3

ลองสักครั้ง


3

ลองสักครั้ง

 

ธาวินประคองคนร่างเล็กที่แนบติดอยู่ด้านหน้าหย่อนตัวลงสู่พื้นช้าๆ หลังจากเธอกรีดร้องลั่นฟ้าไปแล้ว จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไรอีก เขามั่นใจว่าหญิงสาวไม่ได้หมดสติ เพราะหลังจากตะโกนลั่นแล้ว เธอยังหันไปมองนักกระโดดร่มอีกคนที่ทำหน้าที่บันทึกภาพวิดีโออยู่เลย จนถึงก่อนหน้านี้เมื่อเขาแนะนำให้เธอระวังขาก่อนจะลงพื้น หญิงสาวก็ยังตอบสนองเขาอย่างดี แต่อาการที่เธอก้มหน้านิ่งไม่ขยับแบบนี้ทำให้เขากับนักกระโดดร่มอีกคนเริ่มใจไม่ดีเหมือนกัน

ชายหนุ่มรีบปลดอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ล็อกตัวทั้งสองเอาไว้ด้วยกันออก ถอดหมวกรวมถึงอุปกรณ์บนตัวเขาแล้วเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนพื้นท่าเดิมไม่ขยับ ขาทั้งสองข้างเหยียดยาวไปด้านหน้า ศีรษะก้มลงซบกับฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง

“เฮ้ คุณโอเคหรือเปล่า”

ไหล่บางสั่นไหวน้อยๆ

ธาวินใจหายวาบ กำลังจะเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของหญิงสาว แต่ก็ต้องชะงักเพราะจู่ๆ คนร่างเล็กก็เงยหน้าขึ้นมองเขา มือน้อยทั้งสองของเธอประคองที่ข้างแก้มตัวเอง

วินาทีที่ได้มองสบดวงตากลมโตของเธอ หัวใจของธาวินก็ถึงกับกระตุกไปเล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ดวงตากลมโตคู่นั้นกะพริบปริบสองทีก่อนริมฝีปากเล็กๆ ของเธอจะคลี่เป็นรอยยิ้ม ธาวินเองก็อดยิ้มไปกับเธอด้วยไม่ได้

“ฉันเพิ่งโดดลงมาจากเครื่องบิน”

“ใช่”

“มันบ้ามากเลย”

“ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร ผมว่ามันท้าทายมากกว่า”

“นั่นเป็นสิ่งที่บ้าที่สุดที่ฉันเคยทำมาในชีวิต”

ครั้งนี้ธาวินยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร คนพูดก็หงายหลังล้มตึงไปแล้ว ทั้งเขาและนักกระโดดร่มอีกคนตกใจแทบตาย ก่อนจะพากันถอนหายใจเมื่อเสียงหัวเราะใสดังขึ้น แขนเรียวยกขึ้นชี้ไปบนฟ้าแล้วตะโกนเป็นภาษาไทยปนเสียงหัวเราะ

“ฉันเพิ่งโดดลงมาจากบนนั้น!”

ธาวินฟังแล้วได้แต่ยิ้ม เขาหันไปมองนักกระโดดร่มอีกคนที่ทำหน้าที่อัดวิดีโอ “คุณกลับไปก่อน เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรมาก ทำตามที่บอกแล้วแยกไปก่อนแต่โดยดี

เมื่อเหลือกันแค่สองคน ธาวินก็ขยับเข้าไปนั่งข้างๆ คนที่ยังนอนหงายหน้ามองฟ้า หัวเราะจนตาหยีเหลือขีดเดียว “ไง”

พิมพ์นารายกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตา “ขอโทษค่ะ ฉันทำให้คุณเสียเวลาใช่ไหม”

ธาวินยื่นมือส่งไปให้ อีกฝ่ายก็เอื้อมมาจับอย่างไม่คิดมาก เขาออกแรงแค่เล็กน้อยเพื่อดึงหญิงสาวขึ้นจากพื้น พิมพ์นารายืนได้ก็เอ่ยขอบคุณอีกครั้งแล้วปัดฝุ่นตามเนื้อตัว ขณะที่ทั้งสองพากันออกเดิน

“ขอโทษคุณจริงๆ นะคะที่ทำให้เสียเวลา”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นคุณสนุกกับสิ่งที่ทำผมก็ดีใจแล้ว”

“บนนั้น ฉันทำตัวน่าอายมาก”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ บางคนสร้างเรื่องยิ่งกว่าคุณอีก แบบคุณนี่ถือว่าน้อยแล้ว”

พิมพ์นาราหัวเราะอีกครั้ง “ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”

“คนเราต้องมีครั้งแรกเสมอแหละครับ และส่วนมากเวลาลองแล้วก็มักจะติดใจ มาเถอะ กลับเข้าไปข้างในกันดีกว่า”

หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วเดินตามมาทันที ธาวินเหลือบมองคนข้างกายที่เดินยิ้มร่า ดูท่ายังสนุกอยู่ไม่น้อยแล้วก็อดที่จะยิ้มนิดๆ ไม่ได้

“ก่อนหน้านี้คุณบอกว่ามาเที่ยวคนเดียวใช่ไหม ขับรถมาจากเกาะเหนือ?”

“ใช่ค่ะ ประสบการณ์ครั้งแรกของฉันเลย” พิมพ์นาราเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“แต่ดูเหมือนคุณจะชอบมากเลย”

“ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย นี่เป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกเลยค่ะ” พิมพ์นาราตอบกลับ ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส “ตอนแรกฉันกลัวมากว่าจะไปรอดหรือเปล่า จะเลี้ยวรถกลับหรือเปล่า แต่ดูสิ ฉันเพิ่งจะโดดลงมาจากฟ้า ต้องไม่มีใครเชื่อสิ่งที่ฉันเพิ่งจะทำลงไปอย่างแน่นอน เผลอๆ ถ้าแม่ฉันรู้เรื่องนี้ อาจจะหัวใจวายเลยก็ได้!”

“ผมดีใจที่เห็นคุณสนุก”

“ต้องขอบคุณคุณมาก...” พิมพ์นาราเว้นจังหวะการพูด เม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยเพราะรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ เธอเหลือบสายตามองคนร่างสูงข้างกายก่อนจะพึมพำต่อเสียงเบาเป็นภาษาไทย “แล้วก็ต้องขอโทษคุณด้วย”

ธาวินหยุดเดิน หมุนตัวกลับมากะทันหันจนพิมพ์นาราเกือบจะเดินชนเขาแล้ว โชคดีที่เธอหยุดตัวเองทัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำให้ทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้กันมาก หญิงสาวกะพริบตาปริบ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องกับดวงตาคมๆ ที่กำลังจ้องมองมา

และนี่เป็นครั้งแรกที่พิมพ์นาราได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าเจ้าของเสียงทุ้มที่คอยปลอบเธอบนเครื่องบินหน้าตาหล่อเหลาไม่เบาเลยทีเดียว ผู้ชายคนนี้หน้าตาคมเข้มไม่แพ้พระเอกตัวท็อปของเมืองไทยเลยเชียวนะ!

ถึงอย่างไรพิมพ์นาราก็เป็นผู้หญิงธรรมดา ถึงจะผ่านเรื่องราวเจ็บปวดมาแล้ว แต่การถูกผู้ชายหล่อมายืนจ้องแบบนี้หัวใจที่คิดว่าตายด้านก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้เหมือนกัน หัวใจในอกพลันเต้นโครมครามไม่หยุดพอๆ กับตอนที่ลอยตัวอยู่เหนือก้อนเมฆก่อนหน้านี้

ต้องเป็นเพราะอะดรีนาลินจากการกระโดดลงมาเมื่อกี้แน่! หญิงสาวพยายามบอกตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนลึกๆ เหมือนจะบอกว่าไม่ใช่

“เอ่อ...”

“ที่ว่าขอโทษเมื่อกี้...” ธาวินเริ่มต้นประโยคของเขาด้วยภาษาอังกฤษ ก่อนจะต่ออีกประโยคด้วยภาษาไทยสำเนียงแปลกๆ แต่ก็ถือว่าชัดพอใช้ “...ไอ้คนเฮงซวย สรุปว่าหมายถึงผมเหรอ”

เพราะทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ธาวินจึงเห็นดวงตากลมโตที่สะท้อนภาพเขาขยายกว้างขึ้นช้าๆ แสดงอาการตื่นตระหนกตกใจอย่างชัดเจน ริมฝีปากบางของเธอเผยอแยกออกจากกัน สั่นน้อยๆ แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา

ดวงตาคมจ้องมองทุกการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์บนใบหน้าหวานแล้วอดตื่นเต้นนิดๆ ไม่ได้

อาการเหลอของคนตรงหน้าเขาตอนนี้ น่าดูชมเชียวละ

“คุณ... เป็นคนไทย?” นานทีเดียวกว่าคำถามนี้จะหลุดผ่านริมฝีปากออกมาได้

ชายหนุ่มที่กำลังแสร้งตีหน้าขรึมพยักหน้าหงึกๆ จริงจัง “พ่อไทย แม่ไทย ไทยแท้แบบไม่มีฝรั่งปนเลยครับ”

ริมฝีปากบางอ้ากว้างยิ่งกว่าเดิม และพิมพ์นาราแทบจะต้องกลั้นลมหายใจเมื่อใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นอีก

“ธาวิน เสรีพิศาล ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

พิมพ์นารายังยืนอึ้ง เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ ตอบเขาเท่านั้น เมื่อเห็นมุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นนิดๆ คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น บอกตัวเองในใจให้ตั้งสติก่อนจะเอ่ยแก้ตัว

“ตอนนั้นฉัน...ไม่ได้ตั้งใจว่าคุณนะ”

คิ้วหนาเลิกสูงนิดๆ พร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นอีกหน่อย “ไม่เลยสักนิด?”

พิมพ์นาราอ้าปากกำลังจะตอบว่า ‘ไม่’ แต่ต้องชะงัก เพราะดวงตาคมที่จ้องมองมาเหมือนจะรู้ทันความคิดเธอ หญิงสาวเม้มริมฝีปากอีกครั้ง ก่อนจะแก้ไขคำตอบใหม่

“ก็...มีบ้าง นิดหน่อย ไม่ได้เยอะอะไร”

“นิดหน่อยนี่แค่ไหนเหรอ”

หญิงสาวขึงตาใส่คนร่างสูงตรงหน้า รู้สึกหัวใจจะวายได้ทุกวินาที

จำเป็นไหมที่เขาต้องยื่นหน้ามาใกล้เธอแบบนี้ จำเป็นเหรอที่เขาต้องใช้สายตาแบบนั้นมองเธอ จำเป็นแค่ไหนกันที่ต้องทำเสียงเท่ๆ แบบนั้นใส่เธอ!

“ว่าไงคุณ นิดหน่อยนี่แค่ไหน”

พิมพ์นาราทำหน้างอนิดๆ “ส่วนใหญ่แล้วฉันไม่ได้หมายถึงคุณ แต่คุณโทษฉันไม่ได้หรอกนะ เพราะจู่ๆ คุณก็กระโดดลงมาแบบนั้น ฉันก็ต้องตกใจบ้างสิ”

ถึงตอนนี้ธาวินเก๊กหน้าขรึมต่อไปไม่ไหว เขาเงยหน้าขึ้นแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้คนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ต่างพากันหันมามองทันที ซึ่งทำให้ใบหน้าของพิมพ์นาราบึ้งตึงขึ้นไปอีก

“แล้วตอนนั้นเป็นคุณเองนะที่แนะนำให้ฉันทำแบบนั้น!”

“ใช่ ผมเป็นคนแนะนำ” ชายหนุ่มยอมรับหน้าชื่น “แต่มันก็ได้ผลไม่ใช่เหรอ หรือจะบอกว่าหลังตะโกนออกไปแล้วคุณไม่ได้รู้สึกดี”

อันนี้พิมพ์นาราเถียงไม่ได้ เพราะเธอรู้สึกดีมากจริงๆ เหมือนกับว่าความอัดอั้นตันใจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหายไปกว่าครึ่งพร้อมกับเสียงตะโกน

แต่จำเป็นไหมที่ผู้ชายคนนี้จะต้องหัวเราะชอบอกชอบใจขนาดนี้!

“ขอบคุณมากสำหรับประสบการณ์การโดดร่มครั้งแรก ฉันสนุกมากจริงๆ” พูดจบพิมพ์นาราก็หมุนตัวเดินจ้ำพรวดๆ เข้าไปในอาคารหลังเล็กซึ่งเป็นสำนักงานของบริษัทที่จัดกิจกรรมท้าความกล้าครั้งนี้ เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าคืนอุปกรณ์ต่างๆ เรียบแล้วจึงเดินกลับออกมาด้านนอกเพื่อรอไฟล์ภาพและไฟล์วิดีโอที่ถูกถ่ายเอาไว้

ขณะที่พิมพ์นารากำลังนั่งรออยู่นั้นเอง ร่างสูงของใครบางคนก็เข้ามานั่งข้างๆ พร้อมกับกาแฟหอมกรุ่นหนึ่งแก้วที่ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า

“สำหรับมิตรภาพ”

เขาเองก็เปลี่ยนชุดแล้วเหมือนกัน เสื้อเชิ้ตสีขาวแบบสลิมฟิตเข้ารูปพับแขนขึ้นมาถึงศอกกับกางเกงยีนสีซีดเอวต่ำนั่นเหมาะกับเขาอย่างน่าเหลือเชื่อ

พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ไม่พูดอะไร แล้วขยับตัวเบี่ยงหน้าไปทางอื่นเล็กน้อยโดยที่เธอไม่รู้สักนิดเลยว่าท่าทางอย่างไม่เป็นมิตรของตัวเองที่เพิ่งแสดงออกไป กลับกลายเป็นว่าถูกอกถูกใจอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น

ธาวินใช้ศอกเท้าแขนกับโต๊ะ ฝ่ามือหนารองใบหน้าที่เอียงทำองศานิดๆ แต่กลับชวนมองได้อย่างน่าฉงน

ถึงจะทำเป็นไม่มอง แต่ก็ยังเห็นเขาจากหางตาอยู่ดี!

“เวลาคุณงอนนี่ก็น่ารักดีนะ”

พิมพ์นาราเผลอตัวหันขวับไปมองคนพูด กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าตัวเองกำลังมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนหัวใจนั้นอยู่แล้ว แถมเหมือนเจ้าของรอยยิ้มจะรู้ตัว เพราะดวงตาคมของเขาเป็นประกายวิบวับแสดงออกว่าพึงพอใจอย่างไม่คิดจะปิดบังเลยสักนิด

ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย พิมพ์นาราเหน็บอีกฝ่ายอยู่ในใจ

“คุณวางแผนอยู่ที่ควีนส์ทาวน์กี่วัน หลังจากนี้คุณมีแผนจะทำอะไรเหรอ”

“ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับคุณหรอก” ปากตอบออกไปแบบนั้น แต่ในใจพิมพ์นาราก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ปกติเธอไม่ใช่คนชอบพูดจายอกย้อนแบบนี้สักหน่อย แต่ทำไมก็ไม่รู้ เห็นรอยยิ้มหน้าแป้นของคนข้างๆ แล้วปากมันพลันคันยิบเลย

“อื้ม คุณไม่ได้วางแผนเอาไว้สินะ” ธาวินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ขายาวยกขึ้นมานั่งไขว่ห้าง ท่วงท่าในเวลานั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดสายตาได้อย่างดี “ก็ไม่แปลกหรอก เพราะคุณมาเที่ยวคนเดียวนี่เนอะ”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะปรายตามองคนข้างกายอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้

พูดเองเออเองชัดๆ!

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ให้ผมพาเที่ยวนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ผมเต็มใจ”

พิมพ์นาราเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะถามสวนกลับ “ที่นี่เขาไม่มีกฎห้ามพนักงานจีบลูกค้าเหรอคะ ฉันควรจะเขียนคอมเพลนคุณดีไหมนะ”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นแทบจะทันที “เรื่องกฎบอกชัดเจนไม่มีหรอกครับ และพนักงานที่นี่เขาก็ได้รับการอบรมมาอย่างดีไม่มีใครกล้ารบกวนลูกค้าหรอก แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่พนักงานที่นี่น่ะสิ”

“อ้าว ถ้าคุณไม่ใช่พนักงานที่นี่แล้วคุณขึ้นไปบนนั้นได้ยังไง!” หญิงสาวร้องถามตาโตอย่างตกใจ

“ใจเย็นๆ ครับ จริงอยู่ว่าผมไม่ใช่พนักงานประจำของที่นี่ แต่ก็รับงานชั่วคราวอยู่บ่อยๆ ผมมีใบอนุญาตถูกต้องและมีประสบการณ์ด้านนี้มาอย่างโชกโชน” ธาวินไม่ใช่พนักงานของที่นี่จริงๆ เขาเป็นเพื่อนของเจ้าของบริษัทนี้ ทั้งคู่เล่นกีฬาเอกซ์ตรีมด้วยกันมากว่าสิบปีแล้ว ตอนที่บริษัทนี้เปิดให้บริการใหม่ๆ ธาวินก็เข้ามาช่วยอยู่หลายครั้ง แต่ช่วงหลังๆ นี้งานของเขาเยอะจนแทบจะหาเวลาว่างไม่ได้จึงไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่เท่าไร

กว่าจะหาเวลาว่างยาวๆ ได้สักสัปดาห์ก็ต้องเคลียร์งานแทบจะหืดขึ้นคอเลยทีเดียว

ธาวินเป็นคนไทยแท้ๆ พ่อกับแม่ย้ายมาทำงานที่ออสเตรเลียตั้งแต่เขาเพิ่งจะสี่ขวบและอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้นมา ดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาถือสัญชาติออสเตรเลีย แม้เขาแทบจะไม่ได้กลับเมืองไทย ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังบังคับให้เขาเรียนรู้ภาษาไทย เวลาอยู่บ้านแม่กับพ่อจะพูดแต่ภาษาไทย ทำให้ธาวินสามารถฟังพูดภาษาไทยได้ แต่การอ่านเขียนจะไม่คล่องมากนักเท่านั้นเอง

“ถ้าคุณไม่เชื่อ เดี๋ยวผมไปเอาใบอนุญาตมาให้ดูก็ได้ ตอนมื้อกลางวันนี้เป็นไง”

ประโยคแรกนั้นดูเป็นการเป็นงานดีอยู่หรอก แต่ประโยคหลังนี่มันอะไรกัน!

“เที่ยวคนเดียวเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่ถ้ามีเพื่อนเที่ยวด้วยมันจะสนุกกว่านะ”

เรื่องนี้พิมพ์นาราเถียงไม่ได้ เพราะมันเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ นั่นละ เรื่องคนพาเที่ยวมันก็น่าสนอยู่หรอก แต่...

“คิดดูสิว่าคุณได้เปรียบขนาดไหน คุณได้เพื่อนเที่ยว แถมเพื่อนคนนี้ยังรู้จักเมืองนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้จักที่สวยๆ ที่ไม่อยู่ในคู่มือท่องเที่ยว แถมบริการให้ฟรีตลอดทริป แบบนี้เรียกว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มอีกนะ”

คนอะไรนำเสนอตัวเองเหลือเกิน พิมพ์นาราอดที่จะเหน็บคนร่างสูงไม่ได้ แต่อีกใจก็ค่อนข้างจะเอนเอียงตามคำเชิญชวนอยู่เหมือนกัน

“ถือว่าเป็นการไถ่โทษเรื่องก่อนหน้านี้ดีไหม”

จู่ๆ คนยิ้มกวนประสาทก็เปลี่ยนโหมดเป็นจริงจังกะทันหัน ทำเอาพิมพ์นาราแทบจะตั้งตัวไม่ทัน เจอสายตาคมๆ เว้าวอนของเขามองมาก็พลันให้จังหวะหัวใจสะดุดไปเล็กน้อย รู้สึกได้ตอนนี้เองว่าผู้ชายคนนี้รับมือยากมาก!

พิมพ์นาราได้แต่จ้องมองคนตรงหน้า แต่ไม่ตอบอะไร คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

ธาวินเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เขายกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วกดเบาๆ ที่รอยยับย่นระหว่างหัวคิ้วของหญิงสาว ทำเอาคนร่างบางสะดุ้งผงะไปเล็กน้อย

“ไม่ต้องทำหน้าคิดหนักแบบนั้นก็ได้มั้งคุณ ผมแค่เสนอตัวเป็นเพื่อนเที่ยว ไม่ได้เสนอทั้งตัวให้คุณเสียเมื่อไร”

หญิงสาวกะพริบตาปริบติดกันสามครั้ง ขณะที่สมองประมวลผลความนัยในคำพูดของคนตรงหน้า หนึ่งนาทีต่อมาดวงตากลมโตก็เบิกกว้าง ริมฝีปากเผยอแยกออกจากกัน คลื่นความร้อนสาดซัดไปทั่วทั้งใบหน้า ทำให้แก้มเนียนแดงก่ำจนถึงโคนหู

“ใครเขาอยากได้ตัวคุณกัน!” เสียงหวานแว้ดขึ้นทำเอาคนที่อยู่ในอาคารต่างหันมามองเธออย่างสงสัย เพราะเธอเอ่ยเป็นภาษาไทยจึงมีแค่พิมพ์นารากับคนตรงหน้าเท่านั้นที่รู้ความหมาย

ส่วนคนต้นเรื่องน่ะเหรอนั่งยิ้มกริ่มตาหยีชอบอกชอบใจใหญ่

“ใจเย็นๆ สิคุณ ผมก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้เสนอตัวให้”

พิมพ์นาราตวัดสายตามองค้อนใส่แทนการตอบ แก้มทั้งสองข้างเธอยังร้อนผ่าวอยู่เลย

“ตอบตกลงเถอะคุณ ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรอก ได้ตัวผมไปคุ้มจะตาย”

เป็นเพราะท่าทางเป็นมิตรของเขาหรือเปล่านะ หรือเป็นเพราะรอยยิ้มจริงใจนั่น พิมพ์นาราถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถโกรธผู้ชายตรงหน้าแบบจริงๆ จังๆ ได้เลย ตรงกันข้าม เธอกลับรู้สึกราวกับว่าสนิทสนมกับคนคนนี้ไปแล้วอย่างน่าประหลาด

และถึงแม้ประสบการณ์การถูกจีบของเธอจะน้อยนิด แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เดียงสาถึงขั้นดูอะไรไม่ออกเลย กับสองคนก่อนหน้านี้พิมพ์นาราไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยมากนัก แต่กับผู้ชายตรงหน้าคนนี้นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง อะไรบางอย่างในตัวเขาดึงดูดความอยากรู้อยากลองของเธอมากทีเดียว

สิบกว่าปีที่คบหาจนกระทั่งแต่งงานใช้ชีวิตในฐานะภรรยาของพุฒิพงศ์ พิมพ์นาราทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นคนรักที่ดี เป็นภรรยาที่เอาอกเอาใจสามี เห็นสามีเป็นเหมือนทุกอย่างของชีวิต สูตรสำเร็จของผู้หญิงหัวอ่อนทั่วโลก ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดอะไรเลยจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้พิมพ์นารากลับไม่รู้สึกแบบนั้น

สิบเจ็ดปีเชียวที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของพุฒิพงศ์! เมื่อย้อนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา พิมพ์นาราก็อดตกใจไม่ได้

เธอเลือกมหาวิทยาลัยที่พุฒิพงศ์แนะนำ เลือกเรียนคณะที่เขาบอกว่าเหมาะกับเธอ เลือกที่ทำงานที่เดียวกับเขา ทุกอย่างในชีวิตเธอมีเขาเป็นคนกำหนดทั้งสิ้น!

เธอทำทุกอย่างเพื่อเอาใจผู้ชายคนนี้มาสิบหกปีแล้วผลเป็นอย่างไร เขาบอกว่าไม่ต้องการเธอแล้ว เพราะเธอไม่สามารถให้ตำแหน่งที่สูงกว่าลูกสาวเจ้าของบริษัทให้เขาได้อย่างนั้นน่ะเหรอ!

นี่คือสิ่งที่เธอสมควรได้รับจริงๆ น่ะเหรอ! ยิ่งคิดพิมพ์นาราก็ยิ่งโมโห การต่อต้านในหัวใจแผ่ขยาย

หญิงสาวเลื่อนสายตากลับมามองที่คนข้างกายอีกครั้ง พิมพ์นาราลอบกัดกระพุ้งแก้มด้านในปากของตัวเองเล็กน้อย

“เราก็โตๆ กันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อมกันมากนัก” คำพูดประโยคแรกหลุดออกจากปากไปก่อนที่หญิงสาวจะทันตั้งตัว แต่ถึงจะรู้ตัว พิมพ์นาราก็ไม่คิดจะหยุดตัวเองอยู่ดี ทำไมเธอต้องขังตัวเองอยู่ในกรอบอีกล่ะ อิสระนี้เป็นของเธอแล้ว ก็ต้องคว้าเอาไว้สิ! “คุณไม่ได้เสนอแค่การพาฉันเที่ยวชมเมืองอย่างเดียว ฉันเข้าใจถูกต้องใช่ไหม”

ดวงตาคมที่มองเธอหรี่แคบนิดๆ มุมปากเขายกขึ้นบอกได้ชัดเจนว่าเขาเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ ก่อนเสียงทุ้มลึกจะเอ่ยตอบ

“ครับ”

คำตอบของเขาสั้นกระชับ แต่ชัดเจน หนักแน่นเสียจนทำให้หัวใจคนฟังเต้นไม่เป็นส่ำไปอีกหนึ่งรอบ และเธอยังไม่ทันสงบจิตสงบใจได้ อีกฝ่ายก็เอ่ยต่ออีกสองประโยค

“คุณไม่ต้องกังวลหรอก ผมจะไม่ทำอะไรที่คุณไม่เต็มใจ แต่ผมขอรับรองเรื่องคุณภาพและความพึงพอใจ”

ริมฝีปากพิมพ์นาราคันยิบ ก่อนจะตอบสวนกลับไป “มั่นใจจังเลยนะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของธาวินขยายกว้าง ดวงตาคมเป็นประกายยิบยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาโน้มตัวเข้ามาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลย”

พิมพ์นาราพยายามไม่สนใจจังหวะหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก พยายามดึงสติตัวเองกลับมาแล้วพูดต่อ “ก่อนที่เราจะไปถึงตรงนั้น คุณอยากฟังข้อเสนอของฉันก่อนไหม”

คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย “ข้อเสนอของคุณงั้นเหรอ”

“ใช่ ข้อเสนอของฉัน” หญิงสาวตอบกลับพร้อมลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย พิมพ์นาราเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวได้อย่างไร แถมมันยังเป็นความคิดที่ดูบ้ามากอีกด้วยจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เชื่อว่าเธอจะพูดออกไปได้

ความสับสนบนใบหน้าหวานนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน ไม่มีทางเลยที่ธาวินจะมองไม่เห็น สีหน้าของเธอตอนนี้ทำให้เขานึกถึงเสียงตะโกนลั่นฟ้าของเธอก่อนหน้านี้

ชายหนุ่มมั่นใจว่ามันต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับ ไอ้คนเฮงซวย ไม่มากก็น้อยแน่ๆ

“เอ้า! ไหนลองว่ามาซิ!”

พิมพ์นารากัดริมฝีปากจนขาวซีด หัวใจดวงน้อยเต้นรัวอยู่ในอกข้างซ้าย “เราจะไม่ใช้ภาษาไทย”

“โอเค เรื่องนี้ผมสนับสนุนอย่างยิ่ง ถึงผมจะเป็นคนไทยแท้ๆ แต่ต้องสารภาพว่าภาษาไทยไม่ใช่ภาษาหลักของผม แค่นี้เองเหรอข้อเสนอของคุณ”

“ฉันไม่อยากรู้จักคุณ”

ธาวินต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังจะได้ยิน “เอ่อ...นี่มัน...”

“อย่างแรกฉันก็ไม่ต้องการการผูกมัด และฉันก็เชื่อว่าคุณเองก็ต้องคิดแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง” พิมพ์นาราพูดด้วยสีหน้าเรียบๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะปิดความกังวลในแววตาและเสียงที่สั่นนิดๆ ของตัวเองได้ดีนัก “เราก็แค่คนแปลกหน้าสองคนที่มาเจอกัน ฉันจะอยู่ที่ควีนส์ทาวน์อีกแค่สี่วันก็จะบินกลับไปโอ๊กแลนด์ หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง คุณอยู่ที่นี่ ฉันกลับเมืองไทย ไม่มีภาระ ไม่มีความผูกพัน คุณเป็นจอห์น โด3 ส่วนฉันเป็นเจน โด”

ชายหนุ่มเอนตัวกลับไปนั่งพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

พิมพ์นารารู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าว แต่เธอยังยืดไหล่ตั้งคอตรง

“คุณโตที่นี่ไม่ใช่เหรอ เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะแปลกสำหรับคุณนี่”

เขายักไหล่หนานิดๆ “ครับ ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่สำหรับผม ผมคิดว่ามันยุติธรรมดีด้วยซ้ำ แต่คุณเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนใจมาก”

หญิงสาวไม่เข้าใจที่เขาพูด เธอรอฟังคำอธิบาย แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหลุดออกมาให้ได้ยิน

ทุกวินาทีที่ผ่านไปชวนให้อึดอัดเล็กน้อย

“ตกลงว่าคุณจะรับข้อเสนอของฉันหรือเปล่า”

“ผมยินดีรับข้อเสนอของคุณ”

คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจของพิมพ์นาราสั่นไหวอีกระลอก

“แต่ผมก็มีข้อเสนอเหมือนกัน”

หญิงสาวชะงัก เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เธอกลั้นลมหายใจแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้เขาพูด

“จอห์น โด ส่วนใหญ่เขาใช้เรียกศพนิรนาม มันฟังแล้วไม่ค่อยดีเท่าไร ผมว่าเราควรเปลี่ยนเป็น จอห์น สมิธ4 กับ เจน สมิธเป็นไง”

พิมพ์นาราผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนจะตอบ “ฉันยังไงก็ได้”

“แต่จะใช้จอห์นกับเจนเลยก็กลัวว่าเราคงสับสนกันแน่ เพราะถ้าผมเรียกคุณว่าเจน คุณก็คงไม่หันมาอยู่ดีใช่ไหม” คนฟังพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ธาวินจึงพูดต่อ “แต่คุณไม่อยากให้เรารู้จักกันมากเกินไป งั้นก็เอาเป็นแค่ชื่อเล่นเป็นไง คนไทยมีชื่อเล่นอยู่แล้ว ผมเองก็มีทั้งชื่อไทยชื่ออังกฤษ เลือกมาให้คุณเรียกสักชื่อได้สบายๆ เลย”

“เรียกฉันว่านา”

“ผมทิม สี่วันนับจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับมิสซิสนา สมิธ”

ไม่รู้เพราะน้ำเสียงทุ้มลึกหรือเพราะดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับนั่น หรือเพราะคำที่เขาใช้เรียก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน แต่พิมพ์นาราก็พบว่าเธอเสียการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจไปอีกแล้ว

“อ้อ มีอย่างหนึ่งที่ผมสงสัย”

“อะไรอีกล่ะ!”

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิครับมิสซิสสมิธที่รัก” เขาจงใจย้ำเสียงตรงคำเรียกเธอ มุมปากยกขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นคนร่างเล็กขึงตาตอบกลับมา “ถ้าเราบังเอิญเข้ากันได้ดี ต่อจากนั้นจะเป็นยังไง”

ครั้งนี้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แผนการทั้งหมดที่อยู่ในหัว พิมพ์นาราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด

“ถ้าบังเอิญว่าผมอยากได้คุณ หรือคุณอยากได้ผมขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้”

จะเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ พิมพ์นาราถามตัวเองในใจ แต่เธอไม่สามารถหาคำตอบได้

ท่าทางคิดหนักของเธอทำให้ธาวินลอบสบถในใจ นึกด่าตัวเองที่ถามออกไปแบบนั้น

เพราะกลัวหญิงสาวจะสับสนจนเปลี่ยนใจ ธาวินจึงไม่ปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาคิดนานนัก ฉวยโอกาสที่หญิงสาวกำลังมึนงง เอื้อมไปคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ ดึงเธอให้ลุกขึ้นยืน

“เรื่องนั้นเอาไว้คิดทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ผมว่าเราออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่า คุณหิวหรือยัง ผมมีไอเดียดีๆ สำหรับมื้อเที่ยงแรกของเราแล้ว”

พิมพ์นารายังตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่เดินตามเขาอย่างว่าง่าย รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถยนต์ของเขาแล้ว

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ถึงเธอจะมีประสบการณ์ถูกจีบไม่มากนัก แต่เธอก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนถึงขั้นเดาท่าทางของอีกคนไม่ออก เห็นชัดว่าเขาจงใจจะทำเป็นลืมคำถามของตัวเอง ส่วนพิมพ์นาราเองตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบของคำถามนั้นด้วยเหมือนกัน

เอาเถอะ ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์ทำท่าเหมือนไม่เคยพูดแล้ว เธอจะเก็บมาใส่ใจทำไม เรื่องในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้เธอแค่พอใจกับปัจจุบันก็พอ


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น