บทที่ ๒
“ผมขออเมริกาโนร้อนครับ”
เสียงนุ่มทุ้มฟังดูมีมารยาทที่ได้ยิน ทำให้อมราต้องรีบหันหลังกลับไปมองหาเจ้าของเสียงทันที ก่อนที่สายตาจะได้เผชิญกับเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนเกือบขาว กรุ่นกลิ่นหอมของน้ำหอมที่โชยมาเตะจมูกอยู่เมื่อครู่ หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าไล่สายตาขึ้นไปจากแผ่นอกหนาที่ดันผ้าเนื้อดีจนขึ้นนูน...มองดูก็รู้ว่าหนั่นแน่นเต็มไปด้วยกล้ามมัด ไปถึงคางบึกบึนมีรอยบุ๋มเล็กๆ อยู่ตรงกลาง สันกรามมีไรเคราสีเขียวจางไล่ขึ้นไปถึงใบหน้าที่ดูเกลี้ยงเกลาขาวใส ริมฝีปากสีแดงระเรื่อดูสุขภาพดีจนผู้หญิงแบบเธอยังต้องอาย
‘โคตรหล่อ...’ อมราอุทานอยู่ในใจพร้อมๆ กับริมฝีปากอ้าค้าง...ครูน่านว่าขาวแล้ว ว่าหล่อแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้กลับยิ่ง...ยิ่ง...และยิ่งกว่า ทั้งผิวพรรณและการแต่งตัวที่เนี้ยบนัก ดูภูมิฐานไปเสียทุกส่วน
‘หรือจะเป็นชาญสอง’ อมรารำพึงกับตัวเอง หนที่แล้วชาญเขาก็มามาดนี้ หุ่นแบบนี้ เธอถึงได้หลงเคลิ้มไปได้อย่างง่ายดาย...หญิงสาวยังไม่ละสายตาจากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มีช่วงไหล่กว้างไล่ลงมาเป็นรูปตัววีรับกับเอวสอบและต้นขาแข็งแรง เห็นผู้ชายลักษณะแบบนี้ทีไรใจมันก็สั่นทุกที เพราะมันเป็นบุคลิกลักษณะของชายที่เธอชื่นชอบแถมยังดึงดูดสายตาของเธอได้ทุกครั้งไป
ขอฟังเสียงอีกครั้ง ถ้าเสียงนุ่มด้วยนะ...สเปกเลย
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ”
‘แม่เจ้า มันใช่เลย!’ อมราอุทานในใจ
ชายหนุ่มหน้าตาดีมองข้ามอมราไปถามพนักงานร้านกาแฟที่ทำหน้าที่คิดเงิน
“พอดีคุณลูกค้าคนนี้เธอไม่มีเงินบาทค่ะ”
“เอาที่ผมไปก่อนก็ได้ครับ” ชายหนุ่มคนดังกล่าวบอกพร้อมกับส่งธนบัตรใบละร้อยให้พนักงานสามใบ เมื่อรับเงินทอนแล้วก็เดินไปหยิบแก้วใส่กาแฟของตนเองที่พนักงานเพิ่งชงเสร็จสดๆ ร้อนๆ ขึ้นมาถือไว้ในมือ หันมาส่งยิ้มใจดีระคนขำนิดๆ ให้หญิงสาวที่ยืนมองเขาตาโต ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
อมรายืนเป็นบื้อ มองตามร่างสูงที่เดินหายลับไป เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของน้ำหอมชื่อดังที่ยังอวลติดอยู่ที่ปลายจมูก
“คุณคะ คุณ คุณคะ” พนักงานคิดเงินเรียกหญิงสาวที่ยืนอ้าปากค้างตาลอยมองออกไปนอกร้าน ก่อนที่อีกฝ่ายจะสะดุ้งเบาๆ หันมามองด้วยท่าทางงงๆ
“คะ”
“คุณคนนั้นจ่ายเงินค่ากาแฟให้แล้วค่ะ”
“จ่ายให้แล้ว” อมราทวนคำพูดของพนักงาน ท่าทางดูเหม่อลอยเหมือนคนโดนของ
“ค่ะ จ่ายให้แล้ว”
“ขอโทษนะคะ คุณผู้ชายใจดีคนนั้น เขาเป็นใครหรือคะ” เป็นคำถามที่โง่ที่สุดในชีวิตที่หลุดออกจากปากไปแล้วเธอเพิ่งรู้สึกตัว
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ นี่กาแฟของคุณนะคะ” พนักงานส่งแก้วกาแฟให้อมราแล้วหันไปให้บริการลูกค้าคนต่อไปเหมือนไม่อยากสนทนาด้วย
อมรากวาดทุกอย่างใส่กระเป๋าเป้ใบโตอย่างรวดเร็ว มือคว้าหยิบแก้วกาแฟรีบเดินออกมานอกร้าน แต่ไม่ว่าจะทางซ้ายหรือทางขวาก็ไม่มีแม้แต่เงาผู้ชายใจดีคนนั้น
นาวาโท จุลภาค กรสูตร เดินเข้าไปยังร้านหนังสือเมื่อเห็นพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนึ่งน่าสนใจ มันเป็นนิยายดรามาแนววิทยาศาสตร์ที่ได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่แปดสิบเก้ามากที่สุด แม้จะขัดใจหน้าปกที่เป็นภาพชายหนุ่มในชุดวาบหวิว แต่เขาก็พอทำใจมองข้ามจุดนี้ไปที่เนื้อหาใจความซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิยายเรื่องนี้ได้ และเป็นเครื่องมือในการฆ่าเวลาระหว่างที่นั่งเครื่องบินได้เป็นอย่างดี เพราะบินในระยะทางสั้นๆ แบบนี้เขาคงหลับไม่ลงแน่ๆ แถมยังเป็นเครื่องโลว์คอสต์อีกต่างหาก
เนื่องจากได้รับการประสานงานอย่างฉุกเฉินว่าแพทย์ที่ต้องเดินทางไปประชุมเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ทางหน่วยต้องหาคนไปประชุมแทนในการประชุมนานาชาติ The 18th ASEAN Congress of Plastic Surgery ซึ่งเป็นงานประชุมแพทย์เฉพาะทางที่จัดขึ้นเพียงปีละหนเท่านั้น และเขาเป็นแพทย์อาวุโสเพียงคนเดียวที่ไม่ติดภารกิจใดๆ ในช่วงนี้ จึงจำเป็นต้องมาทำหน้าที่นำข่าวสารการประชุมที่จัดขึ้นในครั้งนี้มาพัฒนาความรู้ของแพทย์ในหน่วย รวมถึงแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์วิทยาการด้านศัลยกรรม เพื่อเป็นการเพิ่มพูนศักยภาพในการดูแลรักษาข้าราชการและประชาชนที่มารับบริการที่โรงพยาบาลให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งๆ ที่ปีที่แล้วก็ได้ทำหน้าที่นี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง เพราะแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมการอะไรล่วงหน้า ตั๋วเครื่องบินก็มาซื้อเอาที่หน้าเคาน์เตอร์เมื่อครู่ใหญ่นี้เอง
การเดินหาเกตจนเจอก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร หลังจากเปิดเว็บบอร์ดชื่อดังอ่านวิธีการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกแล้ว ก็แอบชะเง้อคอมองผู้โดยสารคนอื่นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศให้เข้าแถวตามลำดับเลขที่นั่งเพื่อเดินไปขึ้นรถบัสขนาดใหญ่ที่จอดรออยู่ ตอนแรกอมราก็ตกใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ทำเนียนๆ ไปกับคนอื่น จนกระทั่งขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินลำไม่ใหญ่ไม่เล็ก ดีว่าเป้อัปเกรดที่นั่งไว้ เธอเลยได้นั่งด้านหน้าสุด ซึ่งเข้าใจว่ามีระยะห่างระหว่างเบาะกว้างกว่าและนั่งสบายกว่าที่นั่งธรรมดาเล็กน้อย
ผู้หญิงที่นั่งติดหน้าต่างอยู่ในแถวเดียวกันกลับไม่ใช่คนไทยอย่างที่อมราหวังไว้ แต่กลายเป็นหญิงต่างชาติมีอายุหน้าตาบึ้งตึงไม่รับแขก ท่าทางจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง แต่ก็เป็นการดีเพราะคงจะไม่มีการหันมาสนทนาปราศรัยระหว่างการเดินทางในครั้งนี้ อมราเก็บเป้ใบใหญ่ไว้ในที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะ ก่อนจะมาทรุดตัวลงนั่งหน้านิ่งที่เก้าอี้ตัวนอกสุด ประหวั่นพรั่นพรึง ใจเต้นแรงกับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ที่ที่นั่งอยู่เป็นของตนเองหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะมันว่างอยู่สองที่
ระหว่างที่พยายามสงบใจตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป หญิงสาวก็ต้องทำตาโตเมื่อเห็นร่างสูงของชายที่มีน้ำใจจ่ายค่ากาแฟให้เธอเดินผ่านประตูเข้ามา และแม้ว่าเธอจะมองเขาจนตาแทบถลนออกมา แต่เขากลับไม่สนใจเธอเลยแม้แต่นิด เขาปลดเป้ที่สะพายอยู่ออกและนำไปเก็บในช่องเก็บสัมภาระที่เดียวกับเธอ แล้วเดินย้อนมาอยู่เบื้องหน้าเก้าอี้ที่อมรานั่งอยู่
“ขอโทษครับ ตรงนี้ที่นั่งของผม” เสียงนุ่มเอ่ยบอกเบาๆ พร้อมกับเลิกคิ้วสูง ริมฝีปากบางยกขึ้นเหมือนจะยิ้ม ดูละมุนเหลือเกินในสายตาของคนแปลกหน้าอย่างอมรา
หญิงสาวคนที่นั่งทับที่นั่งของเขาไม่ได้ขยับตัวเบี่ยงหลบหรือโยกย้ายให้แต่อย่างใด จุลภาคมองหญิงสาวที่นั่งทำตาโตอ้าปากกว้างไม่ยอมขยับไปไหน ก่อนจะเข้าใจไปเองว่าอีกฝ่ายไม่ยอมย้ายที่นั่งให้แก่เขาแน่ๆ ลองนั่งตัวแข็งขนาดนี้ การนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผู้หญิงสองคนคงไม่ค่อยโสภาเท่าไรแต่เขาก็ไม่อยากมากเรื่อง เมื่ออีกฝ่ายไม่ย้าย เขาก็นั่งลงไปยังที่นั่งที่ยังว่างอยู่
ทันทีที่ร่างกายสูงใหญ่นั่งลงที่เก้าอี้ อมราก็เกิดอาการขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เมื่อต้นแขนของชายหนุ่มผู้แสนใจดีมาเบียดสัมผัสเข้ากับต้นแขนของเธอเข้าด้วยความจำเป็น หญิงสาวเม้มปากในขณะที่ใจเริ่มระส่ำ ทำเป็นค่อยๆ หันมองไปทางอื่นเมื่อรู้สึกตัวว่าตะลึงมองอีกฝ่ายนานเกินไป แต่...ดวงตาของเธอมันผิดปกติแน่ๆ เพราะมันคอยแต่จะชำเลืองเหล่กลับไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
‘หน้างี้ใส ปากงี้สีชมพูเชียว...ใช่หรือไม่ใช่วะ’ หญิงสาวทำหน้ายุ่ง จะมีรักครั้งใดไยต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งไป ผู้ชายตัวดำๆ เหม็นเหงื่อก็ไม่ใช่วิถี ดันมาชอบผู้ชายขาวสะอาด ตัวหอมฟุ้ง ยิ่งล่ำยิ่งกล้ามใหญ่ยิ่งมองเพลิน
และแม้จะอยากแอบมองอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ แต่เมื่อพนักงานบนเครื่องบินที่ออกมายืนอยู่กำลังสาธิตการรัดเข็มขัดที่นั่ง การใช้เสื้อชูชีพ และข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ ก็ทำให้อมราละสายตาจากอีกฝ่ายไปได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอจะต้องเรียนรู้
หลังจากคาดเข็มขัดจนเรียบร้อย ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตั้งตัว เครื่องบินก็ออกตัวแล่นไปตามทาง อมราสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ สายตาจับจ้องอยู่เพียงหน้าตักของตนเอง เครื่องบินวิ่งไปเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ มันก็กระชากตัวจนเธอรู้สึกได้ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนถูกมือใหญ่กระชากเอาช่วงท้องของเธอออกไปจนโหวงไปหมด
‘พ่อแก้ว แม่แก้ว อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ’
“คุณครับ คุณ”
เสียงนุ่มๆ ที่มากระซิบอยู่ที่ข้างหูทำให้อมราได้สติ และหันมากะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงเอ่ยเรียกเธอ
“ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกหรือครับ”
“คะ ค่ะ” อมราตอบรับตะกุกตะกัก ยังไม่หายหวั่นใจ แต่พอเห็นว่าเครื่องเริ่มนิ่งก็เริ่มเบาใจ ไม่ได้สงสัยในความใคร่รู้ของอีกฝ่าย
“ดูคุณดูตื่นเต้น มือเย็นเฉียบเลย”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง เขารู้ได้อย่างไรว่ามือเธอเย็น...อมราฉุกคิดในใจก่อนที่จะหันไปมองหามือของตนเอง อุณหภูมิความร้อนเห่อขึ้นใบหน้าทันทีเมื่อเห็นว่าตอนนี้มือของเธออยู่ที่ไหน เมื่อครู่ตอนที่เครื่องบินกระตุกอมราเข้าใจว่าตนเองผวาจับที่วางแขน แต่เหตุไฉนตอนนี้มันกลับกลายเป็นมือใหญ่ของผู้ชายใจดีคนนี้ไปได้
รอยยิ้มเขินๆ ปรากฏขึ้นก่อนที่อมราจะค่อยๆ ดึงมือของตนเองกลับมาประสานกันไว้ที่หน้าตัก
“ขอโทษด้วยนะคะ ไม่รู้ตัวเลย ขึ้นเครื่องทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีเลย” อมราอ้อมแอ้มโกหกกลับไป เพียงเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่านี่คือการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของเธอ แต่...ตอนแรกเธอบอกเขาไปว่าอย่างไรนะ...คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเพราะจำคำตอบของตนเองที่ตอบชายหนุ่มคนนี้ไปไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มยิ้มใจดี และดึงมือกลับมาจับนิยายเล่มหนาของตนเองไว้เช่นกัน
“ขอบคุณนะคะสำหรับกาแฟ”
คิ้วหนาเลิกสูง แล้วหันมาพินิจหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย ตอนนั้นเขานึกว่าเขาช่วยเด็กสาวเอาไว้เพราะเห็นแต่เพียงแผ่นหลังและรูปร่างเล็กๆ ผมสั้นเลยคางมานิดทำให้ดูเหมือนเด็กมัธยม
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย”
“คือไม่สบายใจเลยค่ะ พอดีแลกเงินหมดกระเป๋าเลย ลืมนึกไปว่าอาจจะต้องซื้ออะไรกินก่อนขึ้นเครื่อง ถ้าอย่างไรฉันขอคืนคุณเป็นเงินสิงคโปร์ได้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
ชายหนุ่มผู้ใจดียิ้มให้เธออีกครั้ง แล้วยกหนังสือในมือขึ้นมาเปิดอ่านเหมือนต้องการตัดบทการสนทนา และนั่นก็ทำให้อมราที่เห็นหน้าปกของหนังสือเล่มนั้นโดยชัดเจนถึงกับผงะไป หญิงสาวเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาขาวใส ก่อนจะเหลือบมองยังปกหนังสืออีกหน แล้วมันก็ยิ่งทำให้หวั่นใจในตัวบุรุษที่นั่งอยู่ข้างกาย แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นให้เธอต้องตื่นตัวกว่า เมื่อพนักงานบริการบนเครื่องบินเริ่มเดินไปเดินมาตรงทางแคบๆ ระหว่างที่นั่ง
‘ภาษาอังกฤษล้วนๆ เลยเชียว’ หญิงสาวเบ้หน้า แม้จะฟังออกเป็นบางคำ แต่เธอก็ไม่อยากสนทนาด้วย ทันทีที่พนักงานเดินมาใกล้จะถึง หญิงสาวก็หลับตาแกล้งทำเป็นหลับทันที จนกระทั่งหลับไปจริงๆ
แล้วก็ต้องมาสะดุ้งอีกทีเมื่อถูกสะกิดให้ตื่นจากการหลับใหลด้วยน้ำมือของพนักงานบริการบนเครื่องบิน
“หือ...” เพราะความที่ยังสะลึมสะลือเลยฟังไม่ถนัดว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร เห็นแต่ว่ามีการยื่นกระดาษแผ่นสีขาวมาให้เธอ
“ใบผ่านเข้าเมือง คุณมีหรือยังครับ” เสียงนุ่มดังขึ้นเบาๆ เพราะสงสารพนักงานบริการที่พูดวนไปมากว่าสองรอบแต่หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายเขาดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ยะ...ยังค่ะ” อมราขยับตัวขึ้นมานั่งตรง
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มใจดียื่นมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นให้แทน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณพนักงานอย่างมีมารยาท แล้วยื่นเอกสารแผ่นเล็กดังกล่าวส่งให้เพื่อนร่วมทาง
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับมันมาอย่างขัดเขิน พร้อมกับเปิดกระเป๋าควานหาปากกาขึ้นมา
หึๆ ยากที่ไหน...หญิงสาวเปิดแฟ้มภาพในโทรศัพท์แล้วเขียนตามคำแนะนำ แน่นอนว่ามาจากเว็บบอร์ดเพื่อนคู่ใจนักท่องเที่ยวอีกครา
สายตาคมเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย นึกอยากจะถามอายุของอีกฝ่ายแต่ก็กลัวจะเสียมารยาท เพราะดูเหมือนเธอยังเด็กอยู่มาก แถมดูจะไม่ค่อยเก่งภาษาเสียเท่าไร แต่เขาก็นับถืออีกฝ่ายนักที่กล้าออกมาเผชิญโลก ออกมาเปิดหูเปิดตาท่องเที่ยวยังต่างประเทศเพียงลำพัง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเตรียมการหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี เท่าที่เหลือบไปเห็นภาพต่างๆ ในโทรศัพท์ของหญิงสาวเมื่อครู่นี้
ดวงตาโตขยับมองซ้ายขวาเมื่อได้ยินเสียงประกาศดังไปทั่วทั้งลำเครื่องบิน ก่อนที่เครื่องบินจะลดระดับเพดานบินต่ำลงเรื่อยๆ
“จับมือผมไหม”
เป็นการเชิญชวนที่น่าตอบสนองเหลือเกิน อมราหันไปมองใบหน้าหวานสวยกว่าผู้หญิงของอีกฝ่ายที่มีน้ำใจต่อเธออีกหน ก่อนจะวางมือลงไปบนมือใหญ่ที่รอท่าอยู่ก่อน ทันทีที่มือของอมราวางลงไป อีกฝ่ายก็ขยับบีบกระชับจับเอาไว้แน่น โดยไม่รู้สักนิดว่าได้สร้างความอบอุ่นใจให้แก่คนที่เขาช่วยเหลือแค่ไหน
“สมัยก่อนผมก็เป็นแบบคุณ แต่พอบินไปโน่นมานี่บ่อยๆ ก็เริ่มชิน” เขาพูดขึ้นมาเหมือนชวนคุยไปเรื่อย “คุณยังดีนะที่กังวลแค่ช่วงที่เครื่องขึ้นและลง บางคนถึงกับมีอาการ motion sickness เอ่อ...มันคืออาการเมาเครื่องบิน บางคนถึงกับอ้วกออกมาเหมือนเมารถ เมาเรือเลยนะ”
“จริงหรือคะ”
“ครับ...เอาละ กลั้นใจอีกครั้ง เครื่องกำลังจะลงแล้ว” ชายหนุ่มบีบมือของอีกฝ่ายแน่นเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คนขี้กลัว
มันต่างกับตอนที่เครื่องบินขึ้นนัก แม้ครั้งนี้จะกระแทกแรงให้ได้รู้สึก เหมือนถูกดึงไปด้านหน้าและย้อนกลับมาด้านหลัง แต่เธอก็ไม่กลัวทั้งนั้นเมื่อมือใหญ่จับกุมมือของเธอเอาไว้แบบนี้
อมรามองมือใหญ่ที่เกาะกุมมือเธอเอาไว้ ตลอดเวลาใครก็มองว่าเธอเก่ง เธอแกร่ง เป็นที่พึ่งให้แก่ทุกคน แต่ไม่เคยมีใครเลยเป็นที่พึ่งให้แก่เธอ ยามที่เธอเศร้า มีปัญหา ทุกคนมักมองว่าเธอจะผ่านมันไปได้ แต่...เขาคนนี้เสนอตัวมาก่อนที่เธอจะร้องขอเสียด้วยซ้ำไป
เขาเป็นใคร
ถ้าถามชื่อเขา จะได้ไหม
หรือจะขอเบอร์มือถือดี? ไม่ดี แอดไลน์เลยดีกว่าไหม
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เพราะมัวแต่นั่งก้มหน้าตัดสินใจอย่างคนไม่มั่นใจ เลยไม่ทันเห็นว่าผู้คนที่โดยสารมาเริ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่และหยิบฉวยข้าวของต่างๆ ของตนเอง ตอนนี้ภายในเครื่องบินเลยดูวุ่นวายไปหมด อมราเลยต้องลุกขึ้นหยิบฉวยกระเป๋าของตนเองบ้าง
และก็เป็นเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มหน้าหวานที่มีรอยยิ้มติดที่ริมฝีปาก ในขณะที่เขาลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าของตนเอง เขาก็ส่งสัญญาณด้วยการชี้นิ้วไปที่กระเป๋าใบต่างๆ พอเธอพยักหน้าเขาก็หยิบส่งให้ทันที
“ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวนะครับ” จุลภาคส่งยิ้มให้หญิงสาวที่เขาเริ่มรู้สึกเอ็นดูหลังจากที่ได้สนทนาด้วยเพียงไม่กี่คำ ก่อนหยิบสัมภาระของตนเองและเดินออกไปจากเครื่องบินทันที ตามด้วยผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ทยอยกันลงราวกับว่าจะรีบไปไหน
ขณะที่อมรากำลังจะก้าวตามผู้โดยสารคนอื่นไป สายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มที่ผู้ชายใจดีคนนั้นลืมทิ้งเอาไว้ตรงเบาะที่เขาเคยนั่ง หญิงสาวรีบหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ พร้อมกับรีบแทรกตัวเบียดผู้โดยสารคนอื่นๆ ทำตัวราวกับคนไม่มีมารยาท หวังเพียงว่าจะตามผู้ชายคนนั้นทันจะได้คืนหนังสือในมือให้เขาไป
แต่...ไม่ทัน เขาเดินหายไปแล้ว ท่ามกลางกลุ่มคนที่ลงไปก่อนหน้านี้
หญิงสาวถอนใจออกมาด้วยความผิดหวังในขณะที่มองหาอีกฝ่ายไปรอบๆ จู่ๆ ก็รู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ก่อนจะถอนใจแล้วเดินตามผู้โดยสารคนอื่นๆ ไปตามทางที่ทอดยาว อมราทำเนียนเดินตามกลุ่มคนไทยไปจนกระทั่งถึงจุดตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับพยายามจดจำสิ่งที่คนก่อนหน้าทำทุกอย่าง
จุลภาคหันไปมองเบื้องหลัง อยู่ๆ เขาก็นึกห่วงผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทางเหมือนเด็กสาวคนนั้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยื่นพาสปอร์ตต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้ประทับตราผ่านเข้าเมือง แล้วหันเดินออกไปตามทางเมื่อผ่านจุดตรวจมาได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของหญิงสาว ก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ระหว่างที่เดินมุ่งสู่ประตูทางออกจากอาคารสนามบิน
‘มีห้องเย็นแบบที่เกาหลีไหมเนี่ย’ หญิงสาวกังวลขณะต่อแถวเพื่อเข้าไปตรวจเอกสารผ่านเข้าเมือง แล้วแถวของเธอนั้นกว่าจะผ่านได้แต่ละคนก็ช้าเหลือเกิน กลุ่มคนที่เธอเดินมาด้วยซึ่งกระจัดกระจายกันไปเข้าแถวอื่นๆ ก็ผ่านไปจนเกือบหมด กว่าเธอจะผ่านจุดตรวจมาได้ก็ไม่เจอคนคุ้นหน้าเลยสักคน
อมราเปิดวายฟายที่เช่ามาด้วยอย่างรวดเร็ว หญิงสาวสอดส่องมองคนคุ้นหน้าที่ขึ้นเที่ยวบินเดียวกัน ก่อนแหงนหน้ามองหาป้ายที่แจ้งเที่ยวบินเพื่อหาสายพานรับกระเป๋า แม้ตนเองจะวุ่นวาย ตื่นเต้น และกำลังหาทางเอาตัวรอดจากสนามบินแห่งนี้ แต่ตลอดเวลาเธอก็อดไม่ได้ที่จะมองหาผู้ชายหน้าหวานปากแดงคนนั้น คนที่ยังติดอยู่ในห้วงคำนึงของเธอ
กระเป๋าพร้อม วายฟายพร้อม หญิงสาวร่างบางเดินไปตามทาง แหงนคอมองหาป้ายที่เขียนว่าทางไปสถานีรถไฟ แต่ในใจมั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องหลงแน่ๆ สำหรับทริปนี้ เพราะมีตัวช่วยแค่อินเทอร์เน็ตและกูเกิลแมป หากเป็นเช่นนั้นอาจต้องมีการปรับแผนกันนิดหน่อย คงต้องเน้นแต่สถานที่สำคัญๆ เอาแบบเที่ยวครั้งเดียวจบแล้วไม่มาอีก เก็บเงินไปเที่ยวที่อื่นต่อ
เริ่มแรกเลยก็คือการไปโรงแรม เธอต้องไปให้ถึงโรงแรม
“สู้ๆ” หญิงสาวกำหมัดแน่น พร้อมพูดกับตนเองด้วยท่าทางงงๆ “ว่าแต่สถานีรถไฟไปทางไหนน้อ...”
ระหว่างที่ยังหาเส้นทางไม่เจอ อมราก็ลากกระเป๋าไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวเพื่อดูเส้นทางการเดินรถไฟสายต่างๆ ในแผนที่ที่แยกสีให้เห็นอย่างชัดเจน
“อืม ดูแผนการที่จดไว้ก่อนดีกว่า อืม...ต้องมองหาป้าย Sky Train Terminal 2 แล้วก็มองหาป้าย Train to city แล้วก็...หาซื้อบัตร EZlink” อมราแหงนคอมองป้ายที่ถูกแขวนบนเพดาน “นั่นไง ต้องไปทางนั้น”
หญิงสาวร้องออกมาอย่างยินดีพร้อมกับยืนขึ้นเมื่อเจอกับป้ายบอกทางที่มองหา แต่พอหันมาจะเอื้อมมือมาด้านข้างเพื่อคว้ากระเป๋าเป้ที่วางไว้ข้างกายเมื่อสักครู่ มันกลับหายไป อมราหันไปมองยังจุดที่ตนวางกระเป๋าด้วยความตระหนก บัดนี้มันอันตธานไปหมดทั้งกระเป๋าลากและกระเป๋าเป้ เหลือไว้แต่เพียงกระเป๋าสะพายที่เธอคล้องอยู่ที่ตัว กับสมุดโน้ตที่เธอจดบันทึกทุกอย่างเอาไว้
ขาที่ยืนอยู่ถึงกับเซ หมดแรงยืน อมราเข่าอ่อน ทรุดนั่งไปที่เดิม ทำอะไรไม่ถูกโดยทันที ถ้าอยู่เมืองไทยเธอจะไม่ยี่หระเลย แต่นี่คือต่างประเทศ ประเทศที่ใช้ภาษาอื่นมิใช่ภาษาไทย ใครจะรู้เล่าว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ
เอาอย่างไรดี พันทิปคงไม่มีเขียนไว้หรอกนะว่าหากโดนขโมยกระเป๋าที่ต่างประเทศต้องทำอย่างไร...หญิงสาวควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด แล้วแทบหลั่งน้ำตาออกมา พ็อกเกตวายฟายของเธออยู่ในกระเป๋าเป้ ตอนนี้ในกระเป๋าของเธอเหลือแค่เงินกับพาสปอร์ตเท่านั้น
ตำรวจ เธอต้องไปหาตำรวจโดยไวที่สุด! แต่พอเงยหน้าแล้วมองไปก็ทำเอาไม่กล้าจะก้าวออกไปไหน ที่นี่มีคนหลากเชื้อชาติและหลายศาสนา และตำรวจที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ดูคล้ายแขก ผิวดำหน้าดุ
‘เง้อ...ไม่กล้าอะ’
ถ้าเธอไปพูดกับเขาไม่รู้เรื่องล่ะ ทำอย่างไรดี เธอจะทำอย่างไรดี
ความคิดเห็น |
---|