1
การแข่งขันทำอาหารที่มีชินอ๋องเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสิน มีเงินรางวัลห้าร้อยตำลึงทอง จิ้นหยางเห็นแล้วก็น้ำลายหก เขาไม่ได้คิดว่าจะได้รับชัยชนะอะไรหรอก ขอแค่กรรมการบอกว่าอร่อย และทำให้ผู้ชมน้ำลายไหลยืดได้เท่านั้น จิ้นหยางมั่นใจว่าเขาจะต้องมีชื่อในเมืองลั่วหยางแน่นอน และพอเปิดร้านก็จะมีลูกค้า
ในตอนนั้น จิ้นหยางไม่ได้คิดว่าจะมีเล่ห์กลอะไรในการแข่งขันครั้งนี้ทั้งนั้น คิดว่ามีเชื้อพระวงศ์มาเป็นกรรมการตัดสินย่อมเป็นการแข่งที่สุจริตพอสมควร แต่ถ้าจิ้นหยางได้เลือกอีกครั้ง เขาจะไม่ควักกระเป๋าจ่ายเงิน ลงสมัครแข่งขันทำอาหารในวันนั้น และจะไปจากลั่วหยางให้เร็วที่สุดด้วย
ขณะที่จิ้นหยางกำลังกรอกใบสมัครอยู่นั้น พลันมีสายตามากมายจับจ้องมาที่เขา หลายคนต่างคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างโง่เขลา เห็นๆ กันอยู่ว่าคนจากเหลาสุราชื่อดังและภัตตาคารชื่อดังต่างร่วมลงประลองด้วย โดยเฉพาะคนจากภัตตาคารเฟิงฉวี่นั้นเรียกได้ว่ามีเส้นสายในวังหลวงไม่น้อย การแข่งขันนี้กำหนดตัวผู้ชนะเอาไว้แล้ว
ทุกคนต่างคิดว่าเงินทองค่าสมัครแข่งขันทำอาหารตั้งมากมาย จะต้องเป็นเงินที่หามาทั้งชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นแน่ เหล่าคนธรรมดามีจิตใจเมตตา จึงอดสงสารเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ประสาไม่ได้
จิ้นหยางไหนเลยจะเท่าทันความคิดของผู้อื่น เพราะตอนนั้นเขากำลังปวดหัวกับการที่ต้องเขียนชื่อร้านสังกัดเก่าของตนเอง สังกัดนั้นคืออะไร คือในใบสมัครนี้ระบุว่าจำต้องเขียนว่าตนมาจากร้านไหนด้วยน่ะสิ จิ้นหยางครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเขียนชื่อร้านลั่วเหลียนไป
ร้านลั่วเหลียนอาจจะเป็นร้านเล็กๆ ในเมืองฉางอาน แต่มีประวัติยาวนาน ขุนนางทั้งหลายที่ย้ายจากฉางอานมายังลั่วหยางจะต้องเคยลิ้มรสเนื้อปลาของร้านนั้นอยู่บ้าง ในหีบที่จิ้นหยางขโมย... แค็กๆ หยิบยืมมาจากเถ้าแก่เนี้ยหลินก็มีตราประทับของร้านนี้ ทำให้จิ้นหยางเข้ามายังลั่วหยางได้อย่างสะดวกสบาย
“เจ้าเป็นคนของร้านลั่วเหลียนหรือ” คนรับสมัครเห็นข้อความนั้นก็ร้องออกมาเบาๆ ก่อนกดเสียงต่ำ “เถ้าแก่เนี้ยของเจ้าดุอย่างหมา เค็มอย่างเกลือ นางยอมให้เจ้าเข้ามายังลั่วหยางด้วยหรือ”
เพียงเวลาสั้นๆ จิ้นหยางได้รู้ว่ากิตติศัพท์ของเถ้าแก่เนี้ยหลินดังขจรขจาย น่าซูฮกยิ่งนัก เขาแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าขณะเอ่ยเสียงดัง
“ใต้เท้าอย่าเอ่ยเช่นนั้น เถ้าแก่เนี้ยหลินของข้า แท้จริงแล้วนางมีเมตตาดุจพระโพธิสัตว์...” ...นางมารร้าย “...นางช่วยเหลือข้าที่เป็นลมล้มอยู่หน้าร้าน...” ...และเกาะแข้งเกาะขาไม่ยอมไป
จิ้นหยางทำท่าสะเทือนใจ “หากมิใช่เพราะเกิดเหตุร้าย ข้าก็คงจะไม่มาลั่วหยางหรอก...” เขาทำหน้าเศร้าก่อนก้มหน้าลง ไหล่สั่นน้อยๆ “...เมื่อหลายวันก่อน ร้านลั่วเหลียนเกิดเหตุไฟไหม้ ทรัพย์สินมีค่าส่วนมากล้วนหายไปกับกองไฟ แต่กระนั้นเถ้าแก่เนี้ยก็ยังมอบเงินตั้งตัวมาให้ข้าเดินทางมาลั่วหยาง ข้าคิดว่าหากตนตั้งตัวได้ จะต้องกลับไปตอบแทนพวกเขาให้จงได้!”
เรื่องเศร้าสะเทือนใจทำให้คนรอบข้างรู้สึกสงสารเหลือเกิน คนที่รับใบสมัครถึงกับกล่าว “อนิจจา ข้ามองนางผิดไป นึกว่านางเป็นคนที่แม้แต่ขี้ก็ยังมิยอมให้สุนัขกิน ที่ไหนได้ กลับมีเมตตาการุญขนาดนี้ เอาละน้องชาย ไปเตรียมตัวเถิด วันพรุ่งก็จะเริ่มประลองแล้ว”
จิ้นหยางเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ตรงหางตา “ขอบคุณพี่ชาย ว่าแต่หัวข้อการทำอาหารในการประลองนี้คืออะไรหรือ”
“ด่านแรกคือเต้าหู้ ด่านที่สองคือบะหมี่ และด่านสุดท้ายคือผัดโป๊ยเซียน”
จิ้นหยางประสานมือ จากนั้นก็เดินจากไปท่ามกลางสายตาคนมอง ทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณยิ่งนัก
ด่านแรกในการทำอาหารนั้นคือเต้าหู้
ประวัติของอาหารชนิดนี้ ผู้คิดค้นนั้นคือฮวยน่ำอ๋อง นามเดิมคือหลิวอัน ศึกษาวิชาการปรุงยาอายุวัฒนะ เขาคิดค้นการทำน้ำเต้าหู้เพื่อให้นางเอ็งสีผู้เป็นมารดา ซึ่งอ่อนแอจนแทบเคี้ยวอะไรไม่ได้ ทีแรกเต้าหู้เป็นน้ำ แต่ภายหลังหลิวอันเผลอเติมส่วนผสมบางอย่างจึงกลายเป็นก้อนเต้าหู้ขึ้นมา
จิ้นหยางครุ่นคิดเรื่องการทำอาหาร ขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างมองท้องฟ้าที่มีพระจันทร์และเต็มไปด้วยหมู่ดาว
สูตรอาหารที่เขาได้รับมาหลังจากที่ตายไป อาจจะเป็นสูตรอาหารจากโลกในอนาคต นั่นหมายความว่าเขามีความได้เปรียบกว่าผู้อื่น เขาคงจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้พรจากพระเจ้านามว่าอินเทอร์เน็ต เมตตาให้ดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นหลัง และมีเครื่องปรุงรสที่ยังไม่ถูกคิดค้นขึ้นอีกมากมายด้วย
จิ้นหยางได้เห็นว่าในอนาคตนั้นมีอาหารชนิดหนึ่งที่ทำจากเต้าหู้ และเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง ทว่ามันจะเหมาะกับการแข่งขันในครานี้หรือไม่
หากจะกล่าวถึงรสนิยมการกินก็ต้องมีคำกล่าวที่ว่า ‘ใต้หวาน เหนือเค็ม ตะวันออกเผ็ด และตะวันตกเปรี้ยว’ หากเป็นเช่นนี้ก็คงจะมีแต่อาหารจานนั้นเท่านั้นที่ครอบคลุม
จิ้นหยางตัดสินใจทำอาหารที่มีชื่อว่าหมาผัวโตว้ฟุ[1] เขาเตรียมดูวัตถุดิบการทำอาหารในด่านแรก ตอนนั้นสายตาก็พลันสะดุดที่เครื่องปรุงบางชนิด ทำให้ต้องยกมือขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิดอีกครั้ง
วันต่อมาเป็นวันที่เหล่าพ่อครัวทั้งหลายมารวมตัวกัน เนื่องจากจิ้นหยางนั้นไร้เส้นสาย จึงได้โต๊ะทำอาหารขนาดเล็กตรงมุม แต่ไม่เป็นไร เขาทำให้คนหันมาสนใจเขาได้ด้วยรสชาติอาหารที่ทำ
ดวงตาของจิ้นหยางจ้องมองไปยังเหล่ากรรมการทั้งสี่ แต่ละคนเป็นขุนนางที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมคารวะซึ่งกันและกัน ในความทรงจำยามอยู่ในวังหลวงของจิ้นหยาง ขุนนางยิ่งยิ้มง่ายก็ยิ่งน่ากลัว และอาจจะถึงขั้นโหดเหี้ยมอำมหิต
“ชินอ๋องเสด็จ!”
เสียงป่าวร้องที่สูงเกินชายทำให้จิ้นหยางและทุกคนซึ่งอยู่ตรงนั้นต้องคุกเข่าลง ขุนนางทั้งสี่ที่เป็นกรรมการเร่งก้าวเข้าไปคุกเข่าให้ผู้มาใหม่ จิ้นหยางแอบเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ตอนนี้ต้าหลิวยังมิมีองค์รัชทายาท จะมีก็แต่เหล่าอ๋องทั้งหลายที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง และยังไม่ถูกถีบหัวส่งไปจากเมืองหลวง
จิ้นหยางอดทอดถอนใจไม่ได้ เมื่อก่อนเขารับใช้ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ เคยเห็นองค์ชายมากมาย องค์ชายใหญ่ในตอนนั้นมีอายุประมาณสิบสองหนาว บัดนี้ก็อายุคงราวยี่สิบเจ็ดหนาวแล้ว ในความทรงจำ ฮ่องเต้ก็โปรดปรานเขาไม่น้อย เหตุใดตอนนี้เขาจึงยังไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทอีกหนอ
เอาเถิด เรื่องของนายเก่าไม่เกี่ยวกับเขา ตอนนี้สิ่งที่จิ้นหยางต้องการคือ การตั้งตัวทำการค้าให้ได้ ดังนั้นชื่อเสียงที่เขาจะได้รับจากการทำอาหารในวันนี้ย่อมมีผลถึงอนาคต
เมื่อกรรมการมาครบ ทุกคนจึงเริ่มทำอาหาร จิ้นหยางนั้นแตกต่างจากผู้อื่น เพราะไม่มีลูกมือมาช่วย เขาใส่ของที่ต้องใช้ทั้งหมดไว้ในลังไม้ที่มั่นคง แล้วยกเข้ามาด้วยตัวเอง ด้วยความที่เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์เลยไม่เหลือบ่ากว่าแรง จากนั้นก็จัดแจงวางอุปกรณ์ทำครัว ติดเตา และทำอาหารด้วยตัวเองทั้งหมด ในสายตาของผู้ชม เขาดูอนาถาที่สุดในหมู่ผู้เข้าแข่งด้วยกัน
การจัดประลองการทำอาหารในยุคที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ดูจะไม่เข้ากันเลยสักนิดเดียว เหล่าคนที่พอมีฝีมือแต่ไร้เงินย่อมถอยห่าง และเป็นโอกาสที่ร้านดังซึ่งมีทุนหนาได้ชิงชัย นี่คือเหตุผลที่ผู้ลงประลองทำอาหารมีจำนวนน้อย ดังนั้นจิ้นหยางจึงดูโดดเด่นยิ่งนัก
อีกหนึ่งเหตุผลคือ แม้หลับตา ราษฎรก็พอจะมองออกว่าการประลองนี้กำหนดผู้ชนะเอาไว้แล้ว ซึ่งก็คงจะเป็นคนของภัตตาคารเฟิงฉวี่ และเพราะเห็นความมิชอบตำตา ทุกคนเลยจับตามองจิ้นหยางมากเป็นพิเศษ คนหาเช้ากินค่ำที่อึดอัดกับขุนนางกังฉินนั้นลอบเอาใจช่วยเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ลึกๆ
หลิวฮั่นจวินหรือชินอ๋องนั้นมิได้อยากมาเป็นกรรมการการประลองทำอาหารในครานี้ เขาเติบโตอยู่ในวังหลวง มีอาหารเลิศรสอะไรบ้างที่เขาไม่เคยลิ้มลอง แต่เพราะผู้จัดงานในวันนี้คือหลีเคอฟู่ อัครเสนาบดีที่เป็นกำลังหลักของเขา เขาจะไม่มาก็ไม่ได้
ขณะที่หลิวฮั่นจวินกำลังเบื่อหน่ายอยู่นั้น กลิ่นหนึ่งก็เตะจมูกเขาและใครอีกหลายคน ทำให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นต้าหลิวถึงกับเปลี่ยนสีหน้า ก่อนถามคนสนิทอย่างสงสัย
“นี่กลิ่นอะไร”
เหม็น!
เหม็นมาก!
หลายคนทำจมูกฟุดฟิด ต่างมองหาต้นตอของกลิ่นเหม็นนั้น เจียงผิง คนสนิทของชินอ๋องครุ่นคิดก่อนจะกล่าว
“ทูลท่านอ๋อง สงสัยว่าตลาดปลาใกล้ๆ นี้น่าจะมีปลาเน่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปจัดการบัดเดี๋ยวนี้”
หลิวฮั่นจวินพยักหน้ารับ หลายคนก็คิดเช่นเดียวกัน เรือประมงอาจจะเอาปลาขึ้นฝั่งแล้วปลาเกิดเน่า เลยมีกลิ่นน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ในตอนนั้นเอง ไฟก็ลุกท่วมมุมหนึ่งในสนามประลอง
เป็นจิ้นหยางที่ก่อไฟกองใหญ่ให้เป็นไฟแรงสูง ขณะที่กำลังผัดเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน กลิ่นของเผ็ดก็ขจรขจายออกไป พาเอาเหล่าคนทั้งหลายหันมามองเขาอย่างสนใจ
ในยุคนี้ เครื่องเทศยังนับว่าเป็นของหายากที่ต้องมาจากแดนไกล เครื่องเทศบางชนิดยังไม่ถูกค้นพบเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งบรรดาเครื่องเทศยังมีราคาแพงยิ่งนัก ชาวต้าหลิวจะรู้จักก็เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น บัดนี้จิ้นหยางใส่เครื่องเทศที่ตนมีอย่างไม่เสียดายเลยสักนิดเดียว ทำให้กลิ่นหอมฉุนของเครื่องเทศตลบอบอวลไปทั่ว ขณะที่กลิ่นเหม็นนั้นกำลังลดลง พาให้ทุกคนมองมาที่เขาเป็นตาเดียว
เมื่อเห็นทักษะการทำอาหารของนักปรุงอาหารไร้ชื่อเสียงที่อยู่ไกลๆ หลิวฮั่นจวินเริ่มรู้สึกว่าการประลองทำอาหารนี้มีอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้บ้างแล้ว
เมื่อหมดเวลาการทำอาหาร พ่อครัวทั้งหลายก็เดินยกจานอาหารของตนมาวางที่โต๊ะกลม ซึ่งเหล่ากรรมการนั้นนั่งอยู่ ก่อนจะบรรยายสรรพคุณเลิศล้ำของอาหารที่ตนปรุง ขุนนางทั้งสี่รอให้หลิวฮั่นจวินจับตะเกียบ คีบอาหารเข้าปากเสียก่อน พวกเขาจึงค่อยชิม
อาหารก็ล้วนคล้ายกัน เต้าหู้นั้นมีรสนุ่มและมีสัมผัสละมุนละไม จุดอ่อนของมันคือแหลกเละง่าย ทำให้ชาวต้าหลิวไม่นิยมนำมันทำอย่างอื่น นอกจากน้ำแกงสักเท่าไร หลิวฮั่นจวินซดน้ำแกงเต้าหู้จนปากหมดรส ขณะที่เต้าหู้จานอื่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีได้ พ่อครัวบางคนผัดเต้าหู้เละเกินไป และบางครั้งรสชาติของเครื่องปรุงก็ดับรสของเต้าหู้ไปเสียหมด ยิ่งอาหารเจที่ทำจากเต้าหู้ถูกนำมาวางบนโต๊ะ หลิวฮั่นจวินก็ยิ่งไม่อยากกินเลยด้วยซ้ำ
จานอาหารสีแดงนั้นถูกวางลงบนโต๊ะ รอบจานถูกแต้มเป็นกลอนบทหนึ่งด้วยน้ำจากอาหารสีแดง แสดงให้เห็นถึงปัญญาของผู้ทำ และเป็นจุดสนใจของเหล่าปราชญ์ที่มาเป็นกรรมการในวันนี้
‘หว่านเมล็ดถั่วชั่วตาปีกี่ยากเย็น
กายเคี่ยวเข็ญใจเหนื่อยหนักจะพักไหว
ศาสตร์ฮ่วยอ๋องต้องรู้คู่ตัวไป
ได้มีใช้นั่งนับเพลินเนินเงินทอง’
กลอนของจูฮี นักคิดในยุคราชวงศ์ซ้อง ที่ประพันธ์ถึงเต้าหู้ สร้างความน่าสนใจขึ้นทันที
หลิวฮั่นจวินเหลือบมองผู้ปรุง ก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ควงกระทะบนกองไฟผู้นั้นนั่นเอง จึงถามขึ้น
“นี่อะไร”
“ทูลท่านอ๋อง นี่คือเต้าหู้ผัดพริกเสฉวนพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นหยางเอ่ยอย่างสุภาพ เขาเคยรับใช้ฮ่องเต้ จึงพอจะจำพิธีการต่างๆ ได้
“เจ้าเป็นคนเสฉวนหรือ” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยอย่างสนใจ
จิ้นหยางหันไปตอบเขา “ข้าเพียงเคยท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้นขอรับ”
เต้าหู้ผัดพริกเสฉวนตรงหน้า... เพียงแค่สีสันก็ทำให้คนรู้สึกถึงความเผ็ด ก่อนหน้านี้มีอาหารที่เน้นความเผ็ดมาให้พวกเขาได้ลิ้มลองเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ค่อยประทับใจพวกกรรมการสักเท่าไรนัก พอเห็นอาหารจานนี้ก็ชวนให้รู้สึกผวากลัวว่าจะต้องปวดท้องขึ้นมา
แต่เมื่อเป็นหน้าที่ของกรรมการ หลิวฮั่นจวินจึงจับตะเกียบคีบเนื้อเต้าหู้ขึ้นมา
...เต้าหู้ไม่เละ
นั่นคือความคิดของหลิวฮั่นจวิน ทำให้เขามองเด็กหนุ่มที่คุกเข่าอย่างพินอบพิเทาด้านข้างว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง พอเขาคีบเต้าหู้เข้าปาก รสเผ็ดชาและหวานก็ซาบซ่าน มีความเค็มที่กลมกล่อม และยังคงไว้ซึ่งรสชาติของเต้าหู้อยู่ หลิวฮั่นจวินชะงักไปเล็กน้อย เต้าหู้รสจืด แต่น้ำปรุงนั้นมีรสเข้ม ไม่เผ็ดมาก และไม่เลี่ยนอย่างที่คิด เขาอดใช้ช้อนตักทั้งเต้าหู้ น้ำปรุง และเครื่องผัดอื่นๆ ขึ้นมากินในคำเดียวไม่ได้
เหล่าขุนนางสังเกตท่าทางของชินอ๋อง พอเห็นกิริยานั้นก็เริ่มลงมือบ้าง พอตักอาหารเข้าปาก พวกเขาก็รู้สึกว่ามันไม่พอ ต้องตักเพิ่มอีกสักคำสองคำ ต่างคนต่างขบคิดว่าหากมีข้าวสวยตรงหน้าก็คงจะดีไม่น้อย
“นี่อะไร” หลิวฮั่นจวินกินส่วนผสมทุกอย่างแล้ว พบว่าเจ้าก้อนสีดำที่หั่นเป็นชิ้นเล็กกว่าเต้าหู้ถึงหนึ่งในสามคือของที่ถูกทอดจนกรอบ แต่ไม่แข็ง กินคู่กับน้ำปรุงนี้แล้วมีรสชาติโดดเด่น ดียิ่งนัก ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารเป็นอย่างยิ่ง
จิ้นหยางอมยิ้ม “ทูลท่านอ๋อง นี่คือเต้าหู้พ่ะย่ะค่ะ”
“เต้าหู้หรือ” ขุนนางคนหนึ่งร้องถามออกมา คีบก้อนเล็กๆ สีดำนั้นเข้าปาก “สัมผัสเหมือนเต้าหู้ก็จริง แต่ข้ามิเคยเห็นเต้าหู้เช่นนี้มาก่อนเลย มันคือเต้าหู้อะไร”
“เต้าหู้นี้มีชื่อว่าชิงฟัง[2] เป็นเต้าหู้ที่บัณฑิตต่างแดนคิดค้นขึ้น และเป็นเครื่องเสวยที่ไทเฮาแคว้นหนึ่งโปรดขอรับ” จิ้นหยางกล่าวอย่างนุ่มนวล
“ไทเฮาแคว้นหนึ่งหรือ” ชินอ๋องสนใจในทันที “ไหนเจ้าลองเล่ามาซิ”
“พ่ะย่ะค่ะ” จิ้นหยางก้มหน้าลง “ทูลท่านอ๋อง เต้าหู้ชนิดนี้เป็นเครื่องเสวยประจำในวังหลวงแห่งหนึ่ง มีเรื่องเล่าว่าไทเฮาแคว้นหนึ่งโปรดปรานเต้าหู้นี้ยิ่งนัก รสชาติของมันช่วยให้อยากอาหาร กระหม่อมเดินทางไปทั่ว พบเห็นเจ้าสิ่งนี้โดยบังเอิญ ทราบว่าการประลองทำอาหารในวันนี้คือการใช้เต้าหู้ จึงทำมันขึ้นมาเพื่อใช้ประลองครั้งนี้โดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นหยางไม่ได้โกหก แต่ไทเฮาแคว้นอื่นนั้นคือไทเฮาในโลกอื่นนะเออ หรือหากนางมิใช่ไทเฮาของโลกอื่น ก็อาจจะเป็นไทเฮาในอนาคตคนหนึ่ง
เจ้าเต้าหู้สีดำนี้เรียกว่า ‘เต้าหู้เหม็น’ เป็นของที่บัณฑิตผู้หนึ่งในยุคราชวงศ์ชิงค้นพบโดยบังเอิญ และต่อมาซูสีไทเฮาในรัชสมัยฮ่องเต้กวางซีโปรดปรานยิ่งนัก ประทานชื่อให้ว่า ‘ชิงฟัง’ มันคือของที่ยังไม่มี หรือยังไม่ถูกค้นพบในโลกของจิ้นหยาง คราแรกที่ต้องทำอาหารโดยใช้มัน จิ้นหยางก็เหม็นแทบเป็นลม และสงสัยว่ามันกินได้จริงหรือ แต่พอกินเข้าไปแล้วพบว่าเอร็ดอร่อยมาก!
แน่นอนว่าจิ้นหยางไม่มีทางบอกพวกชินอ๋องหรอกว่ามันคือเต้าหู้เน่า และกลิ่นเหม็นบัดซบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็เป็นเพราะเขาเอามันออกมาทอดให้กรอบ แล้วโรยลงไปในเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน หากคนในราชวงศ์ทราบว่าถูกหลอกให้กินของเน่า ศีรษะจิ้นหยางคงได้หลุดออกจากบ่าแน่
แต่เพราะในที่นี้ไม่มีใครรู้จักเต้าหู้เหม็นนอกจากจิ้นหยาง ดังนั้นนอกจากศีรษะจะไม่หลุดจากบ่า จิ้นหยางยังผ่านเข้าไปแข่งทำอาหารในรอบต่อไปด้วย
เหล่าประชาชนต้าหลิวที่มองการแข่งขันอยู่ปรบมือกันเกรียวกราว ที่พ่อครัวหนุ่มขวัญใจของพวกเขาผ่านเข้ารอบต่อไป คนที่ไม่พอใจมีเพียงผู้ที่ไม่อาจผ่านเข้ารอบได้ และเฟิงไท่แห่งภัตตาคารเฟิงฉวี่
เฟิงไท่คนนี้เป็นพ่อครัวที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วในเมืองลั่วหยาง ทว่าน้ำแกงเต้าหู้ที่เขาอุตส่าห์ทำออกมา กลับถูกซดไม่หมด ผิดกับเต้าหู้ผัดพริกเสฉวนนั้นที่เหล่ากรรมการแทบจะห่อกลับจวนของตนเอง
เฟิงไท่จ้องมองจิ้นหยางอย่างเป็นอริ หันไปบอกคนสนิทของตนเอง “เจ้าไปตามหาเต้าหู้ชิงฟัง และอย่าลืมสืบประวัติของเจ้าหนุ่มนั่นด้วย!”
เมื่อทุ่มเททั้งฝีมือและเงินทอง เงินรางวัลและเกียรติยศจะต้องเป็นของเขา!
เห็นเหล่ากรรมการกินอาหารของจิ้นหยางอย่างเอร็ดอร่อย ชวนให้คนมองน้ำลายสอ จิ้นหยางคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีคนอยากกินอาหารของเขา นอกจากทำเพื่อการแข่งขันแล้ว ยังทำเพื่อแจกจ่ายให้ชาวต้าหลิวอีกสิบถ้วยเล็ก ทำให้เรื่องเต้าหู้สีดำของเขาถูกเล่าลือกันอย่างสนุกปาก ส่วนตัวจิ้นหยางนั้นกลับไปนอนคิดวิธีทำบะหมี่ในวันพรุ่งนี้
บะหมี่นั้นมีหลากหลายชนิด จิ้นหยางรู้ว่าเส้นบะหมี่ที่ถูกใจคนที่ลั่วหยางมากที่สุดจะต้องเป็นเส้นเล็ก เหนียวและนุ่ม เวลาในการทำบะหมี่นั้นมีจำกัดเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น จิ้นหยางครุ่นคิดว่าจะทำบะหมี่อะไรดี
จิ้นหยางไม่รู้ว่าพวกเฟิงไท่จับตาดูเขาอยู่ เพราะเขาไม่คิดว่าแค่ทำอาหารจะมีอันตรายอะไร และก็มีคนมองเขาเป็นจำนวนมาก เพราะเขาทำให้กรรมการกินอาหารจนหมดถ้วยได้
อีกอย่าง... จิ้นหยางนอนหลับอยู่ในห้อง คนพวกนั้นก็เฝ้าอยู่นอกห้อง ต่างคบคิดและคอยระมัดระวังไม่ให้จิ้นหยางออกไปซื้อวัตถุดิบที่ไหน แต่คนที่เอาแต่อยู่ในห้องหรือจะไปเห็นคนที่จับตามองด้านนอกประตูห้องของตนเอง คนพวกนั้นไม่ได้ขึ้นหลังคามาแอบส่องท่านอนของเขาเสียหน่อย
การทำอาหารให้อร่อยนั้นสิ่งสำคัญคือต้องใช้วัตถุดิบสดใหม่ พวกเฟิงไท่เตรียมตัวไว้แล้วว่า เมื่อจิ้นหยางจะไปซื้อวัตถุดิบที่ร้านใด พวกเขาก็จะตรงรี่ไปจ่ายสินบนร้านค้านั้นไม่ให้ขายวัตถุดิบแก่อีกฝ่าย หรือไม่ก็แย่งซื้อวัตถุดิบมาด้วยราคาสูง เพื่อไม่ให้จิ้นหยางได้ของดีไปทำบะหมี่
ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มประหลาดผู้นี้จะนอนและตื่นในยามสาย ตลาดทั้งหลายวายหมดแล้ว และใกล้จะถึงเวลาแข่งขันเต็มที จิ้นหยางจึงได้หอบลังไม้พร้อมถีบประตูออกจากห้อง เดินเข้าไปในการแข่งขัน ทำเอาเหล่าคนทั้งหลายที่จับตาดูถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะจิ้นหยางมิได้ไปตลาด แล้วจะเอาวัตถุดิบอะไรมาทำบะหมี่
พวกเขาไม่รู้ว่าจิ้นหยางมีห้องครัวและห้องเก็บวัตถุดิบส่วนตัว จะเข้าและออกก็ทำได้ง่ายเท่าการกะพริบตา
พอเห็นจิ้นหยางยกเอาเนื้อออกมาจากลังไม้ เฟิงไท่ก็ถลึงตามองคนของตนเอง แต่มิอาจทำอะไรได้
เนื้อที่จิ้นหยางจะใช้ในวันนี้คือเนื้อแพะ
จากการแข่งขันเมื่อวานทำให้จิ้นหยางเป็นที่จับตามองเรื่องการมีวัตถุดิบแปลกใหม่ วันนี้ทุกคนเห็นเขาใช้มีดอย่างคล่องแคล่ว และหั่นเนื้อแพะเป็นชิ้นที่ไม่หนาและไม่บางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โรยเกลือกับพริกไทย ออกแรงนวดเล็กน้อยก่อนหันไปตั้งกระทะ
จิ้นหยางยิ้มเจ้าเล่ห์ ปาดเนยลงไปในกระทะเล็กน้อย เนยละลายสร้างกลิ่นหอมนวลๆ พอวางเนื้อแพะลงไปก็เกิดเสียงดังชวนให้คนน้ำลายไหล เขาตักเนยร้อนๆ ราดไปทั่วเนื้อแพะ จากนั้นก็ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงจากถั่วเหลือง น้ำมันหอย น้ำตาลกรวด และไวน์แดงที่คล้ายน้ำผลไม้ จากนั้นจึงเอาทั้งเนื้อแพะและน้ำปรุงนั้นเทใส่ในหม้อที่ต้มเครื่องเทศไว้ ก่อนปิดฝาหม้อ แล้วตุ๋นด้วยไฟอ่อน
จิ้นหยางหันมาหักนิ้วมือ เทแป้งสาลี ใส่ไข่เป็ด และทำการนวดเส้นบะหมี่
การนวดเส้นบะหมี่นั้นต้องใช้ทักษะสูง จิ้นหยางฝึกฝนการนวดเส้นบะหมี่อยู่ในถ้ำนั้นนานนับสิบกว่าปี ย่อมมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง เขารู้ว่าหากใช้น้ำผสมกับน้ำปูนใส เส้นบะหมี่ของเขาจะยิ่งเหนียวนุ่มมากขึ้น เขาจงใจให้เส้นบะหมี่นั้นเล็กกว่าทั่วไปเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังนวดบะหมี่อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว ทำเอาเหล่าคนทำอาหารได้แต่รู้สึกทึ่ง
การจะนวดบะหมี่ให้เส้นมีขนาดเท่ากันทั้งหมดนั้นต้องใช้แรงมาก ซ้ำยังต้องควบคุมแรงของตนได้ดี ที่สำคัญคือต้องมีประสบการณ์สูง พ่อครัวหลายคนหากจะทำเส้นบะหมี่ก็มักจะเลือกเอาแผ่นแป้งมานวดให้บาง และใช้ทักษะในการหั่นให้เส้นมีขนาดเท่ากัน มีน้อยคนที่จะนวดเส้นบะหมี่ด้วยมือตนเอง แล้วจับยืดเป็นเส้น
จิ้นหยางจัดการกับเส้นบะหมี่จนได้ดังใจ แล้วจึงหันไปเปิดฝาหม้อ กลิ่นของแพะตุ๋นหอมฟุ้งทำให้คนที่ได้กลิ่นต่างลอบกลืนน้ำลายลงคอ คนตัวเล็กแยกถุงเครื่องเทศ เนื้อแพะ และน้ำซุปออกจากกัน เขาชิมน้ำซุปก่อนจะปรุงรสอีกเล็กน้อย ใส่แป้งข้าวโพดเพื่อให้น้ำซุปมีความข้น เพิ่มเครื่องเทศจำพวกพริกไทยที่คั่วจนหอมลงไปอีก จากนั้นจึงใส่เนื้อแพะลงไปตุ๋น ใส่ต้นหอมซอย ฟองเต้าหู้ สุดท้ายก็ใส่เส้นบะหมี่
เสร็จสิ้นการแข่งขัน จิ้นหยางผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ขณะที่คู่ต่อสู้ของเขานั้นเหลือเพียงเฟิงไท่แห่งภัตตาคารเฟิงฉวี่
ผัดโป๊ยเซียนเป็นอาหารที่เกิดในยุคที่ฉางอานยังเป็นเมืองหลวงของต้าหลิว เกิดขึ้นเมื่อฮ่องเต้ประทับกับท่านอาทั้งห้าของพระองค์ แต่ละคนล้วนมีบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหว แรกเริ่มเดิมทีนั้นเกิดจากการนำเอาวัตถุดิบเลิศรสมาผัดเข้าด้วยกัน เป็นอาหารที่มีหลากหลายชื่อและหลากหลายเรื่องเล่ามาก
จิ้นหยางกำลังคิดว่าจะทำผัดโป๊ยเซียนแบบใดในการแข่งรอบสุดท้ายดี ในตอนนั้นคนของโรงเตี๊ยมที่คอยดูแลเขาอยู่ก็เคาะประตูห้อง
“นายท่าน อาหารได้แล้วขอรับ”
จิ้นหยางเดินไปเปิดประตู เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่ายกำลังแย้มรอยยิ้มให้ คนของโรงเตี๊ยมยกทั้งสุราและอาหารมาให้
“นายท่านกินเยอะๆ นะขอรับ วันพรุ่งจะได้มีแรงแข่งขัน”
“ขอบใจมาก” จิ้นหยางยิ้มให้เขา พลันในตอนนั้นดวงตาที่มองไหสุราของเขาก็กลับมองเห็นไหสุราสีน้ำตาลกลายเป็นสีแดง จิ้นหยางเห็นสัญญาณอันตรายขึ้นมาทันที
นี่คือความสามารถพิเศษของเขา หลังจากที่เข้ามาอยู่ในร่างใหม่ เขาจะรู้ว่าพิษที่อยู่ในอาหารนั้นคืออะไร เพียงแค่มองด้วยตาเปล่า
เขาคว้าไหสุราก่อนจะมองคนของโรงเตี๊ยมที่ทำท่าจะหลบออกไป พริบตาเดียวก็กระชากอีกฝ่ายมากดลงบนพื้นห้อง จ่อมีดที่ลำคอของอีกฝ่าย
“นะ...นายท่าน! ทำอะไรขอรับ!” บ่าวคนนั้นร้อง หน้าเผือดสีเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอและแสบนิดๆ
ดวงตาของจิ้นหยางแปรเปลี่ยนไปยามกล่าวเสียงเข้ม “ใครใช้ให้เจ้าใส่ยาในสุราของข้า”
บ่าวคนนั้นกลอกดวงตาเรียวไปมา ขณะเดียวกันก็หลั่งเหงื่อเย็น “นายท่านกล่าวอะไร! ข้าไม่รู้เรื่อง!”
“ไม่รู้” จิ้นหยางลดมือลง ก่อนจะจับไหสุราขนาดเล็กเทใส่ปากอีกฝ่าย “เช่นนี้... เจ้าก็ดื่มให้ข้าดูเสียสิ!”
บ่าวคนนั้นลนลาน พยายามดิ้นหนี ทว่าจิ้นหยางจับอีกฝ่ายเอาไว้มั่น ไม่ยอมให้หนีไปไหนได้ พอสุรานั้นถูกกรอกลงในปาก บ่าวคนนั้นก็พยายามล้วงคออาเจียนออกมา จิ้นหยางมองเขานิ่งๆ ก่อนจะกล่าว
“ข้ามียาถอนพิษ”
บ่าวคนนั้นเงยหน้ามองจิ้นหยางตาเป็นประกาย เร่งร้อนโขกศีรษะให้เขาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าละโมบเงินเล็กน้อย จึงได้ใส่ยาลงไปในสุราของท่าน! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามันเป็นยาพิษ!” บ่าวคนนั้นคลานมาเกาะขาจิ้นหยาง “นายท่านต้องช่วยข้าน้อยนะ ข้าน้อยยังไม่อยากตาย!”
จิ้นหยางมีแววตาที่เย็นเยียบแวบหนึ่ง บ่าวคนนี้จะต้องรู้แน่ว่าในสุรานั้นคือยาพิษ แต่เพราะความกลัวตายเลยผลักความผิดไปให้ผู้อื่นจนสิ้น เขายิ้มบางๆ “ได้สิ ข้าจะให้ยาถอนพิษเจ้า แต่ว่าเจ้าต้องบอกข้ามา... ว่าคนที่ทำเช่นนี้เป็นใคร”
บ่าวของโรงเตี๊ยมร้องไห้ ใบหน้าของเขาเริ่มซีด ลำคอร้อนลวก เร่งร้อนบอก “บ่าวบอกแล้ว! บอกหมดแล้ว! เขาผู้นั้นเป็นคนของภัตตาคารเฟิงฉวี่ขอรับ! เขากับเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่เป็นสหายกัน พวกเขาร่วมมือกันกำจัดท่าน! นายท่าน... ข้าน้อยไร้ทางเลือก! หากข้าน้อยถูกไล่ออก... คนที่บ้าน...”
“คนของภัตตาคาร...” จิ้นหยางทวนคำ ก่อนจะเข้าใจได้ในทันที คู่แข่งในรอบต่อไปของเขาอำมหิตถึงเพียงนี้เชียว เพียงเพราะต้องการชัยชนะจึงได้คิดสังหาร
บ่าวคนนี้กลัวว่าจิ้นหยางจะไม่ยอมเชื่อ จึงเร่งกล่าว “คนที่ชนะการแข่งขันครั้งนี้จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ และถวายพระกายาหารฮ่องเต้กับเสียนเฟย พวกเขา... พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้...”
เสียงของผู้กล่าวแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ และยังถ่มเลือดออกมากองใหญ่ ผู้เป็นบ่าวเร่งรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย กระตุกขากางเกงจิ้นหยางขณะกล่าว
“บ่าวบอกท่านหมดแล้ว ขอยา... ยา...”
จิ้นหยางยิ้มละไมให้เขาก่อนกล่าว “ยาของข้าอยู่กับคนที่เอายาพิษมาให้เจ้า เจ้าอยากได้ก็ไปขอเขาเองสิ”
จิ้นหยางมองศพของบ่าวในโรงเตี๊ยม เขาเป็นคนว่องไวตามประสาอดีตยอดฝีมือ ดังนั้นพริบตาเดียวจึงเอาผ้าห่มมาห่อศพ เพื่อไม่ให้เลือดมากมายไหลลงบนพื้น แล้วรีบจัดการกับคราบเลือดที่อยู่บนพื้นให้เรียบร้อย ก่อนจะโยนศพเข้าไปในห้องครัวของตนเอง นึกในใจว่าโชคดีจริงๆ ที่ศพมนุษย์สามารถเข้าไปอยู่มิติของเขาได้
ในตอนนั้นจิ้นหยางพลันได้ยินเสียงเดินขึ้นบันได เพราะว่าเคยเป็นองครักษ์เงามาก่อน ทำให้พอจะเดาได้ว่าผู้ที่มาใหม่นั้นมีบางคนพอมีวรยุทธ์บ้างเล็กน้อย และน่าจะมาด้วยกันสามคน ฝีเท้าหนักสองและฝีเท้าสับสนไม่เป็นวรยุทธ์อีกหนึ่ง
จิ้นหยางคว้าผ้าสีดำที่พกไว้ใช้ในยามฉุกเฉินมาคลุมตัว ก่อนจะทะยานออกไปนอกหน้าต่าง แล้วไต่ขึ้นไปบนหลังคา หลบซ่อนตัวโดยอาศัยเงาของโรงเตี๊ยมยามกลางคืน การหลบจากสายตาผู้คนบนหลังคานั้นทำได้ไม่ยาก
จิ้นหยางลอบแอบฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงบานประตูถูกเปิดออกอย่างแรง เหล่าคนมาใหม่เห็นว่าในห้องว่างเปล่าจึงหันไปกล่าวกัน
“ไหนเถ้าแก่เนี้ยบอกว่ามีคนยกอาหารขึ้นมาแล้วอย่างไรเล่า”
เสียงทุ้มที่สองถาม “พวกเขาออกจากห้องไปแล้วหรือ”
“ไม่ ไม่” เถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเร่งบอก “ข้ายังไม่เห็นว่าพวกเขาออกจากห้องเลย ข้ารับเงินแล้วย่อมช่วยพวกท่านจับตาดูเอาไว้ตลอด”
“หรือว่าจะหนีไปทางหน้าต่าง”
“หากเป็นเช่นนั้น แล้วบ่าวของโรงเตี๊ยมนี้เล่า เขาน่าจะ...”
จิ้นหยางกำลังเทน้ำมันลงบนหลังคา เขารู้แล้วว่าแผนการของเฟิงไท่คืออะไร อันดับแรกส่งคนมาวางยาเขา จะวางยาได้หรือไม่นั้นไม่เป็นไร เพราะว่าแผนสำรองคือการส่งมือปราบมา หากว่าจิ้นหยางยังอยู่ในห้อง และไม่ได้เก็บศพของบ่าวออกมาด้วย มือปราบก็จะชี้ว่าจิ้นหยางเป็นคนสังหารบ่าว หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ มือปราบพวกนี้ก็อาจจะยัดเยียดข้อหาอะไรให้จิ้นหยางอยู่ดี อาจจับเขาเข้าคุก ทำให้พลาดการประลองทำอาหารในวันพรุ่งนี้ และเสื่อมเสียชื่อเสียงจนไม่อาจอยู่ในลั่วหยางได้
“ข้าก็ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาทำอาชีพเก่า” จิ้นหยางรำพึงรำพันอย่างจนใจ พอราดน้ำมันจนชุ่มและสาแก่ใจดีแล้ว เขาก็จุดไฟทันที
เปลวไฟลุกไหม้ วิ่งไปตามทางน้ำมันที่จิ้นหยางราดจนชุ่มฉ่ำ เขาโหนตัวเข้าไปในอีกห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยมที่ไร้คน แล้วออกจากห้องนั้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมจัดการราดน้ำมันใส่ประตูห้องของตนเองจากด้านนอก ก่อนช่วยจุดไฟเผาอีกแรง ทั้งยังราดน้ำมันให้ไฟโหมไปเผาห้องด้านข้างและทางเดินอย่างมีน้ำใจ หลังจากนั้นจึงร้องขึ้น
“ไฟไหม้!”
เหล่าคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมไม่กี่คนเร่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว วิ่งลงบันไดไป จิ้นหยางตามพวกเขาไปโดยรั้งท้ายสุด พอยืนอยู่ตรงบันไดไม้ เขาก็เกร็งลมปราณกระทืบหนึ่งที บันไดไม้ทั้งแถบถล่มลงมาเสียงดัง คนกระทำกระโจนลงมาเบื้องล่างอย่างงดงาม
เถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมและมือปราบที่อยู่ด้านบนร้องโวยวาย “ไฟไหม้!” ก่อนวิ่งฝ่าเปลวเพลิงออกจากห้องของจิ้นหยาง ก็พบว่าบันไดชำรุดจนไม่อาจจะลงไปชั้นล่างได้ มือปราบพวกนั้นยังพอเป็นวรยุทธ์ แต่ไม่ได้ฝึกฝนมานานแล้ว เขากระโจนลงมาจากชั้นสองกระแทกพื้นจนขาหัก
ที่น่าสงสารคือเถ้าแก่เนี้ยที่ต้องกระโดดตามลงมา ทั้งที่ตนเองไม่เป็นวรยุทธ์เลยสักนิด นางถึงกับนอนแน่นิ่งขยับกายไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมาช่วยกันลากออกไป เปลวเพลิงโหมรุนแรงมาก โรงเตี๊ยมไม่ใหญ่ไม่เล็กสร้างจากไม้ทั้งหลังกำลังจะพังทลาย คนทั้งหลายกระเสือกกระสนเอาตัวรอดออกมาจากที่แห่งนี้
จิ้นหยางหลบไปเอาค่าเสียหายที่คนในโรงเตี๊ยมร่วมมือกันวางแผนทำร้ายเขา ก่อนจะหลีกเร้นกายหายไปในกลุ่มคนทั้งหลาย
โรงเตี๊ยมถูกเผาจนเหลือแต่ตอตะโก ทรัพย์สินมีค่าทั้งหลายก็เสียหายและสูญหายไป เถ้าแก่เนี้ยถึงกับร่ำไห้อย่างน่าสงสาร เพราะต่อจากนี้ต้องหมดตัว ในยุคที่ภาษีขึ้นสูงเช่นนี้ นางจะกลับมาสร้างตัวให้เป็นดังเดิมได้อย่างไร มือปราบสองนายก็บาดจากการหลบหนีอัคคีภัย แต่ทั้งหมดนี้มิใช่เรื่องของจิ้นหยาง
เรื่องของจิ้นหยางคือการต้องมาคิดคำนวณว่า วันพรุ่งนี้เขาควรจะลงประลองการทำอาหารอีกดีหรือไม่ เห็นชัดแล้วว่าเฟิงไท่คนนั้นทุ่มเทเพื่อจะคว้าชัยชนะมากเหลือเกิน หากจิ้นหยางปรากฏกาย คดีวางเพลิงโรงเตี๊ยม อาจจะต้องตกมาใส่หัวของเขา ถึงเขาจะทำจริงๆ ก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตใหม่ ทำให้ไม่อาจกลับมายังลั่วหยางได้อีก
จิ้นหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยว่าเขาต้องปล่อยการแข่งขันนี้ไปเสียแล้ว แต่ไม่เป็นไร เพราะจิ้นหยางก็ไม่ได้คิดว่าเขาจำเป็นต้องชนะในการแข่งขันครั้งนี้ เขาจะยอมหายตัวไปก็ได้ แต่จะไม่ยอมปล่อยเฟิงไท่ไปเด็ดขาด
วันต่อมา หลิวฮั่นจวินมายังสถานที่จัดการประลองทำอาหารด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เขาชื่นชอบการทำอาหารของเด็กหนุ่มผู้ไร้ชื่อเสียงคนนั้น บะหมี่เนื้อแพะตุ๋นเมื่อวานที่ได้กินอร่อยเหลือเกิน เมื่อเขาต้องมากินอาหารในวังก็คล้ายจะจืดชืดไปบ้าง เขาชอบความแปลกใหม่ และคิดว่า... แม้ว่าตนอาจจะต้องตัดสินให้เฟิงไท่ชนะ แต่ก็จะยื่นข้อเสนอให้เด็กหนุ่มคนนั้นเข้ามาเป็นพ่อครัวในจวนของเขา ยิ่งคิดว่าตนจะได้กินอาหารแปลกใหม่ในทุกวัน ชินอ๋องก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข
ทว่าจิ้นหยางกลับไม่มาลงประลอง ซึ่งสาเหตุก็น่าจะเป็นเพราะโรงเตี๊ยมที่เจ้าตัวอาศัยเกิดเหตุอัคคีภัยขึ้นเมื่อคืนนี้ แม้จะยังไม่ได้สืบสาวอย่างจริงจังว่า จิ้นหยางนั้นมีส่วนร่วมกับเหตุอัคคีภัยนี้หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาหายตัวไปแล้ว
หลิวฮั่นจวินหงุดหงิด หยัดกายลุกขึ้นแล้วออกจากที่แห่งนั้นไป ก่อนจะมีการประกาศว่าเฟิงไท่เป็นผู้ชนะในการประลอง
เฟิงไท่แห่งภัตตาคารเฟิงฉวี่เป็นผู้ชนะ สมกับที่เขาติดสินบนทั้งกรรมการ ใช้อิทธิพลมืดหาเรื่องทำร้าย และใส่ร้ายคู่แข่งของตนเอง ชายวัยกลางคนรับรางวัลกลับภัตตาคารของตนอย่างผ่าเผย ก่อนกล่าวกับคนสนิท
“อีกสามวันข้าก็ต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ถวายพระกายาหารแด่พระองค์แล้ว เจ้าไปตัดชุดให้ข้าใหม่เสีย”
เขายื่นเงินให้คนสนิทที่รับไป เฟิงไท่คิดถึงตอนที่ตนได้เดินเข้าไปทำอาหารในวังหลวง หากเขาทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยอาหารของเขาได้ ก็จะได้รับค่าตอบแทนมหาศาล มีเงิน มีทอง และมีชื่อเสียงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในยามนี้เสียอีก
เมื่อพ่อครัวของภัตตาคารคือผู้ชนะในการประลอง และมีการประกาศว่าเขาได้รับเชิญให้เข้าวังไปปรุงพระกระยาหารถวายฮ่องเต้ ราษฎรชาวต้าหลิวทั้งหลายที่มีฐานะจึงมาลิ้มลองอาหารของเฟิงไท่ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปาก
คุณหนูท่านหนึ่งเอ่ย “น่าเสียดาย เด็กหนุ่มที่มาจากฉางอานคนนั้นนะ ข้าละอยากเห็นผัดโป๊ยเซียนของเขา”
“ใช่ กลิ่นเนื้อแพะเมื่อวานยังติดจมูกของข้า อยากจะลองลิ้มรสดูสักครา ขนาดชินอ๋องถึงกับดื่มน้ำแกงจนหมดเลย” คุณหนูอีกคนหนึ่งกล่าว
คุณหนูคนแรกถอนหายใจ “คนไร้วาสนาก็ยังคงเป็นคนไร้วาสนา เรามากินกันเถอะ”
คุณหนูทั้งสองจับตะเกียบคีบอาหารของภัตตาคารเฟิงฉวี่ขึ้นมา พอกินเข้าไปก็ยิ้มออกมา
“สมแล้วที่เป็นภัตตาคารอันดับหนึ่งของลั่วหยาง” นางหนึ่งเอ่ยชม
“เดี๋ยวนะ... ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรแข็งๆ” คุณหนูอีกคนเอ่ยพร้อมปิดปากก่อนจะคายออกมา พอเห็นเล็บมนุษย์ นางก็สะดุ้งหน้าซีดในทันที
“กรี๊ด...!”
เสียงกรีดร้องดังมาจากโต๊ะด้านข้าง เป็นฮูหยินคนหนึ่งที่ชี้ไปที่ถ้วยน้ำแกง ในนั้นมีลูกตามนุษย์ลอยอยู่
ลูกค้าทุกคนแตกตื่น ผุดลุกขึ้นมาทันที หลายคนหันไปทางหน้าต่าง โก่งคออาเจียนออกมาจนตัวโยน
เฟิงไท่กำลังเตรียมเครื่องปรุงอย่างสำราญอยู่ในครัว ตอนที่ถูกมือปราบรวบตัวออกไปข้อหานำเนื้อมนุษย์มาทำอาหาร เหล่ามือปราบค้นจนทั่วภัตตาคาร ก็พบว่ามีศพปริศนาถูกหั่นเป็นชิ้น และซ่อนเอาไว้ในห้องครัวของภัตตาคาร ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนตัวของเฟิงไท่นั่นเอง
ภัตตาคารเฟิงฉวี่อันเป็นภัตตาคารอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยางต้องถูกปิดลงตลอดกาล
จิ้นหยางซ่อนตัวอยู่ในภัตตาคารอันใหญ่โตนั้น และตอนที่เหล่าลูกค้ากำลังกรีดร้องและเกิดความอลหม่าน เขาก็ย่องไปฉวยเอา ‘ค่าเสียหาย’ จากคลังสมบัติของภัตตาคารเฟิงฉวี่มาไว้กับตัว แสร้งเดินปั้นหน้าเคร่งเครียดออกมาจากภัตตาคารนั้น พร้อมด้วยเหล่าลูกค้าทั้งหลายที่ถูกบ่าวรับใช้พยุงออกมาอาเจียนด้านนอก อารามรีบไปหน่อย จิ้นหยางก็เลยเดินชนใครบางคนเข้าเต็มๆ
“ขะ...ขอโทษขอรับ” โชคดีที่จิ้นหยางเก็บเงิน เก็บทอง และเก็บสมบัติไว้ในห้องครัวของตนเองแล้ว ไม่เช่นนั้นเงินทองมากขนาดนั้นจะต้องร่วงลงบนพื้นสักก้อนสองก้อนแน่นอน
จิ้นหยางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะสบกับใบหน้าหล่อเหลาคมสันที่ฉายแววเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มตรงหน้าดูจะมียศศักดิ์ไม่ธรรมดา จากประสบการณ์ของจิ้นหยาง เขากำลังคิดว่าตนเองน่าจะ... ซวยแล้ว
“เจ้ามีนามว่าจิ้นหยาง ที่สละสิทธิ์ไม่ลงแข่งการทำอาหารในวันนี้ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวขึ้น ดวงตาทอประกายเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง มองเข้าไปในภัตตาคารเฟิงฉวี่ที่มีคนหลายคนทำสีหน้าไม่สู้ดีเดินออกมาไม่ขาดสาย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
จิ้นหยางอยากจะพลิ้วตัวหลบชายคนนี้ไป แต่สายตาก็เบนไปเห็นองครักษ์ที่ท่าทางจะมีฝีมือรูปร่างสูงใหญ่กำยำสองนายที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่าย นอกจากนั้นเหมือนว่าจะมีคนมากกว่าสองคนด้านหลังนั้นซึ่งแฝงตัวอยู่ทั่วไป ถึงไม่เห็นตัว แต่ก็สัมผัสได้ด้วยจิตที่มีแต่องครักษ์ด้วยกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
‘คนผู้นี้ถึงกับเลี้ยงองครักษ์ลับเอาไว้ ฐานะย่อมไม่ธรรมดา’ จิ้นหยางครุ่นคิดในใจ เขาพอจะรู้ว่าต้องทำเช่นไร จึงทำตนให้ดูอ่อนแอและขี้ขลาด พยายามจะสืบเท้าหลบ แต่อีกฝ่ายก็มาดักเอาไว้
“จะไปไหนเล่า เหตุใดจึงไม่ตอบคำข้า”
“ท่านอ๋อง!” คนผู้หนึ่งที่หน้าตาบอกฐานะว่าเป็นลิ่วล้อ เข้ามาประสานมือกล่าวเสียงสั่นเหมือนเจอเรื่องขวัญผวา “กระหม่อมสอบถามจนได้ความแล้ว พบว่าภัตตาคารเฟิงฉวี่นำเนื้อคนมาทำอาหารพ่ะย่ะค่ะ สถานที่แห่งนี้อัปมงคล ผู้สูงศักดิ์อย่างท่านอ๋องรีบไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
‘เป็นอ๋องคนหนึ่งจริงๆ ด้วย’ จิ้นหยางคิดในใจ และเขาก็ถูกคนตรงหน้าโอบบ่าอย่างสนิทสนม จิ้นหยางทำตัวสั่นเทาอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่นึกชมตัวเองว่า หากเขาเข้าไปอยู่ในโลกที่เทพเจ้าอินเทอร์เน็ตแสดงให้เขารู้จักได้ เขาคงจะได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมที่เรียกว่ารางวัลออสการ์หรือลูกโลกทองคำอะไรพวกนั้นแน่
ท่านอ๋องปริศนาข้างกายกล่าว “ไปกันเถอะ”
จิ้นหยางถูกบังคับพาไปยังร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง คนที่มีศักดิ์เป็นถึงอ๋องยอมรินชาให้เขาด้วยตัวเองพลางกล่าว
“เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเหตุใดจึงไปที่ภัตตาคารนั้น”
จิ้นหยางก้มหน้าต่ำ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นแววตาของตนเอง อ๋องคนนั้นมองเขาเงียบๆ เมื่อเห็นว่าจิ้นหยางไม่ยอมตอบก็เลยถาม
“เจ้าเป็นคนสังหาร และเอาเนื้อคนไปใส่ไว้ในอาหารพวกนั้นใช่หรือไม่”
“ปะ...เปล่านะ! ข้าไม่ได้ทำ!” จิ้นหยางเร่งร้อนอธิบายก่อนจะก้มหน้าต่ำ “ข้า...ข้าแค่ไปรับเงินที่ตกลงกันไว้เท่านั้น”
“เงินหรือ” อ๋องคนนั้นทำหน้าฉงน
จิ้นหยางค่อยๆ หยิบตั๋วเงินที่ประทับตราภัตตาคารเฟิงฉวี่ออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นให้อีกฝ่ายรับไปดู พวกท่านคิดว่าคนอย่างจิ้นหยางจะไม่มีแผนรับมือหรือ
เขาเข้าไปในภัตตาคาร สร้างเรื่อง และเดินดุ่มๆ ออกมาในรูปร่างหน้าตาที่คนอื่นคุ้นเคยกันดีกระนั้นหรือ ไม่มีทาง! จิ้นหยางไม่คิดปกปิดตัวตนตอนออกจากภัตตาคาร เขาใช้หน้าตาดำๆ แบบที่เข้าแข่งขันทำอาหารแบบนี้ออกมาจากภัตตาคารเฟิงฉวี่เช่นเดียวกัน เพราะอะไรจึงกล้าหาญเช่นนี้น่ะหรือ โฮะๆๆ เพราะเขามีแผนจะเหยียบเฟิงไท่ให้จมดินอย่างไรเล่า
“ท่านอ๋อง โปรดเมตตาด้วย” จิ้นหยางคุกเข่าเสียงดังตุ้บ! ก้มหน้าเอ่ยเสียงสั่นเครือ “จิ้นหยางรู้ว่าจิ้นหยางไม่ควรทำเช่นนี้ แต่คุณชายเฟิงมาเสนอเงินให้ แลกกับการที่จิ้นหยางต้องถอนตัวออกจากการแข่ง...” จิ้นหยางก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“...เถ้าแก่เนี้ยกับเถ้าแก่หลินที่มีบุญคุณกับจิ้นหยางมาโดยตลอดกำลังลำบาก มีเรื่องต้องใช้เงินมาก อีกอย่าง... ท่านเฟิงไท่ก็มีอิทธพลมาก จิ้นหยางไม่กล้ากับเขาหรอก”
คำพูดของเขาย่อมหมายความว่าเฟิงไท่ใช้เงินเพื่อกำจัดคู่แข่ง ชายหนุ่มได้ฟังก็พอจะรู้ได้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร เฟิงไท่เอาเงินฟาดหัวให้คู่แข่งถอนตัว และเขาจะได้เป็นผู้ชนะ เข้าไปปรุงพระกายาหารถวายฮ่องเต้ มีเกียรติและสามารถกอบโกยผลประโยชน์ได้ตลอดชีวิต
เฟิงไท่ผู้นี้น่าตายจริงๆ!
“เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ” ท่านอ๋องกล่าว
จิ้นหยางกำลังรีดน้ำตาอย่างหนัก จนได้น้ำตามาสองสามหยด ก่อนเงยหน้าขึ้นมายังเห็นดวงตาแดงก่ำและน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้ามีแววทรงเสน่ห์ไม่น้อย ท่านอ๋องมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะกล่าว
“เจ้ามีความจำเป็นต้องใช้เงินมากหรือ”
“ร้านของผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูจิ้นหยางมาวอดวายในกองเพลิง หากจิ้นหยางไม่ทำอะไร ผู้มีพระคุณคงจะต้องกลายเป็นขอทานแน่พ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มตอบอย่างกล้ำกลืน
อ๋องตรงหน้าเขาพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเข้าใจ “ข้าก็ส่งคนไปสืบประวัติเจ้าที่เมืองฉางอานแล้ว...” (จิ้นหยาง : เฮ้ย) “...เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ”
เมื่อเห็นสีหน้าคนฟัง อ๋องหน้าตาคล้ายจิ้งจอกคนนี้ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ตกใจจนโง่งมไปเลยหรือ ข้าจะไม่ปิดเจ้า ข้าเห็นแววตาที่เสด็จพี่มองเจ้า เขาถูกใจเจ้ามาก ข้ากำลังหาทางส่งคนของตัวเองไปอยู่ข้างกายชินอ๋องพอดี”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของจิ้นหยางกระตุกเล็กน้อย อีกฝ่ายกล่าวเสียงเรียบเรื่อย
“พอรู้ว่าเจ้าเป็นคนฉางอาน ข้าก็ให้คนของข้าสืบเรื่องของเจ้ามาแล้ว เจ้าอยู่ฉางอานที่ร้านลั่วเหลียน ตอนนี้เถ้าแก่หลินกับเถ้าแก่เนี้ยหลินกำลังลำบากอยู่จริงๆ สูญสิ้นทรัพย์สิน กลายเป็นขอทานเร่ร่อน คนหนึ่งสติไม่ดี อีกคนกลายเป็นคนพิการช่วงล่าง น่าเวทนายิ่งนัก”
จิ้นหยางลอบเหลือกตาในใจ เถ้าแก่เนี้ยผู้แสนงกคนนั้นเสียทุกอย่างไปก็กลายเป็นบ้าไปเลยหรือ สมแล้วที่เป็นคนเห็นค่าสมบัติยิ่งกว่าสิ่งใด ส่วนเฒ่าหัวงูคิดล้วงก้นเขาคนนั้น พิการช่วงล่างเช่นนั้นก็สาสมแล้ว ฮึ!
แม้จะสาแก่ใจเท่าไร ใบหน้าของจิ้นหยางก็ปรับเปลี่ยนเป็นร้อนรนและห่วงใย ริมฝีปากสั่นเหมือนอยากจะกล่าว แต่ก็ไม่กล้ากล่าว
“ไม่ต้องห่วง ข้าให้คนดูแลพวกเขาอย่างดีแล้ว” อ๋องคนนั้นกล่าว พร้อมจิบชาอย่างมีความสุข “และหากเจ้ายอมทำงานให้ข้า ข้ารับรองว่าผู้มีพระคุณของเจ้าจะอยู่อย่างสุขสบาย มีคนคอยปรนนิบัติดูแลไปทั้งชีวิต”
“ท่านอ๋อง...!” จิ้นหยางเร่งร้อนคุกเข่าลง เขาลนลานพูดแบบว่าลืมใช้คำราชาศัพท์อย่างที่ควรไปจนสิ้น “ได้โปรดอย่าทำอะไรพวกเขาเลยขอรับ! ผู้มีพระคุณเลี้ยงดูจิ้นหยางเหมือนลูก ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้า ขอแค่ท่านอ๋องอย่าทำอะไรพวกเขา!”
‘ทำเลย! ข้าแค้นมานานเหลือเกินแล้ว ให้ข้าวข้าแค่วันละสามถ้วยเล็ก แม่-คงเห็นข้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่แค่ได้เห็นของเซ่นผีก็สุขใจได้ ถุย!’
เมื่อเห็นชัดว่าการแสดงของจิ้นหยางนั้นเลิศเลอปานใด ดวงตาของอ๋องตรงหน้าเขาก็เปล่งประกายอย่างพอใจยามกล่าว
“เจ้าเองก็มิใช่คนโง่ พอมีไหวพริบอยู่บ้าง...” ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนจิ้งจอกผู้นี้มองจิ้นหยางขึ้นลงหลายครา คล้ายกำลังพินิจสินค้าอย่างไรอย่างนั้น แล้วกล่าวต่อ “คราแรก... ข้าคิดจะส่งเจ้าไปอยู่กับชินอ๋อง แต่คนผู้นั้น หากมิใช่เขาเชื้อเชิญไปเอง ย่อมไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น ข้าคิดใหม่แล้ว เจ้าไปอยู่กับคนผู้หนึ่งเถิด”
“...”
“คนผู้นั้นมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง นางแต่งให้ขุนนางคนหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของสามีนัก หากเจ้าทำให้นางกับสามีของนางสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกันได้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป พร้อมด้วยเงินอีกหนึ่งพันตำลึงทอง ดีหรือไม่”
จิ้นหยางเผยความโลภทางใบหน้า แม้จะลังเลขณะกล่าว “แล้วผู้มีพระคุณ...”
“ระหว่างนั้น... ข้าจะดูแลพวกเขาให้เจ้าเอง วางใจเถิด” อ๋องสูงศักดิ์ตรงหน้ายิ้มให้เขา
จิ้นหยางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะโขกศีรษะให้อีกฝ่าย “ขอบคุณขอรับ” ...ขอบคุณที่โง่
อ๋องตรงหน้าพยักหน้ารับ “ข้าจะส่งเจ้าไปวันพรุ่งนี้เลย วันนี้อยู่กับคนของข้าแล้วเตรียมตัวให้ดีเถอะ”
“ขอรับ” จิ้นหยางโขกศีรษะอีกครั้ง ดวงตาทอประกายวาววับเล็กน้อย
เขาจะไปอยู่กับขุนนางคนนั้น และรอให้เวลาผ่านไปสักพักจนท่านอ๋องอะไรนี่ตายใจ จากนั้นก็จะหนีไปให้ได้ หุๆ
จิ้นหยางควรจะถูกวางยาพิษที่เอาชีวิตเขาได้ หากไม่มียาคอยสะกดพิษ นี่คือขั้นตอนพื้นฐาน ก่อนที่คนมีฐานะผู้หนึ่งจะส่งสายสืบของตนไปในเรือนคนอีกผู้หนึ่ง ชะรอยว่าฮุ่ยอ๋องหรือหลิวฮั่นฝูผู้นั้นมิได้อยากจะส่งจิ้นหยางเข้าไปเพื่อสมานรอยร้าวระหว่างสามีกับภรรยาเพียงอย่างเดียว
น่าเสียดายที่จิ้นหยางผู้ได้รับพรจากเทพอินเทอร์เน็ต ให้มองเห็นและจำแนกยาพิษได้โดยใช้ตามอง ไม่ได้กินยาพิษนั้นลงไป เพียงเสแสร้งว่ากิน อดีตหน่วยปราบพยัคฆ์อย่างเขาแสร้งทำว่าตนกินบางอย่าง และถูกยาพิษได้อย่างสบายๆ ทั้งฝีมือการแสดงของเขายังห่างชั้นกับองครักษ์ลับของผู้อื่นเยอะ
ดังนั้นพอเห็นคนของฮุ่ยอ๋องประกาศว่าเขาเป็นคนของท่านอ๋องแล้ว จะต้องทำงานให้ท่านอ๋องอย่างภักดี จิ้นหยางก็อยากจะทำปากคว่ำใส่ แล้วคิดในใจ ‘กระจอก! ขนาดพ่อของฮุ่ยอ๋อง ข้ายังไม่ภักดี จะให้มามอบชีวิตให้เขาหรือ ฝันไปเถอะ!’
จิ้นหยางยอมเล่นตามน้ำทั้งที่หนีไปได้ เพราะเขารู้นิสัยของชนชั้นสูงพวกนี้ดี คาดเดาไว้ว่าถึงเขาจะหนีไป เจ้าฮุ่ยอ๋องอะไรนี่ต้องปิดประตูเมือง ตามด้วยยัดเยียดข้อหาเอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหารให้เขา และล้างมลทินให้เฟิงไท่อย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้ชีวิตนี้ถูกตามล่าในวันข้างหน้า เขาจะต้องวางแผนหนีไว้ให้ดี
วันต่อมา จิ้นหยางกับห่อผ้าน้อยถูกสตรีวัยกลางคนพามายังจวนแห่งหนึ่ง หากเทียบกับจวนขุนนางอื่นๆ ในเมืองหลวง จวนแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่โต ทว่ากลับมีบรรยากาศอึมครึม และสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่ชอบที่สุดคือมีทหารมากมายคุ้มกันจวนแห่งนี้ แต่ละคนหน้าตาดุเถื่อน คล้ายเพิ่งกลับจากการฆ่าคนเผ่าซงหนูแล้วมาเฝ้าประตูก็ไม่ปาน
พอเห็นคนแปลกหน้า ทหารสองนายนั้นก็เอาทวนมาขวางทางไม่ให้เขาเข้าไปแตะบานประตูที่กำลังปิดสนิทได้ จิ้นหยางห่อไหล่น้อยๆ ท่าทางเหมือนคนไม่มีพิษไม่มีภัย เป็นสตรีวัยกลางคนที่มากับเขาเสียอีกที่เชิดหน้ากล่าว
“ใต้เท้าซุนส่งคนครัวคนใหม่มาให้ฮูหยิน ยังไม่รีบเปิดประตูอีก!”
‘ท่าทางป้านั้นกร่างยิ่งนัก’ จิ้นหยางคิดในใจ ทบทวนความรู้ที่ถูกเล่ากรอกหูอย่างเงียบๆ ใต้เท้าซุนเป็นเสนาบดีกรมโยธาและเป็นพ่อตาของเจ้าของจวนนี้ ส่วนเจ้าของจวนนี้เป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ลูกบุญธรรมลับๆ ของใต้เท้าซุนเป็นมารดาแท้ๆ ของฮุ่ยอ๋อง ตำแหน่งของนางไม่สูงส่งในวังหลวง อีกทั้งยังตายไปแล้ว จึงไม่มีใครรู้ว่าใต้เท้าซุนกับฮุ่ยอ๋องนั้นสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่
ทหารนายหนึ่งเข้าไปรายงาน ไม่นานบานประตูก็เปิดออก สตรีวัยกลางคนอีกคนเดินเข้ามาทักทายคนที่มีอายุพอๆ กันอย่างสนิทสนมกันดี จากนั้นก็พาพวกเขาเข้าไปข้างใน
บรรยากาศด้านนอกนั้นช่างอึมครึม แต่บรรยากาศด้านในก็ยิ่งวังเวง จะกล่าวว่าวังเวงก็ไม่ถูกนัก เพราะมีสองเรือนใหญ่ เรือนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย อีกเรือนอยู่ด้านขวา เพียงแค่มองก็ทำให้คิดถึงประโยคที่ว่า ‘น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง’ ต่างคนต่างอยู่ ที่เขาว่ากันว่าใต้เท้าหวังกับหวังฮูหยินนั้นไม่รักใคร่ปรองดองกันท่าจะเป็นเรื่องจริง
บรรยากาศของสองเรือนแตกต่างกันลิบลับ เรือนฝั่งซ้ายนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันงดงาม ส่งกลิ่นหอมละมุนละไม ขณะที่เรือนฝั่งขวากลับปลูกแต่ต้นสือซว่านหรือต้นพลับพลึงแมงมุมแดงไว้เต็มไปหมด และมีดอกสือซว่านสีแดงชูช่อเต็มสวน
จิ้นหยางเห็นเรือนฝั่งขวาแล้วก็อดขนหัวลุกไม่ได้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ เขาเคยถามเทพเจ้าอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับดอกไม้ต่างๆ ในตอนที่ต้องทำอาหารจากดอกไม้ ก็พบว่าต้นสือซว่านสีแดงนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายที่น่ากลัวของแคว้นหนึ่งซึ่งอยู่บนเกาะ มักพบตามหลุมศพ และมีตำนานเล่าว่าต้นสือซว่านนี้เกิดในนรกด้วย กลีบดอกสีแดงราวกับหยดเลือด ชวนให้รู้สึกกลัวมากกว่าสวยงาม
“เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ตามมาเร็ว!”
สงสัยว่าจิ้นหยางจะเผลอมองดอกสือซว่านนานเกินไป สตรีวัยกลางคนเลยหันมาเร่งเร้าเขาให้เข้าไปในเรือนฝั่งซ้าย เรือนนี้ประดับตกแต่งที่งดงาม พอเข้ามาได้สักพักจิ้นหยางก็ได้กลิ่นเครื่องหอมของสตรีชั้นสูงโชยมาเตะจมูก
จิ้นหยางเงยหน้าขึ้น ก็พบกับหญิงสาวหน้าตางดงามเย้ายวนที่สุดคนหนึ่ง นางแต่งกายด้วยชุดสีม่วง เกล้าผมและประดับด้วยปิ่นทองรูปดอกมู่ตาน[3] สีแดงสด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าทรงเสน่ห์
“คารวะหวังฮูหยิน”
ริมฝีปากแดงชาดนั้นกล่าวอย่างระอา “แม่นมจางอย่าเรียกเช่นนั้นเลย เรียกว่าคุณหนูใหญ่ต่อไปเถิด” ‘ซุนหงซิ่ว’ กล่าวจบก็นั่งลงอย่างแรง มองเด็กหนุ่มตัวดำตรงหน้าพลางกล่าว “คนนี้หรือที่ท่านพ่อส่งสารมาบอกว่าจะให้มารับใช้ข้า”
“เจ้าค่ะ” แม่นมจางก้มหน้าต่ำ “เขาชื่อจิ้นหยาง อาจจะดูโง่ๆ เซ่อๆ ไปบ้าง แต่มีฝีมือทำอาหารล้ำลึก จะต้องปรนนิบัติฮูหยินได้ดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
จิ้นหยางเหลือบมองคนพูดแวบหนึ่ง ก่อนจะโขกศีรษะ “จิ้นหยางคารวะคุณหนูซุน”
ซุนหงซิ่วได้ยินเช่นนั้นก็ผลิยิ้มบาง “ไหวพริบดีนี่” คนอื่นๆ เรียกนางว่าหวังฮูหยิน ซึ่งนางไม่พอใจเอาเสียเลย นางพินิจจิ้นหยาง เขาเป็นเด็กหนุ่มผิวเข้ม เครื่องหน้าก็พอจะมีส่วนที่ดูดีอยู่บ้าง แต่รูปคิ้วที่ไม่ค่อยเหมาะสมลดทอนความหล่อเหลา ซ้ำยังมีจุดดำๆ บนใบหน้าและไฝเม็ดใหญ่ ซุนหงซิ่วถอนหายใจ นางชอบคนรูปงามไร้ที่ติ เห็นจิ้นหยางเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกขัดตาอยู่บ้าง
แม่นมจางหน้าชาไปเล็กน้อย ซุนหงซิ่วหันไปมองสาวใช้ข้างกาย “เพ่ยจู เจ้าพาเขาไปที่ห้องพักสิ” นางมองคนมาใหม่พร้อมเอ่ย “วันนี้ยังไม่ต้องทำงานหรอก ให้เรียนรู้เรื่องในจวนให้ดีก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเริ่มงาน”
“ขอบคุณคุณหนูซุน” จิ้นหยางโขกศีรษะอีกครั้ง
สาวใช้นามว่าเพ่ยจูหยัดกายลุกขึ้น ลอบส่งสายตาให้จิ้นหยางลุกแล้วตามนางไป เด็กหนุ่มเดินตามไปจนถึงที่เรือนของคนรับใช้ประจำเรือนมู่ตาน เขาได้ห้องขนาดเล็กพอให้นอนและนั่งเขียนหนังสือเท่านั้น
เพ่ยจูกล่าว “เก็บของเสร็จแล้วตามข้ามา ข้าจะพาไปดูโรงครัวที่เรือนมู่ตาน”
จิ้นหยางไม่มีข้าวของอะไรมาก แค่ผ้าห่อเดียวเท่านั้น เขาจึงวางมันลงที่ปลายเสื่อนอน แล้วเดินตามเพ่ยจูไป
ครัวเล็กของเรือนมู่ตานนับว่าไม่เลวทีเดียว มีที่ให้จิ้นหยางวางของมากมาย และอุปกรณ์ทำครัวครบครัน จู่ๆ เพ่ยจูก็หันมาทำหน้าขึงขังขณะกล่าว
“จิ้นหยาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดคนครัวคนเก่าจึงได้หายตัวไป”
จิ้นหยางกะพริบตาทีหนึ่ง เพ่ยจูจึงกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน
“เพราะเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด!” นางยืดกายด้วยมาดนางพญา “จะอยู่ที่นี่ก็จงสงบปากสงบคำเอาไว้ให้ดี!”
“ข้าน้อยทราบแล้ว” จิ้นหยางกล่าวอย่างอ่อนน้อม
สีหน้าของเพ่ยจูดีขึ้นมาก จิ้นหยางจึงกล่าว
“แม่นางเพ่ยจู แล้ว...” เขามองไปทางเรือนที่ปลูกอยู่กลางสวนดอกสือซว่าน
“ใต้เท้าหวังหรือ พอเขากลับมาจากวังหลวง เจ้าก็จะได้เห็นเขาเองนั่นแหละ” เพ่ยจูแค่นเสียงอย่างไม่พอใจนัก “ยกเว้นแต่เขาจะไปอยู่หอคณิกา หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็คงยังไม่ได้เจอเขา”
จิ้นหยางไม่เอ่ยอะไรถึงเจ้าของเรือนสือซว่านอีก เพียงแค่ถามเวลาที่เจ้าของเรือนมู่ตานจะรับอาหารในแต่ละวัน และเวลาต้องใช้สิ่งใดจะต้องไปหยิบจากที่ไหน หน้าที่ของเขามีอะไรบ้างในแต่ละวัน
หลังจากเรียนรู้งานเสร็จแล้ว จิ้นหยางก็สำรวจครัวเล็กด้วยตนเอง ไม่นานเสียงม้าก็ดังขึ้น
จิ้นหยางเดินออกมาจากครัว มองเห็นรถม้าคันใหญ่ที่แล่นเข้ามาในเรือน แล้วหยุดที่หน้าเรือนสือซว่าน รถม้าขนาดใหญ่มีสีดำทั้งคัน พาให้จิ้นหยางรู้สึกเหมือนรถม้ารับส่งคนตายอย่างไรอย่างนั้น เจ้าของเรือนสือซว่านคงกลับมาแล้ว และจิ้นหยางก็อาจจะต้องไปพบเขา เลยมาสำรวจหน้าตาและเสื้อผ้าเป็นการใหญ่
ผิดคาดที่ว่าเจ้าของเรือนสือซว่านไม่อยากจะเห็นสมาชิกคนใหม่ในจวนของตนเอง วันนั้นจิ้นหยางก็เลยรอเก้อ และอดคิดไม่ได้ว่าใต้เท้าหวังผู้นั้นเป็นคนแปลกจริงๆ
‘หวังรุ่ยเสวียน’ คือนามที่เคยเลื่องลือในต้าหลิวเมื่อห้าปีก่อนในฐานะแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน
อย่างที่รู้กันดีว่าชาวต้าหลิวและชนเผ่าซงหนูมักรบพุ่งกันบ่อยครั้ง เมื่อห้าปีก่อนเผ่าซงหนูสมัครสมานสามัคคีกันและรวมตัวกันเป็นทัพใหญ่ สามารถบุกยึดดินแดนของแคว้นต้าหลิวได้หลายหัวเมือง ตอนนั้นฮ่องเต้ส่งแม่ทัพใหญ่จากเมืองหลวงไปรบกับพวกเขา แต่ไม่อาจจะข้ามเทือกเขาต่างๆ อันเป็นปราการธรรมชาติไปได้ ทัพทั้งสองฝ่ายเลยคุมเชิงอยู่ตรงนั้นหลายปี กล่าวได้ว่าต้าหลิวเคยเสียแดนให้ชาวซงหนูอยู่ช่วงหนึ่ง
แม่ทัพใหญ่ของซงหนูแยบคาย ศัตรูไม่อาจข้ามเทือกเขามาสังหารเขาได้ แต่เขากลับวางแผนเล่นงานสังหารแม่ทัพใหญ่ฝ่ายต้าหลิวในตอนนั้น ทัพของต้าหลิวแตกพ่าย เมืองหลวงระส่ำระสาย เพราะกลัวการมาเยือนของซงหนู
แต่ฝ่ายซงหนูกลับปราชัยเพราะคนผู้หนึ่ง หวังรุ่ยเสวียนในยามนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดหนาว แต่เดิมเป็นบัณฑิตซิ่วไฉวัยละอ่อนคนหนึ่งที่พวกซงหนูมองข้ามไป ไม่รู้ว่าหวังรุ่ยเสวียนขบคิดวางแผนอยู่นานเท่าไร แต่สุดท้ายก็เป็นเขาที่ถือดาบบัญชาการศึก ผงาดขึ้นมาท่ามกลางความหมองเศร้าของชาวต้าหลิว ยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา ศึกเดียวได้เลื่อนตำแหน่งจากบัณฑิตธรรมดาเป็นแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน ฮ่องเต้มีราชโองการให้เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรับบำเหน็จรางวัลในฐานะผู้ที่ทำคุณต่อแผ่นดิน
หวังรุ่ยเสวียนก้าวเข้าสู่ลั่วหยางท่ามกลางสายตาของหลายคนที่จับจ้อง แต่ละคนล้วนคิดว่าเขาจะต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ที่องอาจ และเป็นขุมกำลังหนึ่งที่พิทักษ์ต้าหลิวเป็นแน่ ไม่คาดคิดว่าตอนที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขากลับยกตราพยัคฆ์คืนฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ไม่ขอรับตำแหน่งทางการทหารใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงสิ่งเดียว...
‘บิดาของกระหม่อมวาดหวังให้กระหม่อมรับราชการในฐานะปราชญ์ผู้หนึ่ง ดังนั้นกระหม่อมขอเพียงสิทธิ์ในการสอบเพื่อรับราชการก็พอพ่ะย่ะค่ะ’
เหตุที่เขาร้องขอเช่นนี้เพราะใบหน้าของหวังรุ่ยเสวียนเสียโฉมจากการทำศึก ขนาดมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขายังต้องใช้ผ้าพันแผลปกปิดดวงหน้าไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งตามกฎแล้ว คนที่เสียโฉมไม่อาจสอบรับราชการในต้าหลิวได้ อีกทั้งเขายังไม่เคยสอบระดับมณฑล เพราะซงหนูยกทัพมาก่อน บิดาของเขาถูกฆ่าตายก่อนจะเห็นว่าลูกชายได้เข้าเมืองหลวง ความฝันของหวังรุ่ยเสวียนคือการสอบเข้ารับราชการ เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างที่บิดาวาดหวังเอาไว้
คำขอนั้นทำให้ผู้อื่นมองเขาเป็นตัวโง่งมในทันที หวังรุ่ยเสวียนยกทัพจับศึกจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไร จึงได้ทิ้งตำแหน่งใหญ่มาขอเพียงสิทธิ์ในการสอบรับราชการที่ไม่รู้ว่าตนจะได้หรือไม่
ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้มองเขาอย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงพระราชทานอนุญาต ทั้งยังพระราชทานบ้านพักหลังเล็กให้เขาได้อาศัยในลั่วหยางเพื่อท่องตำรา และให้สิทธิ์สอบรับราชการระดับฮุ่ยโดยที่เขายังไม่ได้เป็นจวี่เหริน การตัดสินพระทัยของฮ่องเต้ทำให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ทำศึกมาพร้อมหวังรุ่ยเสวียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ พวกเขาก็ไม่กล้ากล่าวอะไร
หนึ่งปีต่อมา หวังรุ่ยเสวียนเข้าสอบหน้าพระที่นั่ง ได้เป็นทั่นฮวา ในงานเลี้ยงต้อนรับขุนนางใหม่ ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ลองใจเขา ยกถ้วยยาออกมาพลางกล่าว
“ยามนี้เจ้ากลายเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างที่ตั้งใจแล้ว วรยุทธ์ทั้งหลายที่ฝึกฝนมาคงไม่จำเป็นแล้วกระมัง”
ยาถ้วยนั้นคือยาสลายวรยุทธ์ ชาวยุทธ์ทุกคนรู้กันดีว่ามันมีสูตรลับที่เป็นพิษหลายส่วน อาจจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ หวังรุ่ยเสวียนเพียงตอบ
“กระหม่อมขอถวายการรับใช้พระองค์ในฐานะขุนนางผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปรับโอสถถ้วยนั้นมาดื่มโดยไม่ลังเล ทำให้แม้แต่ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ยังถึงกับตกตะลึง
หวังรุ่ยเสวียนคงจะแพ้พิษสักตัวในยาทำลายวรยุทธ์สูตรพิเศษนั้น เขาถึงกับกระอักเลือดหน้าพระพักตร์ หมอหลวงวุ่นวายอยู่ค่อนคืนจึงยื้อชีวิตเขามาจากยมบาลได้ เรื่องนี้ทำให้ราษฎรและขุนนางฝ่ายบู๊หลายคนเสื่อมศรัทธาในตัวฮ่องเต้ซุนหลิงตี้ ขณะที่ฮ่องเต้ซุนหลิงตี้เองก็ละอายใจจนรีบร้อนพระราชทานจวนที่งดงามที่สุด ทรัพย์สมบัติมหาศาล และพระราชทานอนุญาตให้เขาสวมชุดธรรมดาในวังหลวงได้ จนหวังรุ่ยเสวียนร่ำรวยมีเกียรติเกินหน้าเกินตาจอหงวนและปั๋งเหยี่ยนในที่นั้น แต่ก็ต้องแลกกับการเกือบเอาชีวิตไม่รอด
กล่าวกันว่าหลังจากที่หวังรุ่ยเสวียนดื่มยาถ้วยนั้นไปแล้ว ร่างกายของเขาก็ทรุดโทรมจนน่าสงสาร แผลที่ใบหน้าก็ยังขยายลึกจนฮ่องเต้ต้องพระราชทานหน้ากากทองคำแก่เขาโดยเฉพาะ หน้ากากนี้... หากหวังรุ่ยเสวียนไม่ยอมถอด แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่อาจรับสั่งให้เขาถอดหน้ากากได้
เสนาบดีกรมโยธาซุนเห็นแววของหวังรุ่ยเสวียน ขอพระราชทานสมรสระหว่างบุตรสาวของตนกับเด็กหนุ่มผู้นี้ ซุนหงซิ่วนับเป็นโฉมสะคราญแห่งเมืองลั่วหยางผู้หนึ่ง พอแต่งให้หวังรุ่ยเสวียน ตอนเข้าห้องหอ เจ้าบ่าวถอดหน้ากากออก เล่าลือกันว่าซุนหงซิ่วตกใจ กรีดร้อง แล้ววิ่งหนีออกมา เป็นตายอย่างไรก็ไม่ขอเข้าหอกับคนผู้นั้น หวังรุ่ยเสวียนถูกมองเป็นตัวตลก แต่เขาก็ตามใจภรรยา ดังนั้นสองสามีภรรยาเลยแยกเรือนกันอยู่ เป็นเรื่องที่ถูกเอาไปพูดอย่างสนุกปากทั้งเมือง
ชีวิตรักของใต้เท้าหวังยังมีต่อ เมื่อภรรยาของตนหมางเมิน เขาก็ไปติดใจนางคณิกาผู้หนึ่ง เล่ากันว่าหวังรุ่ยเสวียนนั่งรถม้า เงยหน้าขึ้นเห็นนางคณิกาคนนั้นที่หอเหมยเฉียง เขาก็ลาหยุดเพื่อตามนางไป จากนั้นก็กลายเป็นแขกประจำของหอเหมยเฉียง เขาพยายามซื้อตัวนางจากหอคณิกาหลายครั้ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สามารถซื้อตัว ‘เจียวซิ่ง’ กลับมาได้
ทุกคนบอกว่าคงเป็นเพราะนางไม่ยอมขายตัวออกมาอยู่กับคนหน้าปีศาจเช่นใต้เท้าหวัง
แล้วทำไมจิ้นหยางถึงได้มานั่งทบทวนความรู้เกี่ยวกับนายใหม่ที่อีกไม่นานเขาก็จะทรยศ แล้วหนีไปคนนี้น่ะหรือ
ก็เพราะว่า...
“อ๊า... อ๊ะ... แรงอีก แรงอีก... อย่างนั้นแหละ!”
“อา... ฮูหยิน ท่านงดงามจริงๆ”
“อย่าเรียกฮูหยิน! เรียกคุณหนูซุน!”
“...คุณหนูซุน โฉมงามของข้า...”
เสียงครางที่ดังกระหึ่มจากห้องด้านบน และเสียงกระทบของเนื้อกับเตียงดังมาจนถึงห้องที่จิ้นหยางกำลังนอนทบทวนความจำอยู่ หากคนที่กำลังสำเริงสำราญอยู่ด้านบน คนหนึ่งมิใช่ซุนหงซิ่วที่เป็นฮูหยินของจวนแห่งนี้ และอีกคนมิใช่หัวหน้าองครักษ์จั่วเฟิง จิ้นหยางก็คงจะกระทุ้งปลายด้ามไม้กวาดใส่ด้านบนแรงๆ แล้วตะโกน ‘ขึ้นสวรรค์กันเบาๆ หน่อยได้หรือไม่! คนจะนอน!’
ผัวเมียบ้านนี้คืออะไร
ผัวติดนางโลม เมียก็เล่นชู้
จิ้นหยางยกมือขึ้นปิดหู แล้วเขาจะหลับตาลงได้หรือ โว้ย!
ความคิดเห็น |
---|