เนอะแสนแซ่บเนอะ”
ลานไพลินลงมานั่งกับพื้น ลูบหัวเจ้าหมา เธอเอื้อมมือไปจิ้มมะม่วงสุกมากิน ก่อนจะป้อนอีกชิ้นให้แสนแซ่บด้วย เจ้าฮัสกีดมฟุดฟิดและอ้าปากงับโดยที่ยังนอนหนุนตักบิดาอย่างเกียจคร้าน
“เราไม่มีแฟนก็เรื่องของเราสิไพลิน แต่แสนแซ่บนี่แม่อยากจะหาแฟนให้สักตัว จะได้มีลูกมาให้เลี้ยงสักครอกสองครอกแล้วค่อยจับมันทำหมัน”
“ไม่เอานะแม่ ลูกหนูเป็นสาวบริสุทธิ์ประดุจน้ำผึ้งเดือนห้า เรื่องอะไรจะปล่อยให้ผู้มาทำให้แปดเปื้อน หนูไม่ยอมหรอก” ลานไพลินก้มตัวลงไปกอดลูกสาวที่เคี้ยวมะม่วงดังจั๊บๆ
“บ้านเราจะได้มีหมาเยอะๆ ไง ไม่เหงาดี”
“โห แค่แสนแซ่บตัวเดียวหนูก็สะกดคำว่าเหงาไม่เป็นอีกเลยค่ะ คำว่าความสงบในชีวิตก็เช่นกัน”
ครอบครัวของลานไพลินเลี้ยงสุนัขมาตลอด แต่แสนแซ่บเป็นหมาพันธุ์ดีมีสกุลตัวแรกที่พวกเธอมี เมื่อก่อนล้วนเป็นสุนัขพันทางซึ่งบิดามารดาเก็บมาจากข้างถนน บ้างก็หลงมานอนอยู่ใกล้ๆ สวน ตัวสุดท้ายที่ครอบครัวเคยมีแก่ตายไปได้ราวๆ หนึ่งปีครึ่งนี่เอง
ลานไพลินโศกเศร้าอยู่พักใหญ่ เพราะหลายเดือนก่อนหน้านั้นหญิงสาวสูญเสียหลายสิ่งที่เธอรักในเวลาไล่เลี่ยกัน เริ่มจากคนรักบอกเลิกไปมีคนใหม่ ตามด้วยการเสียชีวิตของย่าที่เลี้ยงเธอมา เจ้านายในบริษัทเอเจนซีโฆษณาซึ่งลานไพลินทำงานอยู่ในเวลาดังกล่าวจึงยกลูกไซบีเรียนฮัสกีให้ตัวหนึ่งซึ่งก็คือแสนแซ่บนั่นเอง
แซมมี่ หรือ สโรชินีเป็นเจ้านายจอมเฮี้ยบของลูกน้อง แต่เป็นมิตรกับสัตว์สี่เท้า เธอชอบเก็บสุนัขและแมวจรจัดมาเลี้ยง วันหนึ่งสโรชินีไปเจอสุนัขไซบีเรียนฮัสกีตัวเมียถูกทิ้งให้นอนรอความตายอยู่ริมคลองแสนแสบ คาดว่ามันน่าจะเคยเป็นสุนัขบ้านที่พลัดหลงกับเจ้าของหรือไม่ก็ถูกเอามาทิ้งไว้และโดนสุนัขเจ้าถิ่นไล่กัดมา สโรชินีจึงอุ้มมันขึ้นรถเพื่อพาไปหาหมอ ทว่ามีไซบีเรียนฮัสกีตัวผู้อีกตัววิ่งกะเผลกตามรถมา สภาพของมันน่ารันทดพอๆ กัน สโรชินีเดาว่าทั้งคู่คงเคยมีเจ้าของคนเดียวกันเธอจึงพาพวกมันไปหาสัตวแพทย์
หลังการตรวจร่างกายโดยละเอียด สัตวแพทย์ก็แจ้งความจริงที่น่าตกใจสุนัขตัวแรกกำลังตั้งท้อง สโรชินีพยายามประกาศหาเจ้าของในทุกแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดียแต่ไม่มีใครมาแสดงตัว และสภาพของสุนัขทั้งสองก็ย่ำแย่จนแทบไม่เหลือความเป็นไซบีเรียนฮัสกี
สโรชินีตั้งชื่อเจ้าตัวแรกว่า ‘แสนแสบ’ ตามชื่อสถานที่ที่พบเจอมัน ส่วนตัวที่สองมีชื่อว่า ‘แสนสู้’ เนื่องจากมันต้องต่อสู้อย่างมากเพื่อให้รอดชีวิต หญิงสาวเฝ้าทะนุถนอมพวกมันโดยมีทาสหมาอย่างลานไพลินคอยช่วยพาไปหาหมอในเวลาที่สโรชินีไม่ว่าง รวมถึงผู้คนในโลกโซเชียลมีเดียก็คอยเอาใจช่วย ร่างกายของเจ้าฮัสกีค่อยๆ ฟื้นฟู และหลังจากนั้นไม่นานแสนแสบก็คลอดลูกออกมาแปดตัวแต่ตายไปสองตัว พวกมันมีรูปร่างหน้าตาและสีขนคล้ายกับแสนแสบและแสนสู้ ทั้งหมดถูกตั้งชื่อโดยมีคำหน้าว่า ‘แสน’ เหมือนพ่อแม่
เจ้าแสนแซ่บเป็นน้องตัวสุดท้อง และเป็นตัวเดียวในครอกที่สโรชินียอมยกให้คนอื่น เพราะเธอเห็นลานไพลินจมดิ่งอยู่กับความโศกศัลย์มานานเกินไปจึงยกหมาน้อยให้จะได้คลายเศร้า
ลานไพลินหายเศร้าไปเลยจริงๆ แสนแซ่บนั้นแซ่บสมชื่อ ตั้งแต่มีมัน ชีวิตของเธอมีแต่ความตื่นเต้นจนไม่มีเวลาโศกาดูร เลือดลมสูบฉีดหัวใจระทึกทุกวันเพราะไม่รู้ว่าแสนแซ่บจะก่อคดีอะไร
“หมาไซฯ มันก็น่ารักดีออก ถ้าแสนแซ่บมีลูก แม่กับพ่อจะเอามานอนด้วย ตาเพชรเรียนจบกลับมาเมื่อไหร่ก็ให้เขาเอามันไปนอนในห้องด้วยอีกตัวสองตัวก็ได้”
ทับทิมคิดเองเออเองเสร็จสรรพ วางแผนไปถึงอนาคตข้างหน้าหลังบุตรชายคนเล็กเรียนจบปริญญาโททางด้านการเกษตรจากนิวซีแลนด์กลับมาอยู่บ้าน
“แม่ถามเพชรก่อนดีกว่าว่าอยากเอาหมาไปนอนด้วยมั้ย หนูเพิ่งเล่าเองนะว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
“มันก็เป็นธรรมดานี่ ไม่ใช่ความผิดของแสนแซ่บเสียหน่อย เรากลับดึกเองแล้วไปโทษน้อง”
“หนูไม่ได้อยากกลับดึกแต่ไม่อยากทิ้งบัวไว้ในสภาพนั้นคนเดียวนี่คะ ไม่รู้ละ ถ้าหนูไม่มีผัว แสนแซ่บก็ห้ามมีผัวเหมือนกัน... ตกลงมั้ยแสนแซ่บ” ลานไพลินยกมือขึ้นมารอ
“บรู๊วววว์!” แสนแซ่บแปะอุ้งเท้าหน้าทำไฮไฟว์กับเธอ
“เก่งมากลูกแม่ สัญญาต้องเป็นสัญญา เราจะขึ้นคานไปด้วยกัน!” ลานไพลินเขย่ามือมัน
“โฮ่ง โบร๊วววว์!” แสนแซ่บเห่าหอน เดาว่าเป็นการให้สัญญาในภาษาของมัน
“ดีมากลูกพ่อ ผัวเผอไม่ต้องมีหรอก ลูกสาวพ่อหนึ่งคนกับหนึ่งตัวพ่อเลี้ยงได้สบายมาก” โพธิ์โอบกอดลูกทั้งที่เป็นคนและหมาด้วยรอยยิ้มชื่นบาน
“ชิ! เหม็นความรัก” ทับทิมค้อนปะหลับปะเหลือก
แสนแซ่บรู้ว่ายายกำลังงอน มันจึงกระดิกหางเข้าไปคลอเคลียง้อ ทับทิมหัวเราะชอบใจ ป้อนมะม่วงสุกให้มันไปอีกชิ้นโตๆ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลานไพลินเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอแล้วจึงยิ้มอ่อนแต่ก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะพี่ดิน”
“สวัสดีครับน้องลิน ขอโทษที่โทร. มารบกวน แต่พี่ไม่สบายใจเลยครับเรื่องน้องบัว เธอไม่รับโทรศัพท์พี่เลย”
“บัวคงยังโกรธน่ะค่ะ พี่ดินให้เวลาบัวหน่อยแล้วกันนะคะ”
“พี่รู้ว่าพี่ทำไม่ถูก ไอ้ครามเพื่อนพี่มันก็ด่าเหมือนกันครับ”
ใบหน้าคมสันของศิคาลเพื่อนรักของดินแดนผุดขึ้นมา ก่อนหน้านี้ลานไพลินเคยได้ยินแค่เสียงของเขา เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริง
“บ่ายนี้น้องลินพอมีเวลาว่างมั้ยครับ ถ้าพี่ขอไปหาที่บ้านจะได้มั้ย พี่อยากไปปรึกษาเรื่องน้องบัวน่ะ”
“ว่างค่ะ แต่บ้านลินอยู่ไกลนะ ให้ลินไปหาครึ่งทางมั้ย” แม้จะเหนื่อยใจ แต่ลานไพลินก็เป็นห่วงบัวชมพู อยากให้เพื่อนรักมีความสุขอย่างแท้จริงเสียที
“ไม่เป็นไรครับ พี่เป็นฝ่ายมารบกวนขอความช่วยเหลือพี่ก็ต้องไปหาน้องลินเอง อ้อ แต่พี่ขออนุญาตพาไอ้ครามไปด้วยได้มั้ย พี่อยากให้น้องลินกับไอ้ครามช่วยกันคิดวิธีง้อน้องบัวน่ะครับ หลายหัวดีกว่าหัวเดียว น้องลินจะสะดวกมั้ยครับ”
หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินชื่อผู้ชายอีกคนหนึ่งบ้านเป็นสถานที่ส่วนตัวของเธอ แต่จะว่าไปศิคาลไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับครอบครัวเธอเสียทีเดียว
“สะดวกค่ะพี่ดิน”
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” ชายหนุ่มนัดแนะเวลา แล้ววางสายไป
ดินแดนไปรับเพื่อนรักถึงบ้าน ขอร้องแกมบังคับให้เดินทางมาด้วย ศิคาลยังเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องวุ่นๆ เมื่อคืนไม่หายแต่เมื่อเห็นใบหน้าหมองไหม้ของไอ้เพื่อนตายเขาก็ใจอ่อน
เมื่อคืนกว่าศิคาลจะได้นอนก็เกือบเช้า มัวแต่ช่วยดินแดนจัดการเรื่องยุ่งๆ และรับหน้าแขกเหรื่อซึ่งพากันตกใจกับข่าวร้ายระหว่างบัวชมพูกับดินแดน ทั้งยังต้องรองรับอารมณ์โกรธขึ้งของแก้วกัลยาที่ด่าทอบัวชมพูผู้กล้าปฏิเสธแฟนเก่าเธอ เจ้าหล่อนไม่สำเหนียกเลยว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของตนเอง
“ทำไมแกต้องพาฉันมาด้วยวะ” ศิคาลถามเพื่อน
“แกเป็นคนเตือนฉันเรื่องแก้วไง ก่อนหน้านี้ฉันเชื่อแก้ว ขอให้เธอเป็นที่ปรึกษาเพราะคิดว่าผู้หญิงน่าจะเข้าใจผู้หญิงด้วยกันดี แต่ฉันรู้แล้วว่าแกซึ่งมีน้องสาวเข้าใจผู้หญิงได้ดีกว่าจริงๆ ว่ะ”
“แล้วเพื่อนน้องบัวที่เรากำลังไปหาจะช่วยแกง้อน้องบัวได้เหรอ”
“ได้สิ น้องลินเป็นเพื่อนสนิทของน้องบัวมาตั้งแต่เด็กเหมือนแกกับฉันนั่นแหละ เธอรู้จักน้องบัวดีที่สุด แล้วน้องบัวก็ไว้วางใจและรับฟังเธอมากกว่าคนอื่น”
ศิคาลนึกภาพเจ้าของลักยิ้มสวยๆ บนใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กมัธยมปลาย ภาพลักษณ์ภายนอกช่างหลอกตา เธอไม่ใช่เด็กสาวบ้องแบ๊ว แต่มีอายุยี่สิบแปดปีเท่าบัวชมพู...อ่อนวัยกว่าเขาแค่สามปีเท่านั้น
“เธอจะไม่ว่าใช่มั้ยที่ฉันไปด้วย”
“ฉันถามแล้ว น้องลินบอกว่าไม่มีปัญหา”
ศิคาลพยักหน้าอย่างรับรู้ ทั้งคู่นั่งในรถโดยไม่พูดอะไรกันอีก สถาปนิกหนุ่มกดแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กที่เขามักเข้าไปดูเล่นในโทรศัพท์มือถือเวลาไม่มีอะไรทำ สิ่งแรกที่เห็นทำให้เขาหัวเราะก๊าก
“ขำไรวะ” ดินแดนถามโดยไม่หันมา
“โพสต์นี้” ศิคาลยื่นโทรศัพท์ออกไปในระดับสายตาที่เพื่อนจะมองเห็นได้ในขณะขับรถ
ภาพที่ปรากฏถูกโพสต์ลงในกลุ่ม ‘เรารักไซบีลิง’ มาหลายชั่วโมงแล้ว น่าจะเป็นเมื่อคืน มันเป็นรูปของสุนัขไซบีเรียนฮัสกีสีซิลเวอร์ซึ่งมีดวงตาข้างละสี แต่สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้ดวงตาคือรอบปากซึ่งเป็นสีแดงเถือกราวกับมันไปกินเลือดใครมา
เจ้าฮัสกีตาสองสีนั่งมองกล้องอย่างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่กลางห้องนอนที่ถูกรื้อเละ ประหนึ่งว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้จะมีหลักฐานอยู่รอบปากและบนข้อเท้าที่เปื้อนเปรอะไปด้วยสีส้มๆ แดงๆ เหมือนกับรอยเลอะบนพื้นก็ตาม
“มันคืออะไร หมาบาดเจ็บเหรอ” ดินแดนเหล่มองเพียงชั่วแว่บและหันไปจดจ่อกับถนนเบื้องหน้าต่อ
“ไม่ใช่ มันเอาลิปสติกมาแทะเล่น”
ศิคาลขบขันอยู่คนเดียวเขากดปุ่ม ‘หัวเราะ’ ให้แก่โพสต์นี้ แล้วชำเลืองมองเพื่อนซึ่งเอาแต่ทำหน้าเคร่งราวกับโลกจะแตกในอีกไม่ช้า เขาจึงเอื้อมมือไปตบบ่าดินแดนด้วยความเห็นใจ
“บ้านน้องลินอยู่ไกลเหมือนกันนะ” สถาปนิกหนุ่มชวนคุยพลางมองท้องถนนในเขตปริมณฑล ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นท้องทุ่ง
“บ้านน้องลินทำสวนน่ะ ฉันโทร. หาเธอเลยดีกว่า”
ดินแดนต่อโทรศัพท์ซึ่งเชื่อมกับบลูทูทของรถยนต์ ไม่นานเสียงหวานก็ดังขึ้นในห้องโดยสาร
“สวัสดีค่ะพี่ดิน”
อีกครั้งที่ศิคาลสะกิดใจเสียงนี้...
“พี่ใกล้ถึงแล้วครับน้องลิน น่าจะอีกไม่เกินสิบนาทีนี่แหละ”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวลินให้คนไปเปิดประตูรอนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“เสียงน้องเขาฟังดูคุ้นๆ ว่ะ” ศิคาลทักขึ้นทันทีที่เพื่อนวางสาย
“เมื่อวานแกเพิ่งเจอเธอมาไง”
“ไม่ใช่แค่เมื่อวาน ฉันเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน ยิ่งฟังในโทรศัพท์อย่างนี้ยิ่งใช่เลย แต่ฉันได้ยินมาจากที่ไหนหว่า...”
ขณะที่ศิคาลยังคิดไม่ตก ดินแดนก็เลี้ยวเข้าไปในถนนอีกสายหนึ่ง เขาขับรถเลียบรั้วซึ่งมีต้นไม้เลื้อยคลุมจนเขียวครึ้มตลอดแนว ก่อนจะเห็นทางเข้าซึ่งมีป้ายไม้แผ่นใหญ่ระบุชื่อสถานที่
“สวนเกษตรสัก” ศิคาลอ่านออกเสียง
“อืม ย่อมาจากชื่อเต็มว่าสวนของเกษตรอำเภอสักทอง คุณปู่ของน้องลินชื่อสักทอง เมื่อก่อนท่านเคยเป็นเกษตรอำเภอแล้วตอนที่คุณพ่อคุณแม่น้องลินมาทำสวนขายต้นไม้ใหม่ๆ พวกท่านก็เอาพันธุ์ไม้ที่คุณปู่สักทองสะสมไว้มาขยายพันธุ์ แล้วเลยตั้งชื่อว่าสวนเกษตรสักเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณปู่สักทองไงล่ะ”
ศิคาลผงกศีรษะ รอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ เขารู้แล้วว่าเคยได้ยินเสียงของลินมาจากไหน
ความคิดเห็น |
---|